คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒ ว่าด้วยเรื่อง GED แบบ OMG! ที่สิงคโปร์
ก่อนอื่นเลย~ อะไรคือ GED?
GED นั้นย่อมาจาก General Education Development มันเป็นการสอบเทียบวุฒิการเรียนระดับมัธยมปลายตามหลักสูตรของอเมริกัน (ใครเคยอ่าน The Fault in Our Star จะเคยอ่านผ่านมาบ้าง คุ้นๆ ไหมคะ?) นักเรียนที่มิสิทธิ์สอบได้ต้องมีอายุ 16 ปีขึ้นไป
นักเรียนที่สามารถผ่านข้อสอบนี้ได้แล้วสามารถไปเทียบวุฒิจากกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้และวุฒินี้ยังสามารถยื่นสมัครเข้าในระดับมหาลัยได้หลากหลายที่ในประเทศไทยและต่างประเทศค่ะ! หลากหลายคนเลือกที่จะเรียน GED เพราะหลักสูตรนี้เปิดโอกาสให้คนที่มีความพร้อมที่จะสอบเทียบ เลือกเวลาที่จะสอบได้ตามต้องการ ซึ่งเพื่อนๆ บางคนอาจจะทราบมาว่าดาราหลายคนก็เลือกที่จะเรียนหลักสูตรนี้เหมือนกัน
GED มีเรียนวิชาอะไรบ้าง? การสอบทั้งหมดมีห้าวิชาบังคับเรียน/ สอบ ได้แก่:
Math
Social studies (เหมือนเรียนเรื่องสังคมของ ‘เมกาค่ะ)
Science
English critical reading (การอ่านเชิงวิเคราะห์)
English academic writing (การเขียนเชิงวิชาการ)
ข้อสอบนั้นคะแนนเต็ม 800 แต่ต้องสอบให้ได้ 410 ถึงจะถือว่าผ่านค่ะ และ 450 คือ above average ข้อสอบนั้นเป็นข้อสอบออนไลน์ มีทั้งหมด 50 ข้อค่ะ
ข้อดีของ GED มีอะไรบ้าง? ทำไมเกรซถึงเลือกสอบ GED?
เกรซเลือกที่จะเรียนหลักสูตรนี้ก็เป็นเพราะว่าตัวเกรซเองที่กำลังเรียนอยู่ ม. 4 ที่ประเทศบรูไนต้องย้ายออกมา กลับมาเรียนที่ไทยกะทันหัน เนื่องด้วยคุณพ่อต้องย้ายไปทำงานที่ประเทศอื่น ซึ่งเกรซจะไม่สามารถตามคุณพ่อไปได้
ฟิ้วววววว~ บินข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาแบบงงๆ หลังจากไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศบรูไนห้าปี
พอกลับมากลางคันแบบนี้เกรซก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อกับการเรียนเลยค่ะ เพราะถ้าเข้าโรงเรียนอินเตอร์หลักสูตร British แบบที่เรียนมาเห็นจะไม่ได้ แต่ละโรงเรียนที่สอนหลักสูตรนี้จะมีเรียนต่างกันไปค่ะ และนั่นหมายความว่าเกรซอาจจะต้องเรียนซ้ำในวิชานั้นๆ
ปวดหัวอยู่สักพักก็ได้เจอแสงสว่างนั่นก็คือ GED ที่เพื่อนของเกรซเคยสอบมา เขาได้แนะนำให้เกรซไปเรียนที่สถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่งตรงถนนรามคำแหง
ตอนเข้าไปเรียนแรกๆ ก็ยังคงงงๆ อยู่ดีค่ะว่าอะไรคือ GED? มันสอบยังไง? ทำไมต้องยาก? ไม่เหมือนกับที่เรียนมา…ตอนแรกก็เครียดมากเลยค่ะ แต่เครียดอยู่ได้ไม่นานเพราะคุณครูทุกคนพยายามช่วยเต็มที่ในทันการสอบภายในอีกหนึ่งอาทิตย์
ค่ะ เกรซเตรียมตัวสอบเทียบได้อาทิตย์นึงแล้วไปสอบเลย…บ้าไหมล่ะคะ! ถ้าไม่บ้าคงทำไม่ได้ ถ้าไม่ตั้งใจก็คงไปไม่รอดเหมือนกันเพราะว่าหากไม่สอบภายในอาทิตย์นั้นแล้วทาง GED จะเปลี่ยนระบบ เปลี่ยนหลักสูตรการเรียน ซึ่งหมายความว่าต้องมีหนังสือใหม่และหมายความว่าต้องเรียนใหม่หมด…เอื้อออออ!
เกรซนั้นคือคนบ้าที่กัดไม่ปล่อยค่ะ เลยถือคติที่ว่า ทำให้ดีที่สุดและถ้าไม่ผ่านก็มีคราวหน้า (แต่เกรซอยากสอบให้จบๆ ไปเลย สงสารพ่อแม่ต้องมาจ่ายเงินเยอะๆ) ตอนนั้นเกรซจึงต้องไปเรียนทุกวี่ทุกวันไม่เว้นเสาร์ อาทิตย์! เรียนตั้งแต่ 11:00-5:00 แล้วแต่วัน บางวันมีเรียนน้อยก็ไม่ค่อยเหนื่อย บางวันต้องเรียนไปกินข้าวไป ไม่งั้นไม่มีเวลา ชีวิตดีมีรสชาติค่ะ~ เรียนแบบตัวต่อตัวเพราะเร่งสอบมากๆ วันๆ ตอนนั้นไม่ได้เจอใครเลยจบแทบบ้า
เรียนวิชาละสองชั่วโมง สารภาพเลยว่าเคยแอบร้องไห้เพราะเครียดมาก เหนื่อย การบ้านเยอะ แถมเกรซต้องตื่นมาตีห้ามานั่งทบทวนหรือทำการบ้านต่ออีก! ชีวิตนี้ไม่เคยอะไรขนาดนี้เลย! ท้อนิดๆ แต่ก็ทนต่อไป
สุดท้ายวันสอบก็มาถึง เกรซต้องไปสอบที่สิงคโปร์เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ค่ะเพราะตอนนั้นที่สอบในเมืองไทยมันเต็มแน่นเอียด! สอบแบบโค้งสุดท้ายจริงๆ แทบแหกโค้งกันเลยทีเดียว (แต่ก็ดีนะคะถือว่าเที่ยวกับครอบครัวไปในตัวช่วงคริสมาส)
ตอนแรกกลัวมากเลย บรรยากาศการสอบเครียดมาก อีกอย่างในห้องมันมี CCTV ติดอยู่ทุกสี่มุมห้อง (เข้ากลัวเด็กลอกกัน) วันแรกมีสอบสองวิชา จากนั้นก็มีวันละวิชาค่ะ GED ดีตรงที่สอบแล้วมันรู้ผลเลย ไม่ต้องรอลุ้นมาก ยกเว้ย writing ซึ่งต้องรอผลประมาณหนึ่งอาทิตย์
ตอนไปสิงคโปร์สอบเสร็จก็ชิวๆ ค่ะ จองโรงแรมใกล้ตรง Victoria Street ค่าห้องพักต่อคืนถือว่าแพง (5,000 แหนะ) แต่แถวนั้นก็หาที่ถูกกว่านี้ได้ค่ะ เพียงแค่ว่าคุณพ่อจองให้ใกล้ที่สอบและรถไฟใต้ดิน ถ้าไปสิงคโปร์เกรซแนะนำนะคะว่ามาช็อปที่บ้านเราดีกว่า~ แต่ตอนนั้นไปช่วงคริสมาสเลยมีแต่ของลดราคา อิอิ~
เกรซเคยไปสิงคโปร์แล้วตอนที่ไปทัศนศึกษา จำได้ว่าครูพาไปไนท์ซาฟารีแล้วชอบมากกก! เกรซเลยขอพ่อแม่ไปอีกค่ะ ไปกันครอบครัวมีความสุข แต่…รอนานค่ะ บวกกับฝนมันตก…แง! สรุปแล้วทริปนั้นคุณท่านทั้งสองบอกว่า สวนสัตว์เชียงใหม่ดีกว่าอีก…เสีย self เลยที่เดียว
เวลาผ่านไปก็ปรากฏว่าเกรซสอบผ่านหมดทุกวิชา โล่งใจสิคะ! ผมนี่แทบลุกขึ้นยืน! ดีใจมากๆ เพราะไม่คิดเลยว่าตัวเองจะสอบได้ขนาดนี้ในเวลาอันสั้นแค่อาทิตย์กว่าๆ แม้คะแนนบางวิชาจะยังไม่ดีเท่าไรก็เถอะค่ะแต่คือแบบ! ภูมิใจในตัวเองมากกกก! ไม่ต้องสอบซ้ำ โฮกกกก!
สรุปว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี (แต่ตอนสอบทรมาณมากเพราะอยากเข้าห้องน้ำแต่ไปไม่ได้) จากเด็กเอ๋อๆ ที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีกับชีวิต ก็ผ่านม. 6 ไปได้ตอนอายุ 16 (ตอนนี้เกรซ 17 และกำลังจะเข้าเรียนจุฬาฯ เย้เย~)
ส่วนครูที่สอนก็ต่างพากันโล่งใจกันใหญ่ 555 เพราะคณิตเกรซอ่อนแอมาถึงขั้นโคม่า ส่วน critical reading ก็มหาหินเลยค่ะ สอบเสร็จแล้วก็แทบจะปิดซอยฉลองสามวันแปดวันกันเลยทีเดียว~ ตอนนั้นที่สถาบันกวดวิชามีเด็กที่เรียน GED ภายในหนึ่งเดือนแล้วไปสอบมาผ่านถือว่าเร็วที่สุดแล้ว เจอเกรซเข้าไป…หนึ่งอาทิตย์! แทบอยากจะสลักลงจารึกเลยค่ะว่าเด็กหน้ามึนคนนี้ก็ทำได้โว้ยย!
คะแนน (เน่าๆ) ของเกรซมีดั่งนี้ค่ะ:
social studies= 540/800
critical reading= 490/800
academic writing= 610/800
math= 460/800
science= 530/800
ถึงมันจะไม่ใช่คะแนนดีเลิศเลออะไรแต่ว่าเมื่อเราได้ทำเต็มที่แล้วเราก็ควรภูมิใจใช่มั้ยคะ? พอเกรซสอบผ่านเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่สิงคโปร์ก็ตัดสินใจกลับไทยมาเรียน GED พร้อมญาติๆ เลยค่ะ (ตอนนี้นางติดพระจอมเกล้าธนบุรีไปแล้ว อายุ 17 เช่นกันค่ะ)
ข้อดีของ GED
1. ประหยัดเวลาเรียน
2. มีเวลาค้นหาตัวเองมากขึ้น
3. มีเวลาโฟกัสกับการเข้ามหาลัยมากขึ้น
4. มีเวลาได้เรียนเสริมในสิ่งที่อยากทำมากขึ้น
5. เจอสังคมใหม่ๆ คนที่คิดใหม่ๆ ออกนอกกรอบ
6. ถ้าสอบไม่ผ่านสอบใหม่ได้เรื่อยๆ
7. มหาลัยฯ ในไทยรับ มหาลัยต่างประเทศก็รับ
8. มีสถานที่สอบทั่วโลก ไปเที่ยวได้ 555
9. สอบผ่านได้ใบ diploma ส่งจากอเมริกา (เหมือนกับว่าเราจบที่นั่น หลักสูตรของเขาเลย)
ข้อเสียของ GED
1. มันแพงไปหน่อย (สอบวิชาละประมาณ 1,500)
2. สำหรับคนที่ไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษอาจลำบากมากหน่อย เพราะข้อสอบเป็นอังกฤษหมดค่ะ
3. อาจไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเก่าๆ
4. ต้องวางแผนดีๆ ในการสอบ
5. สอบออนไลน์ปวดตาค่าาา
6. รอใบ diploma นาน และต้องมีค่าส่งใบ
หวังว่าบทนี้จะช่วยจุดประกายอะไรให้เพื่อนๆ ได้บ้างนะคะ เส้นทางเดินของเราไม่ได้มีแค่เส้นทางเดียว มันยังมีอีกหลากหลาย ไม่ต้องเครียด GAT PAT ลองมาเครียด GED ดูบ้างก็ได้ หรือ IGCSE ก็ยังมีค่ะ ถ้าอยากจะลองเดินในแบบของเกรซก็ลองไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ค่ะ มีเยอะเลย!
หวังว่าทุกคนที่คิดกำลังจะสอบ GED ได้คะแนนดีๆ สวยๆ มีความสุขกับการเรียนนะคะ จำไว้ค่ะ ‘อย่าได้ท้อ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ หากง่ายสิ่งนั้นก็จะไม่ยั่งยืน ทำให้เต็มที่และทุกอย่างจะดีเองค่ะ’
เจอกันบทต่อไปค่ะ
เอาเป็นเรื่องตอนไปสอบ CU-TEP, CU-AAT ดีมั้ยคะ?
ความคิดเห็น