คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6 อารยธรรมเวทมนตร์
.
ตอนที่ 6 อารยธรรมเวทมนตร์
เรือแล่นตามกระแสน้ำโดยอาศัยแรงของล้อใบพัดเข้าช่วย บ้านริมน้ำแสดงตัวออกมาให้สองหนุ่มเห็นทีละหลัง ตัวบ้านสร้างขึ้นบนเสาไม้ใหญ่โดยมีชานบ้านยื่นล้ำเข้าไปในแม่น้ำและมีท่าน้ำของแต่ละบ้าน บ้านบางหลังจะมีเรือแบบเดียวกันกับที่ทั้งสองโดยสารมาจอดเทียบอยู่ในขณะที่หลังอื่น ๆ เป็นท่าเปล่าไร้เรือจอด ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากหมู่บ้านริมคลองในประเทศไทยเลยสักนิด
“ผู้ใหญ่ ไปพาใครมาเที่ยวบ้านอีกล่ะ” หญิงวัยกลางคนร้องทักจากท่าน้ำของตัวเอง
“เป็นคนต่างชาติน่ะ คงไม่คุ้นกับแถวนี้เลยชวนมากินข้าวที่บ้าน” เจ้าของเรือร้องตะโกนกลับด้วยเสียงอันดัง
ประดู่และไม้สักสังเกตมองดูรอบคอของหญิงกลางคนเห็นมีปลอกคอเช่นกัน แต่ผู้ใหญ่ที่รับพวกเขาขึ้นเรือมากลับไม่มีปลอกคอ หากแต่มีรอยกัดลึกและรอยแผลเป็นรอบคอเป็นริ้ว
“สงสัยเหรอ ทาสที่ไถ่ตัวเองเป็นไทแล้วคงจะดูยากหน่อยล่ะนะ กว่าจะเก็บเงินไถ่ตัวได้ข้าก็ใช้เวลาไปทั้งชีวิต ตั้งมั่นตั้งแต่เพิ่งรู้ความจนอายุสี่สิบปีถึงไถ่ตัวเองออกมาได้สำเร็จ พวกเจ้าทั้งสองคนก็ยังมีโอกาสเป็นอิสระนะ อย่าเพิ่งยอมแพ้ไปเสียก่อนล่ะ”
ชายเจ้าของเรือยิ้มให้กำลังใจเด็กหนุ่มทั้งสอง เขามองดูปลอกคอของประดู่และไม้สักคิดทบทวนว่าสัญลักษณ์บนปลอกคอเป็นตราประจำตระกูลใด
“เจ้าคงเป็นคนที่รับหน้าที่คุ้มครองเพื่อนล่ะสิ มือจับอาวุธไม่ยอมปล่อยเลยนี่” ชายชรายิ้มให้กับไม้สัก
ไม้สักมองมือที่จับกุมด้ามมีดบริเวณต้นขาแล้วมองตอบกลับไม่ว่าอะไร
“ให้ข้าเดานะ พวกเจ้าคงรับหน้าที่สำคัญที่ต้องเดินทางไกลเพื่อนำสิ่งของหรือข่าวสารไปส่ง ทาสที่รับหน้าที่นี้มักจะโดนจับเอาคนในครอบครัวไว้เป็นตัวประกัน ถ้าทำหน้าที่สำเร็จกลับไปได้ก็จะได้รับรางวัล แต่ถ้าล้มเหลวคนในครอบครัวก็จะโดนลงโทษ หรือไม่ก็โดนฆ่าไปเลย”
เด็กหนุ่มทั้งสองเงียบไม่ตอบสนอง
“ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือ … พวกเจ้าทั้งสองเป็นทาสที่หนีนายของตัวเองมา ดวงตาของพวกเจ้ามันแกร่งกร้าวเกินไป เป็นอิสระเกินไป คนอย่างพวกเจ้าไม่มีทางยอมเป็นทาสใครเป็นระยะเวลายาวนานแน่นอน”
แววตาของประดู่และไม้สักแตกต่างจากทาสทั่วไปจริง ๆ ชายชรามองเห็นความผิดปกตินี้ตั้งแรกที่ทั้งสองก้าวขึ้นเรือ ถ้าไม่ใช่คนที่รับหน้าที่สำคัญยิ่งยวดมาก็ต้องเป็นคนที่หนีเอาตัวรอดมาจากเรือนเจ้าของไม่ผิดแน่แล้ว
ประดู่แสดงแววตาประหลาดใจในขณะที่ไม้สักยังคงนิ่งเฉยไม่มีความหวั่นไหวในใจแม้แต่น้อยนิด เขาไม่หวั่นไหวเพราะสิ่งที่ชายชราคาดเดานั้นไม่ถูกต้องเลยสักอย่าง นอกจากเรื่องที่ว่าเขากำลังคุ้มครองเพื่อนเพียงอย่างเดียว
“ลุงนี่จินตนาการกว้างไกลจริง ๆ เลยนะ ผมชื่อประดู่ นี่เพื่อนผม ไม้สัก ลุงชื่ออะไรครับ” ประดู่ชี้นิ้วใส่หน้าตัวเองแล้วเรือกชื่อตัวเองซ้ำหลายครั้งสลับกับไม้สัก เจ้าของเรือที่คุ้นเคยกับการสื่อสารลักษณะนี้เข้าใจจุดประสงค์ของประดู่ในทันที
“ปะดู มายสาก ข้าชื่อ กัดหิน”
เสียงที่ประดู่กับไม้สักได้ยินและความเข้าใจที่เกิดขึ้นในสมองเป็นคนละอย่างกัน ดูเหมือนว่าปลอกคอจะแปลความหมายชื่อของลุงกัดหินเป็นความหมายที่ทั้งสองเข้าใจโดยตรงเสียแล้ว
ประดู่สมองไวมากพอที่จะเรียกลุงกัดหินด้วยเสียงในภาษาดั้งเดิมของอีกฝ่าย
“ล่อซิก”
“ใช่ ๆ ล่อซิก ออกเสียงได้ชัดเจนดี” ชายชราหัวเราะในขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสองรู้สึกสับสนอยู่บ้างเพราะเสียงที่ได้ยินและความเข้าใจที่เกิดขึ้นในสมองทำงานไม่ประสานกัน
.
เรือแล่นไปจอดเทียบท่าริมน้ำใหญ่ท่าหนึ่ง ไม่เพียงแต่ขนาดที่ใหญ่กว่าบ้านหลังอื่น ท่าน้ำแห่งนี้ไม่มีบ้านปลูกติดหากแต่มีบันไดและทางเดินปูแผ่นไม้ทอดเข้าไปหาบ้านหลังใหญ่
“ผู้ใหญ่ สวัสดีครับ”
“ผู้ใหญ่ สวัสดีค่ะ”
เสียงทักทายดังขึ้นจากทาสสองคนที่ทำงานอยู่ใต้ต้นไม้ริมทางเดิน พวกเขากำลังบรรจุปลาลงในกล่องไม้รูปทรงเดียวกับตัวปลา ในหีบใหญ่ข้าง ๆ โต๊ะที่ทั้งสองทำงานมีกล่องแบบเดียวกันหลายร้อยกล่องและมีถังไม้ใส่ปลาอีกหลายถังเตรียมพร้อมสำหรับบรรจุ
“ข้าต้องอธิบายก่อน ที่เห็นทำงานกันอยู่นั่นไม่ใช่ทาสของข้า เป็นลูกจ้างที่ข้าจ้างมาทำงาน เจ้าของทั้งสองคนนั้นเป็นร้านขายอาหารในเมือง ก็ส่งทาสมาทำงานกับข้าที่นี่ ข้าก็จะจ่ายค่าเช่าตัวทั้งสองคนนี้เป็นปลาสดแลกกับการทำงานเต็มเวลา งานที่สองคนนี้ทำได้นอกเหนือจากที่ต้องจ่ายเป็นค่าเช่าข้าก็จะได้เป็นกำไร มาทำงานกับข้าที่นี่ยังดีกว่าอยู่ที่ร้าน อย่างน้อยก็ไม่ต้องสนองความใคร่นายทาส ไม่ต้องทนรับอารมณ์ ขอแค่ทำงานให้ดีก็พอ ข้าเคยเป็นทาสมาก่อน ที่พอจะช่วยได้ก็มีแค่นี้แหละ”
ประดู่มองดูทาสทั้งสองคนทำงาน พวกเขาไม่แสดงอาการรังเกียจงานที่ตนเองทำแสดงว่างานที่นี่คงดีกว่าการเป็นทาสในร้านขายอาหารในเมืองอย่างที่ลุงล่อซิกว่าจริง ๆ
ล่อซิกเดินนำแขกทั้งสองมาจนถึงบันไดขึ้นเรือน เขาถอดรองเท้าแตะเดินขึ้นไปก่อน ไม้สักและประดู่มองหน้ากันก่อนจะนั่งลงกับหัวบันไดและถอดรองเท้าหนังของตัวเอง ประดู่ถอดได้เร็วกว่าเพราะรองเท้าของเขาใช้ซิปโดยมีเชือกผูกรองเท้าผูกหลอก ๆ ไว้ ไม้สักต้องคลายเชือกผูกรองเท้าก่อนจึงจะถอดออกได้
กลิ่นอับของถุงเท้าโชยขึ้นมาโดยแรง พวกเขาไม่ได้ถอดรองเท้ามาหลายวันแล้ว
“ฮ่า ๆ ๆ คนเดินทางไกลก็ต้องเจอปัญหานี้เหมือนกันทุกคน ดงซิน ไปตักน้ำมาให้แขกล้างเท้าหน่อยไป”
ชายอีกคนหนึ่งที่เดินทางมาพร้อมกับล่อซิกแต่ไม่เคยพูดเลยแม้แต่คำเดียวก้าวออกไปที่ถังใส่น้ำสร้างขึ้นจากไม้ข้างบ้านและกลับมาพร้อมกับถังใส่น้ำและขันไม้สำหรับตักน้ำ
สองหนุ่มล้างและขัดเท้าจนมั่นใจว่าไม่มีกลิ่นเหลือแล้วจึงเดินตามหลังผู้ใหญ่ล่อซิกขึ้นไปบนบ้าน
ทั้งสองคนได้รับการเชื้อเชิญให้นั่งรออยู่ที่ชานบ้านก่อนในขณะที่ล่อซิกเดินเข้าไปในบ้าน ดงซินเดินหายเข้าไปหลังบ้านแล้วกลับออกมาพร้อมถาดวางเหยือกเครื่องดินเผาสีขาววาดลวดลายดอกไม้สีน้ำเงินโดยรอบ แก้วน้ำสำหรับเทแยกดื่มเป็นไม้ไผ่แกะลายเคลือบยางไม้สวยงามแต่ไม่เข้ากับเครื่องดินเผาสีขาวเลย
“เชิญดื่มน้ำ” ดงซินพูดเสียงเรียบ
ประดู่รับหน้าที่รินน้ำ เขามองลงไปในแก้วไม้ไผ่พบว่ามีกิ่งไม้เล็กพอ ๆ กับหลอดดูดน้ำยาวหนึ่งข้อนิ้วก้อยสอดอยู่ใต้ห่วงไม้ที่ก้นแก้ว แก้วของไม้สักก็มีของอย่างเดียวกัน
“นั่นคือไม้หอมหวาน ทำให้น้ำมีรสชาติชวนดื่ม” ดงซินอธิบาย
เป็นของแปลกใหม่ที่ไม่เคยพบเห็น ประดู่รินน้ำลงไปจนค่อนแก้วแล้วส่งให้ไม้สัก จากนั้นรินน้ำของตัวเอง
ถึงจะบอกว่าเป็นไม้หอมหวานแต่ชื่อนั้นไม่ได้สื่อถึงรสชาติ คำว่าหอมหวานเป็นการเน้นกลิ่นของมัน น้ำเปล่าที่ประดู่ดื่มเข้าไปส่งกลิ่นหอมคล้ายไม้จันท์แต่อ่อนโยนนิ่มนวลกว่า เป็นกลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย
ทั้งสองรู้สึกเหมือนได้ดื่มน้ำลอยดอกไม้แต่เป็นดอกไม้ต่างชนิดแทนที่จะเป็นมะลิอันคุ้นเคย
“เป็นอย่างไร ไม้หอมหวานสำหรับรับแขกของเรายอดเยี่ยมใช่หรือไม่” ล่อซิกกลับออกมาในชุดที่สวยหรูมากกว่าเดิม จากที่เป็นเสื้อเก่า ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าทออย่างดี เสื้อตัวบนเป็นผ้าสีครีมอ่อนปักลวดลายประดับขลิบสีแดง กางเกงขายาวสีเข้มกว่าเสื้อเล็กน้อยมีเลื่อมสะท้อนแสงต่างสีเป็นลวดลายเส้นสลับเป็นเกลียว จะเรียกว่าชุดรับแขกก็คงไม่เกินไปจากความจริงเท่าไร
สายตาของสองหนุ่มที่จ้องมองดูชุดของเขาทำให้ล่อซิกยิ้มยินดี นี่เป็นชุดราคาแพงที่เขาสะสมเงินเป็นเวลานานเพื่อซื้อมาสวมใส่สำหรับอวดแขกโดยเฉพาะ การเชิญคนมาบ้านเพื่อเลี้ยงอาหารและแสดงของดีให้ดูเป็นกิจกรรมที่สร้างความสุขให้อดีตทาสอย่างล่อซิกยิ่งกว่าสิ่งใด
“ดงซิน เห็นลูกสาวข้าบ้างมั้ย” ล่อซิกถามและนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นตรงข้ามของประดู่และไม้สัก
“ไม่เห็นเลยผู้ใหญ่ บางทีอาจจะออกไปตรวจสอบดูสินค้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเอาไปส่งวันพรุ่งนี้”
ล่อซิกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วรินน้ำให้ตัวเองดื่ม
“รอสักครู่ แม่ครัวของเรากำลังเตรียมอาหารเมนูเด็ดจากปลาที่หาได้แต่มีน้ำรวมสี่แห่งนี้ พวกเจ้าทั้งสองอาจจะไม่รู้ แม่น้ำบริเวณนี้เป็นแม่น้ำที่รวมแม่น้ำสี่สายเล็กเข้าด้วยกัน พลังเวทมนตร์จากแม่น้ำแต่ละสายรวมตัวกันสร้างเป็นสภาพแวดล้อมพิเศษที่เหมาะสมสำหรับการเติบโตของปลาชนิดพิเศษ เป็นของดีที่หาได้เฉพาะในเขตแม่น้ำกว้างหนึ่งกิโลเมตรในที่ห่างไกลนี้เท่านั้น ถ้าไม่มีปลาชนิดนี้ข้าก็คงไม่ดิ้นรนออกจากตัวเมืองมาถึงที่นี่ มีทาสจากหลายบ้านถูกส่งมาทำงานที่นี่แต่คนที่รู้เคล็ดลับในการจับปลาชนิดนี้มีเพียงข้าและดงซินสองคนเท่านั้น”
ประดู่พยักหน้าหงึก ๆ เนื่องจากตอบโต้อะไรไม่ได้ เขาทำได้เพียงเออออห่อหมกไปเรื่อย ๆ บางทีล่อซิกอาจจะต้องการคนมารับฟังเรื่องราวของตัวเองต่อให้ไม่ได้รับการตอบสนองก็ไม่มีปัญหาอะไร
“ว่าแต่พวกเจ้ามีจุดหมายที่เมืองใดหรือ ใช่เมือง คีราวี หรือไม่ ถ้ามีจุดหมายอยู่ที่เมืองคีราวีพวกเจ้าเดินทางไปพร้อมกับลูกสาวข้าพรุ่งนี้ก็ได้ ใช้เวลาเดินทางสองวันกับหนึ่งคืนก็ถึงแล้ว”
ประดู่พยักหน้ารัว ๆ เขาไม่ทราบว่าเมืองคีราวีคือเมืองอะไรแต่ถ้าไปยังเมืองนั้นก็น่าจะหาข้อมูลได้สะดวกมากขึ้น
ล่อซิกเล่าเรื่องราวการไถ่ตัวเองจนได้เป็นไทและเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างการตั้งรกรากริมแม่น้ำแห่งนี้ ยิ่งสองหนุ่มตั้งใจฟังเรื่องราวของเขาเขาก็ยิ่งเล่าเรื่องอย่างเพลิดเพลิน ประดู่และไม้สักพยายามเก็บข้อมูลจากล่อซิกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามรับฟังเรื่องของสังคมสิ่งแวดล้อม เรื่องที่สมควรทำไม่สมควรทำ มีหลายเรื่องที่พวกเขาอยากถามแต่ไม่สามารถถามได้เนื่องจากความจำกัดในด้านภาษา
“ท่านพ่อ มีแขกมาเหรอ” เสียงหญิงสาวดังจากหัวบันไดตามด้วยเสียงฝีเท้ามั่นคงและการปรากฏตัวของเจ้าของเสียง
ลูกสาวของล่อซิกมีอายุมากกว่าเด็กหนุ่มทั้งสองประมาณสี่ถึงห้าปี เธอสวมกางเกงขายาวสีเทาเข้มไร้ลายปัก เสื้อชายยาวสีเทาอ่อนแบบมีเชือกรัดเอวปล่อยชายปรกลงมาเป็นกระโปรง แขนซ้ายเธอหอบสมุดปกหนังมีเชือกผูกไว้สองเล่ม มือขวาถือไม้แท่งยาวลักษณะคล้ายดินสอหมุนควงไปมา
ผมยาวสีน้ำตาลไหม้ของเธอเกล้าขึ้นสูงปักไว้ด้วยปิ่นไม้ไผ่รูปก้างปลา ชายผมปล่อยเป็นเส้นเหน็บไว้หลังใบหู เธอมีผิวอย่างคนผิวขาวที่ทำงานกลางแดดหรือเล่นกีฬากลางแจ้ง มีความคล้ำเห็นได้เป็นแนวตามจุดที่ไม่ได้รับการปกคลุม ดวงตาจ้องมองดูแขกของพ่อทั้งสองอย่าจริงจังเปิดเผย ปากได้รูปชัดเจน เป็นหญิงสาวที่ทำงานอย่างจริงจังผู้หนึ่ง
เธอเดินผ่านทั้งสองมานั่งทับน่องประสานปลายเท้าจ้องมองดูประดู่และไม้สักอย่างจริงจัง
“นี่ ซีลอน ลูกสาวข้าเอง งานเกี่ยวกับบัญชีรับของส่งของนางเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ข้าทำหน้าที่จัดการเรื่องหาของให้ได้ตามจำนวนที่ตลาดสั่งมาเพียงอย่างเดียว”
ซีลอนค้อมตัวเล็กน้อยเมื่อพ่อแนะนำตัวเองให้แขกทั้งสอง ประดู่และไม้สักโค้งตัวลงไปข้างหน้าทั้งที่ยังนั่งขัดสมาธิอยู่
ต่างจากล่อซิกพ่อของเธอ ซีลอนเป็นคนที่ใช้ชีวิตกับคนยุคใหม่มากกว่า รู้จักกับชนเผ่าสัญชาติผู้คนมากกว่า การที่ต้องนำของไปส่งในตัวเมืองและซื้อของจากในเมืองกลับมาบ้านทำให้เธอได้พบกับผู้คนหลายประเภท แต่เธอไม่เคยพบเห็นคนที่แต่งกายอย่างชายทั้งสองคนนี้มาก่อน ไม่เคยเห็นเครื่องแต่งตัวที่นำผ้ามาเย็บเป็นกระเป๋าเห็นได้จากภายนอกชัดเจน กระเป๋าที่เย็บติดไปกับกางเกงนั้นก็ด้วย เธอไม่เคยเห็นรอยตะเข็บเย็บผ้าใดที่ละเอียดเสมอเรียบแม้แต่ในร้านค้าที่ขายแต่เสื้อผ้าราคาแพง
และนั่น มือที่จับด้ามอาวุธแม้จะได้รับการต้อนรับในสถานะแขก เครื่องประดับสายรัดบนข้อมือซ้าย ซีลอนคิดว่างานอดิเรกของพ่อเธอได้ชักนำตัวอันตรายขึ้นบ้านเสียแล้ว ปลอกคอทาสที่พวกเขาสวมใส่ก็ไม่ใช่ปลอกคอที่เธอคุ้นเคย
“ซีลอน ไปช่วยแม่บ้านยกอาหารออกมาเถอะ พ่ออยากอวดเมนูปลาสี่สายน้ำเต็มทีแล้ว” ล่อซิกบอกลูกสาวซึ่งซีลอนก็ทำตามแต่โดยดี เธอลุกขึ้นและเดินหายเข้าไปหลังบ้าน
“ลูกสาวคนนี้เป็นความภาคภูมิใจของข้าเลย ข้าที่เกิดมาเป็นทาสเก็บเนื้อสร้างตัวจนเป็นไทได้สำเร็จ ลูกสาวที่เกิดมาก็ไม่ต้องถูกคนเหยียดหยาม เป็นคนที่เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในประเทศนี้ ข้าส่งให้นางไปเรียนหนังสือจนทำงานติดต่อซื้อขายแทนข้าได้ทุกอย่าง ยังทำได้ดีกว่าข้าเสียอีก”
สีหน้าท่าทางของล่อซิกยืนยันว่าเขาภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้จริง ๆ กับคนที่เกิดมาในสังคมที่ไม่มีทาสอย่างประดู่และไม้สักพวกเขาจินตนาการไม่ออกว่าล่อซิกจะรู้สึกยินดีมากเพียงไรที่ช่วยให้ลูกสาวหลุดพ้นจากการเป็นทาสได้สำเร็จ
โต๊ะเตี้ยเหมาะกับการนั่งพื้นรับประทานอาหารถูกยกมาวางที่กลางชานบ้าน โต๊ะแต่ละตัวกว้างพียงสามสิบเซนติเมตร พอเหมาะสำหรับวางอาหารได้จานเดียวพอดี สิ่งต่อไปที่ถูกนำมาวางก็คือไม้แกะสลักเป็นรูปตัวปลา เป็นไม้อย่างเดียวกับที่ประดู่เห็นระหว่างเดินมายังบ้านของล่อซิก ด้านบนของไม้สลักเป็นทรงโค้งแกะเป็นรูปตัวปลาสวยงามสมจริง ด้านล่างเป็นแท่งไม้ที่มีฐานสี่เหลี่ยมผืนผ้ารองรับไม่ให้ไม้แกะสลักด้านบนกลิ้งไปมา
“ลูกจะกินด้วยเหรอ” ล่อซิกถามเมื่อเห็นลูกสาวนำโต๊ะส่วนตัวของเธอมาวางร่วมด้วย ปกติเธอจะไม่ร่วมวงรับประทานอาหารกับแขกของพ่อ การกระทำเช่นนี้จึงทำให้เขาแปลกใจพอสมควร
“ดงซินบอกว่าแขกทั้งสองจะเดินทางไปพร้อมกับลูก ลูกก็เลยอยากทำความรู้จักกับแขกทั้งสองท่านเอาไว้สักเล็กน้อยค่ะ” ซีลอนยิ้มตอบคำถามพ่อ
ล่อซิกไม่ถามอะไรอีกเพราะอยากจะอวดของดีเต็มทน เขาชี้มือไปที่กล่องไม้แล้วพยักหน้าเชิญชวน
“เอาเลย เปิดฝาออกดู”
ประดู่พยายามหาว่าจะเปิดฝาไม้แกะสลักนี้ได้ที่ใด เป็นไม้สักที่มองเห็นร่องเว้าเล็กน้อยบริเวณปากปลาไม้ เขาใช้นิ้วแกะฝาชั้นบนของภาชนะรูปปลาขึ้นมาเผยให้เห็นของที่ถูกเก็บไว้ข้างใน
ส่วนหัวของปลาถูกตัดขาดออกไปแล้ว มีเพียงลำตัวปลายาวไปจนถึงหาง หนังปลามีสีน้ำตาลทองไล่เฉดแบ่งแยกเป็นสี่ส่วนจากหลังปลาลงมาถึงท้องอย่างชัดเจน
“แค่รูปลักษณ์ภายนอกก็สวยงามแล้ว ลองชิมรสชาติของมันดูก่อนสิ เริ่มจากส่วนพุงที่รสอ่อนก่อนนะ” ล่อซิกหยิบมีดที่วางอยู่ข้างจานขึ้นมา หั่นตัดส่วนพุงของปลาพร้อมกับใช้ส้อมซึ่งเหลาขึ้นจากไม้และมีฟันเพียงสองซี่จิ้มเนื้อปลาใส่ปาก
เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นแล้วก็ทำตามบ้าง แต่มีดของพวกเขาหั่นหนังปลาไม่เข้า ความรู้สึกที่ได้รับไม่ต่างไปจากการลากสันไม้บรรทัดผ่านหนังปลาเลยสักนิด
ประดู่ยกมีดขึ้นมาดูด้วยความประหลาดใจและได้พบว่ามีดที่ทำจากไม้ของเขาไม่มีคม เขาจ้องมองดูมีดในมือล่อซิกและเห็นว่ามีดของล่อซิกมีส่วนคมใสเหมือนกระจกบริเวณคมมีดต่างจากมีดของเขา
“ท่าน อย่าได้ใช้อาวุธของท่านกับอาหาร นั่นเป็นการเสียมารยาทต่อเจ้าของสถานที่และผู้ร่วมรับประทานอาหารเป็นอย่างยิ่ง” ซีลอนยกมือขึ้นห้ามไม้สักเมื่อเห็นเขาจะใช้มีดเอาตัวรอดของตัวเองหั่นเนื้อปลา
“พวกเจ้าใช้เวทมนตร์ไม่ได้รึ แม้แต่เล็กน้อยก็ใช้ไม่ได้เลยรึ” แววตาของล่อซิกเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
ประดู่ได้แต่พยักหน้ายอมรับ
“ทาสจากต่างแดนที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ พวกเจ้านี้ช่างประหลาดยิ่งนัก ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเราในฐานะเข้าของบ้านก็ต้องช่วยเหลือจัดการให้ด้วยตัวเองแล้ว เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพวกเรา พวกเจ้าอย่าได้เห็นเป็นเรื่องไม่เหมาะสมเลย”
ซีลอนขยับมาข้างโต๊ะของไม้สัก หมุนโต๊ะและใช้มีดของตัวเองเฉือนแบ่งปลาเป็นชิ้น ๆ โดยแยกส่วนของปลาแต่ละสีรวมไว้ที่ด้านหนึ่งของกล่องไม้ และแล่ให้มีหนังปลาต่างสีผสมรวมกันอีกด้านหนึ่ง ประดู่เองก็ได้รับความช่วยเหลือจากล่อซิกเจ้าของบ้าน
“ปลาชนิดนี้มีความพิเศษคือวิถีในการเติบโต พวกมันจะใช้ชีวิตในช่วงที่อายุน้อยในกระแสน้ำจากแม่น้ำสายหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนไปเติบโตในแม่น้ำอีกสายหนึ่งเมื่อมีอายุได้หนึ่งเดือน เมื่อมีอายุได้สามเดือนจึงย้ายไปสู่แม่น้ำสายที่สาม สุดท้ายแล้วจึงปักหลักอยู่ที่แม่น้ำสายที่สี่หลังจากมีอายุได้หนึ่งปี ในจุดที่ข้ามาสร้างบ้านนี้เป็นจุดที่สายน้ำจากแม่น้ำทั้งสี่มาผสมผสานกันอย่างเหมาะสม กระแสเวทมนตร์ในแม่น้ำแต่ละสายจะสร้างรสชาติเฉพาะอย่างขึ้นมาในตัวปลา ลองชิมดู เริ่มจากรสอ่อนก่อนนะ”
ประดู่จ้องมองการแล่ปลาของล่อซิกและเห็นว่าเนื้อในของปลานั้นมีสีต่างกันเช่นเดียวกับสีของผิวนอก ส่วนท้องจะมีสีครีมเข้ม ส่วนกลางลำตัวครึ่งล่างมีสีขาว ส่วนกลางลำตัวบนมีสีชมพู ส่วนหลังมีสีแดงสด
ผิวนอกของปลาสุกกรอบแต่เนื้อในกลับยังดิบสด ประดู่ไม่ทราบว่าผู้ปรุงอาหารใช้วิธีการใด แต่เขามั่นใจว่าการทำให้ปลาสุกเฉพาะผิวหนังด้านนอกโดยไม่ทำให้เนื้อในสุกไปด้วยนั้นเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ด้วยวิธีที่เขารู้จัก
เนื้อปลาส่วนท้องมีรสชาติคล้ายนมแต่แฝงกลิ่นคาวเฉพาะตัวของปลาเอาไว้จนสัมผัสได้ เป็นรสชาติของครีมนมแฝงกลิ่นคาว เนื้อปลาส่วนกลางลำตัวครึ่งล่างที่มีสีขาวมีรสชาติคล้ายปลานิล คือเข้มข้นกว่าแต่ก็ยังคาวอยู่ดี เนื้อปลากลางลำตัวส่วนบนมีรสชาติคล้ายปลาดุก และเนื้อปลาส่วนหลังมีรสชาติคล้ายปลาทู
“เป็นอย่างไรบ้าง ยอดเยี่ยมใช่มั้ย” ล่อซิกถาม
ประดู่พยายามฝืนยิ้มตอบแต่ไม้สักหลับตาขมวดคิ้ว เนื้อปลาเหล่านี้ไม่ได้มีความอร่อยล้ำใด ๆ นอกเหนือไปจากการผสมผสานรสชาติสี่ชนิดในปลาตัวเดียว ทั้งยังมีกลิ่นคาวที่รู้สึกได้ชัดเจน ประดู่เคยกินปลาดิบในร้านอาหารญี่ปุ่นมาก่อน แต่ปลาเหล่านั้นจะมีความสดและมีกลิ่นคาวน้อยมากจนแทบไม่รู้สึก หรือไม่มีเลยในร้านที่เตรียมวัตถุดิบได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ พวกเจ้าไม่มีพลังเวทมนตร์ก็สมควรแล้วที่ไม่สามารถรับรสชาติอันล้ำเลิศของปลาสี่น้ำ น่าเสียดายจริง ๆ ที่พวกเจ้าต้องเกิดมาพิการไม่สามารถใช้เวทมนตร์ ไม่สามารถรับรสชาติของเวทมนตร์ในอาหาร พวกเจ้าคงถูกเทพโภชนาเกลียดชังตั้งแต่ชาติก่อน”
ประดู่จะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้าและยิ้มฝืน ๆ เขาอยากจะหยิบเอาหอมแห้งพริกแห้งและมะนาวน้ำปลาจากในกระเป๋าออกมาทำลาบปลาดิบกิน แต่การทำเช่นนั้นจะเป็นการเสียมารยาทต่อเจ้าของบ้านผู้จัดเลี้ยงอาหารเป็นอย่างยิ่ง ตัวเขาและไม้สักแม้จะไม่ชอบกลิ่นคาวปลาแต่ก็พยายามกินอาหารที่เจ้าของบ้านนำมาเลี้ยงดูจนหมดไม่มีเหลือ
ล่อซิกยิ้มด้วยความพึงพอใจ การรับประทานอาหารที่มีคนเลี้ยงทั้งที่อาหารนั้นรสชาติไม่ถูกปากถือว่าเป็นมารยาทอันเหมาะสม ไม่ว่าทาสทั้งสองคนนี้จะเป็นทาสจากบ้านไหนเมืองใด พวกเขาก็เป็นทาสที่รู้จักมารยาทในการเข้าสังคมเป็นอย่างดี
กินอาหารจนหมดแล้วประดู่และไม้สักจึงได้รับจัดให้อยู่ในห้องเดียวกันติดกับห้องพักของดงซินที่ชั้นล่างของตัวบ้าน
“บรรยากาศเหมือนชนบทสมัยก่อนเลยนะ” ประดู่ชวนไม้สักคุยหลังทิ้งตัวนั่งลงบนแคร่ไม้
ห้องที่ทั้งสองอยู่ในตอนนี้เป็นห้องกว้างสามคูณสี่เมตร ผนังสองด้านมีแคร่ไม้ไผ่วางทับด้วยฟูกและผ้าห่ม มีโต๊ะและตู้ไม้ที่มุมห้องด้านติดกับประตู พื้นห้องเป็นดินอัดแน่นจนแข็งเรียบเป็นเงา ผนังห้องเป็นไม้แผ่นกว้างร่วมศอกตีเป็นฝ้าแข็งแรง
“แกดูอะไร” ประดู่ถามหลังหันไปมองไม้สักเพราะเพื่อนไม่ตอบสนอง
“นี่ใช่หิ่งห้อยรึเปล่า” ไม้สักหยิบเอากระปุกแก้วกลมขนาดเท่ากำมือขึ้นมาจากบนโต๊ะ ประดู่ลุกขึ้นมาดูกระปุกแก้วทรงกลมนั้นและเห็นแมลงตัวเล็กที่ถูกยึดเอาไว้กับแท่งแก้วด้วยเส้นด้าย หัวของมันเชิดขึ้นจ่อกับหลอดแก้วที่ยื่นออกมาจากฐานยึดตัวแมลง
“เออว่ะ หิ่งห้อยจริง ๆ ด้วย … แล้วลูกบิดนั่นอะไรวะ อย่าบอกนะว่านี่เป็นหลอดไฟในโลกนี้น่ะ” ประดู่ชี้นิ้วใส่ลูกบิดทำจากไม้ที่ติดอยู่กับฐานกระปุกแก้วทรงกลม
ไม้สักทดลองบิดลูกบิดเล็ก ๆ ตามเข็มนาฬิกาแต่เพียงน้อยนิด เขาเห็นของเหลวสีอำพันไหลผ่านช่องว่างในหลอดแก้วไปจนถึงส่วนปลายหลอดที่จ่ออยู่กับปากแมลง ของเหลวนั้นก่อตัวกันเป็นหยดน้ำสีอำพันอันหนืดข้น
หิ่งห้อยตัวเล็กใช้ปากและลิ้นพิเศษของมันยื่นไปดูดกินน้ำหวานที่ถูกส่งไห้โดยไว ท้องของมันเริ่มเปล่งแสงทันทีที่ได้รับน้ำหวานเวทมนตร์เข้มข้นเข้าไปในร่างกาย เป็นแสงสีขาวอมเหลืองนวลแต่สว่างมากพอที่จะส่องสว่างไปทั้งห้อง
“โว้ว หลอดไฟหิ่งห้อย … จะเรียกว่าโรแมนติกหรือว่าทรมานสัตว์ดีวะ” ประดู่หัวเราะเบา ๆ ในคอ
“รู้สึกว่าเรื่องที่สำคัญในตอนนี้ก็คือการหัดพูดภาษาของคนที่นี่นะ” ไม้สักเข้าประเด็นสำคัญ
“อืม ถ้าพูดภาษาของคนที่นี่ไม่ได้ก็คงหาข้อมูลเรื่องการกลับบ้านไม่ได้ ต่อให้อยากกลับบ้านเร็วแค่ไหนก็ต้องพยายามทำใจไว้ก่อน หวังว่ากลับไปถึงบ้านแล้วพ่อแม่จะยังจำหน้าข้าได้นะ”
ประดู่นอนลงกับเตียง แหงนหน้ามองดูเพดานห้องในขณะที่ไม้สักหยิบของจากในกระเป๋าออกมาสำรวจความเรียบร้อยแล้วบรรจุกลับไปอย่างเป็นระเบียบ
.
คุยกับท่านผู้อ่าน
อาหารในโลกเวทมนตร์กลับมีรสชาติไม่ถูกปากสองหนุ่มเอาเสียเลย สงสัยว่าพระเอกของเราจะไม่มีประสาทในการรับรสชาติเวทมนตร์อย่างที่คนในโลกนี้มี
ชาลี
20 กุมภาพันธ์ 2558
.
ความคิดเห็น