ตอนที่ 8 : ท้าพิสูจน์
Smile of : 8
“แล้วเป็นลูกสาวบ้านใหนเหรอ น่ารักหรือเปล่า สวยสู้แม่ตอนสาว ๆ ได้มั้ย เป็นแม่บ้านแม่เรือนมั้ย จะให้แม่ไปขอให้เลยหรือเปล่า...”
“เดี๋ยวก่อนแม่...พูดอะไรเนี่ยขออะไรที่ใหนเล่า ผมยังไม่รู้เลยว่าเค้าคิดยังไงกับผมน่ะ...” คิบะว่าพลางฟุบหน้าลงไปบนโต๊ะอย่างเหนื่อยอ่อนกับปัญหาที่เริ่มมองเห็นความยุ่งยากลาง ๆ แล้ว
“หมายความว่าไง...”
“ก็เหมือนว่าผมจะคิดไปเองคนเดียวละมั๊ง...ฝ่ายนั้นเค้าเหม็นขี้หน้าผมจะตายไป เข้าใกล้แต่ละทีก็โดนด่าโดนว่าเสียยกใหญ่...”
“แอบรักเค้าข้างเดียวเหรอเนี่ย...น่าสมเพชจริง ๆ เลยไอ้ลูกไม่เอาใหน...” พูดจบคนเป็นแม่ก็ลุกจากโต๊ะหายเข้าไปด้านในทันที ปล่อยให้คิบะนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองต่อไป
“เฮ้อ...จะมีความรักกับเค้าทั้งทีไหงถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า...” คิบะยังบ่นพึมพำกับตัวเองไม่เลิกแต่ส่วนลึกในหัวใจเหมือนจะยอมรับแล้วว่าตัวเองรักใคร แต่ก็ยังอยากจะหลอกตัวเองต่อไปว่าไม่เป็นความจริง
“ไม่ได้...แค่ฟังที่แม่พูดแล้วจะมานั่งจิตตกแบบนี้ได้ยังไง คนอย่าง อินุสึกะ คิบะ ต้องพิสูจน์ให้เห็นกับตาตัวเองเสียก่อนเท่านั้นถึงจะยอมเชื่อ...” คิบะพยายามปลุกระดมกำลังใจตัวเองเต็มที่ก่อนจะคิดหาวิธีพิสูจน์ว่าที่แม่พูดมาเป็นความจริงว่าเค้ากำลังมีความรัก และก็รักผู้ชายเหมือนกันด้วย...
“ถ้าอยู่กับนารูโตะที่เป็นผู้ชายแล้วรู้สึกแบบนั้น งั้นลองไปอยู่กับผู้หญิงจริง ๆ ดูดีกว่าว่าจะรู้สึกแบบนั้นด้วยหรือเปล่า...” คิดได้ดังนั้น
คิบะก็รีบออกจากบ้านมาปฏิบัติการท้าพิสูจน์ความจริงกับผู้หญิงในหมู่บ้านทันที
“อืม...เริ่มจากใครก่อนดีล่ะ...งั้นฮินาตะก่อนแล้วกันดูท่าจะว่าง่ายที่สุดแล้ว...” พอเลือกเป้าหมายได้แล้วคิบะก็มุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของตระกูลฮิวงะทันที และเหมือนโชคจะเข้าข้างคิบะอยู่ไม่น้อยเพราะอีกไม่กี่เมตรข้างหน้าก็จะถึงประตูใหญ่ของบ้านฮิวงะแล้ว ฮินาตะก็โผล่ออกมาพอดีทำให้คิบะไม่ต้องบากหน้าเข้าไปหาถึงในบ้าน
“เฮ้...ฮินาตะ...” คิบะร้องเรียกไปอย่างยินดี
“อ้าว...คิบะเองเหรอ มีธุระอะไรเหรอจ๊ะ...” ฮินาตะร้องทักกลับมาด้วยสีหน้าแปลกใจ ฝ่ายคิบะเองก็ไม่รอช้ารีบเอ่ยเข้าประเด็นทันที
“วันนี้ว่างหรือเปล่าไปเดินเล่นกันมั้ย...” พูดพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนใบหน้าเกือบจะแนบสนิทกัน แล้วใบหน้าของฮินาตะก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีแดงน้อย ๆ ด้วยความเขินอาย
“ไปเดินเล่นเหรอ...แต่ว่าชั้นกำลังจะไปฝึกนะจ๊ะ...” ฮินาตะเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ประหม่าอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับก้มหน้าลงหลบสายตาของอีกฝ่าย
“จะไปฝึกใช่มั้ย...ที่เดิมใช่หรือเปล่างั้นเดี๋ยวชั้นไปส่งให้มาสิ...” ว่าแล้วคิบะก็โดดขึ้นหลังอากามารุแล้วหันมาคว้าร่างเล็ก ๆ ของฮินาตะให้ขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหน้าของตนเหมือนที่ทำกับนารูโตะก่อนหน้านี้ พร้อมกับส่งสัญญาณให้อากามารุออกวิ่งไปยังเป้าหมายทันที ฮินาตะที่ไม่ค่อยเข้าใจก็นั่งใจสั่นระรัวไปตลอดทางด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แล้วฮินาตะก็ทำกิริยาคล้าย ๆ กับนารูโตะคือกำชายเสื้อของคิบะเอาไว้แน่นแล้วก็ต้องรีบหลับตาเพราะการวิ่งของอากามารุในยามนี้จัดได้ว่าผาดโผนแบบสุด ๆ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเป็นคำสั่งของคิบะนั่นเอง
“เอ้า...ถึงแล้วฮินาตะ...” คิบะกระซิบบอกเบา ๆ ที่ข้างหูอีกฝ่าย ฮินาตะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นแต่พอเห็นใบหน้าคม ๆ ของคิบะลอยเด่นอยู่เบื้องหน้าในระยะประชิดใบหน้าสวยก็แดงจัดแล้วสุดท้ายฮินาตะก็เป็นลมหมดสติไปในอ้อมกอดของคิบะนั่นเอง
“อ้าว...เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิ ฮินาตะ !! ฮินาตะ !!...” คิบะร้องเรียกด้วยความตกใจที่อีกฝ่ายเป็นลมไปเสียดื้อ ๆ อย่างนั้นเพราะถึงแม้ว่าเค้าเองจะเห็นฮินาตะเป็นลมอยู่บ่อย ๆ ก็เถอะแต่ก็เพราะสาเหตุอื่นมากกว่า
“เฮ้อ...อะไรกันล่ะเนี่ยยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย...” คิบะบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะอุ้มฮินาตะลงมาจากหลังอากามารุแล้ววางร่างบางนั้นให้นั่งพิงไปกับต้นไม้ใหญ่ เสร็จแล้วคิบะก็นั่งรอให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมาเพราะไม่อยากทิ้งไว้ตามลำพังทั้งที่ไม่รู้สึกตัว พร้อมกับความคิดที่ว่า...ตอนกอดฮินาตะไม่เห็นหัวใจมันจะเต้นแรงตรงใหนเลยนี่หว่า เราก็ทำเหมือน ๆ กับที่ทำกับนารูโตะแต่ทำไมกับรายนั้นหัวใจมันเหมือนจะกระเด็นออกมาแบบนั้นล่ะ...
“โอ๊ย...มันเป็นเรื่องจริงรึไงฟร่ะ...ไม่เข้าใจเลยเฟ้ย...” คิบะที่จู่ ๆ ก็ร้องโวยวายออกมาเหมือนคนบ้าทำให้ฮินาตะค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงโวยวายนั้นเอง
“แค่ฮินาตะคนเดียวอาจจะยังสรุปไมได้เพราะว่าอยู่ทีมเดียวกัน...งั้นคงต้องไปหาคนอื่นดูแล้ว...” คนไม่ยอมรับความจริงกำลังพยายามหาข้อแก้ตัวให้ตนเอง ขณะเดียวกันก็เหลือบไปเห็นคนที่สลบไสลได้สติขึ้นมาแล้ว
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ...งั้นชั้นไปก่อนนะขอโทษที่ทำให้ตกใจ แล้วก็ขอโทษที่มารบกวน...” คิบะรัวคำพูดเป็นชุดให้อีกฝ่ายก่อนจะรีบโดดขึ้นหลังอากามารุไปอย่างรวดเร็ว
“คิบะคุง...เป็นอะไรของเค้ากันนะ...” ฮินาตะตั้งคำถามกับตัวเองแล้วภาพที่เห็นก่อนหมดสติก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวอย่างไม่ตั้งใจส่งผลให้ใบหน้าที่ขาวซีดต้องเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อด้วยความขัดเขิน
...หลังจากแยกกับฮินาตะแล้วคิบะก็ตรงเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาผู้ที่จะมาร่วมปฏิบัติการท้าพิสูจน์ตัวตนของเค้าอย่างว่องไว แล้วก็เจอเหยื่อที่จะใช้เป็นหนูทดลอง...
“โย่ว...อิโนะ...” น้ำเสียงกวน ๆ ที่ร้องทักทายมานั้นแม้ไม่ต้องหันไปมองอิโนะก็เดาได้ทันทีว่าเป็นใคร
“มีอะไรงั้นเหรอคิบะ...” คนถูกทักหันไปตอบกลับด้วยทีท่ายิ้มแย้ม
“ว่างหรือเปล่า...ไปเดินเล่นกันมั้ย...”
“หือ...วันนี้มาแปลก เมาแดดมารึไงเนี่ย จู่ ๆ มาชวนไปเดินเล่น...” อิโนะร้องถามกลับไปอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่ว่าจะได้ยินประโยคแบบนี้จากอีกฝ่าย
“แล้วจะไปด้วยกันหรือเปล่าล่ะ...” คิบะไม่สนใจคำถามที่อีกฝ่ายมีให้กลับรีบย้อนถามกลับไป
“ชั้นไปกับนายไม่ได้หรอก เพราะว่าชั้นต้องไปธุระให้ที่บ้านก่อน...ขอโทษนะคิบะเอาไว้วันหลังแล้วกัน...” อิโนะตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
“ไปธุระเหรอ...ให้ชั้นไปส่งให้แล้วกัน...” พูดจบโดยไม่รอคำตอบคิบะที่ยังนั่งอยู่บนหลังอากามารุก็โน้มตัวลงมาคว้าอิโนะขึ้นไปนั่งด้านหน้าเค้าเป็นรายที่สองของวันนี้ พร้อมกับรั้งเอวอีกฝ่ายไว้หลวม ๆ ก่อนจะสั่งให้อากามารุออกวิ่งทันที อิโนะที่ตอนแรกยังงง ๆ แต่พอตั้งสติได้ก็เริ่มรู้สึกสนุกไม่ได้กลัวเหมือนกับฮินาตะ
“เลี้ยวซ้ายข้างหน้าเลย...แล้วตรงไปอีกเรื่อย ๆ...” อิโนะร้องบอกด้วยความรู้สึกยินดีที่มีคนบริการไปส่งถึงที่จึงไม่ต้องเดินให้เมื่อย และระหว่างทางที่อิโนะกับคิบะวิ่งผ่านไปนั้นก็เหมือนจะมีใครบางคนมองเห็นแล้วก็ต้องร้องถามคนข้าง ๆ ด้วยความประหลาดใจ
“ชิกามารุ...เมื่อกี้ชั้นเห็นเหมือนคิบะกำลังกอดอิโนะแล้วก็วิ่งผ่านไปเลยหล่ะ...” โจจิหันไปบอกเพื่อนรักที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย
“ตาฝาดหรือเปล่าโจจิ...คิบะจะไปกอดอิโนะแล้ววิ่งทำไม แล้วคนอย่างอิโนะก็ไม่ยอมให้ผู้ชายหน้าใหนเข้าใกล้นอกจากเจ้านั่นหรอก...ดูอย่างพวกเราที่อยู่ทีมเดียวกันมาตั้งแต่เด็กเป็นตัวอย่างก็ได้...” ชิกามารุเอ่ยกับอีกฝ่ายขณะที่ยังไม่ละสายตาจากเอกสารตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
“แต่ชั้นเห็นจริง ๆ นะชิกามารุ...เชื่อชั้นสิ...” โจจิยังยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อืม...งั้นเอาไว้เจออิโนะแล้วถามเจ้าตัวตรง ๆ เลยแล้วกัน...” ชิกามารุตัดบทแบบนี้ทำให้โจจิไม่กล่าวอะไรต่อนอกจากเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบ ๆ
“ที่นี่เหรอ...” คิบะร้องถามเมื่อถูกบอกให้หยุดที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง
“อืม...ขอบใจที่มาส่งนะคิบะ ความจริงการได้อยู่บนหลังอากามารุมันก็สนุกดีน่ะ...” อิโนะพูดพร้อมกับโดดลงมาจากหลังอากามารุอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะหันมาโบกไม้โบกมือให้คิบะแล้วหายเข้าไปในร้านทันที พอร่างอีกฝ่ายลับสายตาไปคิบะก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ไม่เห็นจะรู้สึกตื่นเต้นเลยซักนิด...ออกจะน่ารำคาญกับเสียงแหลม ๆ นั่นซะมากกว่า...” คิบะบอกกับตัวเองด้วยทีท่าเหนื่อยหน่าย แต่แล้วจู่ ๆ คำพูดของแม่ก็ดังก้องอยู่ในหัว...แกกำลังมีความรัก...แต่คำ ๆ นั้นมันคงไม่น่าตกใจเท่ากับประโยคที่มีแต่ตัวเค้าเองเท่านั้นที่รู้ว่า...คนที่เค้ารักเป็นใคร...
“ไม่ ไม่ ไม่...แค่สองคนยังพิสูจน์อะไรไม่ได้ทั้งนั้น เราต้องพยายามให้มากกว่านี้...เพราะงั้นไปกันเลยอากามารุ...” คิบะที่เรียกความฮึดให้ตัวเองร้องบอกสุนัขคู่ใจให้ออกวิ่งตามหาเหยื่อรายต่อไปทันที และเป้าหมายต่อมาที่คิบะเล็งไว้ก็คือสาวน้อยพลังช้างนามว่า...
“ซากุระ...หวัดดี...”
“หวัดดีคิบะ...ไปใหนมาเหรอ...” ซากุระร้องทักกลับไปเมื่อเห็นว่าคนที่ร้องทักตนมาเป็นใคร
“ไม่ได้ไปใหนแต่ตั้งใจมาหาเธอนั่นแหละ...”
“มาหาชั้นงั้นเหรอ...มีธุระอะไรหรือเปล่า หรือจะมาให้ดูแผลที่มือให้...” ซากุระเริ่มคาดเดาไปต่าง ๆ นานาเพราะไม่แน่ใจว่าการที่อีกฝ่ายตั้งใจมาหาตนเป็นเรื่องอะไร
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก...มือของชั้นมันก็เกือบหายสนิทแล้วแต่ที่ชั้นตั้งใจมาหาเธอเพราะอยากจะชวนเธอไปเดินเล่นด้วยกันนะ...” คิบะใช้คำพูดประโยคเดิม ๆ แบบนี้มาตลอดเพราะไม่รู้ว่าจะเอ่ยชวนอีกฝ่ายแบบใหนดี
“เดินเล่น ???...” ซากุระทวนทำอย่างงงงวย
“ใช่เดินเล่น...”
“กับนายนะเหรอ...”
“ใช่กับชั้น...”
“เอ่อ...ขอโทษนะพอดีว่าชั้นต้องไปทำธุระที่โรงพยาบาลให้ท่านซึนาเดะน่ะ...”
“ไปโรงพยาบาลเหรอ...งั้นเดี๋ยวชั้นไปส่งให้ก็ได้ ขึ้นมาสิ...” ว่าแล้วก็คิบะก็ไม่รอช้าเค้าโน้มกายลงมาคว้าร่างซากุระติดมือขึ้นไปนั่งอยู่ด้านหน้าของตนอย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ...คิบะ เอ่อ คือว่า...” ซากุระร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจกับการกระทำที่ดูเหมือนจะแอบแฝงไว้ด้วยอะไรบางอย่าง
“นั่งนิ่ง ๆ นะซากุระถ้ากลัวตกจะกอดหรือหลับตาก็ได้...” คิบะเอ่ยประโยคคลาสสิกที่เคยเอ่ยกับใครบางคนพร้อมกับรั้งเอวของซากุระไว้หลวม ๆ ก่อนจะบอกให้อากามารุออกวิ่งเป็นรอบที่สามของวันนี้
...คนอย่างซากุระไม่ได้กลัวความสูงหรือว่าความเร็วแต่ยามนี้ใบหน้าคม ๆ ของคิบะที่อยู่ใกล้เพียงแค่ฝ่ามือกั้นกลับทำให้จิตใจภายในสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก แล้วแก้มนวล ๆ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความขัดเขินกับความใกล้ชิดที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ทำไมซากุระถึงได้รู้สึกว่าระยะทางจากจุดที่เธอยืนอยู่เมื่อกี้ไปถึงโรงพยาบาลมันถึงได้ไกลเสียเหลือเกินในวันนี้ แต่ไม่ว่ามันจะไกลซักแค่ใหนสุดท้ายทั้งสองก็มาถึงจุดหมายได้อย่างที่ต้องการ พอคิบะคลายวงแขนออกซากุระก็รีบพาตัวเองลงมาจากหลังอากามารุทันทีก่อนจะหันไปขอบคุณอีกฝ่ายด้วยทีท่าขัดเขิน...
“ขอบใจนะคิบะที่อุตส่าห์มาส่ง...แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไปกับเธอตอนนี้ไม่ได้ เอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะ...”
“อืม...เอางั้นก็ได้...” คิบะรับคำก่อนจะจากไปพร้อมกับอากามารุ แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับกำลังนึกแปลกใจที่จิตใจตัวเองหวั่นไหวไปได้ขนาดนี้ ทั้งที่เคยคิดมาตลอดว่าคงไม่มีใครทำให้หวั่นไหวได้อีกแล้วนอกจากคน ๆ นั้น...แม้จะแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยแต่ซากุระก็ปล่อยให้ความรู้สึกนั้นผ่านเลยไปโดยไม่ได้ใส่ใจกับมันอีก…
...หลังจากที่หมกตัวเองอยู่ในห้องมาตลอดเกือบทั้งวันแม้จะตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ออกไปใหนเพราะกลัวเจออะไรไม่คาดคิดอีก แต่สุดท้ายก็ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ได้เพราะท้องที่กำลังร้องประท้วงอยู่ตอนนี้นั่นเอง...
“รู้แล้ว รู้แล้ว เลิกร้องได้แล้ว...จะพาไปกินอะไรเดี๋ยวนี้แหละ...” นารูโตะบ่นให้ท้องตัวเองอย่างนึกรำคาญเหมือนกันที่ดูเหมือนว่ามันจะตรงต่อเวลาเสียเหลือเกินยามที่หิวขึ้นมาจะทำลืมหรือรั้งไว้ชั่วครู่ชั่วยามก็เหมือนจะคัดค้านไปเสียหมด แต่เพราะว่ามันบ่ายมากแล้วทีแรกนารูโตะมุ่งหน้าจะไปกินราเมงแต่ดูเหมือนวันนี้ของจะขายดีจนทุกอย่างหมดเกลี้ยงเค้าจึงต้องยอมมานั่งกินข้าวหน้าหมูที่ร้านใกล้ ๆ แทน และเมื่ออยู่ในภาวะหิวจัดไม่ว่าอะไรก็ซัดได้เกลี้ยงไม่มีเหลือ...
“เฮ้อ...อิ่มเหมือนกันนะเนี่ย...” นารูโตะบ่นกับตัวเองหลังจากที่เดินพุงกางออกมาจากร้านขายข้าวเพื่อมุ่งตรงกลับไปยังบ้านของตัวเอง และระหว่างทางที่จะกลับนั้นก็สวนเข้ากับชิกามารุและโจจิเข้าพอดี
“หวัดดี...นารูโตะ จะไปใหนเหรอ...” ชิกามารุร้องทักทายมาตามปกติ
“ไม่ได้ไปใหนหรอกกำลังจะกลับบ้านนะ...” นารูโตะร้องตอบไปตามตรงแต่ทั้งสามคนยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกันไปมากกว่านี้ก็มีอีกเสียงหนึ่งร้องทักมา
“ชิกามารุ โจจิ นารูโตะ...” ทั้งสามหันไปตามเสียงเรียกก็พบเข้ากับสองสาวที่ไม่คิดว่าจะเดินมาด้วยกันได้และกำลังตรงมาทางนี้อย่างไม่รีบร้อน
“อิโนะ ซากุระ ไหงมาด้วยกันได้ละเนี่ย...” นารูโตะร้องถามออกไปด้วยความแปลกใจ
“ก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกพอดีเจอกันระหว่างทางน่ะ...ว่าแต่สามคนนี้กำลังจะไปใหนกันเหรอ...” อิโนะเอ่ยตอบพร้อมกับตั้งคำถามต่อท้ายมาด้วย
“บังเอิญมาเจอกันระหว่างทางเหมือนกัน...” ชิกามารุเป็นฝ่ายตอบ
“แต่ว่าเจอซากุระก็ดีแล้วล่ะ...”
“ทำไมเหรอนารูโตะ...”
“ก็มีเรื่องอยากถามนิดหน่อยน่ะ...” นารูโตะอ้อมแอ่มตอบไปเบา ๆ
“งั้นเดินไปคุยไปก็แล้วกัน...” ซากุระเสนอทางเลือกที่นารูโตะเองก็เห็นด้วยก่อนจะพยักหน้ารับไปช้า ๆ
“พวกเราก็แยกย้ายกันไปบ้างดีกว่า...แล้วเจอกัน...” ว่าแล้วชิกามารุก็เดินแยกออกจากกลุ่มมาเป็นคนแรก
“แล้วเจอกันนะทุกคน...” โจจิรีบเอ่ยแล้ววิ่งตามชิกามารุไปบ้าง
“ชั้นก็ไปบ้างดีกว่า...” แล้วอิโนะก็จากไปอีกคนตรงนั้นจึงเหลือเพียงนารูโตะกับซากุระเท่านั้น
“แล้วเรื่องที่จะคุยคืออะไรเหรอ...” ซากุระหันมาถามอีกฝ่ายก่อนจะค่อย ๆ ออกเดินไปด้วยกันอย่างไม่รีบร้อน
“ตอนที่หมอนั่นยังอยู่เธอรู้สึกยังไงเหรอเวลาอยู่ใกล้กันนะ...” คำถามของนารูโตะทำให้ซากุระต้องหันมามองคนข้าง ๆ ด้วยความแปลกใจ
“ถามทำไมเหรอ...”
“ก็แค่อยากรู้เท่านั้นแหละ...แต่ถ้าเธอไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร...” นารูโตะรีบเอ่ยเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดคิดว่าเค้าเข้ามาก้าวก่ายความรู้สึกส่วนตัว
“เวลาที่อยู่ใกล้กันหัวใจมันจะเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน รู้สึกขัดเขินทุกครั้งเวลาที่ได้สบตาแล้วก็มีความสุขมาก ๆ เลยล่ะ...” ซากุระเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข แต่เพียงครู่เดียวแววตาที่เคยสดใสนั้นก็พลันหม่นหมองลงทันที ซึ่งสาเหตุที่เป็นแบบนั้นนารูโตะเข้าใจดีว่าเพราะอะไร
“ขอโทษนะซากุระ...ที่ถามอะไรไม่เป็นเรื่องน่ะ...”
“จะขอโทษทำไมมันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก เพราะถึงนายไม่ถามชั้นก็คิดถึงเค้าทุกวันอยู่แล้ว...” คำตอบของซากุระทำให้นารูโตะรู้สึกว่าการต้องเฝ้ารอหรืออยู่ห่างไกลจากคนที่ตนรักนั้นมันช่างทรมานอย่างยิ่งนิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แล้วไปทำแบบนั้นกับใครเค้าไปทั่วเกิดนัตจังเข้าใจผิดขึ้นมาละเรื่องใหญ่นะตัว
ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
มันจะใจเต้นเหมือนนารุจังได้ยังไงก็มันคนล่ะคน
แล้วปล่อยความรู้สึกผ่านไปโดยไม่สนใจ
ไม่นึกว่าเธอจะเย็นชาอย่างนี้นะซากุระ=_=
คิบะเอย พิสูจน์ไปก็เท่านั้นล่ะ
ก็หัวใจของแกไปอยู่กับนารูโตะหมดแล้วนี่
แอบเคืองคิบะแทนนารุ
สนุกมากคะ
คิบะ นายพิสูจน์อะไรของนายเนี่ย
ไปทำสาวๆเค้าหวั่นไหว ระวังจะมีปัญหานะยะ
แต่ยังไงหนูโตะก็มาวินเนอะ เพราะมีพลังแห่งวายของเหล่าแม่ยกดันสุดฤทธิ์ หุหุ