ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ครึ่งชีวิต

    ลำดับตอนที่ #3 : เรื่องที่ผมอยากให้คุณรู้

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 56



    ในห้องสต๊าฟด้านในสุดของงานแสดงผลงาน ห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้กว้างขวางนัก มีเพียงเก้าอี้และโต๊ะอยู่เพียงไม่กี่ตัว กับกล่องลังเก็บของไม่กี่กล่องที่มุมห้อง ผมนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ตรงข้ามผมคือเขาคนนั้น

     

    ผมนั่งมองหน้าชายคนตรงหน้า

    คนที่ผมเฝ้าตามหา

    เฝ้ารอคอย คอยว่าสักวันที่จะได้พบกับเขา

    ภาวนาทุกครั้งที่เดินผ่านสี่แยก ตรงที่เดิมที่ได้พบกัน

    ขอให้ได้พบเขาอีกสักครั้งเถิด....

     

    ชายหนุ่มเจ้าของผมสีทองตาสีฟ้าสวยคู่นั้น ใบหน้าเรียวคมรับกับคิ้วเข้ม ดวงตากลมโตที่จ้องกลับมา จมูกโด่งได้รูปสวย ปากสีชมพูแดงระเรื่อน่าค้นหา คอเรียวยาวขาวน่าลิ้มลอง ผมเลื่อนสายตาขึ้นมาบรรจบที่ดวงตาสีฟ้านั่นอีกครั้ง

     

    แต่ก็ต้องสะอึกรีบหันหน้าหนี เมื่อรู้ตัวว่าผมได้กระทำกิริยาที่น่ารังเกียจไป เอาแต่จ้องเขาไม่วางตา คิดเพ้อเจ้อไปคนเดียว จนสังเกตถึงสีหน้าแววตาที่ดูถูกเหยียดหยามจากเขา รู้สึกเหมือนโดนมีดบาดลึกความมั่นใจหดหาย ละล้าละลังว่าจะพูดอะไรดี แต่คนตรงหน้าก็ชิ่งพูดขึ้นเสียก่อน

     

    ปล่อย....” ผมเงยหน้าสบตา เขาเบือนสายตามองลงไปข้างตัว ขยับแขนที่ถูกไขว้หลังไว้ ผมเข้าใจในทันที เขาอยากให้ผมปลดสายรัดที่รัดนิ้วหัวแม่มือเขาไว้ออก ตอนนี้เขาเลิกดิ้นเลิกด่าว่าผมแล้ว ผมก็อยากปลดให้นะ แต่ว่า....

     

    นานพอดูที่ผมเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น ส่วนเขาก็นิ่งเงียบอีกครั้ง จนกระทั่ง....

     

    ขอโทษที่ชกนาย เพราะฉะนั้นช่วยปล่อยก่อนได้ไหม?” เขาเอ่ยขออีกครั้ง ผมมองตาเขา คราวนี้ไร้ซึ่งแววตาที่ดูหมิ่น ไม่มีความยโส ไม่มีความโกรธใดๆ แฝงอยู่ มันทำให้ผมใจชื้นขึ้น ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบกรรไกรขนาดเล็กที่วางไว้บนโต๊ะข้างๆ ไปปลดสายรัดนิ้วให้ เขาสะบัดมือไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้า ผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ที่ปล่อยให้เขาต้องทนปวดแขนอย่างนั้นตั้งนาน

     

    เอ่อ...ผมขอถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม?” เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม ทำให้ผมใจเต้นแรงขึ้นทันที

     

    คุณชื่ออะไรครับ?

     

    “..............” เขาเงียบ ไม่ตอบกลับมา

     

    เอ่อ... ผมชื่ออิสระ เป็นเจ้าของผลงานจัดแสดงวันนี้ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ?” ผมคิดว่าเพราะผมไม่แนะนำตัวเองก่อนถามชื่อเขา เขาเลยไม่ยอมตอบผมรึเปล่า ผมจึงแนะนำตัวเองก่อนที่จะถามชื่อเขาใหม่อีกครั้ง

     

    ริชาร์ด......ริชาร์ด เบแอล ช่างภาพอิสระ” เขาตอบผมด้วย ทำเอาหัวใจผมพองโต อย่างน้อยก็รู้จักชื่อและอาชีพเขาแล้ว ริชาร์ด เบแอล..... เป็นช่างภาพ โอ้ย! ผมอยากรู้จักเขามากกว่านั้นจังเลย

     

    หยุดยิ้มแบบนั้นซะ

    ผมสะอึกเบิกตากว้างเป็นเชิงไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด

     

    ไม่ต้องยิ้มเหมือนดีใจมากมายขนาดนั้นก็ได้” สิ้นคำผมรีบยกมือขึ้นแตะปาก นี่ผมกำลังยิ้มกว้างมากๆ อยู่เหรอ? ไม่รู้ตัวเลย แต่มันก็บังคับกล้ามเนื้อบนใบหน้าไม่ได้ ขอโทษครับ ผมหุบยิ้มไม่ได้จริงๆ ตอนนี้ แต่ผมก็พยายามฝืนไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดี ก่อนอื่นเลยตอนนี้ผมต้องเคลียปัญหาอีกข้อเสียก่อน

     

    ทำไมคุณถึงชกผมละครับ?” ผมเอ่ยถาม ทำไมเขาต้องชกผมด้วย ผมดีใจที่ได้เจอคุณ ดีใจมากถึงมากที่สุด แต่คุณเห็นหน้าผมก็เข้ามาชกผมเลย ทำไมละครับ ผมมองจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกน้อยใจ

     

    “....ภาพวาดขนาดใหญ่ตรงกลางห้องนั่น...............................เอ่อ....เป็นผมเหรอ?” เขาเอ่ยถามแล้วจ้องตาผมไม่กระพริบ อย่างกับจะคาดคั้นโทษ ผมเหลือบดูปฏิกิริยาของเขา มือที่กุมกันนิ่งอยู่บนหน้าตัก ริมฝีปากบางได้รูปและร่างกายเขาไม่ได้สั่นด้วยความโมโห ไร้ซึ่งปฏิกิริยาที่จะแสดงอาการโกรธ มีเพียงสายตาที่คาดคั้นเอาคำตอบอย่างเดียวที่จ้องมา ผมถอนหายใจ อยากตอบว่าใช่ แต่อีกใจก็อยากเล่าเรื่องราวสักเรื่องให้เขาฟัง อยู่ๆ ความคิดนี้ก็ก่อตัวขึ้น ผมห้ามมันไม่ได้จริงๆ นะ

     

    .....ผมขอตอบคำถามข้อนั้นด้วยนิทานแล้วกันนะครับ” ผมมองลึกเข้าไปที่ดวงตาเขาอีกครั้ง สายตาคู่นั้นยังไม่เปลี่ยน เพียงแค่จ้องกลับมาเหมือนเดิม แววตาแบบเดิม ผมกลั้นใจเล่าเรื่องราวที่ผมอยากให้เขาได้รับฟังออกมา

     

    มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขาเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย เป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว พ่อแม่ต่างเอาอกเอาใจเขา ไม่ว่าอะไรที่อยากได้เขาต้องได้ มันทำให้เขาเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ พอไม่ได้ดั่งใจก็ร้องไห้ ขู่เข็ญ จนได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการในที่สุด แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนสวรรค์แกล้ง ครอบครัวของเขาต้องล้มละลาย เพราะหนี้ที่ไม่ได้ก่อ ต้องใช้หนี้ให้คนอื่น เพราะความใจดีของพ่อของเขาที่ไปเซ็นสัญญาค้ำประกันให้กับเพื่อนรักคนหนึ่ง แต่เพื่อนรักกลับหักหลัง โยนหนี้ให้เขาแล้วหนีไปไร้การติดต่อ ครอบครัวจากที่มีพร้อมทุกอย่าง กลับไม่เหลืออะไรเลย


    จากเด็กชายที่อยากได้อะไรก็ต้องได้ เขาต้องอดมื้อกินมื้อ พ่อเอาแต่กินเหล้าหนีปัญหา แม่ทนไม่ไหวจึงหนีไป เหลือเพียงเขากับพ่อ เมื่อไม่มีทางไป ญาติพี่น้องไม่นับญาติ พ่อตัดสินใจจบปัญหาด้วยการกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เด็กชายอายุเพียง 10 ขวบ ได้แต่ยืนร้องไห้กลางสะพานตลอดคืน ไม่มีคนเดินผ่าน ไม่มีใครได้ยินเสียงเขา มีเพียงสายฝนที่อยู่ๆก็เทกระหน่ำ เขาหนาวและอ่อนล้า ได้แต่ขดตัวอยู่ตรงที่เดิม จนเช้าวันใหม่....


    พระสงฆ์เดินบิณฑบาตมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชาย ปากสั่นซีดเผือก ดวงตาเหม่อลอย ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ด้วยฤทธิ์ไข้ ก่อนจะหลับไป เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในสถานที่ไม่คุ้นเคย มารู้ทีหลังว่า มีโยมคนหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงมาตักบาตรได้ช่วยอุ้มเขามาวัดตามคำสั่งเจ้าอาวาส หลวงตาเจ้าอาวาสเป็นผู้มีพระคุณกับเขา เก็บเขามาเลี้ยง ดูแลให้การอบรม ให้ความรู้....” เล่ามาถึงตอนนี้ ผมน้ำตาซึม ใช่ครับ ผมกำลังเล่าเรื่องราวชีวิตของผมอยู่ ผมอยากให้เขารู้เรื่องราวของผมโดยเฉพาะเรื่องที่เล่าต่อไป แต่ผมหยุดเพื่อทำใจระลึกถึงหลวงตาผู้มีพระคุณต่อผม นึกกราบท่านในใจ

     

    ผมมองหน้าเขาอีกครั้งก่อนจะเล่าต่อ...

     

    วันหนึ่งในวัยเด็กอายุ 17 ปีของเด็กชาย หลวงตาบอกให้เขาบวชทดแทนคุณบิดามารดา เด็กชายรับคำจะบวช เขาอยากบวชเพื่อทดแทนคุณหลวงตาด้วย พอจบม.ปลายเขาก็บวชเข้าพระพุทธศาสนาทันที จนกระทั่งบวชได้ 2 ปีกว่า หลวงตาเรียกเขาให้เข้าพบ หลวงตาบอกให้เขาเลือกเส้นทางเดินของตนเอง ว่าจะเรียนต่อหรือบวชไม่สึก เขาชั่งใจอยู่นานหลายวัน อยากบวชไม่สึกไหม? ในใจเขาก็อยากสึกเพื่อมุ่งเรียนต่อในสายวิชาศิลปะ แต่ก็เกรงใจหลวงตา อยากบวชต่อเพื่อแทนคุณหลวงตาคอยอยู่ปรนนิบัติหลวงตา วันหนึ่งหลวงตาเรียกเขาเข้าพบอีกครั้ง ครั้งนี้หลวงตาเล่าให้เขาฟังว่า เขาจะได้เจอคู่บุญที่คู่กันมาหลายภพชาติ เขามาทวงสัญญา ถ้าบวชต่อก็จะได้ตัดทางโลกเข้าทางธรรม หากไม่บวชก็ต้องไปใช้หนี้เขา เพราะทำให้เขาเจ็บช้ำเอาไว้ แต่ตอนนั้นเขาไม่คิดมากอะไรถึงคำเล่าเหล่านั้น ด้วยความอยากเรียนเขาจึงขอลาสิกขากับหลวงตา เขาใช้ชีวิตปกติสุขต่อมาจนกระทั่งวันหนึ่ง คำบอกเล่านั้นก็เป็นจริง....” ผมหยุดที่ตรงนี้ เงยหน้าที่ก้มมองพื้นขึ้นสบตาริชาร์ดอีกครั้ง ริชาร์ดที่นิ่งฟังดวงตาเขาเหม่อมองไปอีกด้านหนึ่งของห้อง ด้านที่ผมวางผลงานอีกชิ้นเอาไว้ ผมงานภาพวัดที่ผมเคยบวช ภาพหลวงตาที่ยืนยิ้มอยู่ใต้ต้นโพธิ์หน้าวิหาร ภาพในความทรงจำของผม ผู้มีพระคุณของผม เป็นผลงานแรกสุดของผมที่ผมต้องพกไปงานจัดแสดงผลงานทุกครั้ง จนเปลี่ยนกรอบไปแล้วหลายรอบ ผลงานที่ผมไม่เคยคิดจะขาย เป็นวัตถุทางใจชิ้นเดียวที่คอยย้ำเตือนให้ผมระลึกถึงคุณท่าน

     

    เรื่องที่เล่า... เรื่องของคุณเหรอ?” ริชาร์ดเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นมา เขายังมองไปยังภาพนั้นไม่วางตา

     

    ครับ เป็นเรื่องราวของผมเอง แต่มันก็คงยังไม่ใช่คำตอบที่คุณต้องการอยู่ดี” ผมตีหน้าเศร้า หันไปอีกด้านตรงกันข้าม

     

    งั้นคุณก็เล่าต่อสิ” ผมยิ้มเมื่อได้ยินดังนั้น ที่ผมนิ่งก็เพราะอยากรู้ว่าเขาจะอยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้นหรือไม่ เรื่องราวในวันนั้นที่ผมพบเขา ความในใจของผม ความรู้สึกของผม ตลอดเวลา 1 ปีที่ผมเฝ้าคิดถึงเขา เฝ้าตามหา ผมอยากบอกเขาเหลือเกิน

     

    พอจบมหาลัยจากคณะที่หวังมาทั้งชีวิต คณะจิตรกรรม เขา...

     

    ไม่ต้องแทนว่าเป็นคนอื่นก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของคุณ ไม่ใช่นิทาน” ริชาร์ดเอ่ยแทรกขึ้น ผมอึ้งนิดหน่อยที่เขาพูดอย่างนั้น ผมจึงเปลี่ยนใหม่เล่าเรื่องราวของผม โดยไม่แทนว่า “เขา” “เด็กชาย” หรืออะไรก็แล้วแต่อีกแล้ว แต่แทนด้วยคำว่า “ผม”

     

    เมื่อผมเรียนจบ งานหลายชิ้นที่เคยวาดไว้สมัยเรียนถูกขายออกไปด้วยราคาที่สูง และผลงานใหม่ก็เป็นที่ต้องการ เป็นศิลปินหน้าใหม่ไฟแรง แต่อยู่ๆ วันหนึ่งผมก็วาดภาพไม่ได้ ผมยกพู่กันขึ้นจรดผืนผ้าใบ แต่ผมไม่อาจเขียนอะไรออกมาได้เลย ผลงานของผมขาดหาย เหมือนปลาที่ขาดน้ำ ที่กำลังใกล้ตาย ผลงานเก่าถูกขายจนหมด ที่เหลือคือผลงานที่ใช้ไม่ได้ ผมมีเงินเก็บส่วนหนึ่ง จึงแบ่งไปเช่าสตูดิโอไว้ทำงานศิลป์ ผมสเก็ตภาพกว่าร้อยกว่าพันภาพลงในสมุดขนาด A5 วาดทุกอย่าง และคิดว่าผมจะสามารถสร้างผลงานออกมาได้ แต่เปล่าเลย ผมได้แต่สเก็ตภาพตามแบบตามสิ่งที่เห็น ภาพสเก็ตมันขายไม่ได้ ผลงานบนผืนผ้าใบต่างหากคือสินค้าของผม แต่ผมก็ยังวาดไม่ได้ ผมใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร้จุดหมาย ทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ โดยหวังว่าสักวันจะกลับมาวาดรูปได้อีกครั้ง.....

     

    คุณไม่ได้ออกไปหาสิ่งใหม่ๆ บ้างเหรอ?” ริชาร์ดขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้นเมื่อผมเว้นช่วงพักหายใจ ผมพยักหน้าแทนคำตอบนั้น แล้วส่ายหน้าว่ามันไม่ได้ผล ผมทำทุกวิธีทางครับ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

     

    หรือสิ่งเก่าๆล่ะ?” ในคำถามนี้ของริชาร์ด คงหมายถึงวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ที่ผมเคยเป็นมา ผมเข้าใจอย่างนั้นนะ

     

    ผมกลับไปหาหลวงตานะ ปรึกษาปัญหานี้ ท่านเพียงแค่ยิ้ม และให้กำลังใจ บอกว่าไม่นานหรอก ก็จะกลับมาวาดได้อีกครั้ง

     

    แล้วยังไงต่อ?” ริชาร์ดยกมือขึ้นมากุมไว้ตรงปลายคาง มองจ้องมายังผมด้วยความสนใจในเรื่องราวของผม ผมรู้สึกดีใจที่เขาสนใจ ผมยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนเล่าต่อ

     

    ผมก็กลับมาใช้ชีวิตในสตูดิโอที่เช่าไว้เหมือนเดิม ทำเหมือนเดิม อยู่อย่างเดิม จนวันหนึ่ง อะไรทุกอย่างก็คงเดิม ผู้คนดำเนินชีวิตเหมือนเดิม เฉกเช่นทุกวัน แต่มันไม่เหมือนเดิม....สำหรับผม.........” ผมหยุดพูดจ้องมองดวงตาสีฟ้านั่น รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปยังวันเก่า วันที่เขาและผมต่างจ้องตากัน วันแรกที่ผมค้นพบหัวใจของผม

     

    “ผม...พบ....คุณ....” ผมเน้นทีละคำชัดๆ มองดวงตาของเขานิ่ง ริชาร์ดดูอึ้งที่ผมพูดออกไปอย่างนั้น ดวงตาเขาดูหวั่นไหว ก่อนจะเบนหน้าหนี ใบหน้าเขาดูซีดลง ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ผมเอื้อมมือจะไปแตะไหล่ของเขา แต่กลับถูกเขาปัดมือหนี แล้วลุกพรวดขึ้นเดินออกจากห้องไป โดยไม่หันกลับมามอง ผมอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก อยู่ๆความรู้สึกเศร้าเสียใจก็ผุดขึ้นมาในวินาทีนั้น ผมลุกขึ้นวิ่งตามออกไป จนถึงหน้าอาคารที่จัดแสดงผลงาน ผมหันซ้ายขวามองหาเขา แต่ไม่พบ ไม่เห็นแม้แต่เงา ผมตามเขามาช้าไป เขาไปเสียแล้ว....... หายไปจากสายตาของผม

     

    ผมรู้สึกสิ้นหวัง รู้สึกว่าหากวันนี้ไม่ได้พบเขาอีกครั้ง ต่อไปผมก็คงไม่มีหวังจะได้ผมเขาอีก ไม่รู้สิครับ อยู่ๆ ความรู้สึกอย่างนี้มันก็ก่อตัวขึ้นมาเอง เหมือนอารมณ์จิตตกก็ว่าได้ เพราะผมห้ามความรู้สึกไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนถูกทิ้งอีกครั้ง เหมือนครั้งนั้น.... ครั้งที่พ่อจากผมไปไม่มีวันกลับ ครั้งที่แม่เดินออกจากชีวิตผมไป..... ผมเพิ่งเข้าใจในตอนนี้เอง

     

     

     

    ผมเหงา

    ผมว้าเหว่

    ผมต้องการใครสักคน

    คนที่จะรักผม

    คนที่จะอยู่เคียงข้างผม

    คนที่จะเดินไปพร้อมกับผม

    คนที่ผมเฝ้าตาหามาทั้งชีวิต

    .........

    เขาหายไปแล้ว.............................

     

     

     

    น้ำตาของผมเอ่อคลอปริ่ม ผมทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าทางเข้าที่จัดแสดง เหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบออกไปจนหมดตัว มีคนเดินผ่านไปมาเข้ามาถามว่าผมเป็นอะไร ไหวรึเปล่า ไม่สบายรึเปล่า ผมพยายามฝืนยิ้มตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร แม้ในใจจะรู้สึกโหวงเหวงมากเพียงใดก็ตาม ผมไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าผมอ่อนแอ ผมยันกายให้ลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในอาคาร เดินเก็บของเข้าที่แล้วเดินตรวจตาอย่างไร้วิญญาณ ผมไม่ได้ได้มองด้วยซ้ำว่ารูปภาพอยู่ดีหรือไม่ มีใครเหลืออยู่อีกหรือไม่ เพราะยังไงเสียพี่รปภ.คงช่วยกันคนออกไปหมดเรียบร้อยตั้งแต่ตอนที่มีเรื่องแล้ว ผมเดินไปปิดไฟทีละดวง จนมาถึงส่วนงานจัดแสดงที่ไม่ได้เปิดประมูล

     

    ผมเดินเข้าไปภายในห้อง แล้วถอนหายใจตรงหน้าภาพแผ่นหลังของริชาร์ด ใช่ผมวาดรูปเขา ทุกรูปในนี้เป็นรูปของเขาทั้งสิ้น คนในรูปอุตส่าห์มาปรากฏตัวตรงหน้าผมอีกครั้ง แต่ผมกลับทำพลาดทำให้เขาจากผมไป อีกครั้งที่เขาหายไปสายตาของผม ผมไม่น่าเล่าเรื่องของผมให้เขาฟังเลย ความอยากให้เขารู้จักตัวของผม เรื่องราวของผม และเมื่อเล่าจบ ผมก็อยากจะบอกว่าผมเป็นคนวาดรูปเขาเอง ผมกลั่นกรองทุกรูปออกมาจากหัวใจ ใบหน้า แววตา แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวที่ผมจำได้ทั้งหมด ผมอยากให้เขารับรู้จากปากผมโดยตรง แต่ยังไม่ทันเล่าทั้งหมด เขาก็ลุกหนีไปเสียก่อน ผมทำพลาดไปใช่ไหมครับ? ผมไม่น่าเล่าเรื่องราวออกไปอย่างนั้นเลย ไม่น่าพูดว่า ”ผมพบคุณ” ออกไปเลย

     

     

    เขาคงรับไม่ได้....

    เขาคงเกลียดผม.....

    เขาจะรู้ไหมว่าผมคิดฟุ้งซ่านไปมากมาย.....

    ถ้าผมไม่ได้เจอเขาอีกล่ะ?

    ถ้าเขาเกลียดผมล่ะ?

    ผมจะทำยังไง ผมจะอยู่ได้ไหม?

     

     

    แล้วทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ด้วย ผมรู้สึกขาดเขาไม่ได้ เหมือนตามหาเขามานานแสนนาน พอได้พบหน้ามันก็ห้ามความรู้สึกไม่ได้

     

    ใช่...... ผมรู้

     

    ผมรักเขา

     

    ผมอยากบอกเขาให้ได้ยินชัดๆ

     

    “ผมรักคุณ.......ฮึก...” น้ำตาที่ปริ่มมันทะลักไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง ภาพแผ่นหลังของเขาเบลอไปจากสายตา ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตา แต่มันก็ไม่ยอมหยุดไหล ผมได้แต่ปล่อยให้มันไหลต่อไป เสียงสะอื้นที่ผมไม่อยากกั้นอีกแล้ว ดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งห้อง

     

    ผมยังมีหน้าที่ที่ต้องทำ ต้องตรวจเช็คความเรียบร้อย เตรียมจัดส่งผลงานบางส่วน เคลียเอกสาร ปิดไฟ แล้วจะได้กลับบ้าน.... แต่ผมไม่ไหวแล้ว ผมทำต่อไม่ไหว ผมทรุดกายนั่งลงตรงนั้น น้ำตาไหลอาบแก้ม เปรอะเปื้อนเสื้อ หยดลงกางเกง พื้นห้อง ทำไมน้ำตามันถึงได้ไหลออกมามากมายเพียงนี้ เหมือนมันจะไหลออกมาหมดทั้งชีวิตนี้

     

    .............................

     

    “หยุดร้องได้แล้ว” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น ผมได้แต่สะอื้น หันไปตามเสียงของคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็ต้องตกใจกับคนตรงหน้า

     

    เฮ้อ...... ผมแค่ออกมาทำใจ ไม่คิดว่าคุณจะวิ่งพ่านหาผมไปทั่ว แล้วมานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้” ริชาร์ด...... ใช่เขาจริงๆ ใช่ไหม? ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตา ไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมนึกว่าเขาออกไปแล้ว แต่เขายังอยู่ เขายังอยู่จริงๆด้วย!!

     

    เอ้า เช็ดหน้าเช็ดตาซะ อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกผิดเลย” ผมยกมือขึ้นรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นที่เขายื่นมาให้ เช็ดหน้าเช็ดตาตามที่เขาบอก จริงๆแล้วผมอยากรีบหยุดน้ำตาไม่ให้ไหลทันทีเสียด้วยซ้ำ ผมนั่งอยู่ตรงที่เดิมมองเขานิ่ง

     

    หน้าผมมีอะไรติดเหรอ? ถึงมองแปลกๆ แบบนั้น” เค้าเอ่ยยิ้มๆ แก้เขิน ลักยิ้มตรงมุมปากทำให้เขาดูมีเสน่ห์ ผมรู้สึกตกหลุมรักคนตรงหน้าเสียแล้ว ตกหลุมรักแล้วตกหลุมรักอีก................

     

    ริชาร์ดยื่นมาให้ผม ผมจับมือเขาลุกขึ้นยืน ผมไม่กล้าสบตากับเขาเลย รู้สึกอายมากที่มาให้เขาเห็นว่าผมร้องไห้เป็นเด็กแบบนั้น ผมหายใจเข้าออกแรงๆ หลายทีเพื่อทำใจ

     

    .....คุณมีอะไรจะพูดกับผมไหม?” ริชาร์ดเอ่ยถาม ผมมีครับ มีเรื่องที่อยากเล่าให้คุณฟัง มีคำพูดอยากบอกกับคุณ ก่อนที่มันจะสายไป ผมคงทำใจไม่ได้หากคุณหายไปแบบนี้อีก อย่างน้อยคำพูดที่ผมอยากบอกคุณ ขอให้ผมได้พูดมันออกมาเถอะ ผมทำใจอยู่นาน มือไม้สั่นไปหมด ผมเงยหน้ามองเขา ริชาร์ดยืนเกาะอกนิ่งมองผม เขารอให้ผมพูดอยู่ โอ้ย ใจเต้นแรงจังเลยครับ ผมรู้สึกหวั่นใจมาก ถ้าผมพูดไปแล้ว เขาจะตอบยังไง? คิดถึงตรงนี้ก็เหงื่อออกเสียแล้ว....

     

    “ผม.....ผม.........” ผมอยากจะบอกว่า ผมรักคุณ แต่ผมเอ่ยออกมาไม่ได้สักที

     

    ผม? อะไรครับ? พูดภาษาอังกฤษด้วยครับ” เขายังยิ้มให้ผมอยู่ โอ้ยๆ ใจละลาย ผมหน้าแดงขึ้นมาทันที หัวใจเต้นแรง ไม่ไหวแล้ว ยังไงผมก็ต้องพูดออกไป คำที่ผมอยากบอกให้คุณรู้.........

    ......

    ....

    ..

     

     

     

    “....I love you….”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×