คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 3rd Taste : Caramel Peanut
“ขอบใจนะราพันเซลที่มาช่วย”เอลซ่าเอ่ยขอบคุณสาวน้อยผมยาวที่กำลังนั่งวาดรูปอยู่ในร้านของเธอ ทั้งกระดาษ ทั้งสีเต็มโต๊ะไปหมด
“ไม่เป็นไรค่ะพี่เอลซ่า ฉันสิต้องขอบคุณแค่วาดรูปให้ก็ได้กินไอศกรีมฟรีแล้ว”เธอเงยหน้าขึ้นมาคุยกับเอลซ่า ปอยผมสีทองยาวถูกมัดเป็นเปียไม่ให้ปรกหน้ารกรุกรัง ตอนนี้เธอกำลังวาดแผ่นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ไอศกรีมรสใหม่ให้กับร้านเอเรนเดลอยู่
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ก็อย่าลืมมาทวงนะ พี่ขอตัวไปทำงานก่อนล่ะ”เอลซ่าปลีกตัวไปทำงานต่อ จริง ๆ ราพันเซลก็เป็นหนึ่งในพนักงานของร้าน หน้าที่ของเธอคือวาดรูประชาสัมพันธ์อย่างที่เธอกำลังทำอยู่ ส่วนสาเหตุที่เธอทำงานบริการไม่ได้เพราะเธอมี เส้นผม เป็นอุปสรรค เรื่องค่าแรงเธอไม่เรียกร้องอะไรมากมายขอแค่กินไอศกรีมฟรี2ครั้งต่อสัปดาห์เธอก็เอา
เอลซ่าเร่งตักไอศกรีมตามออเดอร์ให้เร็วที่สุด จุดเด่นของร้านเธอคือหน้าไอศกรีมในแต่ละถ้วยจะไม่ตายตัว การตกแต่งขึ้นอยู่กับตัวเธอเองทั้งนั้นซึ่งนั่นก็คือจุดเด่นที่สามารถเรียกลูกค้าที่ชอบลองของและชอบลุ้นกับอะไรใหม่ ๆ ได้เสมอ
“คริสตอฟ นายช่วยเอาไอศกรีมไปเสิร์ฟตามนี้ทีนะ ฉันจะไปโทรศัพท์”เอลซ่าล้างมือและเช็ดให้แห้งก่อนสั่งงานทิ้งไว้ให้คริสตอฟ ชายหนุ่มหน้าเค้าเตอร์พยักหน้ารับทราบก่อนทำตามที่เธอบอกอย่างขยันขันแข็ง
เอลซ่าปลีกตัวไปหาที่คุยโทรศัพท์หลังร้าน เธอกดเบอร์โทรศัพท์หาคนคุ้นเคย สายนั้นมีชื่อว่า‘โอเค่น’ เพียงไม่กี่วินาทีนับจากที่เธอกดโทรออกก็มีคนกดรับสาย
‘สวัสดีครับ ร้านขายของคนจรโอเค่นครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้รับใช้’มีผู้ชายรับสายเธอด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี เอลซ่ากระตุกยิ้มมุมปากก่อนคุยกับเขาอย่างสนิทสนม
“ว่าไงโอเค่น นี่เอลซ่านะ”
‘เอลซ่าหรือ? วันนี้มีอะไรให้ฉันรับใช้ล่ะสาวน้อย’เขาตอบกลับอย่างสุภาพ
“ฉันอยากได้วัตถุดิบทำไอศกรีมน่ะค่ะเลยโทรมาสั่งไว้ก่อน จะไปรับของหลังร้านปิดเหมือนเดิมนะคะ”
‘ของเก่าหมดแล้วหรือ? คราวนั้นฉันว่าหนูซื้อไปตั้งเยอะนะ’
“ยังหรอกค่ะ พอดีจะลองทำแบบใหม่ก็เลยต้องซื้อเพิ่มน่ะค่ะ”
‘เข้าใจแล้ว วัตถุดิบขาดสินะ สั่งมาเลยสาวน้อยเดี๋ยวฉันจะจัดให้’เอลซ่ายิ้มมุมปากกับความน่ารักเสมอต้น เสมอปลายของโอเค่น ร้านของเขาเหมือนกับร้านของเอลซ่าคือสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น เป็นร้านที่พึ่งพาอาศัยกันมาแต่ไหนแต่ไร
“ค่ะ ฉันขอคาราเมลเยอะ ๆ เลยนะคะ เอาซัก... 5กระปุกแล้วกันค่ะ แล้วก็ของถั่วเพิ่มอีก3ถุงใหญ่นะคะ”เอลซ่าบอกรายการสิ่งของที่เธอต้องการให้โอเค่น เขารับไว้และถามต่อ
‘หนูจะเอาคาราเมลเยอะแบบนั้นไปทำอะไรกันเอลซ่า หรือว่าช่วงนี้เด็กสั่งคาราเมลซอสกันเยอะกว่าช็อคโกแล็ตซอสเสียแล้ว?’โอเค่นพูดติดตลก เอลซ่าหัวเราะร่วนก่อนตอบกลับเสียงสดใส
“เปล่าค่ะ เอามาทำไอศกรีมรสใหม่เฉย ๆ ของที่สั่งมีพอไหมคะ?”
‘เหลือเฟือเลยเอลซ่า ทั้งหมด 53 เหรียญนะ หนูจะมารับของตอนร้านปิดใช่ไหม?’เอลซ่าเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลา 2 ทุ่ม 10 นาที เหลืออีกไม่ถึงชั่วโมงร้านของเอลซ่าก็จะปิดแล้ว
“ค่ะ ฝากด้วยนะคะโอเค่น”เธอกดวางสายอย่างรวดเร็วก่อนกลับเข้าไปทำงานที่ร้านก่อนจะเกิดความวุ่นวายเพราะพนักงานไม่พอ ถึงแม้จะเป็นเวลา 2 ทุ่มแล้วลูกค้าเธอก็ยังคงมีอยู่ตลอด ยิ่งช่วงเย็น ๆ ดึก ๆ เหล่าวัยรุ่นที่ดูหนังเสร็จก็มักจะแวะมาทานไอศกรีมร้านเธอมากกว่าที่จะหาทานเอาหน้าโรงหนังหรือในส่วนถนนหลักเพราะด้วยเรื่องของราคาที่ถูกกว่าหลายเท่าตัว และระยะทางของร้านที่ไม่ไกลจากถนนบรอดเวย์สายหลักนัก
“คุณเอลซ่ามาพอดีเลย!! คนในร้านกำลังเยอะเลยครับ”คริสตอฟวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกเอลซ่า ในมือเขาถือถาดสแตนเลสที่เต็มไปด้วยถ้วยไอศกรีมที่กินเสร็จแล้ว ไม่บอกก็รู้ว่าเขากำลังจะเอาไปล้าง
“ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะคริสตอฟ นายรีบไปล้างถ้วยได้แล้วหน้าร้านฉันจัดการเอง”คริสตอฟผงกหัวรับทราบ เขาเดินเข้าไปในครัวเพื่อล้างถ้วยชามให้เรียบร้อย วินาทีเร่งด่วนมาถึงแล้ว เธอต้องเร่งความเร็วในการทำงานให้เร็วขึ้นเพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องรอนาน
เอลซ่าหัวหมุนไปหมด เธอเดินไปมาทั่วร้านจนราพันเซลเริ่มหยุดมือวาดรูปและหันไปคุยกับยูจีน
“นี่ยูจีน นายไม่คิดจะไปช่วยพี่เอลซ่าบ้างหรือ? ไม่เห็นหรือยังไงว่าพี่เขากำลังหัวหมุนอยู่ทั่วร้านเลยเนี่ย”
“หา!? หน้าที่ฉันหรือ?”ราพันเซลเกลียดช่วงเวลานี้ที่สุด เธอหยิบกระทะทอดไข่ส่วนตัวที่เธอใช้ในวิชาคหกรรมออกมาจากกระเป๋านักเรียนเพื่อขู่ยูจีน เขาถอนหายใจยาวและจำใจต้องไปช่วยเอลซ่าตามความต้องการของแฟนตัวเอง
“พี่เอลซ่าครับ ให้ผมช่วยนะครับ”ยูจีนเข้าไปแย่งถาดมาจากมือของเอลซ่า เธอทำหน้าเหวอเล็กน้อยก่อนที่จะพยายามแย่งถาดคืน
“ไม่เป็นไรยูจีน พี่ทำเองได้เธอไปนั่งเถอะ”
“โถ่พี่ครับ ถ้าผมกลับไปยัยนั่นเอากระทะฟาดผมแน่ ให้ผมช่วยเถอะนะครับ”ยูจีนขอร้องเอลซ่า เธอหันไปมองแฟนสาวของยูจีนที่ถือกระทะอยู่ไม่เป็นอันวาดรูป เอลซ่าถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวันก่อนส่งถาดคืนให้ยูจีน
“งั้นพี่ฝากนายด้วยนะยูจีน โต๊ะไหนเสิร์ฟถ้วยไหนดูตามกระดาษที่แนบอยู่ข้างใต้นะ”เอลซ่าสอนงานระยะสั้นให้ยูจีน ก่อนที่เธอจะเดินกลับไปที่เค้าเตอร์เพื่อจัดการคิดเงินให้ลูกค้าที่มาต่อคิวรอคิดเงินอยู่นานสองนาน
เวลาผ่านไปจนกระทั่งร้านปิด เอลซ่า คริสตอฟ และยูจีนต่างล้มพับเซถลามายังพักยังเก้าอี้อย่างพร้อมเพรียง วันนี้ลูกค้ารอบดึกดูเยอะผิดปกติเพราะเป็นวันแรกที่ภาพยนตร์ The Hungry Game เข้าฉาย ลูกค้าที่มาดูหนังรอบดึกเสร็จและแวะมาหาไอศกรีมกินก่อนกลับจึงเยอะเป็นพิเศษ
“ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย...”ยูจีนบ่นกระปอดกระแปด เขาไม่เคยทำงานบริการมาก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เคยทำงานอยู่ฟาร์มเลี้ยงม้า และเพิ่งจะตกงานหลังจากที่ฟาร์มเลี้ยงม้าปิดกิจการไปเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา
“ขอบใจเธอมากนะยูจีนที่มาช่วย ไม่ได้เธอวันนี้พี่คงจะแย่”เอลซ่าเอ่ยขอบคุณ
“ไม่ต้องไปขอบคุณตานี่หรอกค่ะพี่เอลซ่า ถ้าหนูไม่สั่งมีหรือที่จะทำ”ราพันเซลที่วาดรูปเสร็จแล้วนั่งกระแหนะ กระแหนยูจีนอย่างออกหน้าออกตา เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนนี้พ่อแม่ของเธอจึงยังไม่ยอมรับยูจีน คิดไปคิดมาเธอก็เริ่มปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้
“จริงสิ ยูจีนนายกำลังตกงานสินะ นายก็มาทำงานที่ร้านพี่เอลซ่าสิ พ่อแม่ฉันจะได้ยอมรับนายเสียที”เธอจะได้ตัดผมด้วย ไม่ต้องอยู่อย่างหนักหัวหนักคออย่างเช่นตอนนี้
“ล้อเล่นหรือเปล่าราพันเซล ฉันไม่เคยทำงานบริการมาก่อนนะ อยู่ดี ๆ จะให้มาทำงานที่ร้านพี่เขาได้ยังไง?”ยูจีนรีบแย้ง เขาเกลียดงานบริการอย่างกับอะไรดี แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีความอดทนอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกยูจีน ถ้าเธอไม่อยากทำงานบริการก็ไม่เป็นไร แต่ตำแหน่งแคชเชียร์ร้านพี่ยังว่างนะ”ยูจีนตาเป็นประกาย ทำงานแคชเชียร์นั่นก็หมายความว่าเขาไม่ต้องเดินว่อนรอบร้านแบบวันนี้ แถมไม่ต้องพูดจาเอาใจลูกค้าให้กระดากปากอีก
“จริงหรือครับพี่? แล้วจะเริ่มงานวันไหนล่ะครับ?”
“พรุ่งนี้จ้ะ เป็นแคชเชียร์ไม่ยากหรอกแค่จิ้ม ๆ อยู่หน้าเครื่องคิดเงินเท่านั้นเอง อ้อ!! พี่ต้องไปเอาของที่ร้านโอเค่นนะ คริสตอฟยังไงก็ช่วยสอนงานยูจีนแทนพี่หน่อยแล้วกัน ส่วนเรื่องเงินเดือนถ้าเธอทำกะเดียวกับคริสตอฟคือหลังเลิกเรียนและเต็มวันเสาร์-อาทิตย์ พี่จะให้เงินเดือนเธอเท่ากับคริสตอฟเลยล่ะ”
“นี่คริส นายได้เงินเดือนเท่าไหร่?”ยูจีนถามหนุ่มล้างจานผมทอง
“ก็ประมาณ950เหรียญ พอจะยาไส้นายได้ไหมล่ะ?”ยูจีนตาวาวเมื่อได้ยินว่าเงินค่าตอบแทนนั้นสูงถึง950เหรียญ นอกจากจะพอยาไส้ไปทั้งเดือนแล้วยังเหลือเก็บอีกบาน
“950เหรียญ!? ทำเถอะนะยูจีน ถ้านายเลี้ยงตัวเองได้พ่อกับแม่ฉันต้องยอมรับนายแน่นะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”ราพันเซลทำท่าทางออดอ้อนยูจีนพร้อมถือกระทะทอดไข่ในมือ ยูจีนเองก็ไม่คิดจะปฏิเสธเงินเดือนที่มากขนาดนั้นอยู่แล้ว
“ตกลง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปผมจะเป็นแคชเชียร์ร้านพี่ นี่คริสสอนวิธีใช้เจ้านั่นให้ฉันหน่อย”ยูจีนชี้ไปยังเครื่องคิดเงิน คริสตอฟลากตัวยูจีนไปที่เค้าเตอร์และสอนวิธีใช้เครื่องคิดเงินให้เขา เดิมทีสองหนุ่มไม่ค่อยจะได้คุยอะไรกันมากแม้จะเรียนอยู่ที่เดียวกันและชั้นเดียวกัน แต่เห็นทีการทำงานพิเศษครั้งนี้คงทำให้มิตรภาพลูกผู้ชายแน่นเหนียวขึ้นเป็นกอง
“ดูท่าจะไปได้สวยนะ... ทั้งสามคนพี่ฝากร้านหน่อยนะ พี่ไปเอาของที่ร้านโอเค่น เดี๋ยวกลับมา”เอลซ่าเดินออกจากร้านมุ่งหน้าไปยังร้านขายของคนจรโอเค่นทันที ร้านของโอเค่นนั้นอยู่ถัดจากร้านของเอลซ่าไปประมาณ 3 คูหา หรือประมาณ500เมตร ถนนหนทางสว่างจ้าดูปลอดภัยทำให้เอลซ่าเดินไปอย่างไม่คิดอะไรมาก
‘หนูดูหนังอยู่ ขอกลับดึกหน่อยนะคะพี่ วางกุญแจไว้ที่เดิมนะคะหนูไม่ได้เอากุญแจออกไปด้วย’ขณะที่เอลซ่ากำลังเดินไปเรื่อย ๆ นั้น อันนาน้องสาวของเธอก็ส่งวอทแอพมาบอกเธอว่าคืนนี้จะกลับดึกพร้อมส่งรูปตั๋วหนังรอบสามทุ่มครึ่งมาให้เธอดู และหลังจากเช็คเฟสบุ๊คของอันนาเธอก็รู้ได้ทันทีว่าอันนานั้นไปเที่ยวกับเพื่อนชายที่เคยพูดถึงให้ฟังบ่อย ๆ
‘กับข้าวอยู่ในตู้เย็นอุ่นกินเอาเองนะ คราวหลังจะไปไหนอย่าลืมบอกพี่ก่อนล่ะ’แม้เธอจะไม่พอใจที่อันนาหนีเธอไปในช่วงที่ร้านกำลังยุ่ง แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ตำหนิน้องสาว แต่ใช้วิธีการตักเตือนแทนเพราะเธอรู้ดีว่าเด็กอย่างอันนาคงไม่ชอบใจนักหากมีใครมาตำหนิ
‘ขอโทษนะคะพี่...’เพียงคำสั้น ๆ ก็ทำเอาเอลซ่าถึงกับชะงักทั้งที่แค่เปิดประตูก็จะเข้าไปในร้านโอเค่นอยู่แล้ว เธอยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากก่อนปิดโปรแกรมแชทและทำท่าจะเปิดประตูร้านเข้าไป
“ไม่ได้จริง ๆ น้องชาย สินค้าที่จำนวนอุปสงค์ไม่สัมพันธ์กับอุปทานฉันขายให้ในราคานี้ไม่ได้จริง ๆ”ก่อนที่เธอจะเปิดประตูเข้าไปในร้าน เธอได้ยินเสียงโอเค่นกำลังคุยกับลูกค้ารายหนึ่งอยู่ ถ้าเดาไม่ผิดคงกำลังต่อราคาของอยู่
“ช่วย ๆ กันหน่อยสิพี่ชาย ผมก็ต้องกิน ต้องใช้เหมือนกันนะ”เสียงคุ้น ๆ เสียงเหมือนกับผู้ชายคนนั้นที่เข้ามาสืบร้านเธอเมื่อเช้าเลย
“ไม่ได้จริง ๆ ราคานี้ลดไม่ได้แล้ว แต่ฉันจะแถมปลาซาดีนหมักเกลือให้เอาป่าว?”
“ไม่เอาอ่ะขอบคุณ แต่จะขอบคุณกว่านี้ถ้าพี่ชายไม่หน้าเลือดขายของจิ๊บจ๊อยในราคาแพงขนาดนี้...”เอลซ่าเริ่มคิดในใจว่า ซวยแล้ว เธอรู้ดีว่าโอเค่นไม่ชอบให้ใครมาสบประมาทเขา แม้โอเค่นจะเป็นพ่อค้าที่น่ารักแต่ก็อย่าให้เขาโหดขึ้นมาเลย ไม่เช่นนั้นคงเกิดการนองเลือดเป็นแน่
“หน้าเลือดงั้นหรือ? ดูท่านายจะไม่ได้รับการสั่งสอนมาเลยสินะ...”
โครม!!
“ไว้มีเงินค่อยกลับมาร้านฉันน้องชาย”โอเค่นกระชากคอเสื้อผู้ชายคนนั้นโยนออกมานอกร้าน เธอแอบอยู่บริเวณหลังประตูทำให้โอเค่นมองไม่เห็นเธอ
“เจ็บชะมัด... ฉันจะไม่มาเหยียบร้านนี้อีกเลยคอยดูสิ... เธอ!? พนักงานคิดเงิน!?”
“นาย2ถ้วย 25เหรียญ!?”เพราะเธอไม่รู้จักชื่อเขา นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอคิดออกแทนการเรียกชื่อ
“ขอโทษคุณผู้หญิง ผมชื่อแจ็คฟรอส ไม่ใช่นาย2ถ้วย25เหรียญอะไรนั่น”เอลซ่าสะดุ้งเมื่อรู้ตัวว่าเธอเรียกเขาผิดไปเสียแล้ว เธอกระแอมเบา ๆ ก่อนเอ่ยขอโทษเขา
“เอ่อ... ขอโทษที คือฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณ ฉันชื่อเอลซ่า ยินดีที่ได้รู้จักแจ็คฟรอส”เธอยื่นมือไปตรงหน้าเขา
“ยินดีที่ได้รู้จักเอลซ่า คุณเรียกผมว่าแจ็คเฉย ๆ ก็ได้นะ”เขายื่นมือของเขาไปจับมือของเธอ มือของเอลซ่านุ่มกว่าที่เขาคิด ตอนแรกคิดว่ามือของผู้หญิงที่ทำงานหนักจะสากและด้านกว่านี้เสียอีก
“แจ็คสินะ เมื่อกี้ฉันได้ยินคุณยั่วโมโหโอเค่น?”
“คุณรู้จักพ่อค้าหน้าเลือดคนนั้นด้วยหรือ?”
“โอเค่นไม่ได้น่าเลือดนะแจ็ค เขาขายของราคาถูกที่สุดในย่านนี้แล้ว อาจจะแพงกว่าที่ซุปเปอร์นิดหน่อยแต่ก็นับว่าคุ้มนะ”
“โอย... ในตายสิ ตอนนี้ร้านค้าปิดหมดแล้วผมต้องได้ของพวกนี้ไม่งั้นนอร์ทเอาผมตายแน่”แจ็คคิดว่าต่อให้เอ่ยชื่อนอร์ทไปเธอคงไม่รู้จัก แต่เขาคิดผิด เอลซ่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้วแต่เธอกลับทำเป็นไปรู้ไม่เห็นเฉย ๆ
“นอร์ทหรือ?”เอลซ่าแกล้งทำเป็นสงสัย
“ผู้ใหญ่ที่ผมเคารพน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เขาต้องการของเดี๋ยวนี้”เอลซ่าเป็นคนดีและขี้สงสารในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นศัตรูแต่เธอก็ยังอยากจะช่วยเขา
“ให้ฉันไปซื้อให้ไหม? คุณจะได้ไม่ต้องโดนไล่ออกมาเจ็บตัวอีกไงล่ะ”เธออาสา
“ได้หรือ?”เธอพยักหน้าตอบ แจ็คจับมือเธอแน่นเป็นการขอบคุณ เอลซ่ารีบสะบัดมือออกเพราะเธอไม่ชอบให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวเธอนัก เนื่องจากมือของเธอเย็นไม่อุ่นเหมือนใคร ๆ
“ฉันบอกแล้วไงว่าจะช่วย จะซื้ออะไรล่ะ?”แจ็คไม่พูดอะไร เขายื่นรายการสิ่งของไปให้เธอพร้อมกระเป๋าสตางค์ เธอรู้ได้ในทันทีก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากและเปิดประตูเดินเข้าร้านไป
“รอตรงนี้นะ”เธอกำชับแจ็คเอาไว้
“โอเค่น ฉันมาเอาของล่ะ”เธอเอ่ยเสียงใสกังวาน โอเค่นรู้ได้ทันทีจึงรีบกุลีกุจอจัดแจงของที่เธอสั่งไว้ตั้งแต่เย็นมาประเคนให้เธอ
“53 เหรียญอย่างที่บอกสาวน้อย”
“โอเค่น คือฉันจะมาซื้อของเพิ่ม พอดีเพิ่งนึกออกน่ะว่าต้องใช้”เธอเอ่ยพร้อมยื่นกระดาษโน้ตรายการสิ่งของให้โอเค่น เขาอ่านรายการสักครู่หนึ่งก่อนเดินไปหลังร้านเพื่อหยิบของที่แจ็คฝากให้เธอซื้อมาให้
“ร้านฉันมีทุกอย่าง รวมกับของเก่าก็120เหรียญพอดีเอลซ่า”โอเค่นแจ้งราคาให้เธอทราบ
“โถโอเค่น ลดให้ฉันหน่อยนะ วันนี้ฉันมาคนเดียวของขนาดนี้ฉันถือเหนื่อยแย่เลย ถือว่าเป็นค่าเหนื่อยให้ฉันเถอะนะโอเค่น”เอลซ่าอ้อนเสียงอ่อนจนโอเค่นยอมลดราคาให้เธอจนได้
“โอเค ๆ เหลือ115เหรียญพอใจไหม? ลดให้ได้เท่านี้จริง ๆ นะสาวน้อย”
“ขอบคุณค่ะโอเค่น คุณนี่น่ารักเสมอเลย”เอลซ่าแม้จะดูเย็นชาและแข็งกระด้างแต่เธอก็เป็นคนรู้จักพูด เธอรู้ว่าอะไรสมควรพูดตอนไหนและเธอจะไม่พูดพร่ำเพรื่อให้เปลืองน้ำลายเด็ดขาด
“ไม่ต้องชมกันหรอก ระวังตัวด้วยนะเอลซ่า”โอเค่นโบกมือลาเธอ ทันทีที่เอลซ่าเดินพ้นประตูร้านเธอรีบหลบมุมอยู่ข้างร้านเพื่อแยกของ ๆ แจ็คและของ ๆ เธอออกจากกัน เธอส่งของที่แจ็คฝากซื้อให้เขาพร้อมกระเป๋าสตางค์
“ทำไมเธอต่อราคาง่ายจัง ฉันต่อแทบตายเลยนะ”แจ็คมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความแปลกใจ
“ฉันเป็นลูกค้าประจำที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นสิทธิพิเศษน่ะ”เธอพูดไปถือของไป แจ็คนึกแปลกใจอยู่เล็ก ๆ ว่าผู้หญิงตัวคนเดียวทำไมถึงเก่งได้ขนาดนี้ เธอดูพิเศษกว่าใครและที่สำคัญคือไม่มีใครพิเศษเหมือนเธอ
“งั้นผมต้องมาซื้อบ่อย ๆ แบบคุณบ้างเสียแล้วสิเผื่อจะต่อราคาได้บ้าง”เอลซ่าหัวเราะคิกคัก เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใสไม่มีท่าทางแข็งกร้าวเหมือนเวลาคุยกับคู่แข่งเลยสักนิด
“ทำให้โอเค่นหายเหม็นขี้หน้าให้ได้ก่อนเถอะ เขาเป็นพวกแค้นฝังหุ่นนะ”เธอกล่าวเตือนพร้อมรอยยิ้ม แจ็คนึกชอบรอยยิ้มของเธอขึ้นมาเสียแล้ว ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงที่ดูหยิ่งจะมีรอยยิ้มที่เพียงมองแค่ครั้งเดียวก็ตราตรึงใจได้ขนาดนี้
“ฮะ ๆ นั่นสินะ... ผมคงต้องขอตัวก่อนนะเอลซ่า ต้องกลับไปหานอร์ท”เอลซ่าเกือบหลุดชวนเขาให้เดินด้วยกันกับเธอเสียแล้ว เธอรู้ดีว่าเขายังคงคิดว่าเธอยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย และเธอก็จะไม่บอกเขาว่าเธอรู้จนกว่าเขาจะสารภาพเอง
“ฉันก็ต้องกลับร้านเหมือนกัน หวังว่าจะได้พบคุณอีกนะแจ็ค”มาเสียเงินให้ร้านฉันอีกนะ...
“ถ้าผมว่างนะ”แล้วจะไปทำภารกิจสืบร้านของคุณใหม่...
แจ็คแสร้งทำเป็นนั่งรอที่ป้ายรถเมล์เพื่อให้เอลซ่าไปให้พ้นสายตาเขาเสียก่อนแล้วเขาจึงค่อยกลับร้าน เอลซ่าไม่ต้องการจะคิดอะไรเกี่ยวกับแจ็คทั้งนั้น เธอเดินกลับร้านสมองว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่ในหัวทั้งสิ้น และเอมื่อแจ็คเห็นเธอเดินเข้าร้านไปแล้วเขาจึงข้ามถนน และเดินแอบ ๆ กลับไปยังร้านที่ตัวเองทำงานอยู่ทันที
“ไม่ชอบเลยให้ตายสิ...”เอลซ่ารำพึง
“พี่ไม่ชอบอะไรหรือคะ?”ราพันเซลที่นั่งเก็บของอยู่หันมาถามเธอด้วยความสงสัย
“ก็พวกที่ชอบโกหกปกปิดความจริงน่ะสิ คิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้ก็เลยปล่อยให้ไม่รู้ต่อไป แต่ตัวเองเคยรู้บ้างไหมว่าที่คิดว่าเขาไม่รู้น่ะจริง ๆ แล้วรู้เป็นอย่างดีเลยล่ะ”ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้แล้วว่าเธอกำลังหมายถึงใคร
“พวกปลิ้นปล้อนสินะคะ ถ้าพวกนั้นหนูเจออยู่ทุกวันแหละค่ะ”เธอหันไปมองแฟนหนุ่มรูปหล่อของเธอที่กำลังจิ้มเครื่องคิดเงินอย่างเมามัน
“แต่ถึงยังไงถ้ามันจำเป็นพี่ก็อย่าไปเกลียดเลยนะคะ เดี๋ยวจะอารมณ์เสียไอศกรีมไม่อร่อยพอดี”
“พี่ก็ไม่ได้อะไรนักหรอกนะ พี่แค่คิดว่ามันไม่จริงใจเท่านั้นเอง ไม่ชอบเลยนะคนแบบนี้น่ะ...”
“ฮัดชิ้ว!!”
“เป็นอะไรไปแจ็ค?”ทูธที่กำลังยุ่งกับการปัดหยากไย่บนเพดานหันมาถามด้วยความเป็นห่วง
“สงสัยจะแพ้ฝุ่นน่ะทูธ ไม่มีอะไรหรอก”เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองกำลังถูกนินทา
“ไปหายามากินซะไอ้เกรียน จะได้ไม่ต้องมาป่วยมาตายคาร้าน”บันนี่แช่งด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“...”แซนดี้ส่งภาษามือมาห้ามทัพทั้งคู่
“อย่างที่แซนดี้บอก โตแล้วยังจะไร้สาระกันอีก”ทูธบ่นอย่างรำคาญ ไม่รู้ว่าเธออดทนอยู่กับผู้ชายที่น่ารำคาญขนาดนี้มาได้อย่างไรตั้งนาน สองนาน ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงสติแตกไปแล้ว
“เอาน่าทูธ อยู่ด้วยกันนาน ๆ เดี๋ยวก็รักกันเอง ปล่อยให้ผู้ชายเขาสร้างมิตรภาพกันเองไปเถอะ”นอร์ทตบบ่าทูธเป็นเชิงบอกให้เธอปลง ยังไงเธอก็คิดอยู่ดีว่าคนที่ไม่เคยญาติดีต่อกันนั้นจะมาให้ดีกันคงยาก
“จะจริงเร้อ... จริงสิแจ็ค ฉันแอบเห็นนายกับแม่สาวร้านตรงข้ามคุยกันหน้าร้านขายของ คุยกันเรื่องอะไรหรือ?”ทูธถามด้วยความอยากรู้ตามประสาผู้หญิง
“ก็... นินทาเจ้าของร้านขายของน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”ใช่หรือ?
“ไม่ใช่ว่าแกไปจีบเธอหรอกนะไอ้เกรียน”
“บ้าน่าบันนี่ เธอสวยขนาดนั้นคงมีเจ้าของแล้ว... นั่นไง เห็นผู้ชายผมทองคนนั้นไหม? ฉันว่านั่นแหละแฟนเธอ”แจ็คหันไปมองร้านของเอลซ่า ภาพตรงหน้าคือเอลซ่ากำลังคุยกับคริสตอฟด้วยเรื่องบางอย่าง แน่นอนว่ามีโมเม้นต์เหมือนคนรักคุยกันอยู่บ้าง แต่จริง ๆ แล้วกลับไม่มีอะไรในกอไผ่ มันก็แค่เจ้านายกับลูกน้องคุยกันเฉย ๆ
“สวย ๆ อย่างนั้นน่าจะเลือกได้ดีกว่านี้...”บันนี่หันไปมองบ้าง
“ฉันว่าไม่หรอก นั่นมันโมเม้นต์เจ้านายกับลูกน้องชัด ๆ”ลางสังหารของผู้หญิงบอกทูธว่าเอลซ่าและคริสตอฟไม่ใช่แฟนกัน และนั่นคือความจริงที่ถูกต้อง
“ใครก็ไม่รู้แหละ แต่ฉันว่าเธอต้องมีแฟนแล้วแน่ ๆ”แจ็คยังคงเชื่อหัวตัวเองว่าเอลซ่ามีแฟนแล้ว
“คิดแบบนั้นก็ดีแล้ว แกจะได้ไม่ไปเผลอจีบเธอ”แจ็คไม่ได้จีบเธอเสียหน่อย เขาแค่ชอบใบหน้าสวย ๆ กับรอยยิ้มของเธอเท่านั้นเอง
“ฉันจีบผู้หญิงที่เย็นเป็นน้ำแข็งแบบนั้นไม่ลงหรอกบันนี่ กับฉันต้องเป็นผู้หญิงที่อบอุ่น และมือเธอก็ต้องอุ่นพอจะทำให้มือของฉันอุ่นไปด้วยได้”แม้ว่าหน้าตาของเอลซ่าจะเข้าสเป็กเขาเพียงไร แต่มือเธอนั้นกลับเย็นเฉียบเหมือนเขา นับเป็นจุด ๆ เดียวที่ทำให้เขารู้สึกติดขัดในตัวเธอเล็กน้อย
“เพ้อแล้วล่ะไอ้เกรียน ไม่มีผู้หญิงคนไหนตรงสเป็กนายเสียทุกอย่างหรอก คิดว่าหล่อแล้วเลือกได้งั้นสิ”ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อผู้ชายทุกวันนี้เป็นเกย์กันหมดแล้ว
“ถ้ามีก็มีไปแล้วล่ะพี่โย่ง แค่ยังไม่อยากมีก็เลยไม่มีเฉย ๆ”แจ็คเยียดตัวบนเก้าอี้อย่างสบายใจ นี่น่าจะเป็นเวลาคุยปรึกษาหารือเรื่องร้านมากกว่าถกเกียงเรื่องความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวกับร้านคู่แข่ง
“แล้วจะคอยดู...”
“ขอบคุณนะคะฮานส์ที่มาส่ง ฉันสนุกมากค่ะ”อันนาก้าวออกจากรถของฮานส์และกล่าวขอบคุณเขา
“ผมก็ด้วย แล้วพี่คุณไม่ว่าจริง ๆ นะอันนา”ฮานส์เป็นห่วงว่าเอลซ่าจะตำหนิอะไรเธอ เขาคิดว่าคืนนี้เขาเป็นคนพาเธอหนีเที่ยว เขาควรจะรับผิดชอบถ้าเอลซ่าตำหนิอะไรเธอขึ้นมา
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าฉันจะโดนดุจริง ๆ พี่ฉันคงส่งข้อความมาดุตั้งนานแล้ว”เธอพูดติดตลกให้คนฟังโล่งใจ
“งั้นผมส่งคุณแค่นี้นะ ราตรีสวัสดิ์อันนา...”ฮานส์จูบมือเธอเบา ๆ ก่อนปล่อยมือให้เธอกลับเข้าบ้าน
“เช่นกันค่ะ”อันนาปิดประตูรถเบา ๆ เธอยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนจนกระทั่งรถของฮานส์เคลื่อนที่ออกไปไกลลับตาเธอ อันนายกกระถางต้นไม้หยิบกุญแจที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ออกมาไขเปิดประตูบ้าน เธอเดินเข้าไปหาอะไรกินในห้องครัวอย่างเหนื่อยอ่อน รื้อค้นของกินเหลือ ๆ ในตู้เย็นออกมาก่อนจะเอาไปอุ่นในไมโครเวฟ ในขณะเดียวกันอันนาก็ได้สังเกตว่ามีของทอดบางอย่างวางอยู่ข้าง ๆ กับไมโครเวฟ เธอหยิบช้อนในลิ้นชักออกมาตักสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นเนื้อเพื่อลองชิม
ทันทีที่เธอตักขึ้นมาเธอก็ได้รู้ว่ามันไม่ใช่เนื้อ แต่เป็นไอศกรีมทอดที่พี่สาวเธอทำทิ้งไว้และคงลืมเอาไปแช่ตู้เย็น เธอหยิบถ้วยไอศกรีมทอดขึ้นมาและพบว่ามีกระดาษโน้ตเสียบอยู่ใต้ถ้วย เธอวางช้อนและคลี่มันออกมาอ่านในทันที
‘อันนา ที่คิดไอศกรีมใหม่ตามที่เธอบอกแล้วนะ พี่ขอโทษที่ไม่ฟังเธอ พี่รู้แล้วว่าการจะทำให้ร้านของเราอยู่ได้ต่อไปนั้นพี่จำเป็นต้องฟังความเห็นของทุกคนในร้านด้วยไม่ใช่ว่าจะเอาตัวเองเป็นใหญ่เสมอ ปล.พี่หวังว่าเธอจะชอบคาราเมลนะ’อันนาน้ำตาซึมทันทีที่อ่านโน้ตจบ เธอไม่คิดว่าพี่สาวที่ไม่เคยฟังใครของเธอนั้นจะยอมฟังความเห็นเธอโดยการทำไอศกรีมรสชาติใหม่ออกมาจริง ๆ เธอรู้ว่าพี่รักเธอ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรักเธอมากขนาดนี้
อันนาเก็บกับข้าวเข้าตู้เย็นและนั่งลงกินไอศกรีมทอดอย่างเอร็ดอร่อย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เธอคิดได้อย่างไร แต่ก็ช่างมันเถอะเพราะสิ่งสำคัญตอนนี้คือเธอรู้แล้วว่าไม่ว่าเธอจะเอาแต่ใจแค่ไหน คนที่รับเธอได้จนวินาทีสุดท้ายก็ไม่ใช่ใครเลยนอกจากพี่สาวแท้ ๆ ของเธอ
หลายร้านนั้นประสบกับความล้มเหลวปัจจัยหลักเป็นเพราะวางแผนการตลาดมาไม่ดี หรือขาดประสบการณ์ในการบริหาร แต่ก็มีกรณีที่ร้านเจ๊งเพราะเจ้าของร้านหรือผู้จัดการร้านนั้นไม่ฟังความคิดเห็นของใครและเอาความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่เสมออยู่เหมือนกัน แต่จะมีสักร้านไหมนะที่จะเจ๊งเพราะไปหลงรักศัตรูคู่แข่งหรือไปปกปิดความลับบางอย่างกับคู่แข่งจนเจ๊งไปข้างนึง คงไม่มีหรอกมั้ง...
Free Talk :
นี่คือ Caramel Peanut ชื่อตอนนี้ค่ะ ชอบส่วนตัวเพราะเป็นคาราเมล(เอาจริง ๆ ถ้าเป็นไอศกรีมก็ชอบทุกรสแหละค่ะ)
อันนี้ไอติมทอดค่ะ ทำจริง ๆ เขาชุบไข่ ชุบเกล็ดขนมปังกันนะคะ ไม่ได้เอาขนมปังมาห่อเลยอย่างที่หลายคนเคยทานหรอก แต่ที่ทำแบบนั้นไรต์คิดว่าคงเพราะมันเร็วดีแหละค่ะ
ความคิดเห็น