ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ครึ่งชีวิต

    ลำดับตอนที่ #1 : รึสวรรค์ทำให้เรามาพานพบกัน

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ค. 56


     

    ผม นายอิสระ อายุ 29 ปี เป็นจิตกรวาดภาพฝีมือดีคนหนึ่ง แต่ทำงานตามใจตนเองคือไม่มีอารมณ์ก็ไม่ทำ ทุกผลงานล้วนกลั่นกลองออกมาจากจิตวิญญาณทั้งสิ้น รูปร่างหน้าตาผมหรือครับ? ก็สูงยาวเข่าดี 187 ซม.ได้ ผมหยิกฟูปะบ่า หนวดเคราไม่มีเพราะผมไม่ชอบ หน้าหล่อไหมไม่รู้ รู้แต่ว่าสาวติดตรึมมาตั้งแต่สมัยม.ปลาย แต่ผมไม่ชอบการผูกสัมพันธ์เลยไม่เคยมีแฟนอย่างใครเขาสักคน เพื่อนๆในกลุ่มชอบว่าผมติสแตก อันนี้ผมยอมรับ งานอดิเรกชอบเข้าวัด ไม่ได้ไปฟังธรรมถือศีลหรอกนะครับ ไปวาดรูปครับ

     

    เวลาอยู่คนเดียวแล้วเกิดไอเดียขึ้นมา ก็จะหยิบสมุดสเก็ตภาพขนาด A5 มาขีดๆเขียนๆ ทั้งชีวิตนี้ถ้าเอาสมุดสเก็ตของผมวางเรียงต่อกันคงสูงเท่าตึกช้างได้ เพราะฉะนั้นทุกปีผมจะต้องมานั่งคัดไอเดียไหนไม่ผ่านก็จัดแจงเก็บใส่กล่อง เพื่อเตรียมนำไปเผา ผมไม่กล้าเอาไปทิ้งถังขยะหรอกครับ ผมเผาหมดอย่างเดียวให้มันรุกเป็นเปลวไฟ โหมกระหน่ำภาพสเก็ตกว่าหมื่นกว่าแสนภาพจนไม่มีเชื้อเพลิงไหนจะให้เผาไหม้ได้อีก

     

    ผมลงทุนเปิดแกลลอรี่แสดงผลงาน 3 เดือน โดยใช้เงินส่วนตัวของผมเองทั้งสิ้น ไม่มีสปอนเซอร์ เปิดให้เข้าชมฟรีไม่ต้องเสียเงิน ใครใคร่ชอบผลงานไหนสามารถลงชื่อขอประมูลได้ โดยผมแบ่งงานออกเป็น 2 โซน คือ โซนที่สามารถประมูลได้ และโซนที่ผมไม่ขาย เอาไว้โชว์เฉยๆ รวมถึงผลงานชิ้นใหญ่ที่สุดในงานที่จัดแสดงอยู่กลางห้องโถงใหญ่ ความใหญ่โตของภาพขนาด 3x1 เมตร แนวนอน ตั้งอยู่ภายในตู้กระจกใสที่สั่งทำพิเศษ ผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตของผม

     

    ภาพแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งในความทรงจำของผม หากย้อนกลับไปก็เมื่อปีที่แล้ว

     

    …………………………..

     

    ………………………

     

    ……………..

     

    มันเป็นช่วงเวลายามเย็นที่แดดไม่แรงนัก ผมเดินออกจากออฟฟิตที่เช่าไว้ทำงานศิลป์ เดินไปตามเส้นทางเดิมๆ ผ่านผู้คนที่เพิ่งเลิกงานหน้าเดิมๆ จนมาหยุดที่สี่แยกไฟแดง อากาศของเมืองช่างเป็นมลพิษต่อปอดของผมเหลือเกิน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ผมเดินต่อไปอีกข้ามสี่แยกไฟแดงเดิม จนถึงสวนสาธารณะที่เดิมที่มาประจำทุกเย็น

     

    อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้งผมต้องมานั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ที่นี่ หากขาดที่นี่ไป ผมคงจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ อาจจะต้องตายเพราะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แน่นอน บอกแล้วว่าผมมันติสแตก ความคิดความอ่านเหมือนใครเขาซะที่ไหนล่ะ

     

    ผมนั่งพักชิวๆ เหม่อมองนกบ้าง คนบ้าง พอเกิดไอเดียก็หยิบสมุดสเก็ตขึ้นมาขีดๆเขียนๆตามประสาผม นั่งไม่นานก็รู้สึกว่าจิตใจได้รับการเยียวยาแล้วจึงลุกขึ้นเดินกลับทางเดิมอีกครั้ง ผมเสียบแจ๊คหูฟังเข้ากับมือถือเล่นเพลงเดิมๆฟังไปเดินไป

     

    ผ่านเส้นทางเดิมๆที่ไม่เหมือนเดิม

     

    กับผู้คนหน้าเดิมๆที่ไม่เหมือนเดิม

     

    จนมาหยุดที่สี่แยกไฟแดงเดิมๆที่ไม่เหมือนเดิม

     

    ผมหยุดยืนมองไปยังทิวทัศน์เดิมๆ แต่แล้วก็มีลมแรงพัดให้สมุดสเก็ตผมเปิดขึ้น เศษกระดาษที่ผมสเก็ตแล้วฉีกแนบไว้ปลิวว่อนไปทั่ว ผมรีบคว้าไว้ได้ทันแค่แผ่นเดียว ส่วนอีกหลายๆแผ่นปลิวไปตามแรงลม ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ วาดใหม่ก็ได้ไม่เป็นไร

     

    ผมยกภาพสเก็ตที่เหลือในมือแค่แผ่นเดียวขึ้นมาดู ภาพฝูงชนมากมายเดินกันขวักไขว่ตรงสี่แยกนี้ ภาพแรกที่ผมวาดเมื่อย้ายมาอยู่ที่นี่ ทุกภาพที่ผมสเก็ตเก็บไว้เป็นความทรงจำ อาจจะไม่มีค่าเท่าไหร่ในสายตาผมตอนนั้น

     

    ผมยกภาพขึ้นบังสายตา ยืดแขนยาวออกจนสุดมือ แล้วเอียงหัวเล็กน้อยเพื่อดูทิวทัศน์จริงตรงหน้า ขยับแขนไปมาเพื่อเทียบให้ภาพสเก็ตในมือกับภาพทิวทัศน์จริงตรงกัน ก่อนจะลดมือลงเมื่อเห็นว่าอีกฝั่งหนึ่งมีสิ่งแปลกปลอมเจือปนเข้ามาในระยะสายตาพอดี สิ่งที่ขาดหายไปจากภาพในมือ

     

    ชายคนหนึ่งยืนมองผมนิ่งเขม็ง คนที่ไม่ไหลไปตามกระแสฝูงชน ผมสีทองสั้นได้ทรง ขับใบหน้าที่จมูกโด่งเป็นสัน ปากเรียวบางสีแดงชมพู คิ้วโค้งเป็นเส้นได้รูป รับกับดวงตาเรียวที่จ้องตรงมาทางนี้ ผมเผลอกลืนน้ำลายลงคอมองจ้องตอบสายตานั้น

     

    กระดาษหนึ่งแผ่นที่ผมคว้าไว้ได้ตอนนี้หลุดจากมือลงสู่พื้นเบื้องล่าง โดยที่ผมไม่ได้สนใจอะไรมันอีกเลย ไม่สนใจว่าใครจะเดินเยียบย่ำ หรือจะปลิวไปตามแรงลมแล้วก็ตาม และสายหูฟังที่ล่วงหล่นจากหูข้างหนึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตัว

     

    ผมยังคงยืนจ้องตาชายคนนั้นอยู่เนิ่นนาน ในใจเต้นแรงเลือดสูบฉีดเป็นจังหวะ ตึก ตัก ตึก ตัก .... ก่อนจะเป็นเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามอย่างห้ามไม่อยู่

     

    ความรู้สึกที่เฝ้าถวิลหามาตลอดทั้งชีวิตนี้คืออะไร คนที่ผมไม่เคยได้พบเจอหน้าค่าตามาก่อน ทำไมถึงมีอิทธิพลต่อหัวใจผมได้ถึงเพียงนี้ เหมือนชีวิตเสี้ยววินาทีนั้นถูกเติมเต็มทุกอย่าง

     

    อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตผมที่ไม่เคยถามหา ไม่เคยคาดฝัน และไม่เคยนึกถึงเลยสักครั้ง

     

    แต่ตอนนี้มันทำให้ผมคิดว่า เขาคืออีกครึ่งหนึ่งที่จะมาเติมเต็มหัวใจของผม ผมคงคิดเข้าข้างตัวเองสินะ แต่ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ

     

    ผมยืนนิ่ง ขาก้าวไม่ออก แต่ใจวิ่งไปอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เราทั้งคู่ต่างสบตากันไม่ลดละต่ออีกนานหลายนาที

     

    จนกระทั่ง...... สาวสวยหน้าตาจิ้มลิ้มผมยาวปะบ่าสีทองอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาจับมือของเขาไว้ รอยยิ้มที่เธอส่งมอบให้ทำให้เขาหันกลับไปยิ้มตอบ รอยยิ้มที่ผมตราตรึงเอาไว้ในใจมาตลอด

     

    ก่อนจะหันหลังเดินเคียงคู่กับสาวน้อยคนนั้นจากไปอีกทาง ผมได้แต่มองแผ่นหลังนั้นตามไปติดๆ ชะเง้อมองผ่านไหล่คนข้างหน้าที่เข้ามาขวาง แค่ช่วงเวลาเสี้ยวหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเขาจะหันกลับมามอง แต่เหมือนจะเปลี่ยนใจ ทำให้ผมได้เห็นแค่เพียงเสี้ยวใบหน้าข้างหนึ่งเท่านั้น

     

    ผมยังจำเค้าได้ดี ความทรงจำส่วนลึกที่สุดพรั่งพรูออกมาบนผืนผ้าใบ ผ้าพันคอโครเชต์สีแดงสดที่ทับเสื้อคอกลมแขนยาวสีดำ ดวงตาที่จ้องมองมาแม้จะมองไม่เห็นสีตา แต่ก็เห็นสีหน้าที่ผมจะไม่มีวันลืม

     

    ขออีกสักครั้งหนึ่งเถิด ผมอยากพบกับเขาอีกสักครั้งหนึ่ง ผมอ้อนวอนต่อพระเจ้าอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ผมผ่านสี่แยกนั้นทุกเย็น และเดินข้ามไปอีกฝั่ง หวังว่าจะได้พบกับเขาคนนั้นอีกครั้ง

     

    แต่ก็ไม่มีครั้งใดเลยที่ผมจะมีหวัง ผมจึงกลั่นกลองความรู้ตอนนั้นออกมาเป็นผลงานตอนนี้ ใช้เวลากว่า 1 ปีรวบรวมผลงานทั้งหมด

     

    ทุกปลายขนแปรงที่สะบัดลงบนผืนผ้าสีขาว ทุกเฉดสีที่ถูกเติมแต่งให้สมบูรณ์ ทุกลายเส้นที่ผมลาก ทุกอย่างออกมาจากจิตวิญญาณ ออกมาจากใจ ออกมาจากทุกอณูในร่างกาย ทุกหยาดเหงื่อที่เสียไปผมไม่เคยนึกเสียดาย

     

    และไม่เคยคิดว่าวันที่ผมเฝ้ารอคอยจะมาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว....

     

     

    ……………..

     

    ………………………

     

    …………………………..

     

     

    เวลา 15:00 . โดยประมาณ อีก 1 ชั่วโมงผมจะปิดแกลลอรี่แล้ว วันนี้ปิดก่อนเวลา 1 ชั่วโมง เพราะจะต้องไปคุยเรื่องผลงานที่ขายไปทั้งหมดกับทางเอเยนซ์ ซึ่งเป็นพ่อค้าคนกลางที่จะคอยหาลูกค้ามาให้เพื่อกินหัวคิว ซึ่งพวกนี้จะได้พวกคนรวยกระเป๋าหนักทั้งนั้น ส่วนที่วอล์คอินเข้ามาซื้อโดยตรงก็มีแต่จะน้อยกว่าที่ผ่านเอเยนซ์

     

    ผมเดินตรวจแกลลอรี่อีกรอบ เผื่อมีมือดีแอบมาเล่นซนกับผลงานของผมล่ะยุ่งเลย เพราะเมื่อหลายวันก่อน ภาพจิตรกรรมชิ้นหนึ่งถูกเด็กมือบอนเอาหมากฝรั่งมาป้าย ผมโกรธมาก เพราะมันเป็นผลงานที่ลูกค้าจองและจ่ายเงินไว้แล้ว ซึ่งถ้าหมากฝรั่งมันจะติดที่กรอบภาพผมจะไม่ว่าอะไรเลย เพราะมันถอดกรอบออกเปลี่ยนได้ 

     

    แต่นี่มันเล่นแปะลงบนผลงานโดยตรง แถมเป็นตรงกลางภาพพอดีอีกต่างหาก ผมได้แต่สบถในใจ เก็บความแค้นเอาไว้แล้วปั้นหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    มันเป็นเรื่องความซวยมหาซวยสำหรับแกลลอรี่ที่เปิดให้เข้าชมฟรี และยังหาตัวคนร้ายไม่ได้ เพราะเมื่อดูในกล้องวงจรปิดช่วงเวลานั้นมีคนเข้ามาดูกลุ่มใหญ่ มีเด็กกว่าสิบคนมากับผู้ปกครอง แล้วเป็นช่วงชุลมุนพอดี เลยไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นเด็กคนไหนในสิบคนนั้น ไอ้ครั้นจะไปชี้หน้ามั่วซั่วว่าคนนี้คนร้ายก็ไม่ได้ จึงได้แต่ทำใจอย่างสงบ

     

    ผมยืนไว้อาลัยให้ภาพที่เสียไป 10 วินาที ก่อนจะต้องแบกออกไปเก็บไว้ในส่วนลึกสุดของห้องเก็บของที่สตูดิโอ โดยยังคงมีหมากฝรั่งติดอยู่ตรงภาพเหมือนเดิม....

     

    ส่วนเรื่องลุกค้า ผมทำได้เพียงขอโทษขอโพยลูกค้าว่าไม่สามารถขายผลงานชิ้นนั้นได้แล้ว ก็ยังดีที่ลูกค้าเข้าใจครับ ไม่ว่าอะไร ขอเลือกเป็นผลงานชิ้นอื่นแทนที่ให้สีและอารมณ์แบบเดียวกับภาพนั้น ผมจึงเสนอผลงานที่ไม่ต้องการขายให้แทน ลูกค้าถึงได้พอใจและจ่ายเงินให้เพิ่มกว่าเดิม เพราะภาพดังกล่าวลูกค้าท่านนี้ก็เล็งเอาไว้เหมือนกันแต่เห็นว่าไม่เปิดประมูลจึงไม่กล้าเสนอซื้อ

     

     

     

    เวลานี้ในแกลลอรี่เหลือผู้คนแค่บางตาไม่ถึงสิบคน ผมเดินตรวจดูส่วนที่เป็นผลงานประมูลก่อน ที่ตอนนี้เหลือเพียงไม่ถึงสิบภาพ เพราะถูกประมูลออกไปเยอะ ที่เหลือก็แค่ส่วนที่ลูกค้าจะมารับหลังจากวันงานจบลง เพราะอยากแบ่งให้คนอื่นได้เชยชมบ้าง ซึ่งผลงานทุกชิ้นในแกลลอรี่นี้ผมลงทุนติดกระจกกั้นอีกชั้นหนึ่งเพื่อกันเหตุการณ์เด็กมือบอน 

     

    ถ้าผลงานที่ผมไม่ต้องการขายเจอเหตุการณ์แบบเดียวกัน ผมคงได้ชักดิ้นตายน้ำลายฟูปากแน่ เพราะฉะนั้นจึงต้องป้องกันไว้ก่อน

     

    ผมเดินต่อมายังส่วนที่เป็นผลงานที่เปิดให้เข้าชมแต่เพียงอย่างเดียว ตรงห้องโถงกลางที่มีผลงานขนาดใหญ่ที่สุดถูกจัดแสดง ผมเห็นยังมีผู้เข้าชมอยู่อีกหนึ่งท่าน

     

    ทำไมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มในเสื้อฮู้ดปิดหน้าปิดตากำลังพิจารณาภาพตรงหน้าอย่างตั้งใจ เวลาเห็นคนสนใจงานผมแบบนี้แล้วรู้สึกตื้นตันจริงๆครับ

     

    ผมเดินเข้าไปยืนข้างๆ เหลือบมองเขาทางหางตา เขาสูงพอๆกับผมเลยครับ อยากเห็นหน้า แต่ก็มองไม่เห็นเพราะเสื้อฮู้ดปิดอยู่ แถมเขายังมองไปอีกทางตามความยาวของภาพ ก่อนจะสบถออกมาเบาๆ ซึ่งผมดันไปได้ยินพอดี

     

    "It's me!"

     

    ผมชะงักหันไปมองเค้าเต็มตัว คุณพูดว่าอะไรนะครับ ผมอยากจะเอ่ยถามออกไปอย่างนั้นจริงๆ แต่มือกับปากมันสั่งระริกไปหมด แต่ไม่ต้องห่วงเพราะอยู่ๆชายคนนี้ก็หันมาสบตาผมเข้าพอดี

     

    "………………." พวกเราต่างเงียบกัน ผมมองหน้าเขา เขามองหน้าผม เราต่างมองกันและกัน เหมือนวันนั้นเมื่อ 1 ปีก่อน

     

    แต่ตอนนี้ผมเห็นสีตาเค้าชัดเจน ตาสีฟ้าน้ำทะเลช่างสวยเหลือเกิน เหมือนกำลังดึงดูดให้ผมจมลงไปข้างใต้ทะเลที่กว้างใหญ่ ก่อนที่อะไรจะทันตั้งตัว อยู่ๆ ผมก็เห็นดาววิ้งๆ และภาพข้างหน้าที่เปลี่ยนกลายเป็นภาพเพดานสีขาว แสงไฟสปอทไลท์ช่างแยงตาเหลือเกิน รู้งี้น่าจะใช้สีเหลือนวลกว่านี้ก็ดี

     

    แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ว่าชายคนเดิมเข้ามายืนคร่อมผม แล้วกระชากคอเสื้อผมขึ้นให้จ้องตากับเค้าอีกครั้ง ความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่แล่นเข้ามาทำให้รู้ว่าเมื่อกี้ผมคงถูกเค้าต่อยหน้าหงาย

     

    "แก! ทำไมถึงวาดภาพนี้ออกมา!?" ใบหน้าหล่อได้รูปกำลังแดงจนถึงใบหูที่ซ่อนอยู่ใต้ฮู้ด ผมฟังภาษาอังกฤษที่เขาพูดแทบไม่ทัน แต่พอจับใจความได้เท่าที่บอก ตอนนี้สมองผมมันไม่ประมวลผลอะไรอีกแล้ว

     

    ยิ่งเห็นตาสีฟ้าที่แสนจะดึงดูดคู่นั้น ยิ่งทำให้ผมใจละลาย เหมือนจะหายเข้าไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสีฟ้าน้ำทะเลนั่น แต่ก่อนจะได้เพ้อพกต่อ เขาคนนั้นก็กระชากคอเสื้อผมเขย่าไปมา ทำเอาสติที่หายวับไปกลับมาคืนอีกครั้ง

     

    "SAY!!" ผมพยายามจะเอ่ยคำพูดตอบกลับแต่เหมือนหน้ากระตุก ปากขยับไม่ได้ และก่อนที่เขาจะหมดความอดทนประเคนหมัดให้ผมอีกครั้ง รปภ.ก็วิ่งเข้ามาคว้าตัวเขากระแทกลงไปที่พื้นเสียก่อน

     

    ส่วนผมได้แต่นั่งนิ่งมองดูรปภ.กดตัวเขาลงพื้นอย่างยากลำบาก เพราะเขาดิ้นไม่ยอมและพ่นคำด่ามากมายออกมา ซึ่งผมฟังไม่ทันว่าเค้าพูดว่าอะไร รู้แต่ว่าเค้ากำลังด่าผมเรื่องภาพผลงานนี้เท่านั้น

     

    "…คุณอิสระ ไม่เป็นไรนะครับ" รปภ.อีกนายหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาดูผม ผมได้แต่พยักหน้ายกมือชี้ไปที่ชายหนุ่มคนเดิม

     

    "อยู่ๆ เขาก็เข้ามาชกคุณอิสระน่ะครับ เดี๋ยวพวกผมจัดการให้เอง เป็นคนต่างชาติซะด้วย เดี๋ยวจับส่งตำรวจก็จบครับ" รปภ.คนเดิมช่วยดึงมือผมให้ลุกขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรรุนแรงกับชายคนนั้นมากไปกว่า

     

    "ช่วยปล่อยเค้าด้วยครับ" รปภ.คนที่จับมือไพร่หลังกดหน้าชายคนนั้นติดพื้น หันมามองผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ นี่เขาตกใจอะไร ผมไม่เป็นอะไรมากสักหน่อย ไม่อยากทำให้เรื่องมันบานปลาย

     

    แล้วอีกอย่างชายคนนั้นคือคนที่ผมคิดว่า เขาคือครึ่งชีวิตที่เหลือของผม ผมไม่ยอมให้เขาถูกตำรวจเล่นงานแน่นอน ตอนนี้ต้องเรียกสติกลับมาเสียก่อน จัดการปัญหาตรงหน้าให้เสร็จสิ้น ส่วนชายผมทองคนนี้..........คุยกันดีๆน่าจะรู้เรื่อง

     

     

     

    …….ผมคิดว่านะ
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×