ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ครึ่งชีวิต

    ลำดับตอนที่ #2 : รีสวรรค์แกล้งให้ผมต้องพบกับเขา

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ค. 56



    ผม ริชาร์ด เบแอล อายุ 29 ปี เป็นช่างภาพอิสระ เกิดและโตที่อเมริกา อาศัยอยู่ที่วอชิงตัน ดี.ซี. กับน้องสาวแสนสวยน่ารักเพอร์เฟ็ค เรียบร้อย อ่อนหวาน สุดแสนนนนนนจะบรรยายไม่หมด เธอชื่อ เรน่า อายุ 26 ปี ส่วนพ่อและแม่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ผมยังเด็ก เราสองคนเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

    ในช่วงแรกของวัยรุ่นผมเกเรมากครับ ทั้งต่อยตี เหล้า บุหรี่ ยาเสพย์ติด อบายมุขทุกอย่างผมลองมาหมด จนเมื่อผมย่างเข้าอายุ 15 ปี ผมและน้องสาวถูกส่งไปอยู่ในการดูแลของครอบครัวใหม่ ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผมเริ่มมองเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น

    รู้ว่าเราต้องยืนหยัดต่อสู้เพื่อครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่เพื่อ เรน่า น้องสาวที่มีอายุห่างจากผม 2 ปี ผมและน้องอาศัยอยู่ด้วยกันกับครอบครัว เอ็ดมอร์น ครอบครัวที่อุปการะเลี้ยงดูพวกผมทั้งสองคน โดยไม่เกี่ยงว่าผมจะทำตัวเหลวแหลกขนาดไหน

    ครอบครัวใหม่ของผมมีเพียงคุณและคุณนายเอ็ดมอร์น สองสามีภรรยาที่ไม่สามารถมีลูกได้ ท่านทั้งสองให้ความห่วงใยพวกผมเสมอ คอยแนะนำสั่งสอนเรื่องต่างๆที่ถูกต้อง ทำให้หมาบ้าตัวหนึ่งกลายเป็นคนได้ ผมรู้สึกขอบคุณพวกท่านจากใจจริง

    ในวันเกิดปีที่ 19 ของผม ปีที่ผมตัดสินใจจะออกมาใช้ชีวิตคนเดียว ท่านทั้งสองถึงแม้จะรู้สึกเศร้าที่ผมจะย้ายออก แต่ก็ให้การสนับสนุนเต็มที่ที่ผมจะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตและยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ท่านทั้งสองมอบของขวัญสุดล้ำค่าที่สุดให้แก่ผม

    มันคือกล้องถ่ายรูปขนาดพอดีมือสีดำ กล้องฟิล์มช่วงประมาณปี 70 Canon F-1 เลนส์ 35mm SLR ที่ผมเคยเปรยว่าอยากได้มาก และไม่คิดว่าท่านทั้งสองจะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดปีที่ 19 ให้ผม

    ถึงแม้จะไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุด แต่สำหรับผมมันคือความฝันของผมเลย เพราะเป็นกล้องตัวแรกที่ผมสะดุดตา ช่องวิวไฟเดอร์ที่สามารถเปลี่ยนได้ ผมอยากได้ถึงขนาดไปเกาะขอบหน้าต่างร้านขายกล้องทุกวัน ถ้ากล้องมันละลายเพราะตาผมได้มันคงละลายไปแล้ว

    และนั่นคือจุดเริ่มต้นอาชีพของผมจนถึงปัจจุบันนี้ ด้วยกล้องตัวแรกกับประสบการณ์ตามสตูดิโอถ่ายภาพหลายแห่ง จนในที่สุดผมก็ก้าวเข้ามาเป็นมืออาชีพถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ทั่วโลกเมื่ออายุได้ 25 ปี

    ผมเดินทางไปทุกที่ ถ่ายภาพสถานที่ต่างๆมาแล้วเกือบครึ่งค่อนโลก ทำงานเก็บเงินส่วนหนึ่งส่งไปเข้าบัญชีชื่อน้องสาวที่อเมริกา หวังว่ามันจะกลายเป็นเงินก้อนโตเพื่ออนาคตของเธอ

    จนกระทั่งวันนั้นเมื่อ 1 ปีก่อน


    …………………………..



    ………………………



    ……………..


    เรน่าส่งอีเมล์มาถึงผมที่กำลังออกเดินทางถ่ายภาพอยู่ที่อินเดีย วิธีชีวิตของคนท้องถิ่นและสภาพแวดล้อมที่นี่ช่างมีเอกลักษณ์น่าหลงใหล

    ผมอ่านเมล์ที่เรน่าส่งมาก็ต้องแปลกใจ เรน่าตกหลุมรักคนไทยคนหนึ่งเมื่อครั้งเดินทางไปเที่ยวเมืองไทยครั้งแรก เธอบอกว่าเหมือนศรรักปักอกทันทีที่ได้เห็นเขา SOUL MATE เธอว่าอย่างนั้น

    และที่ต้องตกใจกว่านั้นคือ พวกเธอคบหาดูใจกันมาได้แค่ 1 เดือนก็ตกลงที่จะแต่งงานกัน โดยเรน่าได้คุยเรื่องนี้กับครอบครัวเอ็ดมอร์นและครอบครัวทางฝั่งผู้ชายเรียบร้อยแล้ว

    โดยตกลงที่จะเดินทางไปจัดงานแต่งที่เมืองไทย และอยากให้ผมซึ่งเป็นพี่ชายเพียงคนเดียวเดินทางไปร่วมแสดงความยินดีด้วย ความรู้สึกที่ได้รู้ว่าน้องสาวคนเดียวจะแต่งงานออกเรือนมันช่างเป็นความรู้สึกที่ประหลาด

    ผมเลื่อนเมาท์ลงมาหยุดที่ภาพถ่ายของเรน่าคู่กับแฟนหนุ่มที่แนบมาในอีเมล์ฉบับนี้ด้วย รอยยิ้มที่กว้างอย่างมีความสุขของเรน่าทำให้ผมที่เป็นพี่ชายรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย

    ผมรีบตอบกลับอีเมล์แสดงความยินดี และทิ้งท้ายว่าจะรีบเคลียงานทางนี้และเดินทางไปหาเธอที่เมืองไทยทันที



    ใช้เวลาไม่นานในการเคลียงานผมจองตั๋วเครื่องบินพร้อมก็ออกเดินทางทันที ผมมาถึงเมืองไทยในตอนเย็น เรน่ากับแฟนหนุ่มมารอรับผมที่สนามบิน

    น้องสาวผมแนะนำให้รู้จัก กฤษณะ หรือ ที ว่าที่เจ้าบ่าวในอนาคตของเธอ ทีเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ร่างกายบึกบึนสมชายชาตรีมาก ผิวเหลืองเหมือนคนเอเชียทั่วไป ผมฝากฝังน้องสาวพร้อมคำขู่ว่า หากดูแลน้องสาวผมไม่ดีละก็ ผมจะรีบบินมาพาตัวน้องสาวผมกลับประเทศทันที ทีรีบรับปากว่าจะดูแลเรน่าให้ดีที่สุดที่ชายคนหนึ่งจะมอบให้แก่คนรักของตนได้

    ผมมองจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำขลับและจริงใจของเขา ยอมรับจากใจว่าผมสามารถฝากน้องสาวสุดที่รักไว้ในมือชายคนนี้ได้

    เรน่าอ้อนกับผมในเช้าวันถัดมา ให้ผมไปเป็นเพื่อนเธอกับทีเพื่อไปดูฤกษ์วันแต่งงานตามแบบคนไทย ผมไม่ค่อยเข้าใจนักเรื่องการดูหมอดูดวงอะไรเทือกนี้ มันมีผลต่อการที่เราจะแต่งงานกับใครคนหนึ่งที่เรารักได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ?

    เรน่าอธิบายว่าเพื่อให้พิธีเป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่ติดขัด และเพื่อความรักที่สมบูรณ์ต่อจากนี้ไปตราบนานเท่านาน ผมว่าผู้หญิงช่างเพ้อฝัน และน้องสาวผมก็ช่างฝันเสียเหลือเกิน ผมไม่อาจจะต่อกรกับดวงตาใสซื่อและเป็นประกายของเธอได้ จึงต้องยอมทำตามอย่างว่าง่าย

    เมื่อได้วันและเวลาในการจัดพิธีแต่งงานตามประเพณีไทย หมอดูหรืออาจารย์อะไรสักอย่างที่เค้าเรียกกันหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าที่เข้มขรึม ผมจ้องเขากลับด้วยความงุนงง สงสัยว่าผมไปทำอะไรผิดวัฒนธรรมไทยเข้ารึเปล่า

    อาจารย์คนนั้นชี้มาที่หน้าของผมแล้วส่ายหน้าไปมา ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ผมฟังไม่ออก เพราะเป็นภาษาไทย เรน่าหันไปมองแฟนหนุ่มเป็นเชิงสงสัยเช่นเดียวกับผม

    อาจารย์เพชรบอกว่า เนื้อคู่ของคุณเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ชาติปางก่อน” ทีหันมาแปลให้พวกผมฟัง ผมได้แต่ขมวดคิ้วไม่เชื่อในทันที เป็นศัตรูคู่แค้นกันมาจากชาติปางก่อนแล้วจะมาเป็นเนื้อคู่กันได้ยังไง ไร้สาระ โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่อาจารย์คนนั้นพูดไว้จะเป็นจริงขึ้นมาได้

    หลังจากนั้นดูฤกษ์งานพิธีเสร็จก็ยังมีเรื่องต้องไปดูของชำร่วยงานแต่งอีก ผมเห็นว่ามันแสนจะน่าเบื่อ จึงปลีกตัวออกมายืนสูบบุหรี่ของนอก ผมเดินมาเรื่อยๆจนถึงสี่แยกที่คนพุกพ่าน มีสิ่งหนึ่งกวนใจผมจนต้องหันไปมอง

    ฝั่งตรงข้ามมีชายคนหนึ่งเซ่อซ่าทำกระดาษปลิวว่อนไปทั่ว กำลังกระโดดเหยงๆคว้ากระดาษพวกนั้น แต่ก็คว้าไว้ได้แค่แผ่นเดียว สักพักก็เปลี่ยนอารมณ์เอากระดาษที่อยู่ในมือยื่นออกมาข้างหน้า แล้วก็เพ่งๆมองๆอะไรของเขาก็ไม่รู้

    เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ แต่ก็แปลกที่ไม่มีใครหยุดเดินหันไปสนใจเค้าสักคน คนไม่น่าสนใจก็งี้ แต่พอเขาเอามือลงถึงได้เห็นว่าหน้าตาก็หล่อเอาเรื่องเหมือนกัน เสียดายที่ผมว่าผมหล่อกว่าเค้าหลายเท่า

    แปลกที่อยู่ๆคนนั้นก็จ้องมองมาที่ผม รู้สึกไม่กินเส้นแปลกๆ จะจ้องอะไรนักหนา ไม่ยอมแพ้หรอก ผมจ้องตาตอบไม่กระพริบ เอาสิดูว่าใครจะชนะ รีบๆยอมแพ้แล้วหลบสายตาไปซะที

    ผมรู้สึกหมั่นไส้มันขึ้นมาตะหงิดๆ ผมเซอฟูๆสีดำขลับ หูฟังที่เสียบอยู่ข้างเดียวกับอีกข้างที่หล่นลงมา ท่าทางเอ๋อๆน่ารำคาญ ขนาดกระดาษแผ่นเดียวที่เห็นเมื่อกี้กระโดดคว้าอย่างเอาเป็นเอาตายล่วงหลุดมือไปแล้วยังไม่รู้สึกตัวอีก ทุกอย่างของเขาทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดมากถึงมากที่สุด


    ความรู้สึกคับแค้นแน่นอกนี่มันคืออะไรกัน

    ความโกรธที่พวยพุ่งอย่างหาที่มาที่ไปไม่ได้

    เคยไหมครับที่รู้สึกว่าเกลียดใครคนหนึ่งเข้ากระดูกดำ ทั้งๆที่เพิ่งจะเคยเห็นหน้าเคยเจอกันครั้งแรก พอแค่สบตาก็เกลียดกันแล้ว ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอย่างนั้นเลยล่ะครับ


    แต่ก่อนที่ขาข้างใดข้างหนึ่งจะก้าวออกไปมือข้างซ้ายก็ถูกจับเอาไว้เสียก่อน ผมหันไปมองเรน่าที่เดินเข้ามาคว้ามือผมไว้ รอยยิ้มนางฟ้านี้ทำให้เมฆดำอึมครึมในใจสลายไปทันที ผมยิ้มตอบกลับน้องสาวสุดที่รัก

    กลับกันเถอะค่ะพี่ริชาร์ด เดี๋ยววันนี้เรน่าจะพาไปทานดินเนอร์อาหารไทยริมแม่น้ำ บรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติก” อา...เจ้าหญิงตัวน้อยของพี่ ตอนนี้โตเป็นสาวน้อยแสนหวานไปเสียแล้ว ผมพยักหน้าก่อนจะเดินจูงมือเรน่าไปยังทางเดิม

    รู้สึกถึงสายตาที่คุกคามจากด้านหลัง ว่าจะหันไปมองสักหน่อย แต่เปลี่ยนใจไม่สนใจดีกว่า

    ผมได้แต่ภาวนา ขออย่าให้ได้เจอกันอีกเลย.....


    ……………..



    ………………………



    …………………………..


    หลังจากวันนั้นผมเดินทางกลับไปยังอินเดียทันที 3 วันที่อยู่เมืองไทยช่างสั้นนัก ผมได้เห็นอะไรมากมายหลายๆอย่าง ทั้งวัฒนธรรม ผู้คนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส มิตรไมตรีใหม่ ทำเอาผมหลงรักเมืองไทยถึงขั้นวางแผนไว้ว่า สักวันหนึ่งผมจะต้องกลับมายังที่แห่งนี้อีกครั้งให้จงได้ และผมก็ได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้งในงานแต่งของเรน่าอีก 2 เดือนถัดมา แต่ก็ต้องรีบบินกลับเพราะติดงานที่ใหม่

    จนเวลาล่วงเลยมา 1 ปี ผมเก็บเงินได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งมากพอที่ผมจะเที่ยวรอบโลกได้ 1 รอบโดยไม่ต้องทำงานใดๆเลย และผมไม่รีรอที่จะใช้เงินเก็บก้อนนั้น ซื้อตั๋วเครื่องบินจากอเมริกาตรงมายังเมืองไทยอีกครั้งทันที ผมพกกล้อง Canon F-1 ตัวเก่งที่ไปไหนมาไหนกับผมมาตลอด 10 ปี

    ผมทะนุถนอมดูแลรักษาอย่างดีปานลูกรัก ใครแตะไม่ได้โดนถีบ ถ้าเป็นรอยข่วนสักรอยผมคงได้ชักดิ้นชักงอ อะไหล่ก็หายากแสนยาก เพราะงั้นหากเป็นอะไรขึ้นมาผมคงน้ำลายฟูมปากตายก่อนแหง

    อีกตัวเป็นกล้อง Fujifilm X-E1 สีดำ ที่ผมไปสอยมาเมื่อครั้งเดินทางไปถ่ายภาพที่ญี่ปุ่น เมืองฮอกไกโดในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา หนาวสุดขั้วหัวใจ หิมะที่ตกอย่างหนัก ผมต้องแบกกล้องและอุปกรณ์ที่หนักว่า 10 กิโล ไปถ่ายภาพทิวทัศน์ท่ามกลางหิมะตก บ้าไปแล้ว! ถ้าไม่ใช่งานนะ ผมไม่ยอมทำอะไรบ้าบิ่นแบบนั้นแน่ ผมสามารถตายเพราะความหนาวได้ทุกเมื่อหากเตรียมตัวไม่ดี แต่เพราะเงินตอบแทนที่มากโขทำให้ผมยินยอมรับงานนี้โดยไม่ไตร่ตรองใดๆก่อน

    วันนี้เป็นวันที่ 2 ของผมในเมืองไทย มีสถานที่มากมายที่ทำให้ผมตื่นเต้น และรู้สึกถึงความแปลกใหม่ โดยเฉพาะสีลมซอย 2 ที่เรน่าพาผมไปมาเมื่อคืน ส่วนวันนี้เป็นวัดพระแก้วที่สวยสดงดงาม ต่างกันคนละขั้วกับเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง

    ผมตื่นเต้นไปหมดเมื่อได้สัมผัสวัฒนธรรมไทย มือกดชัตเตอร์รัวไม่หยุด แต่ในที่สุดผมก็ต้องยอมแพ้ต่อแดดที่ร้อนเปรี้ยงกลางหัว อากาศเมืองไทยเหมือนอินเดียไม่มีผิด ร้อนพอกันครับ แต่ร้อนคนละแบบ ผมก็อธิบายไม่ถูกว่ามันต่างกันยังไงมันเป็นความรู้สึกที่ละเอียดมาก ผมดึงฮู้ดขึ้นมาคลุมศีรษะไว้เพื่อป้องกันแสงแดดแผดเผาไปมากกว่านี้

    เดินหาที่พักตากแอร์จนมาเจอแกลลอรี่ที่เปิดให้เข้าชมฟรี หน้าทางเข้ามีตัวอย่างรูปผลงานและภาพใบหน้าเจ้าของผลงาน ผมแค่มองผ่านๆ เพราะเริ่มจะมึนกับอากาศที่ร้อนแสนร้อนนี้ ขวดน้ำเปล่าในมือที่ซื้อข้างทางเมื่อครู่ถูกเปิดออกให้ผมได้ดื่มดับกระหาย ก่อนจะเดินเข้าไปภายในแกลลอรี่แห่งนี้

    ด้านในมีเคาน์เตอร์ที่วางโปรชัวร์รายละเอียดการจัดแสดงผลงาน และประวัติศิลปินเจ้าของผลงาน ผมคว้ามาพัดดับร้อนโดยไม่ได้เปิดดูด้านใน เพราะให้เข้าชมฟรีเลยไม่มีคนดูแลหน้าทางเข้ารึยังไง จากเคาน์เตอร์เข้าไปมีป้ายชี้ไปสองทาง ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ซึ่งฝั่งซ้ายจัดแสดงผลงานเปิดประมูล และฝั่งขวาผลงานชิ้นเอกไม่เปิดประมูล

    แน่นอนผมเดินไปทางฝั่งขวา เพราะคำว่าผลงานชิ้นเอกแท้ๆ

    พอเดินเข้ามาด้านในห้องสีขาวเปิดโล่งเป็นโถงกว้าง ลึกเข้าไปด้านในมีทางยาวเชื่อมไปถึงอีกห้องหนึ่ง ในห้องโถงมีภาพวาดขนาดกว้างน่าจะสักประมาณ 3 เมตรได้ จัดแสดงอยู่เดี่ยวๆ รอบด้านมีภาพอื่นๆอีกเพียงไม่กี่ภาพ คาดว่าผลงานอื่นน่าจะจัดไว้อยู่ในห้องด้านในสุด

    พอได้รับความเย็นจากแอร์ผมก็เริ่มมีสติ หัวที่ปวดตุบๆก็เบาลงจนตอนนี้ไม่ปวดหัวแล้ว ผมเดินไปหยุดอยู่ที่หน้ารูปขนาดใหญ่ ทำไมรู้สึกคับคล้ายคับคายังไงก็ไม่รู้ ชายหนุ่มผมทองท่ามกลางฝูงชนขวักไขว้ ผมก้มดูชื่อผลงาน

    SOUL MATE

    เหอะ! ชื่อช่างไม่เข้ากับภาพซะเลย ผมเงยหน้าพิจารณาภาพอีกครั้ง ผมดูภาพงานศิลปะไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ ถ้าเป็นรูปถ่ายก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ผมต้องขอยอมรับจริงๆ ว่าผลงานชิ้นนี้สวยเหลือเกิน การจัดองค์ประกอบภาพ สีและลูกเล่นรวมถึง focus point ที่โดดเด่นทำให้ภาพนี้ดูสมบูรณ์

    ถ้าไม่ติดที่ชื่อภาพประหลาดๆนั่นนะ ผมยกโปรชัวร์ในมือขึ้นมาดูหน้าเจ้าผลงาน ไม่ใช่สาวน้อยช่างฝัน แต่เป็นหนุ่มหล่อมาดเซอในชุดสูทสีเข้ม คิดได้อย่างเดียวว่า หมอนี้ต้องเป็นเกย์แน่นอน คงไม่มีชายแท้คนไหนตั้งชื่อรูปผู้ชายว่า “SOUL MATE” หรอกจริงไหม

    ผมยังคงสะดุดใจคนในภาพ ทำไมมันช่างคุ้นเหลือเกิน ผ้าพันคอสีแดง เสื้อสีดำ ผมสีทอง กับผู้หญิงข้างๆ ถึงจะจืดจางกว่า แต่หน้าด้านข้างของเธอ....นั่น เรน่า ชัดๆ! งั้นผู้ชายในรูปก็ผมน่ะสิ!! ผมพิจารณาดูให้ดีอีกรอบ แต่ดูยังไงๆในภาพนั่นก็ผมกับเรน่าชัดๆ

    ปากผมสั่นระริก ด้วยความโกรธ ทำไมน่ะเหรอ? ก็โกรธที่มันบังอาจวาดภาพผม แถมตั้งชื่อภาพทุเรศๆอย่างนี้อีก ไม่พอเจ้าของผลงานยังเป็นผู้ชาย! ไม่ให้ผมโกรธได้ไงไหว จนต้องสบถออกมา

    “It’s me!” อย่าให้เจอนะ จะต่อยให้หน้าคว่ำ แล้วถลกหนังหัวออกมาเปิดกะโหลกดูสิว่ามันคิดอะไรอยู่ เลือดในกายผมเดือดดาน

    ผมรู้สึกถึงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงหันไปมองกลัวว่าเขารู้ว่าคนในภาพเป็นผม แต่ก็ต้องตกใจ

    ไอ้นี่มันศิลปินโรคจิตเจ้าของผลงานนี้นี่หว่า!! ผมไม่รีรอเดินเข้าไปตะบันหน้ามันอย่างคุมตัวเองไม่อยู่ มันก็เฉยให้ผมชกไปหมัดอย่างจังๆ ผมสะบัดมือไปมาเจ็บเหมือนกัน เพราะไม่ได้มีเรื่องชกต่อยมานานแล้ว

    พอมันล้มผมรีบซ้ำ เดินเข้าไปกระชากคอเสื้อมันขึ้นมาทันที

    ไอ้โรคจิต! แกเป็นใครวะ!? ทำไมถึงวาดภาพนี้ออกมา!? SOUL MATE งั้นเหรอ ตลกมากใช่ไหม? แต่ไม่ขำสักนิดโว้ย!” ผมกระชากคอเสื้อเขย่าอย่างอารมณ์เสีย เพราะมันไม่ตอบโต้สักนิด เอาแต่จ้องหน้าผมตาเป็นมัน มันต้องเป็นคนที่โรคจิตขนานแท้ ที่โดนขนาดนี้ยังนิ่งเฉยอยู่ได้

    "SAY!!" พอไม่มีคำตอบให้ผมก็ชักจะเหลืออดขึ้นมาแล้ว รู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างแรง เหมือนเป็นคู่แค้นกันมานมนาน ขอชกอีกสักหมัดเหอะ! ผมง้างมือขึ้นกำหมัดแน่น หมัดนี้เอาให้จังๆหนักๆไปเลย

    แต่ก่อนที่ผมจะได้ทำตามใจก็ถูกชายตัวอ้วนวิ่งเข้ามาปะทะ กดผมล้มลงกับพื้นแล้วขึ้นคร่อมจับมือผมไพร่หลัง

    ไอ้สารเลว! ปล่อยกูนะโว้ย! ปล่อย! ใครใช้ให้แกวาดภาพนี้ออกมา @%#SDF@!#$IS%^@ @#!!!!” และคำด่าอีกสารพัดที่จะนึกออก ผมพยายามดิ้นสุดแรง อยากจะเข้าไปถีบไอ้โรคจิตที่นั่งมองผมนิ่ง ชี้นิ้วมาที่ผม ผมไม่กลัวหรอก มาตัวต่อตัวเลยดีกว่า

    ผมเริ่มหมดแรงจึงเลิกพยศก็พอดีกลับที่ชายอ้วนที่นั่งทับผมอยู่ลุกขึ้นออกจากตัวผม มันจับผมลุกขึ้นยืนมือที่ไพร่หลังถูกสายรัดพลาสติกรัดนิ้วโป้งทั้งสองนิ้วไว้ ทำให้ผมดิ้นไม่หลุดได้สะบัดตัวไปมา ผมมองชายอ้วนคนที่จับแขนผมกับชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆไอ้โรคจิตนั่น ถึงได้รู้จากเครื่องแบบว่าพวกเขาเป็นรปภ.

    เพราะผมก่อเรื่องขึ้นสินะเลยโดนแบบนี้ ไม่แปลกใจเลยสักนิด ตอนนี้สติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองได้ทำเรื่องบ้าๆลงไปโดยไม่รู้ตัว เวลาโกรธแล้วผมระงับอารมณ์ไม่อยู่ก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ หลังจากผมปิดตายหมาบ้าของผมเอาไว้เมื่อครั้งอายุได้ 15 ปี ไม่คิดเลยว่าสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ป่ามันจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนนี้

    และแล้วความทรงจำเมื่อ 1 ปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในสมองอย่างช่วยไม่ได้

    สี่แยกไฟแดงเมื่อ 1 ปีก่อน

    คนเซ่อซ่าคนหนึ่งที่ทำกระดาษปลิวว่อน

    คนที่ยืนจ้องหน้าผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่พอจ้องกลับก็ไม่ยอมหลบสายตา

    คนที่ผมรู้สึกเกลียดเข้ากระดูกดำคนนั้น

    ไอ้โรคจิตนี่คือมันนั่นเอง!!!!!

    อย่าให้หลุดไปได้นะ มึงได้ตายศพไม่สวยแน่!!!!


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×