ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สิงหราชาวดี [yaoi]

    ลำดับตอนที่ #2 : ราชารูปงามกับเด็กหนุ่มผมทอง

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ย. 58


     

                ท้องฟ้าเปลี่ยนสีเป็นสีส้มทองเมื่อยามอาทิตย์อัสดง ก่อนจะเปลี่ยนกลางวันให้กลายเป็นกลางคืน ลมที่พัดหวิวโชยความเย็นยะเยือกผ่านป่าที่กำลังหลับใหล ปลุกให้เหล่าสรรพสัตว์ที่หากินตอนกลางคืนตื่นขึ้น ....

    เสียงฝีเท้าจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้ บริเวณนี้เป็นถนนเล็กๆ พอรถวิ่งได้หนึ่งคัน พื้นผิวถนนไม่เรียบขรุขระเป็นลูกรัง ทางต้นเสียงเห็นแสงไฟจำนวนมากมาแต่ไกลกำลังมาทางนี้ด้วยความเร็ว

     

                ตึก ตึก ตึก

     

                ชายผู้สวมหน้ากากกระต่ายสีขาวหูยาวสีแดงกำลังวิ่งมาพร้อมตะเกียงเจ้าพายุในมือ ชุดที่ใส่ช่างไม่เข้ากันเลย เพราะเป็นชุดสูทสีดำ ถุงมือสีขาว ขัดกับของในมือเสียเหลือเกิน ด้านหลังของเขาเป็นกลุ่มคนนับสิบที่สวมชุดรัดรูปสีดำ มีเสื้อกั๊กสีแดงสวมทับ เข็มขัดสีแดงที่มีดาบยาวพกไว้แนบกาย และบูทสีแดงเด่นสะดุดตา

     

                ในมือของกลุ่มคนเหล่านั้นก็มีตะเกียงเจ้าพายุกันทุกคน ชายสวมหน้ากากหยุดอยู่กับที่หันมองซ้ายทีขวาที พลางวาดมือข้างที่ถือตะเกียงส่องดูแถวพุ่มไม้ เดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็เป็นทางแยกซ้ายขวา เขาวาดมือไปทางซ้าย กลุ่มคนด้านหลังครึ่งหนึ่งวิ่งไปซ้าย จากนั้นขยับมือส่งสัญญาณให้กลุ่มคนที่เหลือตามตนไปทางด้านขวา

     

                เมื่อเสียงฝีเท้าจากไปไกลจนไม่ได้ยิน พุ่มไม้ใกล้ๆ ทางแยกนั่นก็สั่นไหว ปรากฏร่างชายหนุ่มรูปงามผมยาวตรงสีดำเดินออกมา ท่อนบนเขาไม่มีสิ่งใดปกปิดจึงทำให้เห็นรอยสักรูปสิงโตเด่นชัด ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวเข้ารูปสีดำกับรองเท้าหนังสีดำ เข็มขัดสีดำมีกระเป๋าผ้าใบเล็กเหน็บอยู่ ชายหนุ่มปัดเศษใบไม้ออกจากตัว ลืมตาสีแดงเพลิงมองไปตามถนนที่ชายสวมหน้ากากเพิ่งผ่านไป

     

                “เฮ้อ เกือบโดนเจอแล้วไหมละ หึหึ เจ้ากระต่ายป่าคิดรึว่าจะหาเราเจอง่ายๆ ที่ใดอันตรายที่นั่นย่อมปลอดภัย” ชายหนุ่มรูปงานหัวเราะเบาๆ ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเดินไปทางเส้นที่ชายสวมหน้ากากผ่านไป เขาเดินไปอย่างเนิบนาบไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก แวะเก็บลูกผลไม้เล็กๆ ข้างทางมาใส่ปากบ้างเป็นระยะ จนเดินมาถึงทางแยกอีกครั้ง ตรงด้านล่างมีป้ายเล็กๆ ปักบอกทางเอาไว้ ป้ายที่ชี้ไปทางซ้ายเขียนว่า “บ้านน้ำตก” ส่วนป้ายทางขวาเขียนว่า “ป่าหิ่งห้อย” เขาหยุดครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจไปทางด้านขวา โดยหวังว่ากระต่ายป่าที่พูดถึงจะไม่มาทางเส้นนี้เหมือนตน

     

                แต่เดินไปได้สักระยะก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งมาแต่ไกล พอหันกลับไปมองก็เห็นแสงไฟที่คุ้นเคย จึงรีบกระโดหลบเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ข้างทางทันที แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อพุ่มไม้ที่เข้าไปหลบมีเหล่าหิ่งห้อยนับร้อยบินออกมา พวกมันไม่ได้แสดงท่าทางตื่นตกใจแล้วบินหนี แต่กลับเปล่งแสงสีเขียวเหลืองบินวนรอบๆ ตัวชายหนุ่ม ชายหนุ่มรีบสะบัดมือปัดไปมาเพื่อไล่เหล่าหิ่งห้อยแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร

     

                เมื่อแสงไฟจากตะเกียงส่องมาทางเขาถึงได้เงยหน้ามองคนที่จ้องมองตนเองอยู่ ชายผู้สวมหน้ากากนั่นเอง

     

                “ไงครับ ท่านราชา คิดว่าจะหนีพวกผมพ้นรึครับ?” แม้จะมองไม่เห็นสีหน้าภายใต้หน้ากากนั้น แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ชวนให้ผู้ฟังหงุดหงิดได้ไม่ใช่น้อย

     

                “ชิ! ถ้าไม่เพราะพวกหิ่งห้อยป่านนี้เจ้าก็คงยังหาเราไม่พบหรอก กระต่ายป่า” ราชาหนุ่มเรียกคนตรงหน้าว่า “กระตายป่า” พลางทำเสียงไม่พอใจ ยกมือขึ้นเกาหัวอย่างอารมณ์เสีย

     

                “ก็คนมันอยากพักบ้างอะไรบ้าง พอตกเย็นเป็นต้องถูกพาไปตรวจเอกสารอะไรก็ไม่รู้ ต้องคุยเรื่องการเมืองกับพวกขุนนางน่ารำคาญอีก” ผู้เป็นราชาบ่น กระต่ายป่าถอนหายใจด้วยความเอือมละอา ก่อนจะจับไปที่ผมสีดำยาวของราชาขึ้นมาดู

     

                 “ถึงขั้นต้องใส่วิกปลอมตัวเลยเหรอครับ แล้วนี่ท่านแต่งตัวอะไรอย่างนี้ ช่วยกรุณาทำตัวให้สมกับที่เป็นราชาแห่งปฐพีด้วยครับ” กระต่ายป่าพูดกัดผู้เป็นราชา ราชาทำหน้าหงิกงออย่างไม่ค่อยพอใจ 

     

                เขาคือราชาผู้ปกครองพื้นพิภพนี้ ผู้ที่เป็นตำนานที่ยังมีชีวิต และเป็นอมตะไม่มีวันตาย ผู้ที่กล่าวท้าทายให้เหล่ามนุษย์ทั้งหลายเข้ามาสู่ป่าลับแล ให้สังหารตนเองเสีย เพียงเพราะราชาผู้นี้แค่เบื่อหน่ายเท่านั้น เลยอยากหาอะไรเล่นแก้เบื่อ ทำเอาชีวิตของเหล่ามนุษย์มากมายต้องหายสาบสูญไป เพราะเมื่อต้องก้าวเข้าสู่ป่าลับแลก็ยากที่หนีความตายพ้น ความลึกลับของป่าลับแลที่ไม่เคยมีมนุษย์ภายนอกคนไหนรู้จักมาก่อน ไม่มีหนังสือระบุไว้ ไม่มีตำนาน ไม่มีเรื่องเล่าใดๆ เลย

     

                “เข้าใจแล้ว บ่นอยู่ได้ เป็นแค่กระต่ายป่าอย่ามาสั่งนู้นสั่งนี่จู้จี้นักจะได้ไหม” ราชาบ่นด้วยความไม่พอใจ แล้วรับเสื้อคลุมจากมือกระต่ายป่าที่ยื่นมาให้สวมใส่ทันที

     

                “เพราะท่านเป็นอย่างนี้ ผมถึงต้องคอยตามคอยดูแล พวกผมไม่ได้มีชีวิตอมตะนะครับ เผ่ากระต่ายป่ากับสุนัขรับใช้ราชามีช่วงชีวิตแค่สองพันปี พอครบกำหนดอายุก็ใช้งานไม่ได้ ต้องถูกกำจัดทิ้ง ไม่ก็แก่ตายแล้วรอให้รุ่นใหม่มาทำหน้าที่แทน ถ้าท่านราชาไม่รู้จักโตเสียทีพวกผมก็ยังต้องคอยจู้จี้บ่นนู้นบ่นนี่เป็นธรรมดา” กระต่ายป่าไม่วายพูดจาต่อว่าด้วยเหตุและผล ทำเอาราชานิสัยเสียยอมสิโรราบ

     

                “เจ้าไม่ได้อายุสองพันปีซะหน่อย” ราชาว่าประโยคหลังเสียงเบา

     

                “ว่าอะไรนะครับ”

     

                “เปล๊า ข้าเข้าใจแล้วไม่ต้องบ่นแล้วล่ะ แต่ยังไงตอนนี้ก็ยังไม่อยากกลับวัง อยากพักผ่อน อยากเที่ยวเล่น ให้เราได้เจอมนุษย์บ้างไม่ได้เชียวเหรอ ไม่ได้เห็นมนุษย์มากว่าร้อยปีแล้วนะ” ราชาทำเสียงน้อยใจเชิงตัดพ้อ กระต่ายป่าถอนหายใจด้วยความเหนื่อย

     

                “เข้าใจแล้วครับ แค่ชั่วโมงเดียวนะครับ ห้ามเกินกว่านั้น” กระต่ายป่ายื่นคำขาด ปรากฏยิ้มร่าขึ้นบนหน้าราชาทันที ราชาโห่ร้องด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งออกไปทันที เห็นดังนั้นกระต่ายป่าก็กระดิกนิ้วเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาด้านหลังมากกระซิบ

     

                “ตามราชาไป อย่าให้ท่านรู้ตัว ถ้าครบชั่วโมงเมื่อไหร่รีบรายงาน แล้วข้าจะรีบตามไป” ผู้ใต้บังคับบัญชาพนักหน้ารับหน้าที่ แล้วรีบตามออกไปทันที กระต่ายป่ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงจันทร์เต็มดวงอีกครา วันนี้กระต่ายดินผู้รับหน้าที่ดูแลเครื่องบรรณาการออกไปทำหน้าที่ ซึ่งที่จริงควรเป็นเขามากกว่า แต่เพราะราชางี่เง่าบางคนแอบหนีเที่ยวเลยต้องมาทำหน้าที่บ้าๆ แบบนี้ เขารู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก กระต่ายดินยิ่งทำหน้าที่ไม่ค่อยสมบูรณ์อยู่ กลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา แต่ถึงจะคิดมากไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ

     

     

    …………….

    …………………

    …………….

     

     

                ตัดมาทางด้านกระต่ายดิน ชายหนุ่มร่างเล็กในชุดที่ใส่เหมือนกระต่ายป่า เพียงแต่หน้ากากกระต่ายที่สวมใส่มีหูสีฟ้าแทน เขาขยับหูกระต่ายที่คอเสื้อเข้าที่ ยืนรอหน้าป่าลับแล ไม่นานนักก็มีขบวนเครื่องบรรณาการเดินทางมาถึง

     

                เขาเป่าแตรให้สัญญาณ ขบวนบรรณาการต่อแถวเป็นระเบียบ ใครมาก่อนก็อยู่หน้าใครมาหลังก็ต่อแถวต่อไป ผู้ถือเครื่องบรรณาการต่างเดินนำเอาเครื่องบรรณาการใส่ถุงผ้าสีน้ำตาลขนาดไม่ใหญ่มากในมือกระต่ายดิน ใส่เท่าไหร่ก็ไม่เต็มเสียที ของไหนชิ้นใหญ่ใส่ไปก็เหมือนหายวับไปกับตา ถุงผ้าไม่มีอาการพองออกเลยแม้แต่น้อย ผู้ถือก็ถือเอาไว้เหมือนไม่หนักอะไรสักนิด จนกระทั่งเครื่องบรรณาการของทุกหัวเมืองใส่จนครบหมด

     

                กระต่ายดินเป่าแตรเสียงดังอีกครั้ง เพื่อให้มนุษย์ผู้นำส่งบรรณาการรู้ว่าหน้าที่ของตนสิ้นสุดลงแล้ว จึงได้กลับไปยังทางเดิมที่มา กระต่ายดินมัดปากถุงแล้วเหน็บไว้ที่เอว ก่อนจะเดินกลับเข้าสู่ป่าลับแลกลับไปอย่างอารมณ์ดี หารู้ไม่ว่ามีร่างหนึ่งได้แอบติดตามเขาไปด้วย

     

                เด็กหนุ่มผู้มีดวงตาและผมสีทองเดินตามกระต่ายดินห่างๆ เขาซ่อนจิตสัมผัสเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ถึงตัวตนของเขา ชายหนุ่มแอบตามกระต่ายดินไปจนถึงประตูบานหนึ่ง ที่ถูกติดตั้งลงบนต้นไม้ขนาดใหญ่ กระต่ายดินเคาะประตูเป็นจังหวะ สาม-สี่-สาม-สอง-ห้า-หนึ่ง ประตูที่ปิดอยู่ก็หายไปกลางเป็นคลื่นสีฟ้าแปลกๆ ขึ้นมาแทน กระต่ายดินเดินผ่านคลื่นสีฟ้าเข้าไปทันที

     

                เด็กหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าคลื่นสีฟ้า เห็นว่าคลื่นเริ่มจางจึงรีบพุ่งเข้าไปใส่ พอลืมตามาอีกทีก็ปรากฏว่าตรงหน้าคือป่าอีกด้านหนึ่งของประตู พอหันหลังกลับไปที่ประตูก็เห็นเป็นทิวทัศน์ในป่า ประตูที่เข้ามาหายไปแล้ว ข้างหน้าก็มองไม่เห็นกระต่ายดินแล้ว เขาจะทำอย่างไรดี

     

                ไม่หยุดคิดนานชายหนุ่มตัดสินใจเดินต่อไปตามทางข้างหน้าทันที หวังว่าจะไปตายเอาดาบหน้า เขาเดินตามทางไปเรื่อยๆ ก็เจอทางแยก ทางเบื้องหน้าเริ่มมืดมิดลงยิ่งขึ้น ได้แต่พึ่งแสงจากดวงจันทร์คอยส่องนำทาง

     

                เขาตัดสินใจไปทางซ้ายมือ เดินต่อก็เจอทางแยกอีกเลยตัดสินใจไปขวา แล้วถ้าเจอทางแยกอีกก็ซ้ายสลับขวาไปเรื่อย จนกระทั่งเดินออกมาเจอแม่น้ำจึงได้เดินเรียบแม่น้ำขึ้นไป จนกระทั่งถึงน้ำตก

     

                สายน้ำไหลเย็นเอื่อยๆ เด็กหนุ่มหยุดพักนั่งลงวักน้ำขึ้นมาดื่ม อยู่ๆ ก็มีเศษหินตกกระทบผิวน้ำจนเกิดคลื่นเล็กๆ ขึ้นหลายคลื่น เขาเงยหน้ามองขึ้นไป บนน้ำตกด้านบนตรงที่เป็นหินผาชายฉกรรจ์ร่างสูงผมยาวสีดำสยายกำลังยืนเหม่อมองดวงจันทร์ เสื้อคลุมที่พัดโบกตามแรงลมเผยให้เห็นลวดลายรูปสิงโตบนหน้าอกแกร่ง

     

                ชายคนนั้นคือราชาแห่งปฐพี แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่กำลังแอบมองอยู่ด้านล่างหารู้ไม่ เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะรีบหลบเข้าไปใต้เงาก้อนหินใหญ่ ราชาเปรยตามองลงมาที่ด้านล่าง เขาเห็นตั้งนานแล้วว่ามีคนอยู่ข้างล่างนั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร คนจากเผ่าไหน ราชากระโดดลงมาจากหน้าผาสูงดิ่งลงสู่น้ำเบื้องล่าง เสียงดังตูมใหญ่

     

                เด็กหนุ่มผู้ซ่อนตัวอยู่ตกใจรีบกระโดดออกจากที่ซ่อนอยู่ในที่แจ้งทันที ก่อนจะได้ทำอะไรอยู่ๆ ก็ถูกใครบางคนจับแขนเอาไว้ เขาหันไปมองคนที่จับแขนเขาด้วยสายตาที่ไม่รู้สึกหวั่นเกรงใดๆ ราชาเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่ตนคว้าไว้เป็นมนุษย์

     

                “เจ้า.... เข้ามาที่นี่ได้ยังไง?” ราชาเอ่ยถาม ก่อนมองเด็กหนุ่มตรงหน้าดีๆ ดวงตาสีทองฉายภาพเขาอยู่ในดวงตา ผมสีทองที่เด่นสะดุดตา ใบหน้าเรียวได้รูปสวยเหมือนผู้หญิง ร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงแต่ยังบอบบางกว่าตนมากนัก ใบหน้าติดจะละม้ายคล้ายใครคนหนึ่งในความทรงจำ แต่ราชาหาได้ใส่ใจเรื่องนั้นไม่ ดวงตาสีทองช่างสะกดใจให้ราชารู้สึกต้องตาเด็กหนุ่มยิ่งนัก

     

                เมื่อถูกถามจากคนที่อยู่ๆ ก็กระโดดลงมาจากหน้าผา ทำเอาสิงหมารที่ยังคงตกใจอยู่ไม่ได้ตอบสิ่งใดไป

     

                “ข้าชื่อดิน เจ้าล่ะเป็นใครกัน?” ราชาเอ่ยทัก เด็กหนุ่มทำท่าไม่ไว้วางใจสะบัดตัวจนหลุดจากแขนของราชา

     

                “........นายเป็นคนรึเปล่า?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม ราชาแปลกใจแล้วหัวเราะร่าออกมา

     

                “ฮะฮะฮ่า ไม่เคยมีใครถามเราอย่างนี้มาก่อน ข้าไม่เหมือนมนุษย์ตรงไหน?” ว่าแล้วราชาก็กางแขนออกให้เขามองดูตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กหนุ่มวางใจจึงได้คลายมือที่กำดาบที่เหน็บไว้ข้างเอวลง

     

                “ฉันชื่อสิงหมาร” เด็กหนุ่มเอ่ย ราชาทำหน้านิ่ว เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ชื่อของชายหนุ่มตรงหน้าช่างน่าสนใจกระตุ้นความอยากรู้เป็นล้นพ้น

     

                “นายเป็นคนป่าเหรอ?” สิงหมารถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไป ราชาดินยิ้มรับแต่ไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่

     

                “แล้วเจ้าล่ะเป็นใคร? ทำไมมาอยู่ที่นี่ในยามค่ำคืนได้?”

     

                สิงหมารชั่งใจเล็กน้อยว่าจะตอบตามความจริงดีหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรหากตอบตามความจริงไป จึงเลือกที่พูดความจริงดีกว่า

     

                “ฉันเป็นผู้กล้า” ราชาดินได้ยินก็หัวเราะเสียงดัง มือกุมท้องตนเองไว้แน่น สิงหมารขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ ส่งเสียงชิชะออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันหลังทำท่าจะเดินหนีไป

     

                “ใจเย็นๆ ท่านผู้กล้า เจ้าหวังจะฆ่าราชาอย่างนั้นเหรอ?” สิงหมารหันขวับกลับมามอง

     

                “ใช่ ทำไมนายรู้ล่ะ?” สิงหมารถามด้วยสายตาจ้องแป๋วมาทางราชา ราชาอมยิ้มเมื่อเห็นแววตาแบบนั้นที่สิงหมารแสดงออกมา

     

                “ก็ท่านเป็นผู้กล้า ผู้กล้าที่กล้าเหยียบย่างเข้ามาในป่าลับแล มีจุดหมายเดียวเท่านั้นแหละ อีกอย่างเจ้าบอกเองนะว่าเราเป็นคนป่า เราย่อมรู้ดีว่าใครคือคนป่า ใครไม่ใช่ แค่เห็นการแต่งตัวของเจ้าก็รู้แล้ว แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ราชาไม่ได้ฆ่าง่ายๆ เจ้าจะเอาอะไรไปฆ่าราชา ดูตัวของเจ้าสิ ไหนๆ” ว่าแล้วราชาก็เดินวนรอบตัวสิงหมารหนึ่งรอบ

     

                “อืมมมม ไม่น่าจะไหวนะ” ราชาพูดแล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้าสิงหมารไปทีนึง

     

                “ไหวหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่นายจะมาตัดสิน” สิงหมารโมโหตอบโต้ไปทันที

     

                “ฮะฮะฮ่า ถึงร่างกายเจ้าจะดูไม่ค่อยมีแรง แต่ใจเจ้าเด็ดมาก” ราชาว่าแล้วรีบหลบหมัดที่พุ่งมาจากทางสิงหมาร

     

                “อะไรนะ?…… ไม่ค่อย....มีแรง...เร๊อะ!!!???” สิงหมารพยายามเข้าไปต่อยราชาอีกชุดใหญ่ แต่ทุกหมัดราชาดินก็หลบหลีกได้อย่างหวุดหวิด  ไม่คิดว่าจะชกได้รวดเร็วขนาดนี้

     

                ราชาเอี้ยวตัวหลบแล้วขัดขาสิงหมารทำให้สิงหมารล้มลง แต่สิงหมารก็ใช้ฝ่ามือยัดพื้นเพื่อรักษาสมดุลไว้ได้ทัน

     

                “ข้าบอกแล้ว เด็กอย่างเจ้าจะเอาอะไรไปฆ่าราชา” ราชาเหลือบมองด้วยหางตา ทำเอาสิงหมารรู้สึกเสียหน้า เขาปลดถุงมือที่มือขวาออก เผยให้เห็นหัตสีแดงเพลิง ราชาขมวดคิ้วมองด้วยความระแวง ก่อนจะกระโดดหลบถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อตั้งหลัก สิงหมารลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดพุ่งตรงเข้าไปหาราชา แต่ก่อนจะถึงตัวราชาก็ถูกใครคนหนึ่งพุ่งเข้ามาขวางเสียก่อน สิงหมารถูกคนผู้นั้นถีบกระเด็นออกไป

     

                “กระต่ายป่า!”ราชาตะโกนเรียกชื่อผู้ที่เข้ามาขวาง กระต่ายป่ายืนจ้องสิงหมารเขม็ง สิงหมารพลิกตัวอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเข้าจู่โจม ทั้งคู่ต่างจ้องกันและกัน

     

                “หน้ากากกระต่าย? พวกคนของราชวัง?” สิงหมารเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ

     

                “ครบชั่วโมงแล้วนะครับ ว่าแต่คุณเป็นใครครับ?” ประโยคแรกพูดกับราชา ส่วนประโยคต่อมากระต่ายป่าชักดาบข้างกายจ่อไปที่คอของสิงหมารแล้วเอ่ยถาม

     

                “เดี๋ยวก่อนกระต่ายป่า!!” ราชารีบพุ่งตัวเข้ามาคว้าแขนกระต่ายป่าไว้ ดึงตัวกระต่ายป่าให้ถอยออกมา กระต่ายสะบัดมือราชาออกหันไปค้อนใส่

     

                “ท่านทำบ้าอะไร!? ท่านเป็นถึงรา..” ก่อนที่กระต่ายป่าจะเผลอพูดอะไรออกไปราชารีบปิดปากเขาเสียก่อน ก่อนจะกระซิบบอกข้างหู

     

                “ใจเย็นๆ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง เจ้าอย่าพูดไปล่ะว่าข้าคือใคร” กระต่ายป่าชักสีหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

     

                “นี่เป็นคำสั่ง” ราชากดเสียงขู่ กระต่ายป่าจึงได้แต่เพียงโค้งหัวแล้วหลบถอยไปสองก้าว ราชามองไปยังสิงหมารที่กำลังแปลกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

     

                “เจ้าออกไปจากป่าแห่งนี้เสีย เจ้าไม่มีทางฆ่าราชาได้หรอก” กระต่ายป่าสะดุ้งกับคำพูดที่ออกมาจากปากของราชา

     

                ‘อะไรนะ!? ชายคนนี้มาเพื่อฆ่าท่านราชางั้นเหรอ!?’ กระต่ายป่าคิด ราชารู้ว่ากระต่ายป่าคิดอะไรจึงยกมือขึ้นปางห้ามกระต่ายป่าอีกรอบ สิงหมารหัวเราะขึ้น

     

                “เจ้าหัวเราะทำไม?” ราชาเอ่ยถาม

     

                “ก็หัวเราะนายไงล่ะ เมื่อกี้ยังบอกอยู่ว่าเป็นคนป่า แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแก้ตัวนะ อยู่กับพวกราชวัง คนที่สวมหน้ากากกระต่ายคือคนที่คอยเก็บเครื่องบรรณาการสินะ ดีไม่ต้องเสียเวลา พาฉันไปหาราชาของพวกนายซะ!” สิงหามารกดมือขึ้นชี้หน้าราชา หารู้ไม่ว่าบุคคลตรงหน้าตนนั่นล่ะคือราชาที่ต้องการหา ราชายกยิ้มที่มุมปาก

     

                ‘เราล่ะอยากรู้นักว่าเจ้าเด็กคนนี้จะฆ่าเราได้อย่างไร มือขวาที่เป็นสีแดงนั่นอีก ต้องมีอะไรซ่อนอยู่อีกแน่นอน แต่ดูจากที่ประเมินแล้ว ฝีมือการตอบสนองไว แต่ทักษะการต่อสู้ยังไม่คม ยังมีจุดอ่อนอยู่เยอะ การขยับร่างกายก็เป็นไปตามเทคนิคแบบแผน ไม่มีลูกเล่นอะไร แค่ดูจากเมื่อกี้ก็รู้แล้วว่าต่อไปจะออกหมัดไหน จะขยับตัวยังไง จะโจมตีหรือตั้งรับ หากสู้กันอีกนิดก็ต้องแพ้อย่างหมดรูปแน่นอน แต่ฝีมือยังสามารถขัดเกลาได้อีก เสียดายที่มีนิสัยแข็งกร้าว ใจร้อน โดนดูถูกก็พุ่งเข้ามาจู่โจมทันที การควบคุมอารมณ์ยังไม่ดี’ ราชาพินิจพิเคราะห์อยู่นาน จนกระต่ายป่าต้องถอนหายใจเดินมาด้านหน้า

     

                “คุณไม่มีทางสู้ราชาได้หรอก ถ้าผมเอาจริงคุณได้หัวหลุดจากบ่าไปนานแล้ว” กระต่ายป่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกข่มขู่อีกฝ่าย สิงหมารรู้ตัวดีว่าถึงตนเองจะมีฝีมือแต่หากประเมินจากประสบการณ์ที่เป็นศูนย์ของตนเองแล้ว ไม่มีทางชนะชายตรงหน้าได้แน่นอน

     

                “สู้ได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่พวกนายมาตัดสิน ฉันมีหน้าที่ที่ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ยอมให้พวกนายมาขวางทางแน่....... แล้วพวกนายเป็นใครกัน?” สิงหมารขยับอยู่ในท่าที่ผ่อนคลายลงก่อนเอ่ยถามขึ้นมา

     

                “อย่างที่คุณพูด ผมเป็นหนึ่งในข้าราชบริพารแห่งราชวังสิงหราชาวดี” กระต่ายป่าเปิดเผยตนอย่างตรงไปตรงมา สิงหมารหันไปมองทางราชาด้วยความสงสัย

     

                “เราเป็นคนป่าจริง แต่ไม่ใช่คนป่าธรรมดา เราเป็นคนดูแลสวนของราชา” กระต่ายป่าหันขวับไปมองราชาด้วยความฉงน เหตุไฉนราชาจึงเอื้อนเอ่ยวาจาเท็จเช่นนี้

     

                “ฉันบอกแล้วว่าอย่าโกหก การที่นายหลบการโจมตีของฉันได้ ฉันไม่ได้โง่ ที่จะเชื่อว่านายเป็นแค่คนดูแลสวนจริงหรอกนะ”

     

                “ช่างสังเกตจริงนะ ..ใช่ แต่ด้วยตำแหน่งของเราคงบอกเจ้าไม่ได้หรอกว่าเราคือใคร ต่อให้เดาก็เดาไม่ถูก” ราชายิ้มเยาะ

     

                ‘ดูจากท่าทางคงเป็นหนึ่งในข้าราชบริพารเช่นเดียวกับคนที่สวมหน้ากากแน่ อายุไม่น่าจะเกิน 25 ปี ติดใจตรงรอยสักรูปสิงโตที่หน้าอกจริง หรือว่า........ ไม่น่าใช่ ตามตำราเขียนไว้ว่าราชาปีศาจมีผมสีแดงเพลิงมีชีวิตเป็นอมตะ แต่นี้ผมสีดำ ใบหน้าที่ดูไม่มีความชราสักนิด และในตำราก็ไม่ได้พูดถึงรอยสักเลย งั้นก็ต้องเป็นพวกทหารหรือเปล่า? ไม่สิคนสวมหน้ากากก็ดูเกร็งไม่กล้าหือใส่ งั้นต้องมีตำแหน่งมากกว่าสิ ....พวกขุนนาง? ดูจากการแต่งตัวแล้ว ดูไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเลย งั้นวางตำแหน่งขุนนางไว้ก่อนละกัน’ สิงหมารครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจเรียบเรียงความคิดแล้วสรุปอย่างนั้น

     

                “ถ้าฉันจัดการพวกนายได้ ก็มีโอกาสเข้าถึงราชาได้สินะ” สิงหมารกำหมัดขวาแน่น อีกมือก็กำไปที่ดาบที่เหน็บไว้ข้างเอว กระต่ายป่าถอนหายใจด้วยความหน่าย รู้อยู่ว่าจะจัดการกับคนจอมดื้อด้านนี้ยังไงดีสิงหมารชักดาบออกมาพุ่งเข้าใส่กระต่ายป่าทันที แต่กระต่ายป่าเร็วกว่าเขาหลบไปทางซ้ายแล้วอ้อมไปด้านหลัง สิงหมารยังไม่ทันได้เตรียมตัวก็ถูกกระต่ายป่าจ่อมีดสั้นมาที่คอหอยจากทางด้านหลังแล้ว

     

                “ช้าอย่างนี้ไม่ต้องถึงมือราชา แค่ทหารปลายแถวหน้าราชวังคุณก็ไม่ตายดีแล้วล่ะครับ” กระต่ายป่าเอ่ยเย้ยหยั่น ก่อนจะใช้สันมือฟันไปที่ท้ายทอยของสิงหมารเต็มแรง ทำเอาชายหนุ่มสลบฮวบลงกับพื้น ราชาเดินมาข้างกายสิงหมารอุ้มเขาขึ้นพาไปยังโคนต้นไม้ใกล้ๆ

     

                “เจ้าทำรุนแรงเกินไปนะกระต่ายป่า” ราชาบ่น

     

                “ไม่เกินไปหรอกครับ ท่านราชาจะใจดีกับพวกคนที่เข้ามาเข่นฆ่าตนเองทำไม? ตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีก่อนแล้ว ราชาท่านเอาแต่เล่นสนุก คอยดูมนุษย์เข้ามาติดกับในป่าลับแล ถูกพวกสัตว์ร้ายในป่าทำร้าย ท่านก็เข้าไปทำทีช่วยเหลือ พอเห็นว่ามนุษย์พวกนั้นน่าเบื่อก็ปล่อยทิ้งให้เผชิญชะตากรรมเอง ยังมีมนุษย์อีกมากที่หลงเข้าไปในหมู่บ้าน สร้างความวุ่นวายให้พวกผมต้องตามเช็ดตามล้างเสมอ ช่วยเพลาๆ การเล่นสนุกของท่านลงหน่อยเถอะครับ” กระต่ายป่าทอดถอนใจ กี่ครั้งกี่หนแล้วที่ราชาของเขานำเรื่องเดือดร้อนมาให้

     

                เหตุตั้งแต่ที่ราชาเอ่ยท้าทายให้มนุษย์ที่อยู่นอกป่าลับแลมาฆ่าตน ตั้งแต่นั้นป่าลับแลก็ไม่เคยสงบสุขเลย มีแต่เรื่องเข้ามาให้แก้ทุกวัน ราชาก็ทำกับมนุษย์อย่างกับเป็นของเล่นสนุก กระต่ายป่าไม่ชอบใจในจุดนี้ของราชาเลยสักนิด

     

                “เราอยากจะเล่นกับเจ้าหนุ่มนี่อีก เขาต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่อีกแน่ แถมมือข้างขวาที่แดงจัดนั่นก็น่าสนใจ เราไม่เคยเจอมนุษย์แบบนี้มาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว พวกมนุษย์ที่เราท้าทายไป ก็ไม่เคยไปถึงราชวังซักที น่าเบื่อ แต่เด็กคนนี้กลับมาถึงที่แห่งนี้ได้ ย่อมต้องฉลาดไม่เบา ยังสามารถฝึกปรือฝีมือได้อีกไกล ตอนกลางวันที่เราเป็นสิงโต เราอยากจะคอยดูแลเด็กคนนี้”

     

                “ท่านคิดอะไร!? จะเลี้ยงมนุษย์ให้มาฆ่าตนเองทำไมครับ!? รีบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ถ้าท่านไม่ฆ่า ผมก็จะฆ่าเอง!” กระต่ายป่าตะโกนลั่น ราชาถอนหายใจก่อนจะหันมามองกระต่ายป่าขวับ ใช้สายตาที่ดุดันจ้องนิ่ง ดวงตาสีดำจู่ๆ ก็กลายเป็นสีแดงขึ้นด้วยความโกรธ

     

                “ถ้าเจ้าแตะต้องเด็กคนนี้แม้แต่ปลายก้อย ข้าจะเป็นคนเด็ดหัวเจ้าเอง” ราชาข่มขู่ กระต่ายป่าได้แต่ยืนนิ่ง หากไม่มีหน้ากากที่ซ่อนอารมณ์บนใบหน้า ตอนนี้กระต่ายป่าต้องหน้าซีดมากเป็นแน่ กระต่ายป่าถอยไปด้านหลังสองสามก้าว

     

                “.....ข้าจะคอยดู เมื่อใดที่คนคนนี้รู้ว่าท่านเป็นใครเมื่อไหร่ ข้าจะเป็นคนปลิดชีพเขาเอง!” กระต่ายป่าทิ้งคำพูดแล้วกระโดดหายไปในป่าทันที ราชาดินไม่ใส่ใจนัก เขาก้มลงมองหน้าสิงหมารนิ่ง ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากขึ้นอย่างมีเลศนัย

     

                “วันนี้เราจะปล่อยเจ้าไปก่อน วันหน้าหวังว่าเจ้าจะสามารถจู่โจมเข้าประชิดตัวเราได้นะ” ว่าแล้วราชาก็กระโดดหายไปในป่าทันที ปล่อยให้สิงหมารนอนสลบไสลอยู่ใต้ต้นไม้อย่างนั้นต่อไปจนกระทั่งเช้า......

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×