ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คามรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ผมนิ่งเงียบฟังเรื่องราวของชายคนตรงหน้า ชีวิตของเขาช่างรันทดนัก ทำให้นึกถึงชีวิตของตัวเอง ผมเองก็ไม่มีพ่อและแม่ แต่ผมยังดีที่มีน้องสาวอันเป็นที่รัก เรน่า คอยอยู่เคียงข้าง มีครอบครัวเอ็ดมอร์นที่มอบความรักการดูแลเอาใจใส่ แต่เขาที่พบความสูญเสียที่แสนเจ็บปวด ต้องยืดหยัดสู้ชีวิตด้วยตัวคนเดียว
สังคมของเราสองมันแตกต่างกัน.....
ผมเข้าใจความรู้สึกของเขาที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป แต่ความเจ็บช้ำของผมเทียบกับเขาไม่ได้เลย
ความรู้สึกโกรธเมื่อเห็นหน้าคนตรงหน้ามันจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ความสงสารที่เข้ามาแทนที่ พร้อมกับความเห็นใจ
ทำไมเขาถึงต้องเล่าเรื่องราวจองตัวเองให้ผมฟัง แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจที่จะรับฟัง ผมชอบนะที่ได้ฟังเรื่องราวชีวิตของคนอื่น เหมือนเราได้ผจญภัยร่วมกับเขา ได้รู้เรื่องราวชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งที่เราไม่เคยพบเจอ ผมจึงชอบที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอื่น เวลาที่ผมได้ไปถ่ายรูปตามที่ต่างๆ ทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองของคนที่นั่น
ผมยังคงนิ่งฟังเขาพูดต่อด้วยความตั้งใจ
"........ผมก็กลับมาใช้ชีวิตในสตูดิโอที่เช่าไว้เหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม อยู่อย่างเดิม จนวันหนึ่ง อะไรทุกอย่างก็คงเดิม ผู้คนดำเนินชีวิตเหมือนเดิม เฉกเช่นทุกวัน แต่มันไม่เหมือนเดิม....สำหรับผม........."
“........ผม...พบ....คุณ....”
สิ้นคำผมลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เดินจนถึงส่วนที่แยกไปห้องจัดแสดง ผมเดินเข้าห้องที่จัดแสดงงานที่มีภาพขนาดใหญ่นั้นตั้งแสดงอยู่ ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันตีกันมั่วไปหมด
รู้สึกโกรธไหมที่เค้าวาดภาพผมออกมา..... ผมโกรธนะ แต่ว่า....
มันมีอีกความรู้สึกหนึ่งกำลังก่อตัวขึ้น......... ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร?
เหมือนกับตอนที่ผมขุดกล่อมที่เก็บความทรงจำไทม์สลีปขึ้นมา เปิดออกดูของข้างในที่หลงลืมไปแล้ว วันเก่ามันก็ย้อนคืนกลับมาในความทรงจำ ของชิ้นหนึ่งเมื่อในอดีตที่ผมรู้สึกว่ามันมีคุณค่าต่อจิตใจของผมมาก จดหมายที่เขียนถึงตัวเองในอนาคต ความฝัน ความหวัง มันตั้งตื้นตันใจ รู้สึกคิดถึง และเจ็บปวดในคราเดียวกัน
แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนดิ่งลึกลงไปไกลกว่า 10ปี 20ปี มันมากกว่านั้น เหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีตที่อยู่ไกลแสนไกล ที่ผมเองก็จำไม่ได้ แต่ยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ลึกๆข้างใน และมันกำลังแผ่ออกมาปกคลุมจิตใจที่ไหวหวั่นของผมตอนนี้
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ความรู้สึกนี้
ผมเกลียด....
เกลียดที่ไม่เข้าใจตัวเอง
เกลียดที่ทำไมถึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
เกลียดที่ทำไมต้องเข้าไปชกเขาด้วย
และเกลียดที่ทำไมถึงต้องมีอีกความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้น....
ความรู้สึก.......ที่.......คิดถึง.....
ตึก ตึก ตึก ผมหันไปตามเสียงฝีเท้าที่วิ่งผ่านห้องจัดแสดงผลงานนี้ไป ผมเดินตามเสียงฝีเท้านั้นออกไป พบกับแผ่นหลังของเขา อิสระ... ชายที่วาดภาพของผม ชายที่เอาแต่จ้องหน้าของผมไม่วางตา ชายที่เล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง ชายที่....ที่ทำให้ผมคนนี้...........รู้สึกว้าวุ่น.....
อยู่ๆ ดวงตาของผมก็ร้อนรุ่ม น้ำใสๆไหลเอ่อออกมา ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา ตกใจที่ทำไมตัวเองถึงร้องไห้ออกมา ผมไม่เคยควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ ทำไมเขาต้องเดินเข้ามาในชีวิตผมด้วย ข้ามเส้นที่ผมขีดเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ความโกรธปะทุ อีกความรู้สึกก็ตีขึ้นมา..... ผมต้องควบคุมตัวเองได้สิ
ผมหายใจเข้าและออกยาวๆ พยายามทำตัวให้สงบนิ่งที่สุด ผมละสายตาจากแผ่นหลังนั้น เดินกลับเข้าไปยังห้องจัดแสดงผลงาน เดินดูทุกภาพที่เขาวาดขึ้น จนมาสะดุดที่ภาพๆ หนึ่ง ภาพขนาด A3 ภาพดวงตาคู่หนึ่ง ที่ดูโกรธ แต่ก็มีอารมณ์อื่นที่แทรกเข้ามา มันดูว้าเหว่ เหงา เศร้า เหมือนดวงตาคู่นั้นกำลังมองอะไรบางอย่างที่ไม่อยากจะสูญเสียมันไปอีกครั้ง
ผมยังจำได้ดีเมื่อ 1 ปีก่อน.......
เมื่อผมเดินหันหลังกลับไปกับเรน่า ผมภาวนาขออย่าให้เจอเขาอีกเลย เพราะผมรู้ว่าหากต้องเจอกันอีก แม้โดยบังเอิญหรือตั้งใจ ผมคงจะต้องรู้สึกอยากฆ่าเขาแน่ แต่มันก็มีอีกอารมณ์หนึ่งแทรกเข้ามา....
ผมรู้สึก.........อยากโอบกอดเขาเอาไว้............
ผมปิดกั้นความรู้สึกนั้น ที่เมื่อก่อนแค่คิดก็รู้สึกขยะแขยง คิดว่าเราคิดไปได้อย่างไร คงเกลียดเขาจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ แต่พอได้มาเจอกันอีกครั้ง ความเกลียดแม้มีมากกว่า แต่ความรู้สึกนี้มันก็ก่อตัวเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผมนึกถึงคำพูดของที ที่แปลคำบอกเล่าของหมอดูคนนั้นให้ฟัง
"อาจารย์เพชรบอกว่า เนื้อคู่ของคุณเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ชาติปางก่อน”
ศัตรูคู่อาฆาต หากได้พบเจอกันอีก คงได้ฆ่ากันตายไปข้างแน่ๆ หึ..... ผมท่าจะบ้าไปแล้วที่คิดถึงคำบอกเล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอด 1 ปี ใช่! ผมไม่เคยลืมเลย จำได้ทุกคำไม่ผิดเพี้ยน ท่าจะบ้าไปแล้วจริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง.....
ผมเดินดูร้านเปิดท้ายขายของเก่าย่านชานเมือง ที่บ้านแต่ละหลังจะนำของเก่ามาตั้งขายอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านตัวเอง ผมได้หนังสือเก่าๆ มาเล่มหนึ่ง เป็นเหมือนไดอารี่โบราณมากกว่า แค่เห็นผมก็ถูกใจซื้อมาทันที ผมเปิดอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ไดอารี่เล่มนี้เขียนไม่จบ และมันทำให้ผมว้าวุ่นอยากรู้เรื่องราวถัดไป..... ในหน้าสุดท้ายนั้นเอง......
เธอคือดวงตาของฉัน เฮนน่าที่รัก แม้ฉันจะมองไม่เห็นความสวยงามของโลกใบนี้อีกแล้ว
แต่เธอจะเป็นดวงตาแทนฉัน เธอบอกกับฉันในวันนั้น วันนี้ฉันยังคงมองเห็นเพียงน้อยนิด
และพยายามที่จะจดบันทึกเล่มนี้ จนกว่าจะถึงเวลาที่แสงตะวันที่เหลือของฉันจะดับมอดลง
ฉันยังจำได้ดีเมื่อครั้งที่เราเจอกัน เราทั้งคู่ต่างอยู่กันคนละเผ่า และพวกเราก็เป็นได้เพียงศัตรูกัน
เธอรังเกียจฉันเมื่อแรกเห็น แต่ฉันกลับรักเธอหมดหัวใจเมื่อแรกเจอ
พ่อของเธอเกือบฆ่าฉันได้สำเร็จ แต่เพราะความใจอ่อนของเธอที่ช่วยฉันไว้
ฉันยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมทิ้งเผ่าของฉัน ยอมทิ้งครอบครัวของฉัน เพื่อให้เราได้อยู่คู่กัน
เมื่อวันที่เธอต้องเสียครอบครัวของเธอในตอนที่เผ่าของเราทั้งสองต่อสู้กัน เธอไม่เสียน้ำตาสักหยด
มีแต่ฉันที่ร้องไห้ออกมา เธออยู่คอยกุมมือฉันไว้ เราเดินเคียงคู่กันจนสุดเขตแดน
หยุดที่หน้าผาแห่งหนึ่ง เธอจำได้ไหม? เธอบอกว่าหากเราทั้งคู่ก้าวต่อไปเราก็จะหยุดเวลาเอาแค่นี้
ฉันกุมมือเธอแน่น ยอมแม้แต่ชีวิตนี้ก็มอบให้เธอได้ แต่อยู่ๆเธอก็ร้องไห้ขึ้นมา
เธอบอกว่า เธอคงเสียใจที่สุดหากคนที่เธอกำลังกุมมืออยู่นี้ไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่เพื่อปัจจุบันและอนาคตกับเธอ
วันนั้นฉันให้สัญญากับเธอ จะดูแลเธอ จะอยู่เคียงข้างเธอ แม้ความตายก็มาแยกเราไม่ได้
ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อเธอ แต่ฉันก็ผิดสัญญา...... เฮนน่า ฉันขอโทษที่ดวงตาของฉันกำลังดับแสงลงทีละนิด
เมื่อเธอรู้ เธอเสียน้ำตาให้ฉันเป็นครั้งสอง ฉันเสียใจ ฉันขอโทษ แต่เธอก็ยิ้มให้ฉัน
บอกว่ากับฉันว่าเธอจะอยู่เคียงข้างฉัน จะเป็นดวงตาให้ฉันเอง เธอจะคอยบอกฉันเสมอว่า
ข้างหน้าฉันตอนนี้มันช่างสวยงาม ท้องฟ้าที่เราเคยมองด้วยกันยังคงเป็นสีฟ้าสดใส
เมฆก้อนนั้นเหมือนขนมปังที่เธอเคยอบให้ฉันในมื้อแรกของเรา ต้นไม้ที่เราสองคนช่วยกันปลูก
ตอนนี้ออกดอกสีขาวมากมาย ลูกไม้สีแดงที่ฉันชอบ แม่น้ำใสที่ไหลเอื่อยยังเหมือนเดิม
กระท่อมไม้ที่ฉันสร้างแม้จะผุพังไปบ้างแต่มันก็ยังแข็งแรงอยู่ และตัวฉันเอง เมื่อเธอแตะที่แก้มของฉัน
แม้ฉันจะแก่แต่ก็ยังหล่ออยู่ในสายตาเธอ แต่ฉันกลับมองเห็นเธอเลือนลางเหลือเกิน
แต่ในใจของฉันเธอยังคงสวยเหมือนวันแรกที่เราพบกันไม่เปลี่ยนแปลง....
บันทึกจบลงเพียงเท่านี้ หน้านี้ที่ผมใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันในการแกะข้อความ ตัวหนังสือที่เขียนไม่ตรงเส้น ซ้อนทับกันบ้าง ทำให้รู้ว่าผู้เขียนพยายามเขียนในขณะที่สายตาพร่ามัวเพียงใด เมื่อผมอ่านจบน้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว และเมื่อได้มาพบกับอิสระ ไดอารี่หน้านี้ก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ มาตอกย้ำความรู้สึกผมอีกครั้งเมื่อตอนที่เขาเล่าเรื่องตัวเองให้ผมฟัง ผมไม่อยากเสียน้ำตาต่อหน้าเขาผมจึงลุกขึ้นเดินออกมา.....
สังคมของเราสองมันแตกต่างกัน.....
ผมเข้าใจความรู้สึกของเขาที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป แต่ความเจ็บช้ำของผมเทียบกับเขาไม่ได้เลย
ความรู้สึกโกรธเมื่อเห็นหน้าคนตรงหน้ามันจางหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ความสงสารที่เข้ามาแทนที่ พร้อมกับความเห็นใจ
ทำไมเขาถึงต้องเล่าเรื่องราวจองตัวเองให้ผมฟัง แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจที่จะรับฟัง ผมชอบนะที่ได้ฟังเรื่องราวชีวิตของคนอื่น เหมือนเราได้ผจญภัยร่วมกับเขา ได้รู้เรื่องราวชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่งที่เราไม่เคยพบเจอ ผมจึงชอบที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอื่น เวลาที่ผมได้ไปถ่ายรูปตามที่ต่างๆ ทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองของคนที่นั่น
ผมยังคงนิ่งฟังเขาพูดต่อด้วยความตั้งใจ
"........ผมก็กลับมาใช้ชีวิตในสตูดิโอที่เช่าไว้เหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม อยู่อย่างเดิม จนวันหนึ่ง อะไรทุกอย่างก็คงเดิม ผู้คนดำเนินชีวิตเหมือนเดิม เฉกเช่นทุกวัน แต่มันไม่เหมือนเดิม....สำหรับผม........."
“........ผม...พบ....คุณ....”
สิ้นคำผมลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เดินจนถึงส่วนที่แยกไปห้องจัดแสดง ผมเดินเข้าห้องที่จัดแสดงงานที่มีภาพขนาดใหญ่นั้นตั้งแสดงอยู่ ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันตีกันมั่วไปหมด
รู้สึกโกรธไหมที่เค้าวาดภาพผมออกมา..... ผมโกรธนะ แต่ว่า....
มันมีอีกความรู้สึกหนึ่งกำลังก่อตัวขึ้น......... ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร?
เหมือนกับตอนที่ผมขุดกล่อมที่เก็บความทรงจำไทม์สลีปขึ้นมา เปิดออกดูของข้างในที่หลงลืมไปแล้ว วันเก่ามันก็ย้อนคืนกลับมาในความทรงจำ ของชิ้นหนึ่งเมื่อในอดีตที่ผมรู้สึกว่ามันมีคุณค่าต่อจิตใจของผมมาก จดหมายที่เขียนถึงตัวเองในอนาคต ความฝัน ความหวัง มันตั้งตื้นตันใจ รู้สึกคิดถึง และเจ็บปวดในคราเดียวกัน
แต่ความรู้สึกของผมตอนนี้เหมือนดิ่งลึกลงไปไกลกว่า 10ปี 20ปี มันมากกว่านั้น เหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีตที่อยู่ไกลแสนไกล ที่ผมเองก็จำไม่ได้ แต่ยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ลึกๆข้างใน และมันกำลังแผ่ออกมาปกคลุมจิตใจที่ไหวหวั่นของผมตอนนี้
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ความรู้สึกนี้
ผมเกลียด....
เกลียดที่ไม่เข้าใจตัวเอง
เกลียดที่ทำไมถึงควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้
เกลียดที่ทำไมต้องเข้าไปชกเขาด้วย
และเกลียดที่ทำไมถึงต้องมีอีกความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้น....
ความรู้สึก.......ที่.......คิดถึง.....
ตึก ตึก ตึก ผมหันไปตามเสียงฝีเท้าที่วิ่งผ่านห้องจัดแสดงผลงานนี้ไป ผมเดินตามเสียงฝีเท้านั้นออกไป พบกับแผ่นหลังของเขา อิสระ... ชายที่วาดภาพของผม ชายที่เอาแต่จ้องหน้าของผมไม่วางตา ชายที่เล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง ชายที่....ที่ทำให้ผมคนนี้...........รู้สึกว้าวุ่น.....
อยู่ๆ ดวงตาของผมก็ร้อนรุ่ม น้ำใสๆไหลเอ่อออกมา ผมรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา ตกใจที่ทำไมตัวเองถึงร้องไห้ออกมา ผมไม่เคยควบคุมตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ ทำไมเขาต้องเดินเข้ามาในชีวิตผมด้วย ข้ามเส้นที่ผมขีดเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ความโกรธปะทุ อีกความรู้สึกก็ตีขึ้นมา..... ผมต้องควบคุมตัวเองได้สิ
ผมหายใจเข้าและออกยาวๆ พยายามทำตัวให้สงบนิ่งที่สุด ผมละสายตาจากแผ่นหลังนั้น เดินกลับเข้าไปยังห้องจัดแสดงผลงาน เดินดูทุกภาพที่เขาวาดขึ้น จนมาสะดุดที่ภาพๆ หนึ่ง ภาพขนาด A3 ภาพดวงตาคู่หนึ่ง ที่ดูโกรธ แต่ก็มีอารมณ์อื่นที่แทรกเข้ามา มันดูว้าเหว่ เหงา เศร้า เหมือนดวงตาคู่นั้นกำลังมองอะไรบางอย่างที่ไม่อยากจะสูญเสียมันไปอีกครั้ง
ผมยังจำได้ดีเมื่อ 1 ปีก่อน.......
เมื่อผมเดินหันหลังกลับไปกับเรน่า ผมภาวนาขออย่าให้เจอเขาอีกเลย เพราะผมรู้ว่าหากต้องเจอกันอีก แม้โดยบังเอิญหรือตั้งใจ ผมคงจะต้องรู้สึกอยากฆ่าเขาแน่ แต่มันก็มีอีกอารมณ์หนึ่งแทรกเข้ามา....
ผมรู้สึก.........อยากโอบกอดเขาเอาไว้............
ผมปิดกั้นความรู้สึกนั้น ที่เมื่อก่อนแค่คิดก็รู้สึกขยะแขยง คิดว่าเราคิดไปได้อย่างไร คงเกลียดเขาจนเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ แต่พอได้มาเจอกันอีกครั้ง ความเกลียดแม้มีมากกว่า แต่ความรู้สึกนี้มันก็ก่อตัวเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผมนึกถึงคำพูดของที ที่แปลคำบอกเล่าของหมอดูคนนั้นให้ฟัง
"อาจารย์เพชรบอกว่า เนื้อคู่ของคุณเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ชาติปางก่อน”
ศัตรูคู่อาฆาต หากได้พบเจอกันอีก คงได้ฆ่ากันตายไปข้างแน่ๆ หึ..... ผมท่าจะบ้าไปแล้วที่คิดถึงคำบอกเล่านี้ซ้ำไปซ้ำมาตลอด 1 ปี ใช่! ผมไม่เคยลืมเลย จำได้ทุกคำไม่ผิดเพี้ยน ท่าจะบ้าไปแล้วจริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง.....
ผมเดินดูร้านเปิดท้ายขายของเก่าย่านชานเมือง ที่บ้านแต่ละหลังจะนำของเก่ามาตั้งขายอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านตัวเอง ผมได้หนังสือเก่าๆ มาเล่มหนึ่ง เป็นเหมือนไดอารี่โบราณมากกว่า แค่เห็นผมก็ถูกใจซื้อมาทันที ผมเปิดอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย ไดอารี่เล่มนี้เขียนไม่จบ และมันทำให้ผมว้าวุ่นอยากรู้เรื่องราวถัดไป..... ในหน้าสุดท้ายนั้นเอง......
เธอคือดวงตาของฉัน เฮนน่าที่รัก แม้ฉันจะมองไม่เห็นความสวยงามของโลกใบนี้อีกแล้ว
แต่เธอจะเป็นดวงตาแทนฉัน เธอบอกกับฉันในวันนั้น วันนี้ฉันยังคงมองเห็นเพียงน้อยนิด
และพยายามที่จะจดบันทึกเล่มนี้ จนกว่าจะถึงเวลาที่แสงตะวันที่เหลือของฉันจะดับมอดลง
ฉันยังจำได้ดีเมื่อครั้งที่เราเจอกัน เราทั้งคู่ต่างอยู่กันคนละเผ่า และพวกเราก็เป็นได้เพียงศัตรูกัน
เธอรังเกียจฉันเมื่อแรกเห็น แต่ฉันกลับรักเธอหมดหัวใจเมื่อแรกเจอ
พ่อของเธอเกือบฆ่าฉันได้สำเร็จ แต่เพราะความใจอ่อนของเธอที่ช่วยฉันไว้
ฉันยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ยอมทิ้งเผ่าของฉัน ยอมทิ้งครอบครัวของฉัน เพื่อให้เราได้อยู่คู่กัน
เมื่อวันที่เธอต้องเสียครอบครัวของเธอในตอนที่เผ่าของเราทั้งสองต่อสู้กัน เธอไม่เสียน้ำตาสักหยด
มีแต่ฉันที่ร้องไห้ออกมา เธออยู่คอยกุมมือฉันไว้ เราเดินเคียงคู่กันจนสุดเขตแดน
หยุดที่หน้าผาแห่งหนึ่ง เธอจำได้ไหม? เธอบอกว่าหากเราทั้งคู่ก้าวต่อไปเราก็จะหยุดเวลาเอาแค่นี้
ฉันกุมมือเธอแน่น ยอมแม้แต่ชีวิตนี้ก็มอบให้เธอได้ แต่อยู่ๆเธอก็ร้องไห้ขึ้นมา
เธอบอกว่า เธอคงเสียใจที่สุดหากคนที่เธอกำลังกุมมืออยู่นี้ไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่เพื่อปัจจุบันและอนาคตกับเธอ
วันนั้นฉันให้สัญญากับเธอ จะดูแลเธอ จะอยู่เคียงข้างเธอ แม้ความตายก็มาแยกเราไม่ได้
ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อเธอ แต่ฉันก็ผิดสัญญา...... เฮนน่า ฉันขอโทษที่ดวงตาของฉันกำลังดับแสงลงทีละนิด
เมื่อเธอรู้ เธอเสียน้ำตาให้ฉันเป็นครั้งสอง ฉันเสียใจ ฉันขอโทษ แต่เธอก็ยิ้มให้ฉัน
บอกว่ากับฉันว่าเธอจะอยู่เคียงข้างฉัน จะเป็นดวงตาให้ฉันเอง เธอจะคอยบอกฉันเสมอว่า
ข้างหน้าฉันตอนนี้มันช่างสวยงาม ท้องฟ้าที่เราเคยมองด้วยกันยังคงเป็นสีฟ้าสดใส
เมฆก้อนนั้นเหมือนขนมปังที่เธอเคยอบให้ฉันในมื้อแรกของเรา ต้นไม้ที่เราสองคนช่วยกันปลูก
ตอนนี้ออกดอกสีขาวมากมาย ลูกไม้สีแดงที่ฉันชอบ แม่น้ำใสที่ไหลเอื่อยยังเหมือนเดิม
กระท่อมไม้ที่ฉันสร้างแม้จะผุพังไปบ้างแต่มันก็ยังแข็งแรงอยู่ และตัวฉันเอง เมื่อเธอแตะที่แก้มของฉัน
แม้ฉันจะแก่แต่ก็ยังหล่ออยู่ในสายตาเธอ แต่ฉันกลับมองเห็นเธอเลือนลางเหลือเกิน
แต่ในใจของฉันเธอยังคงสวยเหมือนวันแรกที่เราพบกันไม่เปลี่ยนแปลง....
บันทึกจบลงเพียงเท่านี้ หน้านี้ที่ผมใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวันในการแกะข้อความ ตัวหนังสือที่เขียนไม่ตรงเส้น ซ้อนทับกันบ้าง ทำให้รู้ว่าผู้เขียนพยายามเขียนในขณะที่สายตาพร่ามัวเพียงใด เมื่อผมอ่านจบน้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว และเมื่อได้มาพบกับอิสระ ไดอารี่หน้านี้ก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ มาตอกย้ำความรู้สึกผมอีกครั้งเมื่อตอนที่เขาเล่าเรื่องตัวเองให้ผมฟัง ผมไม่อยากเสียน้ำตาต่อหน้าเขาผมจึงลุกขึ้นเดินออกมา.....
ตอนนี้ผมยืนอยู่หลังภาพขนาดใหญ่ มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหยุดลงที่อีกฝั่งของรูปนี้ เสียงสะอื้นไห้ที่ดังก้อง และคำพูดหนึ่งที่ผมได้ยิน
“ผมรักคุณ.......ฮึก...”
คุณรู้ไหมผมรู้ความหมายของคำนี้ คำบอกรักภาษาไทย หึ ทำไมผมจะไม่เข้าใจล่ะ ผมก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่กำลังสั่น ชายที่อยู่อีกฝั่งของผมกำลังร้องไห้ และกำลังบอกรักกับภาพเบื้อหน้าของเขา ภาพที่เป็นภาพผมเอง
ผมไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่าเขารู้สึกยังไงกับผม ผมคิดและมองไปรอบๆ ภาพมากมายนี้มันถูกกลั่นกรองออกมาจากคนคนนี้ เพียงแค่พบหน้าครั้งเดียวเขากลับวาดภาพของผมออกมาได้ไม่ผิดเพี้ยน และวาดออกมาได้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?
ตอนที่เขาวาดภาพเหล่านี้เขาคิดอะไรอยู่
เขามองเห็นอะไรในตัวผม?
เขารู้สึกยังไงกับผม?
ตอนนี้ผมรู้แล้ว............
และรู้ตัวเองแล้วว่า............
ผมเองก็รอให้เขาเดินเข้ามากระทบเส้นที่ผมขีดเอาไว้
รอให้เขาก้าวเข้ามา
รอให้เขาทำให้เกิดคลื่นกระทบขึ้นในจิตใจของผม
ผมควรเดินออกไปหาเขาไหม?
ผมควรเอื้อมมือดึงเขาเข้ามาใกล้ไหม?
ผมควรเงยหน้ามองเขาที่เข้ามาในจิตใจของผมไหม?
ผมควร.........ตอบรักเขาสินะ...............
เร็วกว่าความคิดผมก้าวขาออกไปยืนข้างเขาเสียแล้วตอนนี้ เห็นคนตรงหน้าที่ร้องไห้ตัวโยงก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา อย่าร้องเลย ผมอยู่ตรงนี้แล้ว
“หยุดร้องได้แล้ว” ผมเอ่ยขึ้น เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม ดวงตาเขาเบิกกว้างเหมือนไม่เชื่อในสายตาตนเอง ทำไมเขาถึงเสียน้ำตามากมายขนาดนี้ให้คนที่เพิ่งพบหน้ากันด้วย หึ นึกแล้วก็กระทบตัวเอง นั่นสิทำไม ผมเองถึงเสียน้ำตาให้เขาเช่นกัน
“เฮ้อ...... ผมแค่ออกมาทำใจ ไม่คิดว่าคุณจะวิ่งพ่านหาผมไปทั่ว แล้วมานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้” ผมถอนหายใจเมื่อรู้ว่าผมเองก็เหมือนเขา
“เอ้า เช็ดหน้าเช็ดตาซะ อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกผิดเลย” ผมหยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้เขา อิสระรับไปเช็ดหน้าเช็ดตาตามที่ผมบอก ก่อนจะเงยหน้ามองผมนิ่งไม่ไหวติง ผมรู้สึกเขินนิดๆที่เค้ามองผมอย่างนั้น ก็ดูตาที่เยิมของเขาสิ อย่าไปมองใครอย่างนี้นะ
“หน้าผมมีอะไรติดเหรอ? ถึงมองแปลกๆ แบบนั้น” ผมเขินนะรู้ไหม ผมยื่นมือให้เขาจับเพื่อลุกขึ้น เหมือนเขาได้สติลุกขึ้นแล้วรีบหลบตาผมทันที ผมแอบขำกับท่าทีของเขาเล็กน้อย แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ ก็เล่นหน้าแดงเถือกก้มหน้างุดอยู่แบบนี้
“.....คุณมีอะไรจะพูดกับผมไหม?” เงียบอยู่นานจนผมทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นทำลายบรรยากาศเงียบๆนี้ซะ ผมอยากได้ยินอีกครั้ง บอกผมสิ ผมรอฟังอยู่นะ
“ผม.....ผม.........” เสียงเขาเอ่ยตอบกระตุก พูดได้อยู่คำเดียว แถมเป็นภาษาไทยอีก เค้าคงลืมว่าผมกำลังคุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษอยู่นะ
“ผม? อะไรครับ? พูดภาษาอังกฤษด้วยครับ” ผมยิ้มให้เขา มองผมสิ ยิ้มให้ผมเหมือนที่ผมยิ้มให้คุณ บอกผมสิคำๆนั้นที่คุณพูดกับภาพของผม
......
....
..
“....I love you….”
หึหึ.... ก็แค่นั้น...................
หมับ!
ผมมองหน้าคงในอ้อมกอดที่กำลังตกใจแล้วแอบขำเล็กน้อย ทำไมผมถึงก้าวเข้ามากอดเค้านะ เฮ้อ~ ไม่อยากคิดแล้ว ขออยู่อย่างนี้สักครู่แล้วกัน
ฮะฮะ... หัวใจผมเต้นแรง ของเขาก็เต้นแรง
ทำไมละ ใครก็ได้บอกผมทีสิ ว่าเพราะอะไร?
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น