ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สิงหราชาวดี [yaoi]

    ลำดับตอนที่ #3 : เมืองแห่งหมอก

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 58


     

                เมื่อไก่ขันยามเช้าก็มาถึง ตะวันสาดแสงทองอร่ามที่แสนจะอบอุ่น สิงหมารรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านมา ความนุ่มนวลเวลาสัมผัส...

     

                ‘หือ? อะไรนุ่มๆ’ สิงหมารลืมตาตื่นมือก็กำก้อนขนสีส้มแน่น เขาเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ในมือกำอะไรอยู่กันแน่ สิงหมารค่อยๆ เงยหน้ามองเจ้าของขนสีส้มที่นุ่มมือนี้

     

                “ว้ากกกก!” เขาตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนผละออกมาจากจุดที่ตนนอนหลายก้าว ก้นคะมำอยู่ที่พื้น มองสิงโตหนุ่มร่างยักษ์ที่นอนขดตัวเงยคอหันมามองที่ตน ดวงตาสิงโตสีแดงสดชวนให้รู้สึกขนลุกยิ่งนัก สิงหมารใจเต้นระส่ำ ไม่รู้จะต้องทำอะไรดี แกล้งตายดีไหม? หรือสู้? เขาเลือกข้อหลังแน่นอน

     

                สิงหมารคว้าไปที่ข้างเอวเพื่อจะชักดาบ แต่ดาบไม่ได้อยู่ตรงนั้น เขาส่ายตามองไปจุดเดิมที่ลุกพรวดมา ขาหน้าของสิงโตหนุ่มทับดาบของเขาไว้อยู่ เอายังไงดีล่ะ? รึจะใช้มือขวาข้างนี้ดี

    สิงโตหนุ่มยังคงจ้องมองสิงหมาร ก่อนจะอ้าปากหาวแล้วสะบัดหางไปมาด้วยความสนใจ

     

                แน่นอนว่าสิงโตตรงหน้านี้คือราชา เมื่อยามเช้ามาเยือนราชาก็กลายร่างจากมนุษย์กลับไปเป็นสิงโต คอยนอนเฝ้าสิงหมารอยู่ตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนที่เป็นร่างมนุษย์จนกระทั่งถึงตอนนี้

     

                เหตุก็เพราะคอยปกป้องสิงหมารไม่ให้มีแมลงร้ายมาตอแย ยามค่ำคืนของป่าลับแลมิใช่ที่ปลอดภัยแต่อย่างใด นักล่ายามค่ำคืนต่างรอคอยโอกาสที่จะเข้ามาขย่ำเหยื่อที่เผอเรอได้ตลอดเวลา ดังนั้นราชาจึงต้องคอยเฝ้าระวังของเล่นชิ้นนี้เสียหน่อย หากเกิดอะไรขึ้นความบันเทิงหนึ่งเดียวนี้อาจจะไม่มีไปอีกนาน

     

                แน่นอนว่ากระต่ายป่าไม่ปล่อยให้ราชาของตนทำเรื่องเสี่ยงๆ จึงคอยแอบติดตามอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ราชาเองก็รู้ดีจึงไม่ได้ใส่ใจนัก สะบัดหางไปมาอย่างอารมณ์ดี มองหน้าเด็กหนุ่มที่ตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูกดูแล้วช่างน่ารักจริงๆ ดวงตาสีทองสวยคู่นั้นเบิกตาโตกว้าง ตัวสั่นนิดหน่อยที่พยายามกลั้นความกลัว ดูแล้วเหมือนแมวป่าเสียนี่กระไร เห็นแล้วก็อยากกระโดดเข้าไปงับที่ซอกคอขาวเรียวระหงนั้น

     

                ราชาได้แต่เพ้อพกอยู่ในใจมองสิงหมารจนตาเยิ้ม แต่ตาสิงโตก็ใช่ว่าจะหยาดเยิ้มได้ถึงเพียงไหน เพราะอย่างไรคนตรงหน้าก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น

     

                ‘หึหึ ลองแกล้งดูหน่อยดีไหม?’ ราชาดินคิดได้ดังนั้น ก็อ้าปากคำรามก้องดังสนั่นหวั่นไหว นกกาสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ต่างกระเจิดกระเจิงหนีหายไปหมดจากบริเวณรอบๆ นั้น สิงหมารตกใจเสียงคำรามจนกระโดดถอยหนีไปอีกหลายก้าว พลันจ้องกลับมามองสิงโตหนุ่มเขม่ง คอยดูท่าทีสิงโตหนุ่มที่ยังคงสะบัดหางไปมา สะบัดแผงคอบ้างเป็นระยะ ไม่ก็เลียขาหน้าตัวเอง ไม่มีทีท่าว่าจะกระโจนเข้ามาใส่แต่อย่างใดจะมีแต่คำรามขู่เมื่อสักครู่เท่านั้น

     

                ‘สิงโตตัวนี้มาจากไหนกัน? ไม่เข้ามาจู่โจมแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นมิตรด้วย คงจะดูเชิงเราอยู่ เอายังไงดีล่ะที่นี้ ดาบก็อยู่ตรงนั้น..... จริงสิ! มีดสั้น!’

     

                นึกได้อย่างนั้นก็รีบคว้ามีดสั้นที่ซ่อนไว้ในรองเท้าบูทที่ใส่อยู่ออกมา ชักออกจากฝักชี้ไปทางสิงโตตรงหน้า ถึงจะเป็นแค่มีดสั้นก็ยังรู้สึกทำให้อุ่นใจขึ้นมาบ้างดีกว่ามือเปล่าเป็นไหนๆ หากสิงโตหนุ่มกระโจนเข้าใส่ก็จะแทงมีดสั้นนี่เข้าที่จุดบอดตรงตาทันที

     

                สิงโตหนุ่มไร้ปฏิกิริยาตอบสนองเพียงแค่จ้องมองกลับมาเท่านั้น ไม่นานนักที่ต่างฝ่ายต่างจ้องตากัน ราชาในร่างสิงโตก็ลุกขึ้นเดินช้าๆ มาทางสิงหมาร เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ยกมีดสั้นขึ้นป้องกันตัว ถ้าสิงโตกระโจนเข้ามาเมื่อไหร่ได้เห็นเลือดกันก็คราวนี้แหละ

     

                แต่ผิดคาดสิงโตหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าสิงหมารโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาเบื้องหน้า

     

                ‘รึว่าสิงโตตัวนี้จะเป็นมิตรกันนะ?’ สิงหมารยกมืออีกข้างหงายมือขึ้นไปทางหน้าสิงโตอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ ยื่นไปช้าๆ มือก็สั่นเล็กน้อย

     

                ‘หือ? เจ้าเด็กนี่จะยื่นมือมาทำไม?’ ราชาคิดด้วยความสงสัยพลางมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นของเด็กหนุ่มก่อนจะแลบลิ้นเลียเบาๆ สิงหมารตกใจชักมือกลับ

     

                ยืนนิ่งดูเชิงสักพักก่อนจะคลายมีดสั้นในมือลงเก็บเข้าฝักตามเดิม เมื่อดูทีท่าแล้วว่าสิงโตตัวนี้ไม่ทำร้ายตน ราชาได้ทีก็ก้าวเข้าไปใกล้ก่อนจะไซร้หัวไปที่ตัวของสิงหมาร เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบขนราชาเบาๆ จากสีหน้าระแวงภัยกลายเป็นรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นแทน

     

                “อะไรกัน.... นี่แกเชื่องกับมนุษย์หรอกเหรอ?” สิงหมารลูบขนอันอ่อนนุ่มที่แผงคออย่างชอบใจ รู้สึกเหมือนเล่นกับแมวตัวใหญ่มากกว่าเจ้าป่าที่ดุดัน

     

                ‘เวลาเจ้าเด็กนี่ยิ้มก็น่ารักดีนะ’ ราชาคิด ส่งเสียงครือในลำคอน้อยๆ ออดอ้อนให้สิงหมารยิ่งลูบขนของสิงโตมากขึ้น รู้สึกติดใจในรสสัมผัสอันอ่อนนุ่มจากขนสีส้มนี้ ปกติขนสิงโตจะแข็งกระด้างสากไม่นุ่มมือ แต่ขนแผงคอของราชาสิงโตกลับนุ่มลื่นดั่งแพรไหม ลูบแล้วทำให้รู้สึกดี

     

                ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะมีผู้ดูแลที่ดีอย่างกระต่ายป่านั่นเอง ที่คอยดูแลใส่ใจขนของเจ้านายเป็นอย่างดี ในร่างสิงโตอย่างน้อยต้องอาบน้ำสองวันครั้ง ถ้าเป็นไปได้ก็จะจับอาบทุกวันเลย จริงๆ แล้วกระต่ายป่าออกจะเป็นโรคจิตรักความสะอาดมากเกินไปหน่อย แต่ราชาก็ไม่ได้ว่าอะไรปล่อยให้กระต่ายป่าทำตามความต้องการ เพิ่งจะมารู้สึกดีใจที่กระต่ายป่าขยันอาบน้ำแปรงขนให้ก็คราวนี้แหละ

     

                ราชาในร่างสิงโตยังคงไซร้หัวไปที่ศีรษะของสิงหมารอย่างชอบใจ ก่อนจะแลบลิ้นเลียใบหน้าเด็กหนุ่มเบาๆ

     

                ลิ้นสากๆ ร้อนๆ เลียมาที่ใบหน้าของตน ทำเอาสิงหมารหัวเราะออกมา รู้สึกแปลกๆ กับลิ้นสากนั่น ราชาใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่ม สิงหมารจับไปที่หน้าของสิงโตแล้วจ้องดวงตาสีแดงนิ่ง

     

                “แปลกจัง แกคงไม่ใช่ราชาปีศาจที่ว่ามีร่างเป็นสิงโตในยามกลางวันหรอกนะ......” ราชาสะดุ้งเฮือก ก่อนแสร้งกลบเกลื่อนด้วยการเลียไปที่หน้าสิงหมารไม่หยุด สิงหมารหัวเราะชอบใจก่อนจะดันหน้าสิงโตออก

     

                “คิกคิก คงไม่ใช่หรอกเนอะ ราชาปีศาจบ้าอะไรจะเชื่องได้ขนาดนี้ ฮะฮ่า ไม่เอาน่าอย่าเลีย” เด็กหนุ่มก็มีมุมน่ารักแบบนี้ทำเอาราชาใจเต้นไม่เป็นระส่ำ ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนจะผุดขึ้นมาทีละนิดทีละน้อย

     

                ตั้งแต่เด็กสิงหมารถูกกำจัดขอบเขต การได้เล่นกับสัตว์อื่นอย่างนี้ไม่เคยมี อยากเลี้ยงสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างแมวก็ไม่เคยได้เลี้ยง แค่คิดก็ถูกห้ามทันที เด็กหนุ่มมีแต่เรื่องที่ต้องฝึกปรือฝีมือเพียงอย่างเดียว ความรักอะไรก็ไม่เคยพบเจอ จึงยังคงมีความใสซื่ออยู่ให้เห็น ตามคนเค้าไม่ทัน จึงคิดว่าสิงโตตัวนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชาทั้งสิ้น

     

                “เอาล่ะ ฉันต้องไปทำหน้าที่แล้ว.... อืม... ล้างหน้าล้างตัวหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วสิงหมารก็ลูบหัวไล่ไปทางกลางหลังของสิงโตก่อนจะผละออกไปที่ดาบของตน เก็บดาบเข้าฝักเหน็บไว้ที่เอวดังเดิม เดินออกไปล้างหน้าที่ริมแม่น้ำ ราชายังคงจับจ้องเขาอย่างไม่วาง พอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ถอดเสื้อผ้าออกกระโจนลงน้ำทันที ราชาเห็นก็รู้สึกตกใจผงะเล็กน้อย ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะถอดเสื้อผ้าลงอาบน้ำที่แม่น้ำทั้งโป๊ๆ อย่างนี้ ด้วยความคึกคะนองเมื่อได้เห็นแผ่นหลังสีขาว ต้นคองามระหง สะโพกงอนได้รูป ร่ายกายกำยำสมส่วนน่ากินยิ่งนัก ราชาจึงวิ่งกระโจนลงน้ำตามไปทันที สิงหมารตกใจหันไปมองสิงโตหนุ่มที่กระโดดพุ่งมาใกล้ๆ

     

                “อะไรกัน!? แกก็อยากอาบด้วยเหรอ?” สิงหมารยิ้มแล้วเอาน้ำลูบไปขนแผงคอหลายที ราชาสะบัดขนจนน้ำกระเซ็นใส่เด็กหนุ่มเต็มที่

     

                “ฮะฮะฮะ” สิงหมารหัวเราะด้วยความสนุกสนาน เล่นน้ำกับสิงโตหนุ่มสักพักก็ขึ้นมาแต่งตัว ราชาเองก็เดินขึ้นจากน้ำสะบัดขนแรงๆ หลายที สิงหมารเดินเข้ามาลูบขนที่ชุ่มน้ำไล่น้ำให้ออกไปบ้าง

     

                “เอาล่ะ! ต่อไปก็อาหารเช้า!” เด็กหนุ่มพูดขึ้นแล้วหยิบขนมปังก้อนสุดท้ายในกระเป๋าที่พกมา ก่อนหักออกเป็นสองท่อนแบ่งครึ่งหนึ่งยื่นให้ราชา ราชาแสร้งทำเป็นดมแล้วไม่สนใจ สิงหมารจึงเก็บส่วนที่เหลือไว้ในกระเป๋าตามเดิม เอาไว้กินในมื้อถัดไป

     

                เด็กหนุ่มลุกขึ้นหลังจากมื้อเช้าด้วยขนมปังครึ่งก้อน ปัดเศษหญ้าและฝุ่นออก ลูบขนที่แผงคอราชาอีกครั้ง

     

                “แยกย้ายกันได้แล้ว ฉันจะไปทำหน้าที่ของฉันซะที ตอนนี้ต้องหาทางไปยังราชวังให้ได้ก่อนมืด” ราชาได้ฟังก็งับไปที่ชายเสื้อสิงหมารเบาๆ เด็กหนุ่มหันมามองด้วยความสงสัย

     

                “ทำไม? มีอะไรเหรอ?” สิงหมารยิ้มถาม

     

                ‘เราจะบอกเจ้าอย่างไรดี จากนี้ด้วยกำลังมนุษย์ไม่สามารถไปถึงราชวังได้ภายในวันเดียวหรอกนะ อย่างเร็วสุดก็เป็นสิบปี ในป่าลับแลแห่งนี้มีประตูมิติมากมาย หากเผลอเดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัวก็จะเข้าไปสู่หมู่บ้านแปลกๆ กว่าจะออกจากหมู่บ้านได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ’ ราชาคิด จริงดังนั้นในป่าลับแลนั้นผู้ที่จะไปยังราชวังได้โดยไม่หลงทางมีแต่คนในป่าลับแลเองเท่านั้น

     

                ‘จากที่นี่หมู่บ้านที่ดูจะปลอดภัยและใกล้ที่สุดเห็นจะเป็นหมู่บ้านแห่งหมอก’ คิดได้ดังนั้นราชาดึงชายเสื้อเด็กหนุ่มที่ตนงับอยู่เบาๆ เด็กหนุ่มไม่เข้าใจความหมาย ดึงเสื้อตัวเองกลับ แล้วทำท่าจะเดินไปอีกทางที่ไม่ถูกต้องนัก ราชารีบพุ่งเข้าไปดักทางไว้ สิงหมารรู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมอย่างนี้ของสิงโตหนุ่ม

     

                “แกจะมาขวางทำไมกัน?” ราชาไม่สนใจงับไปที่ชายเสื้อเบาๆ อีกครั้งแล้วดึงไปอีกทาง สิงหมารเริ่มจะรู้สึกเข้าใจขึ้นมาหน่อยแล้ว ว่าสิงโตหนุ่มจะบอกอะไรตน

     

                “แกจะให้ไปทางนั้นเหรอ?” สิงหมารชี้มือไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง ราชาส่ายหัวขึ้นลงทีหนึ่ง ก่อนจะเอาหน้าดุนหลังเด็กหนุ่มให้เดินไป ราชาเดินเคียงข้างตามสิงหมารไปช้าๆ

     

                เดินต่อไม่นานก็พบทางแยกราชาเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางว่าไป “หมู่บ้านแห่งหมอก” แต่สำหรับสิงหมารไม่สามารถมองเห็นป้ายดังกล่าวได้ เนื่องจากป้ายบอกทางและป้ายเตือนทั้งหมดในป่าลับแลมีเวทย์ครอบคลุมอยู่

     

                จะมีเพียงผู้ที่เป็นชาวป่าลับแลเท่านั้นที่จะสามารถมองเห็นได้ ป้ายที่ชี้ไปทางซ้ายเขียนว่า “หมู่บ้านกาลเวลา” ซึ่งเป็นสถานที่ราชาต้องการเลี่ยงมากเป็นที่สุด หากหลงเข้าไปในหมู่บ้านกาลเวลาแล้วล่ะก็ เวลาออกมานอกหมู่บ้าน เวลาภายนอกจริงจะเปลี่ยนไปยากคาดเดา แต่ในหมู่บ้านกาลเวลาจะเดินตามปกติ เช่น หากเข้าไปนานสิบนาที ออกมาอาจกลายเป็นสิบปีไปแล้ว หรืออาจจะแค่สิบวินาทีก็เป็นได้

     

     

     

                สิงหมารเดินตามสิงโตหนุ่มจนทิวทัศน์รอบข้างมีหมอกลงหนา แทบจะมองข้างหน้าไม่เห็น หากยื่นมือออกไปจะไม่เห็นปลายมือของตนเองเลย สิงหมารจึงจับขนแผงคอราชาไว้แน่น

     

                ไม่นานนักก็เข้ามาถึงตัวหมู่บ้าน หมอกที่หนาจัดเริ่มจางลงจนเห็นสภาพหมู่บ้านตรงหน้าได้ถนัดขึ้น หมู่บ้านธรรมดาๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่กลับไม่เห็นมีผู้คนอาศัยอยู่เลย ทุกอย่างเงียบสนิทเหมือนหมู่บ้านร้าง แต่สภาพหมู่บ้านดูเหมือนจะมีคนอาศัยอยู่ จู่ๆ สิงหมารก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงดังขึ้นข้างหลัง แต่หันไปมองกลับเห็นแต่หมอกจางๆ เท่านั้น

     

                “นั่นราชานี่ ราชา...” เสียงซุบซิบเบาๆ ทำให้สิงหมารรู้สึกสยอง ราชาอยู่ตรงนี้หรือ? หันมองไปรอบด้านแต่ก็ไม่เห็นใคร มีแต่เพียงหมอกสีขาวเท่านั้น

     

                อยู่ๆ ราชาดินก็คำรามก้อง หมายจะห้ามปรามไม่ให้ชาวหมู่บ้านหมอกเอ่ยเรียกตนอย่างนั้น ซึ่งสำหรับราชาแล้วเขามองเห็นผู้คนในหมู่บ้านชัดเจน แต่สำหรับสิงหมารจะมองเห็นเป็นแค่หมอกจางๆ เท่านั้น ถึงจะมองไม่เห็นแต่สิงหมารก็สามารถได้ยินและแตะต้องได้ แต่ด้วยความที่ราชาคำรามขู่ไว้ทำให้ไม่มีผู้ใดเข้ามาใกล้รัศมีรอบๆ พวกเขาเลย

     

                สิงหมารกระชับมือจับขนแผงคอสิงโตหนุ่มแน่นจนราชารู้สึกเจ็บแปล๊บ ราชาเหลือบตามองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ทำเป็นเก่งสีหน้าเรียบเฉยแต่มือกลับสั่นอยู่เห็นๆ

     

                ‘เฮ้อ~ ช่วยสงเคราะห์เด็กตาดำๆ หน่อยละกัน’ ว่าแล้วราชาก็เอาขาหน้าเกลี่ยดินไปมา สิงหมารเหลือบตามองตามแต่มือยังจับขนแผงคอราชาแน่น

     

                ราชาขยับตัวจนออกห่างจากเด็กหนุ่ม ทำให้ขนที่แผงคอหลุดร่วงเป็นหย่อมเล็กๆ เจ็บแปล๊บขึ้นมา ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากัน สิงหมารยืนมองนิ่งด้วยความสงสัย ก่อนจะไหวตัวทันก็โดนขาหน้าของราคาทาบเข้าที่หน้าทันที สิงหมารตกใจแต่ยังคงนิ่งอยู่ จับขาหน้าสิงโตหนุ่มกระชากออกไปด้านข้างด้วยความโมโห

     

                ‘คนยิ่งกลัวๆ อยู่มาทำอะไรอย่างนี้ห๊ะ!’ สะบัดแล้วเกลี่ยดินออกจากตาข้างขวา พอลืมตาขึ้นสิงหมารก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าตรงหน้ามีผู้คนมากมายยืนออกันอยู่ เมื่อสักครู่ยังไม่เห็นวี่แววคนเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่? สิงหมารได้แต่สงสัย และเริ่มระวังตัวแจ

     

                “พี่ชายๆ” เด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามากระตุกชายเสื้อของเขา เอ่ยเรียกเบาๆ สิงหมารสะดุ้งเล็กน้อย ตกใจที่อยู่ๆ ก็มีเด็กน้อยมายืนอยู่ข้างตน ราชามองก่อนจะหันไปสบตากับชายในชุดเครื่องแบบกว่าสิบนายที่อยู่ตรงหน้า เป็นที่เข้าใจกันว่าตอนนี้ราชาไม่อยากให้ใครมายุ่งวุ่นวาย หรือทำอะไรก็ตามที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ตัวได้ว่าเขาคือใคร

     

                ชายกว่าสิบนายในเครื่องแบบพยักหน้า หันไปกระซิบบอกชาวหมู่บ้าน ก่อนจะเดินหลีกหายไปในฝูงชน

     

                ในขณะเดียวกันสิงหมารก็กำลังตกใจกับเด็กน้อยอยู่

     

                “พี่ชายมาจากโลกภายนอกเหรอก้ะ?” เด็กน้อยถาม

     

                “เอ่อ....ทำไมถึงคิดว่าอย่างนั้นละ?” สิงหมารไม่อยากเปิดเผยตนตอนนี้ แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่นี่ ก็ดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้ว เหมือนที่คนเมื่อคืนพูดไว้ไม่มีผิดจริงๆ

     

                “พี่ชายมองไม่เห็นพวกเรา ถึงต้องใช้นี่” ว่าแล้วเด็กน้อยก็กวาดมือรวบรวมดินที่พื้นขึ้นมาชูให้ดู สิงหมารเอียงคอด้วยความสงสัย

     

                “ก็...ถ้าไม่ใช่คนที่นี่... อ้าย แม่จ้า~” ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะตอบก็ถูกหญิงสาวผมยาววิ่งเข้ามาจับตัวลากออกไปทันที

     

                “เดี๋ยวก่อนครับ!” หญิงสาวสะดุ้งหันกลับมามอง

     

                “เอ่อ....ที่นี่คือที่ไหนครับ?”

     

                “........” หญิงสาวหันไปสบตาราชาก่อนจะเอ่ยตอบเมื่อเห็นว่าราชาอนุญาต “หมู่บ้านแห่งหมอก” ตอบแล้วรีบเดินเข้าไปในฝูงชนที่ยืนอออยู่ด้านหน้าทันที

     

                ‘เอายังไงดีละ ดูเหมือนชาวบ้านจะไม่เต็มใจให้ความร่วมมือ สงสัยจะระแวงเราแหง’ สิงหมารครุ่นคิด ยังอยากฟังที่เด็กน้อยคนนั้นพูดต่อ

     

                ‘เมื่อกี้เด็กคนนั้นกำดินขึ้นมาให้ดู หมายความว่ายังไงกัน? ที่ว่ามองไม่เห็น’ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแตกเศษดินที่เปื้อนอยู่ปลายหางตาที่เหลือเบาๆ พลางคิดทบทวนเหตุการณ์เมื่อสักครู่ ที่อยู่ๆ สิงโตหนุ่มก็ยกขาหน้าที่เปื้อนดินขึ้นแปะที่หน้าของตน

     

                สิงหมารหลับตาแล้วลืมตาก็ยังคงเห็นชาวเมืองอยู่ตรงหน้า พอลองหลับตาขวาที่มีเศษดินลงชาวเมืองตรงหน้ากับหายไป เด็กหนุ่มตกใจกระโดดโหยงไปด้านหลังลืมตาทั้งสองข้างก็เห็นชาวเมืองอีกครั้ง พอลองหลับตาซ้ายก็ยังคงเห็นอยู่ แน่ชัดแล้วว่าเพราะเหตุใด

     

                ‘นี่มัน....เรื่องบ้าอะไรกัน!!!???’ เสียงตะโกนก้องในใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มองชาวเมืองเลิกลักสลับกับมองสิงโตหนุ่มที่ตอนนี้หันมาสบตาตน

     

                เรื่องแบบนี้ไม่เคยพบไม่เคยเจอ

     

                เรื่องแบบนี้ไม่เคยมีอยู่ในหน้าหนังสือเล่มไหน

     

                ไม่เคยมีใครสอน ไม่เคยมีใครบอก

     

                แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้ากลับบอกเล่าตัวมันเอง เหมือนคนกลัวผีแต่ไม่เคยเห็นผี พอได้เห็นผีแล้วมันก็ตกใจหวาดกลัวสุดขีด ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังเป็นอย่างนั้นเลย

     

                สิงหมารช็อคก่อนจะตาเหลือกขึ้นเป็นลมล้มลงไปต่อหน้าราชา ราชารีบวิ่งเข้าไปยันหลังไว้ไม่ให้ล้มกระแทกพื้น เสียงแว่วสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้ยินคือเสียงกรี๊ดตกใจของชาวเมือง อะไรจะเป็นไปต่อไม่รับรู้แล้ว.......

     

                ทุกอย่างค่อยๆ มืดลง.....

               

                มืดลง.......

     

     

     

     

                หลังจากที่สิงหมารล้มหมดสติ ชาวบ้านเมืองแห่งหมอกช่วยกันพาร่างของเด็กหนุ่มไปพักที่บ้านพักของผู้คุมเขตที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ราชากำชับสั่งห้ามผู้ใดเปิดเผยความจริงเรื่องของตน ให้ทำตัวเป็นปกติเหมือนราชาไม่ได้อยู่ที่นี่ และให้คิดว่าราชาคือสิงโตธรรมดา แน่นอนว่ากระต่ายป่าที่ตามติดราชาและเด็กหนุ่มอย่างลับๆ ก็เข้ามาร่วมมือด้วย เขาคือผู้รับคำสั่งตรงจากราชาเพื่อถ่ายทอดแก่ประชาชนชาวเมืองแห่งหมอก ประชาชนทุกคนในป่าลับแลสามารถรับการสื่อสารผ่านโทรจิตได้ จึงรับรู้ความคิดของราชาถึงแม้ราชาจะไม่ได้เอ่ยออกมาก็ตามถ้าราชาต้องการจะสื่อ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับความไว้ใจจากราชาที่จะให้สื่อสารผ่านโทรจิตโดยตรง ซึ่งกระต่ายป่าคือหนึ่งในนั้น

     

     

                ชาวเมืองทุกคนรู้หน้าที่ของตน แม้จะเกรงราชาแต่ก็ทำตนดั่งเช่นเดิมทุกวัน ใครมีงานใดใคร่ทำก็ทำ ประชาชนในป่าลับแลล้วนแล้วแต่ปฏิบัติอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่เคยมีปัญหาใดๆ เหมือนเหล่ามนุษย์ที่ขาดเขลาภายนอก พวกเขาต่างไว้ใจซึ่งกันและกัน ไม่มีเรื่องลักขโมย ไม่มีทำร้ายเข่นฆ่ากันโดยใช่เหตุ ไม่มีการโกหก ผิดประเพณีใดๆ ก็ไม่เคยมี

     

                ดังนั้นที่ราชาเคยเอ่ยคำลวงแก่สิงหมาร จึงเป็นต้นเหตุให้เรื่องร้ายตามมาภายหลัง และเป็นสิ่งที่กระต่ายป่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด เขาเก็บซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ในใจ ถึงแม้จะเป็นราชาดินก็ตาม แต่เมื่อผิดกฎเกณฑ์ โกหกด้วยคำลวง ปัญหาย่อมตามมา เวทย์มนต์แห่งปฐพีอาจสั่นคลอนได้ เขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง การกำจัดหายนะตามคำทำนายคือหน้าที่

     

     

    …………….

    …………………

    …………….

     

     

                ย้อนกลับไป 17 ปีที่แล้ว ดาวหางที่ตกลงจากฝากฟ้าลือลั่นปฐพี หินคำทำนายส่องสว่าง แม่มดขาวแห่งทิศเหนือ พ่อมดแดงแห่งทิศตะวันออก ต่างเร่งรีบมาหาเขาด้วยความหวาดหวั่น

     

                "ท่านกระต่ายป่าขอรับ แม่มดขาวและพ่อมดแดงมาแล้วคขอรับ!" ทหารนายหนึ่งที่รีบเข้ามารายงานเขา ในขณะที่ทุกฝ่ายกำลังประชุมด้วยความตรึงเครียด ราชาอยู่ในร่างสิงโตกำลังเริงร่าอยู่ภายนอกปราสาท ส่วนผู้ที่มีอำนาจสูงสุงต่างต้องมาประชุมแผนการที่สำคัญโดยขาดราชา

     

                "รีบพาเข้ามา!!!" สิ้นเสียงกระต่ายป่า ปรากฏร่างของหญิงแก่ผมสีขาวในชุดคลุมสีขาวยาวปิดปลายเท้า และชายแก่ในชุดคลุมสีดำ ทั้งสองถือหินที่ส่องประกายเจ็ดสีเดินเข้ามา ก่อนจะวางหินทั้งสองไว้คู่กันบนโต๊ะประชุมยาวที่ทำจากหินแกรนิตสีดำเข้ม

     

                ในห้องประชุมที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อย ทำให้รู้ว่ามีผู้เข้าร่วมรวมกระต่ายป่าด้วยเป็นสิบคน เมื่อหินแห่งคำทำนายถูกวางลงชิดกันก่อให้เกิดลำแสงสีขาวพุ่งขึ้น สว่างวาบเป็นดั่งโปรเจคเตอร์ฉายลอยอยู่บนอากาศ ตัวอักษรสีฟ้าปรากฏลอยขึ้นท่ามกลางแสงสว่างวาบนั้น

     

     

     

    ชะตาราชาสิ้นสุด

     

    ผู้ปกครองคนใหม่ถือกำเนิด

     

    เด็กหนุ่มจากทิศตะวันตก

     

    ผู้จะฆ่าสรรพสิ่งให้สูญสิ้น

     

    โลกาจะลุกเป็นไฟ น้ำจะท่วมปฐพี

     

    ลบล้างทุกสิ่งเพื่อเริ่มต้นใหม่

     

     

     

                ".........นี่คือคำทำนายเพียงส่วนเดียว....." พ่อมดแดงเอ่ย กระต่ายป่าตัวสั่นระริกเมื่ออ่านคำทำนายจบ เขาหันไปมองหน้าพ่อมดแดงและแม่มดขาวช้าๆ ความหวาดหวั่นปะทะเข้ามา

     

                ".....หมายความว่ายังไง....ท่านพ่อมด...ท่านแม่มด....." เสียงที่สั่นเครือทำให้บรรยากาศมาคุขึ้น กระต่ายป่าคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดรองจากราชา นอกจากอำนาจดูแลการคลัง เขาได้รับความไว้ใจดำรงตำแหน่งมหาอุปราชคนสนิท ราชาให้อำนาจสูงสุดในการตัดสินใจและสั่งการแก่เขา จึงไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะแสดงอาการหวาดวิตกเช่นนี้ ผู้ร่วมประชุมต่างรอฟังคำตอบจากพ่อมดแดงด้วยใจระทึก

     

                ".....ยังมีคำทำนายอีกส่วนที่เหลือ......." พ่อมดแดงว่าพลางหันไปพยักพเยิดกับทางแม่มดขาว

     

                "...อีกส่วนอยู่ทางทิศใต้ สุดเขตแดนที่เป็นพื้นปฐพี ติดกับมหาสมุทรที่เป็นเขตของนางเงือก .....ตอนนี้อยู่ในมือของราชาแห่งท้องทะเล มีนราชา (มี-นะ-รา-ชา)" สิ้นคำกระต่ายทุบกำปั้นลงโต๊ะเสียงดังตึง! มือสั่นระริกด้วยความโกรธ

     

                "ราชาแห่งท้องทะเลเป็นคู่อริของชาวเรา! เจ้าคิดว่ามีนราชาจะยอมบอกคำทำนายที่เหลือเรอะ!?"

     

                "แต่เรายังไม่ได้เจรจา จะรู้ได้อย่างไรว่ามีนราชาจะไม่ให้ความช่วยเหลือเราเรื่องคำทำนาย" ชายในชุดสูทสีแดงที่ยืนอยู่ข้างกระต่ายป่า ผู้สวมหน้ากากลิงเอ่ยขึ้น กระต่ายป่าหันขวับไปทางเขา

     

                "ลิงขาว....ท่านจะให้เราขอความช่วยเหลือจากศัตรู?" ชื่อที่เรียกช่างขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขายิ่งนัก ลิงขาวเป็นผู้ควบคุมดูแลฝ่ายกลาโหม เป็นหัวเรือใหญ่ที่ขับเคลื่อนกองกำลังทหารทั้งหมดของราชวัง

     

                "ใช่" ลิงขาวตอบมาดนิ่ง

     

                "ทำไมเราต้องลดตัวไปขอความช่วยเหลือจากศัตรูด้วย ในเมื่อท่านมีกำลังทหารในมือ ทำไมไม่บุกไปช่วงชิงหินแห่งคำทำนายที่เหลือเองเลยล่ะ?" ชายอีกคนที่อยู่ด้านซ้ายของกระต่ายป่าลุกขึ้นตอบโต้ เขาสวนหน้ากากอินทรีในชุดสีขาว ผู้ที่ควบคุมดูแลงานต่างๆ ภายในราชวัง

     

                "อินทรีเหล็ก ช่วยใช้สมองอันน้อยนิดของท่านไตร่ตรองทีเถอะ ท่านคิดว่าเมื่อ 3,500 ปีก่อนที่เราทำศึกกับมีนราชา เราต้องสูญเสียไพร่พลไปเท่าไหร่ ชาวเมืองมนุษย์ด้านนอกป่าที่ไม่รู้เรื่องอีกเท่าไหร่ พื้นที่เขตการปกครองเท่าไหร่ที่ตอนนี้ยังคงจมน้ำอยู่อีกมากมาย สมองอันน้อยนิดของท่านคงไม่ลืมหรอกใช่ไหม?" คราวนี้เป็นชายอีกคนที่อยู่ถัดจากลิงขาวลุกขึ้นว่า เขาไม่ได้สวมใส่หน้ากากทำให้เห็นว่าเขาเป็นชายวัยกลางคน ที่มีหนวดสีดำเรียวสวยและเคราแพะนิดหน่อยที่ใต้ค้าง รอยแผลเป็นลากยาวที่ข้างแก้มทำให้เขาดูน่าเกรงขามยิ่งนัก

     

                "ไอ้เจ้าเสือดำ!!" อินทรีเหล็กตบโต๊ะดังปังด้วยความโมโห ทำท่าจะกระโจนใส่เสือดำแต่โดนคนข้างซ้ายคว้าแขนเขาไว้เสียก่อน

     

                "ปล่อย! กระต่ายดิน! วันนี้ข้าขอกำราบเสือบ้าเอาเลือดหัวมันมาล้างเท้าข้าหน่อยเถอะ!" ผู้ที่รั้งเขาคือกระต่ายดิน เขานั่งอยู่ทางด้านซ้ายของอินทรีเหล็ก เขามองไปที่เสือดำที่แสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

     

                "ใจเย็นๆ อินทรีเหล็ก ท่านจะไปหลงคำยั่วยุของเสือดำมันทำไม? ท่านก็รู้ว่าเขายุแหย่ให้อารมณ์เสียเล่น ไหนๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ทำไมเราไม่มาฟังความเห็นของท่านเสนาธิการฮูกขาวล่ะ?" ว่าแล้วก็ผายมือไปทางด้านซ้ายสุด ผู้ที่นั่งสงบนิ่งตั้งแต่ต้นไม่ไหวติงภายใต้หน้ากากนกฮูกลุกขึ้น เสือดำ ลิงขาว อินทรีเหล็ก และกระต่ายป่าต่างนั่งลงอย่างพร้อมเพียงกัน โดยหันไปรอฟังคำจากฮูกขาวด้วยความสงบ

     

     

                ".....เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ด้วยที่ข้าอยู่มาแล้วกว่า 100,000 ปี ถือว่าเป็นผู้อาวุโสที่ผ่านโลกมามากที่สุดในที่นี้ หวังว่าพวกท่านทั้งหลายจะช่วยตั้งใจฟังคำจากข้าบ้าง...." เสียงของชายแก่ที่เอื้อนเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น ทำให้ทุกคนในห้องประชุมตัวหนาวสั่น ไม่มีผู้ใดในที่นี้จะอายุมากได้เท่าฮูกขาวอีกแล้ว จึงมีความเกรงอกเกรงใจให้แก่ฮูกขาวเป็นอย่างมาก ฮูกขาวเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านจึงกล่าวต่อไป

     

                "....จริงๆ แล้วราชาของเรากับท่านมีนราชา เคยเป็นเพื่อนรักกัน..." สิ้นคำ เสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นด้วยความแปลกใจในคำพูดนั้น ไม่มีใครในที่นี้รู้ถึงความสัมพันธ์นี้ พวกเขาเกิดมาก็พบว่าราชาของตนกับราชาแห่งท้องทะเลเป็นศัตรูกัน

     

                "เสือดำ ท่านมีอายุมาแล้วกี่หมื่นปีแล้ว"

     

                "3...30,230 ปีครับ"

     

                "ในที่นี้เจ้ามีอายุมากสุดรองจากข้า แต่เจ้าก็ไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม?" เสือดำพยักหน้าเป็นเชิงตอบ

     

                "ท่านสิงหราชา หรือราชาดินของเรา แตกหักกับท่านมีนราชาเมื่อ 75,000 ปีก่อน ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแย่ลง สมัยก่อนท่านทั้งสองเป็นเพื่อนรักที่เกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้พร้อมกัน เมื่อแรกเริ่มถือกำเนิด พระเจ้าเสกดินขึ้นหนึ่งกำมือ โปรยลงมาสู่โลกแปรเปลี่ยนความมืดให้กลายเป็นทะเลทราย จากนั้นพระเจ้าก็สร้างน้ำอมฤทธิ์พรมลงมาบนโลก แปรเปลี่ยนกลายเป็นสายน้ำหลากสายที่บรรจบลงมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ ทั้งดินและน้ำต่างอุ้มชูกัน ไม่สามารถขาดกันได้ ทำให้เกิดสรรพชีวิตขึ้นในโลกนี้ พระเจ้าจึงสร้าง ราชาแห่งปฐพี ราชาดิน ราชาแห่งท้องทะเล มีนราชา (มี-นะ-รา-ชา) ราชาแห่งท้องฟ้า ทวิชราชา (ทะ-วิ-ชะ-รา-ชา) และราชาแห่งไฟ เตชะราชา เกิดความสมดุลแห่งธาตุทั้งสี่ มาช้านานกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด นานกว่าอายุของข้ามาโขนัก......นานจนราชาดินเองยังหลงลืมต้นกำเนิดของท่านเอง....."

     

                ".....พวกเจ้ารู้ไหม ทำไมมนุษย์ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการให้แก่เรา?" ทุกคนเงียบไร้เสียงตอบกลับ ฮูกขาวถอนหายใจหนึ่งที เขารู้อยู่แล้วว่าทุกคนต้องไม่รู้ เพราะเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อ 75,000 ปีมาแล้ว

     

                "เรื่องนี้เป็นความลับมาช้านาน ซึ่งแม้แต่ราชาดินเองหลงลืมมันจนหมดสิ้น ความลับนี้ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ก่อนที่ข้าจะเกิดเสียอีก หินแห่งคำทำนายเคยส่องสว่างมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 500,000 ปีก่อน และผู้ที่กุมความลับนี้ไว้ก็คือตระกูลของข้า ฮูกขาว โดยท่านบรรพบุรุษได้สั่งเสียปิดตายคำทำนายนี้ จนกว่าคำทำนายใหม่จะเกิดขึ้น บัดนี้คำทำนายใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว และข้ามีหน้าที่ต้องแจ้งคำทำนายแรกแก่ราชาและพวกเจ้า....." ทุกคนในที่ประชุมต่างกลืนน้ำลายลงคอรอฟังสิ่งที่ฮูกขาวจะเอ่ยต่อไป เรื่องที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง ความลับจากคำทำนายที่พูดถึงราชาดินและราชาแห่งท้องทะเล คำทำนายที่ต่อเนื่องสู่คำทำนายใหม่นี้....

     

     

     

     

                ย้อนกลับมาเวลาปัจจุบัน

     

                'ราชา....ข้าจะทำเยี่ยงไรดี ถึงจะปกป้องท่านได้' กระต่ายป่ายืนมองสิงหมารที่นอนหลับอยู่บนเตียง เขามองไปที่มือข้างขวาที่สวมถุงมือสีดำของเด็กหนุ่ม กระต่ายป่ายกแขนข้างนั้นขึ้นมาถอดถุงมือที่เกะกะออก เผยให้เห็นผิวเนื้อสีแดงเพลิง ในใจกระต่ายป่าเต้นตึกตักไม่เป็นระส่ำ เขากำมือนั้นแน่นก่อนจะรีบสวมถุงมือคืนแล้วปล่อยมือลงที่เดิม

     

                บัดนี้ความมืดเริ่มปกคลุมทุกหย่อมหญ้าอีกครั้ง ราชาคืนร่างเป็นมนุษย์ก้าวเข้ามาภายในห้อง

     

                "เจ้ายังอยู่อีกหรือ?" ราชาดินเดินเข้ามานั่งลงที่เตียงข้างกายสิงหมาร ก่อนจะคว้าไปที่หน้ากากของกระต่ายป่าแล้วดึงออก เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาเกลี้ยงเกลาของชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนด้านหลังและยาวส่วนหนึ่งด้านหน้าเลยใต้ค้างมาเล็กน้อย ดวงตาสีแดงทับทิมจดจ้องราชาอย่างไม่วางตา

     

                "ข้าเบื่อหน้ากากแล้ว เจ้าเผยหน้าตาจริงแล้วเข้ามาตีสนิทกับเจ้าเด็กนี้ซะ" กระต่ายป่าขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำสั่งนี้ออกมาจากปากราชาของตน

     

                "ท่านต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ...อุ๊บ." สิ้นคำกระต่ายป่าถูกฉุดลงมาด้วยมือของราชา ราชาจับแขนข้างหนึ่งกระชากลงมา แล้วกระชับมืออีกข้างเข้าที่ท้ายทอยกระต่ายป่า ประกบปากที่พูดมากนั้นเสีย กระต่ายยกมือขึ้นกันที่บ่าทั้งสองข้างของราชา

     

                เรื่องแบบนี้อีกแล้ว เขาชินแล้วกับการกระทำรุ่มร่ามเช่นนี้ของราชา กระตายป่าหลับตาปล่อยให้ราชาทำอย่างที่ต้องการต่อจนพอใจ ราชาถึงผละออกให้กระต่ายป่าลุกขึ้นออกจากอ้อมแขนตน กระต่ายป่ายกมือขึ้นเช็ดปาก

     

                "ทำไมท่านถึงชอบทำรุ่มร่ามแบบนี้นัก" เขาเอ่ยขึ้นด้วยความเหนื่อยใจ ใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทำให้ราชารู้สึกพอใจยิ่งนัก

     

                "ข้าอยากทำถึงได้ทำ อย่าลืมที่ข้าสั่ง เจ้าออกไปได้แล้ว" สิ้นคำกระต่ายป่าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหยิบหน้ากากที่ตกพื้นขึ้นมาสวมใหม่ดังเดิมแล้วสะบัดหน้าเดินออกไปทันที

     

                ราชายิ้มกับท่าทางที่ดื้อด้านนั้น เขาชอบเล่นสนุกกับกระต่ายป่ายิ่งนัก เวลาเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าไม่พอใจแล้วก็อยากจะแกล้งเล่น แต่ตอนนี้มีสิ่งอื่นที่อยู่ในความสนใจของราชาแทนแล้ว เขาหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยังไม่ตื่น ลูบมือไล้ผิวหน้าเรียบเนียนนั้นอย่างเบามือ

     

                "ข้าจะทำเช่นไรกับเจ้าดีนะสิงหมาร... ท่าทางที่เจ้าแสดงวันนี้ ช่างโดนใจข้าเหลือเกิน..... ข้าจะเล่นสนุกอย่างไรกับเจ้าดีนะ...หึหึ" ราชาแสยะยิ้มแอบวางแผนร้ายอยู่ในใจ.....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×