ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Barbecue Fantasia

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 9 กุ้งหอยปูปลา

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 58


    .

    ตอนที่ 9 กุ้งหอยปูปลา

    ชั้นสามของร้านได้รับการตกแต่งเพื่อรับแขกพิเศษโดยเฉพาะ โต๊ะสำหรับรับแขกบนชั้นสามมีเพียงหกโต๊ะโดยแบ่งเป็นห้อง ๆ มีกำแพงกั้นแยกจากกัน ตรงกลางจะมีทางเดินแยกห้องหกห้องซ้ายสามขวาสาม ห้องของขุนนางผู้นั้นหาพบได้ไม่ยากเนื่องจากมีเพียงห้องเดียวที่จุดตะเกียงหน้าห้อง

    ป้าอ้วนวิ่งตามหลังไม้สักและประดู่แล้วแซงหน้าพวกเขาไปเคียงคู่กับซีลอน เธอเองก็ไม่สามารถปล่อยให้ซีลอนไปรับหน้าขุนนางผู้นั้นคนเดียวเช่นกัน

    “ข้าน้อยอ้วนท้วนขออนุญาตแก้ไขความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นกับท่านใต้เท้าด้วยค่ะ” ป้าอ้วนส่งเสียงที่หน้าประตูก่อนจะเลื่อนประตูไม้ไปด้านข้างแล้วเดินนำหน้าซีลอนเข้าไป

    ขุนนางผู้นั้นยืนไพล่หลังจ้องมองดูเจ้าของร้านอาหารแสดงอาการโกรธเกรี้ยวจนหนวดกระดิก เขาไม่ทันได้เอ่ยปากก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อประดู่และไม้สักตีแผ่นเหล็กชิดเท้าเข้าด้วยกันอย่างพร้อมเพรียงเสียงดัง ไม่เพียงแต่ขุนนางผู้นั้นที่สะดุ้ง ซีลอน ป้าอ้วนและผู้ติดตามของขุนนางผู้นั้นบางคนก็สะดุ้งจนเหล้ากระฉอกออกจากจอกในมือ เว้นแต่ชายที่สวมชุดเกราะผู้หนึ่งที่ยังนั่งอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว

    สองนักศึกษาวิชาทหารแยกขาใช้สองมือไพล่หลังตามองตรงไปข้างหน้า ตำแหน่งยืนเยื้องไปด้านหลังซ้ายขวาห่างไปเล็กน้อย ท่วงท่าน่าเกรงขามจนหลายคนต้องจ้องมอง แต่ซีลอนไม่ได้มอง เธอหนักแน่นมากพอที่จะรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้

    ไม้สักสำรวจดูกลุ่มคนที่น่าจะเป็นอันตรายกับพวกเขาก่อนสิ่งอื่น ในห้องกว้างสามเมตรยาวห้าเมตรนี้มีคนรออยู่ก่อนเจ็ดคน ขุนนางใหญ่หนึ่งคน ผู้ติดตามหกคน ผู้ติดตามทุกคนล้วนแต่สะพายดาบ ฝักดาบประดับขาปูเรียงเป็นแถว สังเกตจากฝักดาบแล้วดาบของพวกเขาน่าจะเป็นดาบที่มีใบกว้าง มีความโค้งเล็กน้อย

    เครื่องแต่งกายของผู้ติดตามทุกคนเป็นเสื้อแขนกว้างสีดำขลิบขาว เช่นเดียวกับกางเกงขายาวสีดำและรองเท้าสีขาว ทุกคนไว้ผมยาวแต่เกล้าเอาไว้เหนือศีรษะ แต่ที่เด่นที่สุดก็คือลายปักรูปปูสีเงินด้านหลังเสื้อของพวกเขา

    สายตาของไม้สักไปหยุดอยู่ที่ชายผู้นั้น เป็นชายที่สวมชุดสีน้ำเงินเข้มปักลายปูสีดำที่อกเสื้อทั้งสองข้าง เขาสวมหมวกที่สร้างขึ้นจากกระดองปูสีแสดขนาดใหญ่ซึ่งประดับด้วยผ้าและโลหะหลายชนิด แก้มเขาทั้งสองข้างมีรอยแผลเป็นยาวจากมุมปากไปจนถึงติ่งหู อาวุธของเขาคือก้ามปูขนาดใหญ่เท่ามือคนสองก้ามยึดติดกับด้ามจับโลหะห้อยไว้กับเอวสองก้าม

    ไม้สักสำรวจมองดูชายผู้นั้น ชายผู้นั้นก็สำรวจมองดูเขา

    ในขณะที่ไม้สักสำรวจดูเหล่าผู้ติดตาม ประดู่กลับให้ความสนใจไปที่ขุนนางใหญ่จากเมืองหลวง เขาเคยเห็นตัวละครในโลกแฟนตาซีมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยเห็นผู้สูงศักดิ์ในเครื่องแต่งกายที่ประหลาดถึงเพียงนี้มาก่อน

    ขุนนางใหญ่สวมชุดผ้าคลุมยาวแบบเดียวกับชุดครุยสำหรับรับปริญญา เพียงแต่มันเป็นชุดที่รัดกุมมากกว่าด้วยผ้ารัดเอวปักลายปู มีการปักลายสีเงินแสดงภาพของทะเลลึกตั้งแต่ช่วงครึ่งลางของเอวลงมา เป็นลวดลายของปะการัง ปลา หอย สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลชนิดต่าง ๆ แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือปูทะเลหลากสีตัวหนึ่งหนึ่งที่ชูก้ามแสดงท่าทีทระนง

    หมวกของขุนนางผู้นั้นก็เช่นกัน มันเป็นหมวกอย่างที่เคยเห็นขุนนางในภาพยนตร์จีนกำลังภายในสวมใส่ คือเป็นหมวกสีดำทรงสูงเหลี่ยมมุมมน แต่แทนที่จะมีแผ่นสี่เหลี่ยมแปะขยายไปด้านนอกกลับมีขาปูหลายสียื่นออกมาแทน หมวกด้านหน้ามีไข่มุกประดับเป็นลูกตาปูแต่ไม่มีก้ามปูให้เห็น

    “ข้าน้อยซีลอนขอคาราวะใต้เท้าปูจิงจิง ข้าน้อยเป็นผู้จัดหาและปรุงปลาสี่ฤดูตัวนั้นเอง ใต้เท้าเห็นว่าปลาสี่ฤดูที่ข้าน้อยเป็นผู้ปรุงนั้นอ่อนด้อยในที่ใด ได้โปรดช่วยชี้แจงเพื่อให้ข้าน้อยทราบเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข ข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับทราบเคล็ดลับในการปรุงปลาสี่ฤดูที่ข้าน้อยยังไม่ทราบแม้จะผ่านการฝึกฝนมานานกว่ายี่สิบปี”

    ซีลอนประสานมือตรงหน้าโค้งตัวลงพูดกับใต้เท้าปูจิงจิง สีหน้าของเธอไม่สื่อความหมายแอบแฝงใด ๆ แต่คำพูดของเธอเฉียบคมยิ่ง อ่อนน้อมแต่คมเชือดเฉือนจนป้าอ้วนต้องแอบกลืนน้ำลายด้วยความหวดเสียง

    ทันทีที่เข้ามาในห้องซีลอนก็มองเห็นเครื่องแต่งกายของขุนนางใหญ่และผู้ติดตามของเขา เธอทราบในทันทีว่าขุนนางผู้นี้คือใต้เท้า ปูจิงจิง ขุนนางฝ่ายนอกที่รับมอบนโยบายจากในวังออกมาบังคับปฏิบัติ แม้จะไม่ใช่ขุนนางชั้นปูระดับสูงสุดแต่ก็มีอำนาจในการสั่งจับคนไปขังเพื่อสอบสวนได้นานนับเดือน

    “เจ้า เจ้ากำลังกล่าวหาว่าเขาไม่มีคุณสมบัติในการรับรู้รสชาติที่แท้จริงของปลาสี่ฤดู สามหาวยิ่งนัก”

    นั่นเป็นคำพูดของขุนนางปูจิงจิงหลังจากกลอกตาไปมาหลายอึดใจแต่หาเหตุผลมาสนับสนุนคำพูดกล่าวหาของตนเองไม่ได้ ปลาสี่ฤดูที่เขาเพิ่งกินไปเมื่อสักครู่เป็นปลาที่รสเลิศยิ่ง แม้แต่อาหารงานเลี้ยงในวังยังไม่กลมกล่อมเท่า

    “ใต้เท้าได้โปรดให้อภัย” ป้าอ้วนคุกเข่าลงกับพื้นร้องขอความเมตตาในขณะที่ซีลอนยังยืนนิ่ง แม้จะก้มหัวให้แต่เข่าและเท้าของเธอยังตึงแข็ง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เธอและพ่อมีอาชีพจับปลาชนิดนี้มาส่งขายให้ร้านอาหารในเมืองคีราวี ถ้ายอมรับว่าปลาของตัวเองด้อยคุณภาพแล้วเธอจะทำอาชีพนี้ต่อไปได้อย่างไร ตัวเธอยังไม่เท่าไหร่แต่พ่อของเธอมีความสามารถนี้เป็นความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเธอจะไม่ยอมถอยง่าย ๆ แน่

    ผู้ติดตามของขุนนางปูจิงจิงลุกขึ้นแล้ว ทุกคนใช้มือจับด้ามอาวุธแต่ยังไม่ได้ชักออกจากฝัก กอลอเองก็เลื่อนมือไปจับดาบของตน ไม้สักและประดู่ก็เช่นกัน แต่ประดู่จะแตกต่างจากคนอื่นเล็กน้อยก็ตรงหัวใจที่เต้นรัว เขากำลังสับสนว่าตัวเองอยู่ในโลกแฟนตาซีตะวันตกที่มีพ่อมดเวทมนตร์และมังกรหรือแฟนตาซีตะวันออกที่มีจอมยุทธ์และวิชากำลังภายในกันแน่

    มีเพียงชายสวมหมวกกระดองปูผู้นั้นที่ยังไม่ได้ขยับแต่จิบเหล้าของตนเองเงียบ ๆ

    “ฮ่า ๆ ๆ ท่านปูจิงจิง ท่านปูจิงจิง ท่านปูจิงจิง ท่านเข้าใจซีลอนผิดไปมากแล้ว”

    เสียงชายวัยกลางคนหัวเราะดังขึ้นจากประตูห้องด้านหลังพร้อมกับเสียงฝีเท้าของคนนับสิบ ไม้สักและประดู่ถูกกอลอดึงตัวออกมาเปิดทางให้แขกผู้มาใหม่เดินผ่านพวกเขาไปพร้อมกับผู้ติดตามนับสิบ

    “ท่านปูจิงจิงมาเยี่ยมเยือนถึงเมืองคีราวีแห่งนี้ เหตุใดจึงไม่แวะมาทักทายข้าพเจ้าก่อนเล่า ท่านไม่ให้โอกาส ปลาซอนเซ ผู้นี้ได้เลี้ยงรับรองบ้างเลยหรือ”

    แขกผู้มาใหม่เป็นชายวัยกลางคนร่างสูง เขาสวมชุดแบบเดียวกับปูจิงจิง แต่มีส่วนที่แตกต่างกันหลายอย่าง หนึ่งคือรูปภาพผ้าปักบนชุดของเขาที่เป็นรูปของปลาว่ายในน้ำแทนที่จะเป็นรูปปู หมวกของเขาไม่มีขาปูแต่มีครีบปลาสีเงินประดับเป็นปีก ผู้ติดตามของเขาสวมใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกันกับผู้ติดตามของปูจิงจิงแต่ปักไว้ด้วยลายปลาปัก อาวุธของพวกเขาก็มีการประดับไว้ด้วยก้างปลาและเกล็ดปลาหลากสี

    ขุนนางปูจิงจิงเชิดหน้าขึ้นเปลี่ยนท่าที แววตาแข็งกร้าวสลายหายไป เขาทราบว่าตนเองพลาดโอกาสในการเล่นงานร้านอาหารแห่งนี้ไปแล้ว เขาส่งสัญญาณมือให้ผู้ติดตามคลายมือออกจากดาบ ต่อให้เป็นขุนนางในวังแต่การแสดงความก้าวร้าวต่อหน้าเจ้าเมืองเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

    “ซีลอนคาราวะท่านปลาซอนเซ” ซีลอนโค้งคาราวะหลังจากที่ขุนนางใหญ่ทั้งสองคาราวะกันเองเรียบร้อยแล้ว ขุนนางปูจิงจิงพ่นลมออกจากจมูกเบา ๆ เมื่อทราบว่าซีลอนและขุนนางปลาซอนเซรู้จักกัน

    “ซีลอน เจ้าไม่ได้ปรุงอาหารในครัวร้านอาหารมานาน ใช่ขาดความเคยชินกับเครื่องครัวที่นี่หรือไม่ เจ้าไปปรุงปลาสี่ฤดูมาให้ข้ากับท่านปูจิงจิงใหม่เถอะ ใช้เครื่องครัวของตนเองล่ะ อย่าทำให้ข้าและท่านปูจิงจิงต้องผิดหวัง” ปลาซอนเซยิ้มให้กับซีลอนอย่างผู้ใหญ่ใจดี

    “ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านปลาซอนเซต้องผิดหวัง” ซีลอนย่อตัวแล้วพาคนที่เหลือออกจากห้องไป

    ป้าอ้วนระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เจ้าเมืองคีราวีเข้ามาช่วยร้านของเธอและซีลอนเอาไว้ได้ทันเวลาพอดี ถ้ามีปลาซอนเซอยู่ด้วยต่อให้ปูจิงจิงต้องการเล่นงานร้านของเธอก็ทำไม่ได้ ปลาซอนเซผู้นี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขสถานการณ์แต่ยังหาทางลงให้กับทุกฝ่ายได้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค

    ไม้สักและประดู่เห็นคนของร้านอาหารทำการถอดผนังกั้นห้องเพื่อรวมห้องสองห้องเข้าด้วยกัน แต่เขาก็เห็นเพียงแค่นั้นเพราะต้องรีบตามซีลอนลงมาที่ครัว

    ซีลอนหมกมุ่นอยู่กับการเลือกปลาที่ดีที่สุดสำหรับปรุงปลาสี่ฤดู เธอตั้งใจทำอาหารมากจนสองหนุ่มลำบากใจเพราะไม่ทราบว่าจะยืนตรงไหนจะทำอะไรในสถานการณ์เช่นนี้

    “พวกท่านทั้งสองคนไปเดินเล่นในเมืองก่อนก็ได้” ซีลอนพูดเมื่อเห็นสองนักศึกษาวิชาทหารยืนพิงประตูครัวอยู่เงียบ ๆ

    ประดู่และไม้สักจะทำอย่างไรได้ พวกเขาเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะปลีกตัวไปแล้ว ทั้งสองเดินออกจากร้านมาแบบสบาย ๆ

    “โรงเรียน เมืองใหญ่แบบนี้ต้องมีโรงเรียน เป็นโรงเรียนเด็กที่เริ่มหัดเขียนหัดอ่านยิ่งดี” ไม้สักตอบเมื่อประดู่ถามว่าจะทำอย่างไรตอไปดี

    “สรุปคือพวกเราต้องเรียนภาษาของคนที่นี่จริง ๆ ใช่มั้ย” ประดู่เกาหัว เขาไม่ชอบการเรียนเท่าไร

    “ใช่ ถ้าพูดคุยกับคนที่นี่ไม่ได้รับรองว่าพวกเราทำอะไรต่อไปไม่ได้แน่ ๆ ”

    ประดู่พยักหน้ายอมรับแล้วพูดถึงสิ่งที่ได้เห็นเมื่อสักครู่

    “คนที่นี่ทำไมพิลึกจังวะ ขุนนางปู ขุนนางปลา นี่จะมีหมูเห็ดเป็ดไก่ด้วยรึเปล่าวะ”

    ไม้สักเองก็สังเกตเห็นถึงจุดนี้

    “ข้าคิดว่าวัฒนธรรมของที่นี่จะอิงกับอาหารเป็นสำคัญนะ อย่างเทพโภชนานี่ข้าก็ได้ยินหลายครั้งแล้ว สำหรับพวกเราอาหารอาจจะเป็นของที่จำเป็นต้องกินธรรมดาทั่วไป แต่สำหรับคนที่นี่อาหารอาจจะเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อกับเทพก็ได้” ไม้สักสรุปเหตุผลตามข้อมูลที่มีบวกผสมกับจินตนาการเข้าไปด้วย

    “ไอ้สัก ได้ยินแกเรียกตัวเองว่า ข้า แล้วมันให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมเลยว่ะ ตอนที่พวกเราเรียกกันเองบนโลก … ข้าหมายถึงในประเทศไทย เรียกกันว่า ข้า แก มันก็เหมือนเพื่อนเรียกกันธรรมดาใช่มั้ย แต่พอได้ยินในโลกนี้แล้วมันรู้สึกเหมือนพวกเราคล้าย ๆ กับคนที่นี่ มันรู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้ว่ะ” ประดู่ยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดทำให้ไม้สักต้องหยุดคิด

    “เออ ข้าไม่เคยคิดแบบนี้มาก่อนเลย ถ้าเปลี่ยนจาก แก เป็น เจ้า นี่ก็กลายเป็นคนในโลกแฟนตาซีไปเลยนะ … ข้ารำคาญเจ้ายิ่งนักเจ้าประดู่”

    “… ไม่ว่ะ ฟังแล้วเหมือนลิเกมากกว่า” ประดู่โบกมือ

    ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะเสียงดัง

    “ตกลงซีลอนเอาไง” ประดู่ถามไม้สัก

    “ข้าว่าพวกเราแยกตัวออกไปดีกว่า ถ้าอยู่ด้วยนาน ๆ มีหวังโดนลากไปศาลากลาง เราไม่รู้ว่าปลอกคอนี่มันจะทำให้เรายุ่งยากมากขึ้นอีกเท่าไหร่”

    “แล้วขุนนางพวกนั้นจะมีปัญหาอะไรรึเปล่า บอกตรง ๆ ข้าเป็นห่วงซีลอนอยู่นะ”

    “ข้าคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะ ดูแล้วขุนนางปลาที่โผล่มาน่าจะรู้จักกับซีลอน พูดช่วยกันขนาดนั้นแล้วไม่ผิดหรอก”

    ประดู่คิดตามคำพูดของไม้สักแล้วเห็นด้วย

    เมื่อตัดสินใจได้แล้วทั้งสองจึงเดินสำรวจจนทั่วตัวเมือง พวกเขาเห็นสถานที่ซึ่งน่าจะเป็นโรงเรียนแต่ในโรงเรียนแห่งนั้นมีแต่เด็กโต คาดว่าคงไม่ได้เรียนรู้ภาษาเบื้องต้น สุดท้ายทั้งสองจึงตัดสินใจออกจากเมืองเพื่อสำรวจดูบ้านเรือนที่ตั้งอยู่นอกกำแพง

    ทหารเฝ้าประตูเมืองมองดูทั้งสองคนแต่ไม่ได้ซักถามอะไร พวกเขาถูกปล่อยให้เดินออกจากเมืองได้ตามใจ

    เมื่อได้สำรวจนอกเมืองจริง ๆ ทั้งสองจึงได้ทราบว่าความเจริญส่วนใหญ่กระจุกกันอยู่ในเขตกำแพงเมือง บ้านเรือนที่อยู่นอกกำแพงเมืองแตกต่างจากในเมืองเหมือนกลางวันกับกลางคืน บ้านเรือนรอบนอกสร้างขึ้นด้วยฝีมือหยาบกว่า เสาบ้านไม้กระดานเห็นได้ชัดว่าสร้างขึ้นด้วยมือของคนทั่วไปต่างจากในเมืองที่น่าจะสร้างด้วยฝีมือช่าง มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ด้วยตาอย่างเช่นความคดงอของเสาบ้านรั้วกั้นที่ดิน

    ผู้คนนอกเมืองให้ความสนใจกับสองหนุ่มจากต่างแดนมากกว่าคนในเมือง พวกเขาหยุดการกระทำกิจกรรมของตัวเองแล้วสังเกตมองดูคนแปลกหน้าทั้งสองจนสุดสายตา

    ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดคุยกับไม้สักและประดู่ พวกเขาคล้ายกลัวเกรงอะไรบางอย่าง เด็กเล็กที่พวกเขาเดินผ่านจะถูกเรียกเข้าบ้านหรือไม่ก็จับมือรั้งไหล่เอาไว้ไม่ให้เข้าใกล้

    “ยังไงวะไอ้สัก ชาวบ้านพวกนี้ดูแปลก ๆ อยู่นะ” ประดู่ถามเพื่อน เขายังมองหาจุดที่น่าจะเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กไม่พบ

    “ธรรมดา แกลองคิดดูว่าถ้ามีคนแต่งตัวประหลาด ๆ เหมือนทหารกรีกมาเดินในหมู่บ้านแก แกก็ต้องจ้องมองแบบนี้แหละ”

    ประดู่นึกภาพทหารกรีกโบราณสวมหมวกเกราะพู่ฟูสูงถือหอกแหลนเดินไปมาในหมู่บ้าน ใช่ ถ้าเป็นเขาเขาก็ต้องจ้องมองดูคนประหลาดด้วยความสงสัยเช่นกัน ประดู่ให้สัญญากับตัวเองว่าถ้าเขาพบทหารกรีกในหมู่บ้านตัวเองเขาจะทำดีกับทหารคนนั้นให้มาก ๆ

    “ไม่ไหวว่ะ หิว พวกเราไปหาอะไรกินก่อนเถอะ” ไม้สักพูด

    “… งั้นพวกเราเดินย้อนกลับไปที่ตลาดก่อน เมื่อกี๊พวกเราเดินผ่านตลาดมาใช่มั้ย ดูว่ามีอะไรขายบ้าง แล้วไปหากินในป่าเอา เลือกให้ดีจะได้ไม่กินโดนพืชรึสัตว์มีพิษ พวกเราไม่มีเงินคงซื้ออะไรไม่ได้”

    เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาหารประดู่ดูจะรอบคอบกว่าปกติ ทั้งสองเดินย้อนกลับไปยังตลาดเล็ก ๆ ในหมู่บ้านนอกเมือง พยายามจดจำพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ที่มีขายในตลาดให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงเดินทางออกจากตัวเมืองมุ่งหน้าไปยังผืนป่าที่อยู่ใกล้ที่สุด

    เนื่องจากไม่สามารถสื่อสารกับใครได้เข้าใจประดู่และไม้สักจึงพยายามพึ่งพาตัวเองให้มากพวกเขาเดินสำรวจป่าจนกระทั่งพบลำธารสายเล็ก ๆ ลึกเข้าไปในป่าประมาณสามกิโลเมตร ทั้งสองเก็บซ่อนกระเป๋าเอาไว้ใต้ซอกหินแล้วใช้พุ่มไม้ปกคลุมไว้อย่างมิดชิดจากนั้นออกสำรวจหาอาหารยังชีพ

    ประดู่พบพืชหัวคล้ายมันเทศอย่างรวดเร็ว ด้วยสายตาของคนที่จับวัตถุดิบทำอาหารมามากมายเขาแยกใบมันสีเขียวอมม่วงออกจากพืชล้มลุกโดยรอบได้ในทันที ต้องขอบคุณตลาดในหมู่บ้านที่ไม่ตัดใบและลำต้นออกจากหัวมันทำให้เขาแยกพืชกินได้และกินไม่ได้ออกจากกันได้ไม่ยาก

    ในขณะที่ประดู่หาอาหารประเภทแป้งไม้สักก็จัดการเรื่องอาหารประเภทเนื้อ เขาสำรวจลำธารเพื่อหาปลาแต่ได้พบกับกุ้งตัวใหญ่ระดับเดียวกับกุ้งก้ามกรามเดินคีบตะไคร่กินอยู่บริเวณน้ำตื้น ไม้สักพยายามทบทวนความจำจนนึกภาพของกุ้งแบบเดียวกันนี้ขึ้นได้ เพียงแต่มันผ่านการตากแห้งแขวนขายเป็นพวงไม่ได้ขายแบบสด ๆ

    “กุ้งเหรอ … งั้นกินกุ้งลวกน้ำจิ้มซีฟู้ดก็แล้วกัน” ประดู่กำหนดเมนูเมื่อกลับมาเห็นกุ้งสิบตัวในหม้อสนาม ไม้สักก่อไฟต้มน้ำรอเขาไว้ที่ริมลำธารเรียบร้อยแล้ว

    เนื่องจากขาดแคลนเครื่องปรุงประดู่จึงใช้แต่ของเท่าที่มี เขาบดพริกแห้งกับกระเทียมและเกลือเล็กน้อยบนก้อนหินซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่ง ใช้ช้อนขูดตักพริกแห้งเกลือกระเทียมใส่กระทงใบไม้เนื่องจากไม่มีถ้วยน้ำจิ้มเป็นภาชนะ เหยาะน้ำปลาสามช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวขวดสามช้อนโต๊ะ น้ำตาลมะพร้าวและน้ำตาลทราย ผงชูรสหนึ่งหยิบ น้ำร้อนหนึ่งช้อนโต๊ะ ชิมรสแล้วเติมน้ำมะนาวลงไปอีกหนึ่งช้อน

    น้ำจิ้มรสจัดนี้ขาดกลิ่นหอมของพริกสดและมะนาวสดแต่ก็ถือว่าไม่เลวแล้วเมื่อเทียบกับอาหารรสจืดที่กินมาในช่วงหลายวันนี้

    กุ้งตัวใหญ่เหล่านี้ไม่มีเส้นดำทำให้จัดการเตรียมได้ง่าย ประดู่ใช้มีดแกะหัวและเปลือกกุ้งอย่างรวดเร็วแล้วใช้ด้ามช้อนขูดเอามันกุ้งลงในกระทงใบไม้อีกหนึ่งกระทง ขูดออกมาจากกุ้งจนหมดแล้วได้มันกุ้งมาประมาณหนึ่งหัวนิ้วแม่มือ เขาตักน้ำร้อนราดลงไปในมันกุ้งหนึ่งช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วเทลงไปในกระทงน้ำจิ้ม เติมน้ำปลาและมะนาวเล็กน้อยเพราะเขาไม่ได้ปรุงเผื่อการเติมน้ำ

    กุ้งที่เลาะเปลือกและผ่าแบะเรียบร้อยแล้วถูกวางเรียงกันบนใบไม้สองใบ สำหรับประดู่ห้าตัว สำหรับไม้สักห้าตัว

    ประดู่เปิดฉากประเดิมอาหารมือนี้ก่อน เขาหยิบกุ้งจากส่วนหางหย่อนส่วนบนลงไปในน้ำเดือด จุ่มลงและยกขึ้นสามครั้งแล้ววางเนื้อกุ้งส่วนบนลงในกระทงน้ำจิ้มซีฟู้ด พยายามให้เนื้อกุ้งเกี่ยวเอาพริกและกระเทียมขึ้นมาสองสามชิ้นและให้ติดมันกุ้งขึ้นมาด้วยเล็กน้อย

    เนื้อกุ้งด้านนอกที่ได้รับความร้อนหดตัวลงแต่ด้านในยังคงความสดเอาไว้ เมื่อกัดผ่านเนื้อส่วนที่สุกแล้วลงไปถึงเนื้อกุ้งสดภายในรสหวานของกุ้งก็ไหลออกมาท่วมปาก เป็นรสหวานเข้มที่ประดู่ไม่เคยกินมาก่อน หวานจนแทบจะกลบรสเผ็ดของพริกและกระเทียมจนหมด แต่กุ้งเนื้อหวานนี้ก็ไม่อาจต่อกรกับพริกจากต่างมิติได้ รสเผ็ดของพริกรสเค็มของน้ำปลาข่มความหวานจนเกินไปของกุ้งลงได้ในที่สุด

    “โว้ว กุ้งนี่หวานเกินไปแล้ว ดีนะที่ปรุงน้ำจิ้มเผ็ดไม่งั้นรสชาติกุ้งคงกลบอย่างอื่นจนเลี่ยนหมดแน่” ประดู่พูดหลังจากเคี้ยวเนื้อกุ้งส่วนบนของกุ้งตัวแรกจนหมด ไม้สักเองก็ทดลองกินแล้วคิดเหมือนประดู่ กุ้งนี่หวานเกินไปจริง ๆ

    ประดู่สังเกตรสชาติที่ได้รับจากการทดลองชิมกุ้งตัวแรกเห็นว่าส่วนที่ได้รับความร้อนมากกว่าจะให้รสหวานน้อยกว่า การลวกกุ้งส่วนหางของเขาจึงเพิ่มเวลาลวกมากขึ้นเป็นจุ่มขึ้นลงห้าครั้งแทน แต่คราวนี้เนื้อกุ้งด้านนอกกลับแข็งจนเหมือนกับเคี้ยวกระดูกอ่อนเพราะให้ความร้อนมากเกินไป ประดู่เคี้ยวกุ้งดังกรุบ ๆ และต้องลวกกุ้งอีกสองตัวจึงจับจุดที่เหมาะสมได้

    กุ้งส่วนบนจะมีความอ่อนนุ่มมากกว่า ใช้การจุ่มประมาณสามครั้งครึ่งก็จะได้รสชาติหวานพอดี แต่กุ้งส่วนล่างจะแข็งตัวได้เร็วกว่า จุ่มเพียงแค่สองครั้งก็ได้รสชาติพอเหมาะ

    เมื่อจัดการกุ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต่อด้วยหัวมันเผาร้อน ๆ กลิ่นหอมของมันเทศเขี่ยออกจากถ่านไฟใหม่ ๆ ตอนที่หักครึ่งจนไอร้อนโชยกระจายนั้นยากจะมีสิ่งใดทัดเทียม สองหนุ่มจัดการมันคนละสองหัวใหญ่ ๆ แล้วจึงดื่มน้ำแล้วนอนพักผ่อนเพราะถ้าเทียบเวลากันแล้วตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มตามเวลาโลก ร่างกายของทั้งคู่ต้องการการพักผ่อนจึงดับกองไฟแล้วนอนทับใบไม้ที่ริมแม่น้ำนั่นเอง

    .

    คุยกับท่านผู้อ่าน

    ขุนนาง กุ้ง หอย ปู ปลา สาหร่าย เห็ด ว่าแต่ประดู่มันขนเครื่องปรุงมากี่อย่างเนี่ย แล้วทำไมไม่เอากระทะออกมาใช้

    ชาลี

    3 มีนาคม 2558

    .

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×