ตอนที่ 28 : เพลี่ยงพล้ำพลาดท่า
Mission : 28
...ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปตามทิศทางที่ซาอิบอกมาพวกเค้าใช้เวลาไม่นานก็หลุดพ้นออกมาจากแนวป่า แล้วสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็คือทุ่งกว้างที่เงียบสงบจนดูไม่น่าไว้ใจเลยแม้แต่น้อย...
“เหมือนกับจะเจอกับอะไรที่รับมือยากเลยนะ...” จู่ ๆ ซากุระก็เปรยขึ้นมาเบา ๆ เพราะทุกอย่างรอบตัวมันเงียบเกินไปไม่มีแม้เสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อย ทั้งที่รอบ ๆ เป็นป่าทึบแต่กลับเงียบจนผิดปกติ
“ยากแค่ใหนก็คงถอยไม่ได้แล้วล่ะ...” นารูโตะเอ่ยออกมาอย่างที่ใจคิด ตัวเค้าเองก็รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติไป
...ทั้งสามคนขยับเข้ามาหันหลังชนกันพร้อมกับตั้งท่าเตรียมพร้อมเนื่องจากรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่กำลังจะเกิดต่อจากนี้อาจเป็นการจู่โจมที่ยากจะรับมือก็เป็นได้ แล้วสิ่งที่สามคนคิดไว้ก็เป็นจริงเพราะทันใดนั้นก็ปรากฏเงาของคนกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาจู่โจมทั้งสามแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ทั้งรวดเร็ว รุนแรง และไม่สามารถมองออกว่าอีกฝ่ายรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะแสงสว่างจากจันทร์บนฟ้ามันไม่ได้ให้ความกระจ่างมากมายแต่อย่างใด...การจู่โจมเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยจนทำให้ทั้งสามต้องกระจายตัวออกจากกัน แต่ดูเหมือนว่าจะมีเพียงนารูโตะเท่านั้นที่ถูกกันออกมาจากเพื่อนร่วมทีมอีกสองคน ตัวเค้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันว่าเหมือนอีกฝ่ายจงใจจะแยกเค้าออกมาเพียงลำพัง แต่ก็ยังไม่ทันได้มีความคิดอื่น ๆ ตามมาขณะที่กำลังก้าวถอยหลังเพื่อหลบการโจมตีแผ่นหลังบาง ๆ ของตนก็ปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างที่ดูแข็งแรงจนต้องรู้สึกผง่ะ...
“อ๊ะ...” เสียงหวานอุทานออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจแต่ก็ทำได้เท่านั้นเพราะตอนนี้ร่างกายของเค้ามันหยุดนิ่งจนไม่สามารถขยับได้อีกแล้ว สมองกำลังคิดทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย และเพียงไม่นานคำตอบของคำถามก็ถูกเฉลยออกมา เพราะน้ำเสียงที่สั่งให้ทุกการกระทำหยุดลงนั้นเค้าจำได้ดีว่ามันเป็นของใคร...
“หยุดได้แล้ว...” คำพูดเพียงเท่านี้ก็ทำให้ดวงตาสีฟ้าคู่สวยเบิกกว้างขึ้นด้วยทีท่าตกใจอย่างมากเพราะคิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเจอกับคน ๆ นี้เร็วขนาดนี้...พี่ชายคนที่ซาสึเกะพยายามไล่ตามจนต้องละทิ้งหมู่บ้านไป...อิทาจิ...
“สายัณต์สวัสดิ์...นารูโตะ...ดีใจที่ได้เจอนายที่นี่นะ...” เสียงร้องทักของคนข้างหลังที่ยามนี้ยืนอยู่ใกล้เค้าในระยะประชิดจนสามารถสัมผัสลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดอยู่ข้างแก้มจนรู้สึกร้อนผ่าว
“อิทาจิ...” ในที่สุดนารูโตะก็สามารถรวบรวมสติของตนกลับมาแล้วเอ่ยเรียกชื่อนั้นออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเหมือนประหลาดใจระคนดีใจอย่างไรบอกไม่ถูก
“ชั้นมีเรื่องจะคุยกับนาย...ช่วยมากับเราหน่อยได้หรือเปล่า...” จากประโยคที่ฟังดูเหมือนคำข้อร้อง แต่ความจริงมันก็คือประโยคคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธได้ อีกทั้งสภาพนารูโตะในยามนี้ก็ขัดขืนไม่ได้เช่นกัน เค้าไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช้วิชาอะไรจึงทำให้เค้าต้องมายืนแข็งทื่ออยู่แบบนี้...ฝ่ายซากุระกับซาอิที่เห็นนารูโตะตกอยู่ในมือของอิทาจิก็เตรียมเข้าโจมตีเพื่อช่วยเหลือแต่ก็ทำได้เพียงแค่คิดเพราะทันทีที่ขยับตัวหมายจะจู่โจมเงาร่างของคนอีกสามคนก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นถนัดตาว่าเป็นใคร...คราวนี้กลับกลายเป็นซากุระและซาอิเองที่ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจระคนหวั่นใจเพราะลำพังอิทาจิคนเดียวก็ยากจะรับมือแล้วแต่สิ่งที่พวกเค้ากำลังเผชิญอยู่นี้มันคือกลุ่มแสงอุษาจำนวนสี่คนที่มีฝีมือร้ายกาจจนประมาทไม่ได้เลย อันประกอบไปด้วย ผู้ใช้คาถาลวงตาแลเป็นเจ้าของเนตรวงแหวน อิทาจิ ฉลามร้ายที่ดุดันและกระหายเลือด คิซาเมะ ผู้ใช้ระเบิดอันเป็นศิลปะ เดอิดาระ และผู้ใช้หุ่นเชิดจากหมู่บ้านซึนะ ซาโซริ ทั้งซาอิและซากุระจำต้องหยุดชั่งใจเพื่อประเมิณสถานการณ์...
“ปล่อยนารูโตะเดี๋ยวนี้นะ...” แม้จะอยู่สถานการณ์ที่ตกเป็นรองแต่ซาอิก็ยังคงเป็นห่วงคนที่ตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ จนต้องหาทางช่วยเหลือ แต่ดูท่าว่าทางนั้นจะไม่ได้สนใจในคำพูดของเค้าเลยแม้แต่น้อย
“พวกเรามีธุระกับร่างสถิตของเก้าหาง...คนอื่น ๆ ไม่เกี่ยว...แล้วเจ้าหนู่นี้ก็ต้องไปกับเราส่วนที่เหลือก็กำจัดทิ้งซะ แบบนี้คงได้ใช่มั้ย...อิทาจิ...” เดอิดาระเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ากวนอารมณ์อยู่ไม่น้อย
“อืม...” อิทาจิรับคำสั้นแต่มันทำให้ทั้งซาอิ ซากุระ และนารูโตะต้องสะท้านกายเยือกขึ้นมาด้วยไม่อาจคาดเดาได้ว่าต่อจากนี้ไปพวกเค้าจะต้องพบเจอกับอะไร ถ้าทั้งหมดนี้ลงมือพร้อม ๆ กันพวกเค้าจะสามารถต้านทานได้แค่ใหน เพียงแค่คิดก็ให้หนักใจเสียแล้ว
“พวกแกจะพานารูโตะไปใหน...” ซากุระร้องถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง ด้วยสถานการณ์ที่บีบคั้นมันทำให้เธอต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้...” เดอิดาระเอ่ยตอบพร้อมกับเตรียมจะจู่โจมเข้ามาทันที
“เดี๋ยวก่อน...” แล้วเดอิดาระก็ต้องชะงักค้างไว้เพราะอิทาจิเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน
“อะไรอีกล่ะ...” คนถูกห้ามร้องถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกที
“ทางนี้ชั้นจัดการเองพวกนายพาเก้าหางไป...” อิทาจิเอ่ยบอกกับอีกสามคนที่เหลือก่อนจะหันไปกระซิบที่ข้างหูคนตัวเล็กที่ยืนนิ่งเพราะคาถาของเค้าเบา ๆ
“นายไปกับพวกนั้นก่อนก็แล้วกันนะ...” พูดจบอิทาจิก็เดินก้าวออกไปหาซาอิกับซากุระทันที พอเห็นแบบนั้นแล้ว คิซาเมะ ซาโซริ และเดอิดาระก็ได้แต่ทำตามถึงจะมีบางคนไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่ก็เลี่ยงไม่ได้จำต้องยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกไป
“เชอะ...ทำมาเป็นสั่งนั่นสั่งนี้...” เดอิดาระบ่นเสียงดังฟังชัดด้วยหวังจะให้อีกฝ่ายรับรู้ความรู้สึกของเค้าในยามนี้แบบไม่ปิดบัง ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะอิทาจิเหลียวหลังกลับมามองเค้าอีกครั้งแต่คราวนี้ดวงตาสีดำแห่งรัตติกาลกลับกลายเป็นแดงฉานจนน่าสะพรึงกลัว ไม่ใช่เพียงแค่เดอิดาระที่ต้องสะท้านกายแม้แต่ซาโซริ หรือคิซาเมะที่ต้องปฏิบัติงานร่วมกันบ่อย ๆ ก็ยังหวั่นเกรงเนตรนั้นอยู่ไม่น้อย เนตรวงแหวนถูกเรียกขึ้นมาแล้วและเดอิดาระก็ไม่ใช่คนโง่งมมากมายจนจะไม่รู้ว่าเนตรนั้นมีพลังมากแค่ใหน เค้าจึงต้องยอมสงบปากสงบคำเอาไว้เพื่อรักษาชีวิตตัวเองเพราะแม้จะทำงานร่วมกันแต่ไม่ได้มีกฏข้อใหนว่าห้ามฆ่ากันเองและตัวเค้าก็ยังไม่พร้อมจะต่อกรกับเจ้าของเนตรนั้นในเวลานี้...
“ไปก็ไปสิ...ไม่เห็นต้องโกรธเลย...” น้ำเสียงยังคงยียวนกวนอารมณ์อยู่เช่นเดิม เดอิดาระเดินเข้ามาโอบเอวร่างบางที่ยืนนิ่งไร้ทางขัดขืนไว้พร้อมกับก้มใบหน้าลงมากระซิบบอกอีกฝ่ายเบา ๆ ว่า
“อย่าดื้อนะ...จะได้ไม่เจ็บตัว...” พูดจบท่อนแขนแข็งแรงก็โอบเข้าตรงช่วงเอวของร่างบางพร้อม ๆ กับที่ปรากฏนกสีขาวตัวใหญ่ที่เดอิดาระสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพาหนะในการเดินทางครั้งนี้...
“จะไปล่ะนะ...เก้าหาง...” เดอิดาระพานารูโตะขึ้นไปบนนกตัวนั้นก่อนจะบินหายไป คิซาเมะกับซาโซริก็แยกย้ายไปแล้วเช่นกัน...ซาอิกับซากุระเห็นทุกอย่างแต่ไม่อาจขัดขวางได้มันจึงทำให้พวกเค้าเจ็บใจเป็นอย่างมาก...
“ไม่มีเวลาไปห่วงคนอื่นหรอกนะ...” อิทาจิเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าสองคนตรงหน้าเอาแต่สนใจคนที่ถูกพาไปจนเหมือนจะลืมเลือนไปว่าเค้าเองก็ยังยืนอยู่ตรงนี้
“พวกนายจะทำอะไรกับนารูโตะ...บอกมานะ...” ซากุระร้องถามขึ้นพร้อมกับตั้งท่าอย่างระแวดระวัง
“ความจริงเป้าหมายครั้งนี้ของเราคือร่างสถิตของเก้าหางคนเดียว...พวกเธอตามไปก็เกะกะเพราะงั้นจงจบชีวิตลงเสียที่นี่ก็แล้วกัน...” พูดจบอิทาจิก็ส่งคาถาไปที่เป็นคาถาที่รู้กันดีอยู่ว่าตระกูลอุจิวะเชียวชาญคาถานี้มากกว่าใคร ๆ ซากุระกับซาอิที่ระวังตัวอยู่แล้วก็สามารถหลบให้พ้นได้ไม่ยากแล้วการต่อสู้ที่ดูเหมือนจะรุนแรงและน่าหวาดหวั่นเพราะอีกฝ่ายมีเนตรพิเศษที่เป็นขีดจำกัดทางสายเลือดแต่ทว่าเค้ากลับเรียกใช้เพียงคาถาธรรมดาไม่ได้ใข้เนตรนั้นออกมาแม้เพียงซักครั้ง แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ทั้งซาอิและซากุระไม่อาจต้านทานได้แล้ว...
“จบเท่านี้แหละ...” ซาอิและซากุระได้ยินเสียงอิทาจิเอ่ยออกมาก่อนจะใช้คาถาที่ทั้งซาอิและซากุระรู้สึกว่ามันอันตรายที่สุดนับแต่ลงมือต่อสู้กันมาจนถึงตอนนี้ เนตรวงแหวนลุกวาว แดงฉานจนน่ากลัว อิทาจิตั้งจะใช้เนตรวงแหวนแล้วมันยิ่งทำให้ทั้งสองหวาดหวั่นเข้าไปอีก แต่ถึงอย่างไรพวกเค้าก็จะยอมแพ้ไม่ได้เพราะนารูโตะถูกพาตัวไปแล้วจึงกระโจนเข้าต่อสู้แบบไม่คิดชีวิต...โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้รู้ตัวเลยซักนิดว่ากำลังตกอยู่ในคาถาลวงตาของอิทาจินับตั้งแต่เดอิดาระพานารูโตะจากไป...
“ชั้นไม่มีความจำเป็นจะต้องฆ่าพวกเธอแค่ใช้คาถาลวงตาก็พอ...แต่ถ้าพวกเธอยังไม่รู้สึกตัวแล้วหาทางออกมาจากคาถานั้น...พวกเธออาจตายจริง ๆ ก็ได้...” อิทาจิกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะยืนมองภาพคนสองคนตรงหน้าที่ลงไปนอนกลิ้งกับพื้นด้วยทีท่าแปลก ๆ เพราะกำลังตกอยู่ในคาถาของเค้านั่นเอง
“ไอ้บ้า...แกจะพาชั้นไปใหน...ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ...” เสียงใส ๆ ร้องว่าคนที่กำลังโอบรัดร่างกายเข้าอยู่แม้จะต้องมาอยู่บนตัวนกที่บินโฉบไปโฉบมาแต่จนน่าหวาดเสียวว่ามันอาจร่วงลงไปได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าให้นารูโตะเลือกเค้าขอเลือกที่จะตกลงไปดีกว่ามาตกอยู่ในวงแขนอันน่าอึดอัดของคน ๆ นี้
“ถ้าชั้นปล่อยมีหวังนายได้ร่วงลงไปคอหักตายก่อนแหง ๆ...เพราะงั้นชั้นคงปล่อยไม่ได้หรอกนะ...” เจ้าของวงแขนเอ่ยด้วยทีท่ากวน ๆ ที่ดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ พร้อมกับยื่นใบหน้าของตนเข้ามาใกล้ใบหน้านวล ๆ จนเกือบจะสัมผัสกับผิวแก้มนุ่ม ๆ นั้น
“นี่...เอาหน้าอุบาทว์ของแกออกไปให้พ้น ๆ หน้าของชั้นเลยนะ ไอ้ทุเรศ ไอ้บ้า ไอ้คนสติไม่ดี คอยดูเหอะถ้าชั้นหลุดไปได้แก้ไม่รอดแน่จะซัดให้หมอบเลยคอยดู...” นารูโตะพร่างพรูคำด่าออกมาเพราะเค้ารู้สึกรังเกียจสัมผัสจากคน ๆ นี้เสียจริงจนต้องหาทางระบายออกมาด้วยการด่าทอ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ซาอิ ซากุระ รีบๆรู้ตัวสักที จะได้มาช่วยนัตจัง
เซนเซย์ไปไหนเนี่ย โผล่มาช่วยนัตจังหน่อยเร๊วววว
คาคาชิ มาช่วยโตะเร็วๆๆ
อาจาร์ย คาคาชิ มาช่วยด่วนนนนนน
อย่างว่าโตะน่ารักน่าหลงใครไม่ตกหลุมรักล่ะเนอะ
ได้ข่าวว่าพวกมันเป็นตัวร้ายแล้วฟิคนี้ครูคาคาเป็นพระเอกนะ
ว่าแต่พวกนายจะพาโตะไปไหน??
หนุกมากคะ ขอบคุณที่ให้แสงอุษาออกนะคะ
โดยเฉพาะเฮียอิทาจิ ขวัญใจตลอดกาลของเราT^T
ขอตัวไปอ่านตอนต่อไปก่อนนะคะ