คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 ได้ไปเกาหลีแล้ว
ตอนที่ 1 แม่ไม่รัก
"เป็นอะไรยะ ยัยริน...ยิ้มหน้าระรื่นอย่างกับถูกล็อตตารี่รางวัลที่หนึ่ง...หรือว่าเจอหนุ่มที่ไหนบอกรักเข้าให้ล่ะ เดี๋ยวเบิร์ดแฟนเธอก็ตามมาฉีกอกเอาหรอก"
เสียงเพื่อนสาวในกลุ่มซึ่งนั่งอยู่ที่ม้าหินหน้าตึกเรียนภายในคณะร้องทักขึ้น เมื่อนารารินเดินเข้ามาใกล้ ในยามพักกลางวันหลังจากระห่ำเรียนสามชั่วโมงติดกันเสร็จแล้ว พวกเพื่อน ๆ ที่สนิทสามคนก็จะสั่งอาหารมานั่งจับกลุ่มคุยเรื่องสัพเพเหระกันที่นี่ เพราะเข็มแก้วเพื่อนคนที่ร้องทักเธอนั่นแหละเคยบอกเอาไว้ว่า
'จะเรียนเป็นเซเว่นอีเลฟเว่น ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือไงจ๊ะพวกเธอ พักบ้างก็ได้ สมองคนนะไม่ใช่เครื่องคอมฯ จะได้บรรจุข้อมูลได้ไม่จำกัดตลอดเวลา เฮ้อ...อยากเกิดเป็นควายให้มันโง่รู้แล้วรู้รอดไปจริง ๆ เล้ย จะได้ไม่ต้องมางมโข่งเป็นควายในคราบคนอยู่อย่างงี้...'
และวันนี้เข็มแก้วก็เป็นคนเปิดประเด็นขึ้นก่อน เพราะใบหน้าแจ่มใสเปื้อนยิ้มของเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยจะมีเห็นมากนัก เจ้าแม่ข่าวลืออย่างเข็มแก้วจึงอดรนทนไม่ไหว ต้องซักไซ้ให้ได้ความ
"ว่าไงล่ะยัยริน...จะบอกได้รึยัง คอยจนเมื่อยแล้วนะ"
"นั่นน่ะสิ...ริน มีคนใหม่มาตามจีบเธอจริง ๆ เหรอ
ว้า ไม่หลงมากับดักที่ฉันอุตส่าห์ล่อไว้บ้างเลย
" วิไลพรรณเพื่อนอีกคนเสนอหน้า
เพื่อน ๆ นึกในใจ...กับดักชนิดไหนของเจ้าหล่อนกัน
"แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ ยังไงฉันก็จะรอ ร้อรอ
รอได้เสมอ รูปร่างอวบอั๋นอย่างฉันเนี่ย คงหาได้ไม่ยากหรอก...ว่างั้นมั้ยแก้ว...แต่ระวังแฟนเธอให้ดีละกันนะ สับรางรถไฟให้ทันล่ะ" ถามแกมรำพึงขึ้นโดยที่ไม่ดูรูปร่างที่เกินคำว่าสมส่วนของตัวเอง
"พวกเธอนี่คิดอะไรไม่พ้นเรื่องพวกนี้เลยนะ แล้วฉันก็ไม่ได้เนื้อหอมขนานนั้นหรอกจ้ะ แก้ว วิ
" นารารินยังอดยิ้มให้กับข่าวที่เธอเพิ่งได้รับมาหมาด ๆ ไม่ได้ ยิ่งยั่วกิเลสสอดรู้สอดเห็นของเพื่อน ๆ ได้เป็นอย่างดี
"เธอจะบอกเดี๋ยวนี้...หรือว่าจะให้เกิดการฆาตกรรมขึ้นก่อน...หา" กิติยาเพื่อนคนที่จัดการอาหารไปหมดก่อนแล้วได้ทีเร่งเร้าขึ้นบ้าง
"จ้า...บอกแล้วจ้า...คุณเพื่อนผู้มีพระคุณทั้งหลาย..."
ทุกคนต่าง 'หูผึ่ง' ทันที จนทำให้นารารินอดขำไม่ได้ ก่อนจะประกาศออกไปว่า
"ฉันได้ทุนไปเรียนที่เกาหลีแล้วล่ะ..."
เพื่อนทั้งสามกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจทันที ...นารารินได้รับทุนแลกเปลี่ยนซึ่งปิดประกาศรับสมัครที่คณะเมื่อหลายเดือนก่อน เธอตัดสินใจส่งใบสมัครเอาวันสุดท้าย ฉุกละหุกรีบส่งก่อนที่สำนักงานวิเทศสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยจวนเจียนจะปิดทีเดียว สาวน้อยบรรจงเขียนประวัติและผลงานการทำกิจกรรมอย่างละเอียดและประณีตตามนิสัยรักความถี่ถ้วนและถูกต้องอย่างที่ใครเห็นเข้าเป็นต้องออกปากชม
นารารินเป็นนักกิจกรรมคนหนึ่ง แต่ก็ให้การเรียนมาเป็นอันดับแรก เรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง เธอเป็นสมาชิกชมรมดนตรีไทย ชมรมละครและยังได้มีโอกาสแสดงละครในปีแรกที่ได้เข้าเรียน แม้ว่าจะเป็นบทรองแต่เธอก็ภูมิใจ
เธอคิดว่า มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประวัติส่วนตัวในการสมัครทุนของเธอโดดเด่นออกมาจากคนอื่นที่เอาแต่เรียน...นี่เป็นคำบอกเล่าของอาจารย์ที่เรียกเธอไปพบเพื่อบอกข่าวดีเมื่อเช้านี้
" 'อันยง ฮาเซโยะ' ใช่มั้ย
สวัสดีภาษาเกาหลีน่ะ" เข็มแก้วร้องถาม
"จ้ะ
แต่คำว่า 'ยง' ต้องทำเสียงขึ้นจมูกด้วยนะ"
เข็มแก้วรีบบีบจมูกตัวเอง แล้วพูดใหม่ทันที ทำให้เพื่อนพลอยขำกันไปหมด
"นี่ริน...ฉันต้องการพวงกุญแจสวย ๆ นะ เอาแบบที่มีสัญลักษณ์เกาหลีด้วย เอ...ไม่เอาดีกว่าราคาถูกไป เอาโสมดีกว่า ฉันว่าน่าจะมีเครื่องสำอางที่ทำจากโสมนะ
นะ ๆ จะได้ทำให้ผิวงาม ๆ สมชื่อของฉันยังไงล่ะ" วิไลพรรณรีบขอของฝาก พร้อมกับยกแขนทั้งสองข้างขึ้น แขนที่ผิวไม่เนียน ยังมีรอยให้เห็น ยกโชว์ไม่นานก็รีบลดแขนลงด้วยท่าทางเขินๆ
"ของฉันเอาหนังเกาหลีนะ กำลังฮิต" กิติยาบอกรายการของฝากบ้าง
"นี่พอเลยพวกเธอ...รินมันยังไม่ได้ไปเลยนะ" เข็มแก้วแก้ให้เพื่อนแต่ก็ยังไม่วาย "แต่ว่าของฉันขอเป็นผู้ชายหล่อ ๆ สักคนก็พอ"
"จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว ฉันยังไม่ได้ขึ้นเครื่องเลยนะ รับรองน่า ฉันไม่ลืมของฝากของพวกเธอหรอก แต่พวกเธอต้องไปเป็นเพื่อนฉันขอวีซ่าด้วยนะ" นารารินยิ้มให้กับหน้าทะเล้นของเพื่อน ๆ
"ไม่ต้องห่วงหรอกริน บ้านฉันอยู่ใกล้สถานทูตเกาหลี ฉันพาไปเอง" กิติยาอาสา
นารารินบอกขอบคุณด้วยใจจริง มิตรภาพระหว่างเพื่อนและเธอแน่นหนาแบบที่ว่ากรรไกรตัดก็ไม่ขาดทีเดียว
"นี่
แต่ทุนที่เธอได้รับ มันให้ไปเรียนอะไรที่ไม่เกี่ยวกับวิชาเรียนที่นี่เลยตั้งปี โอนหน่วยกิตกลับมาก็ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ เพราะวิชาเรียนไม่เหมือนที่ภาคฯ แล้วอย่างงี้ก็เท่ากับว่ารินไปเสียเวลาเปล่า ๆ ตั้งปีนึงน่ะสิ" เข็มแก้วแสดงความคิดเห็นแบบห่วงใย
"ไม่เป็นไรหรอก แก้ว เราอยากไปจริง ๆ แค่เรียนซ้ำอีกหนึ่งปีไม่เป็นไรหรอก จะได้ฝึกภาษาให้คล่องขึ้นด้วย"
นารารินชอบภาษาเกาหลีขนาดที่ว่ายอมควักเงินเก็บไปเรียนพิเศษที่สถาบันสอนภาษายามเสาร์อาทิตย์เป็นเวลากว่าสามปีมาแล้ว ตั้งแต่เธอเข้าศึกษาในระดับชั้นปีที่ 1 ใหม่ ๆ และผลที่ออกมาก็ได้มากกว่าที่เธอคาดคิด
หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เผยให้เห็นลำแขนยาวเรียว ผิวขาวจัด อาจจะป็นเพราะเชื้อจีนที่เป็นเสี้ยว ๆ มาจากฝั่งคุณตาก็เป็นได้ ผิวนั้นนวลเนียนอย่างที่เพื่อน ๆ เคยล้อไว้ว่า
'ขาวปานจะเย้ยให้มะลิอาย
'
เธอเคยอ่านเจอ มันเป็นสำนวนนิยายของนักเขียนท่านหนึ่งเธอเองก็จำไม่ได้แล้วว่าใคร แต่โดนชมอย่างนี้ มีเหรอเธอจะไม่เขิน ก็ได้แต่ตีเบา ๆ ที่ต้นแขนเพื่อนเป็นเชิงปราม
เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้จะถึงชั่วโมงเรียนบ่ายแล้ว ดวงตาหวานเล็กสีน้ำตาลเข้มออกดำ ก็หันมายิ้มให้กับเพื่อน พร้อมด้วยปากแดงเต็มอิ่มมีเพียงแต่ลิปกล็อสเพื่อความชุ่มชื่นทาบาง ๆ
เธอไม่ชอบสีสดของลิฟสติคเพราะปากของเธอมีเลือดฝาดเพียงพอ
เธอไม่อยากเสียเวลาแม้จะรักสวยรักงาม เพราะย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าไม่จำเป็น อีกทั้งเธอยังคร้านที่จะต้องมานั่งเช็ดนั่งล้าง
'ยุ่งยากไม่ทันกินชาวบ้าน'
"พวกเธอทำเตรียมเรื่องพรีเซนต์รายงานตอนบ่ายนี้เสร็จรึยัง...อาจารย์แกยิ่งเขี้ยวอยู่นะ" ถึงเวลาที่เธอต้องเปลี่ยนเรื่องแล้ว และมันก็เป็นเรื่องที่เร่งด่วนเสียด้วย
"ก็รอคนเก่งของเรามาช่วยน่ะซิจ๊ะ" เข็มแก้วปะเหลาะ พร้อมทำตาปริบ ๆ อย่างน่าหมั่นไส้มากกว่าน่าสงสาร
"พวกเธอนี่จริง ๆ เล้ย"
แม้ว่าจะบ่นแต่เธอก็ช่วยด้วยความเต็มใจ ด้วยนิสัยโอบอ้อมอารีที่ได้มาจากคำพร่ำสอนของผู้เป็นยายมาแต่ครั้งเยาว์วัย ท่านสอนให้เป็นคนที่ถือน้ำใจไว้ในมือ พร้อมเสมอที่จะยื่นต่อให้คนอื่นอย่างไม่ลังเล ทำให้หญิงสาวเป็นที่รักในหมู่เพื่อน สนิทและคบกันได้กับทุกกลุ่ม แม้ว่าสังคมนักศึกษามหาวิทยาลัยมักจะมีกลุ่มประจำเป็นของตัวเองก็ตาม
การได้รับทุนครั้งนี้ เพื่อน ๆ ก็ยินดีกับเธอด้วยความจริงใจเป็นการตอบกลับน้ำใจอย่างบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดเคลือบแฝงหรือเจือปน
ทว่าอีกฟากหนึ่งของความคิด
ความคิดที่ว่า แล้วคนที่ไม่เคยยินดีปรีดาในความสำเร็จของเธอเลยล่ะจะเป็นอย่างไร จะมีอะไรแฝงเร้นไปมากกว่าวาจาที่เชือดเฉือนและหยามหลู่นั้นหรือไม่
นั่นทำให้นารารินไม่มั่นใจ...ไม่มั่นใจว่าคนที่ 'บ้านใหญ่' จะว่าอย่างไรบ้าง ในเมื่อเธอแอบสมัครทุนโดยไม่บอกพวกเขาเลยเช่นนี้ ...แม้แต่มารดาของเธอ
////////////////////////////////////////////////
และเสียงถามอย่างมีอารมณ์ต่อหน้าเธอขณะนี้ก็พิสูจน์ความกังขาในที่สุด
"รินไปสมัครไว้แต่เมื่อไหร่...ฮึ คิดยังไงของเรา" เกษราขมวดคิ้วถาม เมื่อได้ยินคำจากปากบุตรสาว
"หลายเดือนแล้วค่ะ...อาจารย์ท่านแนะนำมา ก็เลยลองสมัครดู แม่อย่าห้ามรินเลยนะคะ" หญิงสาวพยายามตอบให้น้ำเสียงเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระงับความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ให้ได้...เช่นทุกครั้ง
เธอรวบช้อนส้อมวางไว้กลางจาน ทั้ง ๆ ที่ข้าวพร่องไปเพียงน้อย...หมดความอร่อยเสียแล้ว อาหารเย็นมื้อนี้ ดูท่าจะมีบทสนทนาต่ออีกยาว
"จริงเหรอคะ พี่ริน อย่าลืมถ่ายรูปวอน บินกับเรน ดาราเกาหลีตัวจริงมาฝากไอซ์บ้างนะคะ" นั่นคือเสียงของไอริณ น้องสาววัยมัธยมต้นของเธอ ทว่าต่างบิดา...
"แม่ไม่ไห้ไป!..." ผู้เป็นมารดาพูดโดยไม่สบสายตาด้วยซ้ำ น้ำเสียงนั้นฟังได้ทีเดียวว่าควบคุมอารมณ์ไว้อย่างมั่นคง
"โธ่! แม่คะ ทำไมไม่ให้รินไป
" เธอพ้อ
"นั่นซิคะ แม่ ทำไมแม่ไม่ให้พี่รินไปล่ะคะ ไอซ์ไม่เข้าใจเลย น่าสนุกดีออกนะ เมืองหนาวใช่มั้ยล่ะ ดีจังพี่รินจะได้เห็นหิมะด้วย"
กิริยาและคำพูดไร้เดียงสา เปิดเผยเช่นนี้ น่าจะทำให้คนที่ได้ฟังชื่นใจ แต่นั่นกลับบีบคั้นใจเธอให้เจ็บปวดได้เท่า ๆ กับคำสั่งห้ามเมื่อครู่...ก็เพราะไอริณนี่แหละที่เกิดมาเพียบพร้อมไปเสียทุกสิ่งด้วยทรัพย์มหาศาลทางฝ่ายบิดา
และสิ่งที่บดขยี้ใจเธอให้เจ็บช้ำที่สุดก็คือความจริงที่ว่าไอริณได้เกิดมาเพื่อจะได้รับความเอาใจใส่ของมารดา...ไม่ใช่เธอ เธอเองไม่เคยได้รับความอบอุ่นเช่นนั้นมาก่อน...แม้กระทั่งก่อนที่น้องสาวคนนี้จะถือกำเนิดมาเสียด้วยซ้ำ!
"ไอซ์...อิ่มแล้วก็ไปทำการบ้านนะคะ แม่มีเรื่องจะคุยกับพี่ริน..." ผู้เป็นมารดาหันไปพูดอย่างอ่อนโยนกับไอริณแค่นั้น แล้วก็ลุกจากโต๊ะทานอาหาร เดินไปยังห้องโถงที่ใช้เป็นห้องนั่งเล่นได้ในตัว
นารารินรู้หน้าที่ที่เธอต้องทำทันทีหลังจากจบประโยคนั้น เมื่อช่วยแม่บ้านจัดเก็บอาหารเรียบร้อย เธอก็เดินมาสมทบกับมารดาที่นั่งดูโทรทัศน์เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เธอรู้ดีว่าภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉย ที่ตกแต่งไว้อย่างงดงามแม้ล่วงเข้าวัยกลางคนแล้ว มีพายุตั้งเค้ารออยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
"เก็บโต๊ะเรียบร้อยแล้วใช่ไหม..." เกษราถามโดยไม่ละสายตาจากโทรทัศน์ที่กำลังจ้องอยู่
นารารินรับคำสั้น ๆ แล้วมานั่งลงที่โซฟาตัวตรงข้ามในลักษณะที่หันเข้าหาคู่สนทนา เตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น
"แบ่งสำรับไว้ให้ลุงเอกเขาหรือเปล่า..."
หญิงสาวยังคงรับคำสั้น ๆ นั่นก็มากมายเกินปรกติจากที่ไม่ค่อยได้พูดคุยกันแล้ว ในอาณาบริเวณ 'บ้านใหญ่' หลังนี้ คนที่เธอพูดด้วยบ่อยที่สุดก็คงจะเป็นลุงเอกและไอริณเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดสนิทชิดเชื้อ เพราะลุงเอกคือคนที่มารดาเธอพร่ำบอกเสมอว่ามีบุญคุณคุ้มหัวอยู่ทุกวันนี้ แต่ที่ตอกย้ำให้ความสำคัญมากไปกว่านั้นคือความจริงที่ว่าเขาเป็นบิดาใหม่ของเธอ แม้ว่าเขาจะพูดคุยด้วยอย่างมีไมตรีจิต และไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจที่เธอเป็นลูกติดภรรยาแม้แต่น้อย
ทว่า ด้วยดวงใจอันปิดกั้นและรังแต่จะผลักดันสิ่งที่ต่างออกไปให้ไกลตัว จึงทำให้เธอคิดว่าการกระทำทั้งหลายนั้นไม่ต่างจากการล่อหลอกของแมวใหญ่ต่อหนูตัวน้อย เพื่อเอาใจมารดาของเธอผู้เป็นเจ้าของแมวตัวนั้น แท้จริง...สาวน้อยคิด...จะขย้ำหนูตัวเล็ก ๆ อย่างเธอเสียเมื่อไรก็ไม่รู้
ความคิดนั้นคงประสานมากับภาพวงศาคณาญาติของลุงเอกซึ่งอาศัยอยู่ในละแวกพื้นที่ 'บ้านใหญ่' เช่นเดียวกัน พวกเขาคอยพูดจาทิ่มแทง เสียดสี เป็นสาเหตุให้เธอช้ำใจอยู่เสมอตั้งแต่ก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เพื่อมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ในชั้นมัธยม สิ่งนี้ทำให้เธอยกลุงเอกผู้ที่ทุกคนคิดว่าใจดีกับเธอเกินไป ให้เข้าพวกเดียวกับคนเหล่านั้น
แม้แต่ไอริณ เด็กหญิงผู้ยังไม่รู้ความและเรื่องราวของผู้ใหญ่ เธอก็ยกให้ไปอยู่ข้างฝ่ายโน้นหมด โดยที่มีมารดาของเธอเป็นกำแพงสำคัญที่คอยขวางอย่างไม่มีวันทลาย
คงมีแต่ยายสายใจเท่านั้นที่คอยอยู่ข้างเธอ เป็นห่วงเธอ ปกป้องเข้าข้างเธอ ยามที่เธอถูกแม่ขับไล่ไสส่ง แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจ ยายยังคอยผลักดันให้เธอเข้ามาหาเยี่ยมเยียนมารดาเป็นประจำ จนถึงขนาดตัดใจส่งมาอยู่กับมารดา เพื่ออนาคตของเธอ...เพื่ออนาคตที่ต้องมาผจญกับความอดสูที่เหล่าญาติต่างบิดาเป็นผู้ยัดเยียดให้
บางห้วงคะนึงนารารินนึกถึงพ่อ
พ่อที่แท้จริงของเธอ แต่เธอไม่มีพ่อคอยปกป้องเธอมาตั้งแต่เล็กแล้ว ท่านเสียชีวิตไปแล้ว
พ่อนาคร
อาจเป็นเพราะจุดดำในใจมันได้ขยายท่วมท้น จนทำให้เธอไม่อาจยอมรับมารดา...คนที่ครั้งหนึ่งเคยทิ้งเธอให้อยู่กับยายตามลำพังสองคนเสียแล้วกระมัง
"แม่คะ..." นารารินอยากจะเปิดประเด็นที่จริง ๆ แล้วทั้งสองคนก็ต่างรอคอย แต่เธอจะเริ่มอย่างไรล่ะ ในเมื่อมารดาของเธอได้พูดดักเอาไว้แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้คงเป็นไปไม่ได้
"ทำไมตัดสินใจอะไรโดยไม่ปรึกษาคนอื่นนะ เราน่ะ จะไปได้อย่างไรตัวคนเดียว เป็นผู้หญิงอย่างนี้ด้วย จะไปทำไม เรียนที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว ไกลหูไกลตา นึกเหรอว่าไปแล้วจะสามารถทำอะไรก็ได้"
"แม่คะ...แม่ถามรายละเอียดของทุนกับรินหรือยัง จริง ๆ แล้วรินไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับทุน มีเพื่อนอีกคนที่อยู่ต่างมหา'ลัยเขาไปด้วย...และรินก็ไม่คิดว่าการไปครั้งนี้ จะทำให้รินเหลวไหลหรอกนะคะ รินคิดว่ามันคงจะทำให้รินโตขึ้นอย่าง 'ฉลาด' มากกว่า"
"ฮึ
'ฉลาด' พอที่จะปีกกล้าขาแข็งน่ะเหรอ ยายริน..."
"รินไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะคะ แม่ รินไปเพื่ออนาคตของรินนะคะ แม่จะถ่วงรินไว้ทำไม เพื่อนหรือแม้แต่อาจารย์ท่านก็สนับสนุน อาจารย์ท่านว่าดีรินก็ไม่ห่วงอะไรหรอกค่ะ"
"เชื่อกันเข้าไปคนนอกน่ะ แม่ตัวเองไม่เชื่อฟังกันบ้างหรือไง..."
ก่อนที่เสียงโต้แย้งกันจะดังไปกว่านี้ เอกรักษ์บิดาเลี้ยงของนารารินก็เดินเข้ามาเสียก่อนหลังกลับมาจากทำงาน
"อะไรกันคุณ เสียงไม่เบาเลยนะ ดูสิหน้าตายุ่งกันทั้งคู่ แม่ลูกคู่นี้ทะเลาะกันอีกแล้วหรือนี่"
"รินได้ทุนไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศค่ะ" นารารินชิงตอบขึ้นก่อน
"ฮ้า...จริงเหรอ ดีใจด้วย...อย่างนี้ต้องฉลองใหญ่แล้ว" คนมาใหม่ดีใจด้วยจริง ๆ ทั้งน้ำเสียงและใจจริง
"แต่ฉันไม่ให้ไปค่ะคุณ...ตัวคนเดียวจะไปอยู่ยังไงตั้งเมืองนอกเมืองนา..." เกษราชิงพูดความคิดของตนขึ้นบ้าง
"แล้วทุนเขาให้ยังไงล่ะ ริน"
เอกรักษ์เหมือนไม่สนใจกับคำทัดทานของเกษรา
"เป็นทุนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดค่ะ ทั้งค่าเรียน และกินอยู่"
นารารินตอบทั้ง ๆ ที่หน้าตาตัวเองยังยุ่งอยู่ อารมณ์ดีใจอยากอวดสิ่งที่ตัวเองได้มาแบบเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ไม่มีอีกแล้ว
"อืม...ก็ดี" เอกรักษ์รำพึง ก่อนจะบอกต่อภรรยา "น่าจะดีนะคุณ รินจะได้มีประสบการณ์ เดี่ยวนี้จะทำงานอะไรก็ต้องใช้ประสบการณ์ทั้งนั้น ยิ่งถ้าไปเมืองนอกอย่างนี้นะ เขาจะพิจารณาว่าสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง มันจะยิ่งเป็นประโยชน์แก่ตัวริน วันหน้า..."
"แต่คุณคะ แค่ที่แกเรียนอยู่ที่นี่ก็ดีถมไปแล้ว...จบมาแล้วก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปสมัครทำงานที่ไหน บริษัทของคุณก็ได้ แกจะได้มาช่วยงานของคุณไงคะ บริษัทคุณก็กำลังขยายงาน ได้คนไปช่วยหน่อยก็คงจะทำให้งานเบาไปเยอะ"
นารารินไม่อยากจะมองหน้ามารดา ได้ยินประโยคนั้นก็รู้แล้วว่ามารดาเธอเทิดทูนบิดาเลี้ยงมากแค่ไหน ถึงกับต้องการแบ่งเบางานของเขา แล้วเอาภาระนั้นมาใส่บ่าเธอแทน!
"แล้วคุณไม่ต้องการให้คนที่จะมาทำงานให้บริษัทผมเป็นคนที่มีประสบการณ์มากเพียงพอที่จะทำงานให้มีประสิทธิภาพหรอกหรือ..."
เกษราไม่อาจตอบได้ จนกับเหตุผลที่เธอยกขึ้นมาแล้วก็เหมือนขัดแย้งกันเอง
"เอาเถอะ คุณ เพื่ออนาคตของลูก ก็น่าจะปล่อยให้ไป ว่าแต่ว่าจะไปประเทศไหนล่ะ ริน"
ประโยคหลังหันมาพูดกับบุตรเลี้ยง
"เกาหลีใต้ค่ะ
"
สิ้นคำ เอกรักษ์ก็ต้องหันมามองหน้าภรรยา ที่ทำท่าเหมือนโกรธแกมวิตกที่นารารินอ่านไม่ออกว่าเป็นความรู้สึกใดกันแน่
แม้แต่ลุงเอกของเธอก็ตกใจกับคำว่า "เกาหลีใต้" แต่เธอไม่ได้ใส่ใจและไม่อยากคิดถึง
เธอรู้แต่เธออยากไปที่นั่น และต้องไปให้ได้
"รินสมัครไปเองล่ะค่ะ รินอยากไปของริน" หญิงสาวยั้งคำที่ว่า...อยากจะไปให้พ้นจากสภาพอย่างนี้เอาไว้ทัน ลอบมองเสี้ยวหน้าของมารดาที่เชิดขึ้นอย่างคนที่ยึดมั่นความคิดของตน ใบหน้าเรียวงามที่บุตรสาวถอดพิมพ์มานั้นดูไม่พอใจเป็นอันมาก ส่งสายตาขุ่นๆ มองไปทางเอกรักษ์ก่อนจะหันมาหานาราริน
"แล้วยายรู้หรือยัง ยังไงแม่ก็ไม่ให้ไป หาเรื่องไม่เข้าท่า" ว่าแล้วเกษราก็ลุกหนี เดินขึ้นชั้นสองของตัวบ้านไป ทิ้งหินก้อนใหญ่หนักถ่วงใจบุตรสาวด้วยคำพูดนั้น เอกรักษ์ได้แต่มองมาอย่างเห็นใจ ส่งสายตาเข้าใจมายังเธอราวกับจะถามย้ำคำถามนั้น
'แล้วยายรู้หรือยัง!...ยายจะว่าอย่างไรละทีนี้'
และนั้นก็คือสิ่งที่เธอหวั่นใจเป็นที่สุด
ความคิดเห็น