คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5 อาหารพลังงานสูง
.
ตอนที่ 5 อาหารพลังงานสูง
รีดินเดินนำหน้าประดู่และไม้สักเหมือนสัตว์ที่มองเห็นในยามค่ำคืน เด็กหนุ่มจากต่างโลกทั้งสองมองเห็นเพียงร่างของรีดินเป็นเพียงเงามืดที่วูบไหวไปมาท่ามกลางพุ่มไม้ ทั้งสองติดตามหลังรีดินไปอย่างยากลำบากจนกระทั่งประดู่สะดุดรากไม้ล้มลง กระทะที่สัมผัสกับรากไม้สร้างเสียงสะท้อนไปไกล
“เกิดอะไรขึ้น” รีดินวิ่งย้อนกลับมาและถามด้วยเสียงกระซิบ
ไม้สักใช้นิ้วชี้ไปที่ดวงตาของตัวเองแล้วใช้ฝ่ามือปิดตาเอาไว้ พยายามสื่อความหมายว่าพวกเขามองไม่เห็นในยามค่ำคืน
รีดินเข้าใจสิ่งที่ไม้สักต้องการสื่อสารได้โดยเร็ว เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าคาดเอวใบเล็กหยิบเอาพืชหัวลักษณะคล้ายกระชายขึ้นมา หักแบ่งให้ประดู่และไม้สักคนละแง่ง
“นี่คือเหง้ากระชายเดือนมืด ตากแห้งหมักบ่มรักษาคุณสมบัติจนได้ที่ เป็นของที่ตกทอดกันมาในตระกูลรี ขอให้ท่านทั้งสองเคี้ยวและกลืนลงไป มันจะช่วยให้พวกท่านมองเห็นในยามค่ำคืนได้ดีขึ้น”
ประดู่ไม่เคยลิ้มรสชาติอะไรที่ขมเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ขมจนเหมือนน้ำลายถูกดูดออกไปจากปากจนหมดสิ้น คอเหมือนถูกครูดด้วยตะไบขัดเหล็ก เขารีบหยิบน้ำออกจากกระเป๋ามาดื่มและส่งที่เหลือให้ไม้สักที่ตกอยู่ในอาการเดียวกัน
ไม้สักกำลังคิดถึงเรื่องอื่นนอกเหนือไปจากรสชาติยากทนทานของพืชหัวชนิดนี้ เขามั่นใจว่าชื่อของพืชชนิดนี้ไม่ใช่ “กระชาย” แน่นอน ปลอกคอที่แปลความหมายจากคำพูดของรีดินได้ส่งความหมายของคำพูดเข้าสู่สมองของเขาโดยตรงจากนั้นสมองเขาจึงเรียกเปรียบเทียบข้อมูลความทรงจำที่เขามีเป็นคำที่เขารู้จักอีกต่อหนึ่ง
แม้รสขมของกระชายเดือนมืดจะรุนแรง แต่คงอยู่ไม่นานเท่าไร นาทีต่อมารสชาติขมนั้นก็ไม่หลงเหลืออยู่ในปากอีก สิ่งแวดล้อมโดยรอบพลันเปลี่ยนแปลง จุดที่มืดมิดเป็นเงามืดเช่นใต้ใบไม้ โคนรากพุ่มไม้ มุมเหลี่ยมใต้รากไม้ จุดเหล่านี้เริ่มมีรายละเอียดเล็กน้อยปรากฏให้เห็น ร่องแตกขรุขระบนเปลือกไม้ กิ่งก้านไม้ที่เคยซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ก้อนหินบนพื้น
“เหง้ากระชายเดือนมืดจะมีฤทธิ์หนึ่งคืน ท่านทั้งสองรีบเดินทางเถอะ” รีดินเร่งเร้า
ทั้งสามคนออกเดินทางอีกครั้ง พวกเขาได้เห็นคนจากหมู่บ้านเป็นครั้งคราว ทุกคนล้วนแต่สวมใส่ชุดพรางกายกลมกลืนไปกับพืชพันธุ์หนาทึบ ดาบกระดูกสอดไว้ในฝักพร้อมต่อสู้ รีดินอธิบายว่าพวกเขาคือหน่วยสอดแนมที่คอยแจ้งข่าวผู้บุกรุกให้คนในหมู่บ้านทราบและเตรียมตัวรับมือ
วิ่งกันจนกระทั่งประดู่และไม้สักเริ่มหายใจหนักรีดินจึงหยุดพัก เด็กหนุ่มผู้นี้หายใจแรงขึ้นแต่ยังน้อยกว่าคนจากต่างมิติทั้งสอง
“พวกท่านสวมใส่เครื่องแต่งกายที่มีน้ำหนักมากและขาดทักษะในการย่างท้าวในป่า แต่เทียบกับคนทั่วไปแล้วท่านทั้งสองมีความแข็งแกร่งอดทนมากกว่าหลายเท่า พวกเราพักกันสักครู่แล้วออกเดินทางต่อ วิ่งอีกเก้าสิบนาทีก็จะถึงแม่น้ำ รวมสี่ เมื่อถึงที่นั่นพวกท่านจงเดินทางไปตามกระแสน้ำ ส่วนข้าจะกลับไปต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายกับคนในหมู่บ้าน”
ประดู่หยิบน้ำออกมาจิบอีกครั้ง เขาเห็นว่ามีช็อกโกแลตเหลืออีกสามแท่งจึงแบ่งกันคนละแท่ง
รีดินรับซองพลาสติกที่มีตัวหนังสือสีสดใสเขียนเอาไว้มา พลิกมองและดมกลิ่นแล้วมองดูประดู่ฉีกซองเผยให้เห็นผิวในของซองซึ่งเป็นสีเงินและแท่งช็อกโกแลตเคลือบข้าวพองคาราเมล เขาเห็นประดู่ส่งแท่งสีดำใส่ปากเคี้ยวจึงฉีกซองอย่างลำบาก เขาดมกลิ่นของช็อกโกแลตและถูกจู่โจมด้วยกลิ่นอันหอมหวานยิ่งกว่าทุกสิ่งที่พบมาในชีวิต
นอกจากกลิ่นคาราเมลที่ลอดผ่านช็อกโกแลตที่เคลือบผิวด้านนอกออกมา กลิ่นของถั่วที่ไม่รู้จักแตะสัมผัสกับโพรงจมูกเขาอย่างรุนแรง น้ำลายของรีดินไหลล้นออกมาจากปากอย่างควบคุมไม่ได้ เขาพยายามกลืนน้ำลายลงท้องแต่เมื่ออ้าปากน้ำลายของตัวเองก็ไหลผ่านมุมปากออกมาในทันที
ไม่อาจทนทานรับได้อีกต่อไป รีดินงับช็อกโกแลตบาร์กัดกินหนึ่งคำเล็ก เขาสะบัดหน้าจนแหงนขึ้นฟ้า ถอยหลังสะดุดกับรากไม้ก้นกระแทกพื้น รสขมของช็อกโกแลตแอบแฝงซ่อนตัวอยู่หลังรสหวานของคาราเมล รสชาติของถั่วในช็อกโกแลตช่วยผสานรสชาติทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วเจือจางลงด้วยข้าวพองกรุบกรอบก่อนจะละลายไปกับน้ำลายในปากของรีดิน
ไม้สักและประดู่รีบคุกเข่าลงไปช่วยประคองรีดินด้วยความตกใจ ทั้งสองคิดว่าขนมจากโลกของตัวเองอาจจะเป็นพิษกับคนในโลกนี้ แต่เมื่อเห็นรีดินรีบกัดกินขนมอย่างตะกละตะกลามเหมือนคนอดอยากมาเป็นเดือนจึงคลายใจลง
ประดู่เก็บซองขนมของรีดินใส่กระเป๋าตัวเอง ก่อนจะสอดซองขนมใส่กระเป๋าเขามีความคิดที่ว่า การให้ขนมคนในโลกนี้กินจะถือว่าเป็นการทำลายของที่นำมาจากโลกของตัวเองหรือเปล่า คิดแล้วก็ถอนหายใจ เรื่องที่ทำลงไปแล้วก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม หวังว่าการกลับโลกของตัวเองไม่ต้องใช้ของที่นำติดตัวมาด้วยทั้งหมด
รีดินหยุดนิ่งพูดไม่ออกหลายนาทีก่อนที่จะออกเดินทางต่อโดยไม่พูดอะไรอีก ประดู่และไม้สักเองเมื่อได้ความสามารถในการมองเห็นในที่มืดเข้ามาช่วยก็ติดตามรีดินได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่วมากขึ้น
ประดู่ไม่ทันเฉลียวใจนอกจากคิดว่าที่ตัวเองเดินทางได้เร็วขึ้นก็เพราะความสามารถในการมองเห็นเพียงอย่างเดียว แต่ไม้สักรู้ตัวดีเพราะเขาใช้เวลาฝึกฝนร่างกายจนถึงขีดจำกัดของตนเสมอ ตัวเขาในตอนนี้มีความสามารถและความอดทนมากกว่าเดิมจนรู้สึกได้ ความรู้สึกหลังได้กินอาหารเด่นชัดมากขึ้น ความรู้สึกของพลังงานที่เคลื่อนผ่านจากกระเพาะอาหารไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
ในตอนที่กินขนมครั้งแรกและกินหมูแดดเดียวย่างก็ให้ความรู้สึกอย่างเดียวกันแต่ไม่สักไม่ได้คิดสนใจอะไรจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขามั่นใจว่าอาหารที่กินลงไปได้มอบพลังอย่างอื่นให้กับพวกเขาแทนที่จะเป็นสารอาหารปกติทั่วไป
จนกระทั่งมาถึงริมแม่น้ำรวมสี่รีดินจึงหยุดเท้าลง
“ถึงคราวที่ต้องจากลากันแล้ว บุญคุณที่พวกท่านช่วยชีวิตข้าคงไม่อาจตอบแทนให้ได้ครบถ้วน ถ้าไม่มีพี่น้องในหมู่บ้านต้องปกป้องข้าจะขอเดินทางรับใช้พวกท่าน ก่อนจากลา ข้าขอทราบนามพวกท่านได้หรือไม่”
“ประดู่” ประดู่ชี้หน้าตัวเองพยายามออกเสียงให้ชัดที่สุด
“ไม้สัก” ไม้สักบอกชื่อตัวเองเช่นเดียวกับประดู่
รีดินใช้มือขวาสัมผัสที่หน้าผากตนเอง ใช้ปลายนิ้วมือซ้ายสัมผัสหน้าผากประดู่และไม้สักสลับกัน
“ขอให้เทพทอผ้าถักทอโชคชะตาอันราบรื่นสวยงามแก่พวกท่าน ข้ารีดินขอลาแล้ว”
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ฉุกเฉินในหมู่บ้านหรือเป็นพฤติกรรมปกติของรีดิน เขาวิ่งจากไปโดยไม่รอฟังคำพูดของประดู่และไม้สักแม้แต่คำเดียว
“รีบไปรีบมาจริง ๆ เลยแฮะ” ประดู่เกาหัวมองดูพุ่มไม้ริมแม่น้ำที่ยังสั่นไหวอยู่เล็กน้อย
“ดู่ แกได้สังเกตรึเปล่าว่าพวกเรามีความอึดมากขึ้น ปกติแล้วแกวิ่งแบกของขนาดนี้สามชั่วโมงติด ๆ กันโดยที่ไม่หอบเหงื่อแทบไม่ออกเลยรึเปล่า” ไม้สักกระตุ้นเตือนสติเพื่อน
ประดู่หยุดคิด เขาวิ่งมาเกือบสามชั่วโมงโดยที่ไม่หยุดพักโดยแบกของหนักไว้บนหลังแต่กลับไม่มีอาการเหนื่อยล้าเมื่อยหอบอย่างที่เพื่อนว่าจริง ๆ
“เออว่ะ ที่จริงแค่เดินก็เหงื่อโชกแล้ว นี่วิ่งแบบไม่ได้หยุดเลยแต่กลับไม่รู้สึกเหนื่อย … ทำไมวะ หรือว่าพวกเราได้รับพลังพิเศษจากเทพ ๆ ในโลกนี้รึเปล่า”
“ข้าว่าไม่ใช่ ข้าลองสังเกตดูแล้วพลังนี่พวกเราได้หลังจากกินอาหาร ตอนที่กินขนมแกรู้สึกมั้ย รู้สึกเหมือนมีน้ำอุ่นไหลไปตามตัว ไหลไปตามเส้นเลือดน่ะ”
ประดู่พยายามคิดทบทวนก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ว่ะ ข้าจำไม่ได้”
“งั้นพวกเราลองนี่ดู อาหารแท่งพลังงานสูงพิเศษ พาวเวอร์บาร์” ไม้สักปลดกระเป๋าลงมาและหยิบแท่งอาหารให้พลังงานสูงสองแท่งจากสิบแท่งมาแบ่งกัน
ประดู่ฉีกซองแล้วดมกลิ่นอาหารแท่งที่มีลักษณะเหมือนขนมที่เขาซื้อกินบ่อย ๆ กลิ่นของมันไม่เลวนักแต่ก็สัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่ใช่ของที่พบเจอในขนมได้ทั่วไป ลองงับกินดูคำหนึ่งพบว่ารสชาติไม่เลวนัก เขางับ ๆ ๆ จนแท่งอาหารพลังงานสูงถูกส่งลงไปอยู่ในกระเพาะทั้งหมด
ไม้สักมองดูเพื่อนกินแท่งอาหารพลังงานสูงแล้วคิดว่าถ้ากินลงไปทั้งหมดอาจจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้ชัดเจนยิ่งกว่าขนมกินเล่น ดังนั้นเขาจึงกินแท่งอาหารลงไปรวดเดียวทั้งหมดเช่นกัน
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วเบิกตาโพลง พวกเขารู้สึกเหมือนมีเตาหลอมเหล็กทำงานอยู่ในกระเพาะอาหาร ความร้อนส่งผ่านจากกลางลำตัวเคลื่อนออกไปตามเส้นเลือดขึ้นสู่สมองลงสู่สองเท้า
ความตระหนกโจมตีเล่นงานจิตใจของสองหนุ่มพร้อมกัน
“ใจเย็น ถ้านี่เป็นพลังงาน พวกเราก็ต้องใช้พลังงานออกไปให้หมด” ไม้สักร้องบอกเพื่อนในขณะที่รู้สึกเหมือนร่างกายกำลังขยายตัวเป็นจังหวะพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
“ยังไงวะ จะใช้พลังงานยังไง”
“วิ่ง วิ่งให้สุดชีวิต”
สองหนุ่มจากต่างโลกไม่มีอะไรที่ต้องโต้เถียงตกลงกันอีก พวกเขาออกวิ่งพร้อมกันโดยมุ่งไปทางปลายแม่น้ำอย่างที่รีดินแนะนำมา
ประดู่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเครื่องจักรที่ถูกบังคับให้ทำงานเกินขีดจำกัด ขาทั้งสองขยับไปเองเหมือนล้อที่หมุนไปตามแรงของเครื่องยนต์
ไม้สักเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่เขาสัมผัสได้อย่างละเอียดอ่อนว่าพลังงานจากกึ่งกลางร่างกายเริ่มแตกแยกออกไปเป็นเส้นฝอยเล็กน้อยมากขึ้น การออกแรงวิ่งทำให้พลังงานในร่างกายเกิดการหมุนเวียนเคลื่อนที่เป็นกระแสแทนที่จะพองตัวพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ
“ได้ผล ไอ้ดู่ วิ่งไป อย่าหยุด”
“ต่อให้อยากหยุดมันก็หยุดไม่ได้แล้วโว้ย” ประดู่ตะโกนกลับ ขาของเขาตอนนี้เหมือนมีชีวิตวิ่งไปโดยไม่สนใจการสั่งการของเจ้านายมัน
ร่ายกายของเด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มเรืองแสง พวกเขาวิ่งไปตามแม่น้ำทิ้งรอยเท้าลึกร่วมคืบเอาไว้เป็นเส้น แต่ละก้าวกินพื้นที่กว้างกว่าการก้าววิ่งปกติเพราะแรงส่งที่มีมากมายมหาศาล
ทั้งสองจำไม่ได้วิ่งชนต้นไม้หักไปกี่ต้น เตะก้อนหินใหญ่กระเด็นไปกี่ก้อน รู้สึกตัวอีกครั้งก็คือดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ความร้อนในตัวลดลงจนอยู่ในระดับอบอุ่นไปทั่วร่างไม่ร้อนลวก
“โชคดีที่ไม่มีอะไรหล่นจากตัว” ประดู่นั่งลงบนก้อนหินใหญ่ริมแม่น้ำหลังตรวจสอบสัมภาระของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ไม้สักเองก็พยักหน้าบอกว่าของตัวเองอยู่ครบเช่นเดียวกัน
“ทำไมเป็นอย่างนี้วะ ปกติแล้วแท่งอาหารพลังงานสูงของแกมันร้อนแรงอย่างนี้เหรอวะ เห้ กินแล้วแทบจะวิ่งรอบโลกได้เลย”
ไม้สักทราบดีกว่าเพื่อนเพียงแค่ล้อเล่น เขาลองเสนอแนวคิดของตัวเองให้เพื่อนฟัง
“บางทีนะไอ้ดู่ ข้าคิดว่าโลกนี้น่าจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับอาหารก็ได้”
“ยังไง แบบว่ากินอาหารพลังงานสูงแล้วมีพลังเวทมนตร์มหาศาลอะไรแบบนี้น่ะเหรอ” ประดู่ถามเล่น ๆ แต่สีหน้าเพื่อนที่มองกลับมาดูเหมือนจะเห็นด้วยกับความคิดของเขาไม่ใช่น้อย
“ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นะ ขนาดมังกรก็ยังมี คนในชุดเกราะมังกรที่มีเวทมนตร์นั่นก็ได้ … ลืมบอกแกไป ข้าลองคิดเรื่องปลอกคอทาสนี่ดูแล้วนะ วิธีการทำงานของมันก็คือการแปลคำพูดของคนอื่นในภาษาที่เราไม่รู้จักแล้วดึงข้อมูลในสมองของเรามาเปรียบเทียบเป็นภาษาที่เราเข้าใจ อย่างกระชายเมื่อคืนนี้พวกเรามองเห็นว่ามันเป็นเหมือนกระชาย ปลอกคอก็เลยแปลภาษาให้เป็นกระชาย แกพอจะเข้าใจมั้ย”
ประดู่คิดตามแล้วพยักหน้า
“เข้าใจ จะว่าไปแล้วป่านนี้รีดินคงได้ต่อสู้กับคนที่มาล้างแค้นแล้ว แย่ คิดถึงบ้านว่ะ” ได้เห็นรีดินที่ครอบครัวต้องตายทั้งหมดแล้วประดู่ก็คิดถึงบ้านขึ้นมาอีก คิดถึงการเตรียมร้านในตอนเช้าที่ปกติเขาต้องเป็นคนจัดการแล่เนื้อซอยหมูหั่นผักเตรียมสำหรับทำอาหารขาย ป่านนี้ไม่รู้ว่าแม่จะหาคนมาช่วยทำงานได้หรือยัง ถ้าเขากลับไปไม่ได้แล้วแม่จะทำยังไง น้องสาวเขาล่ะ
“ไอ้ดู่ ข้าหิวแล้ว ทำอะไรให้กินหน่อย” ไม้สักขัดจังหวะความคิดเพื่อนเมื่อเห็นสีหน้าของประดู่ซีดลงเรื่อย ๆ
“อือ” ประดู่พยักหน้า “แกไปก่อไฟก็แล้วกัน เดี๋ยวย่างหมูแดดเดียวที่เหลือกินให้หมด หลังจากนี้คงต้องจับปลากินแล้ว … แล้วพวกเราจะทำยังไงต่อไปวะ”
ไม้สักตรงไปหากิ่งไม้แห้งที่ถูกซัดมาเกยหินริมแม่น้ำ ขูดผิวนอกให้เป็นขุยซอยไม้ให้เป็นชิ้นเล็กเตรียมสำหรับก่อกองไฟ
“ก่อนอื่นเราก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อน การกินการอยู่ น้ำ อาหาร จากนั้นก็หาร่องรอยของมนุษย์ ตรวจสอบดูว่าเป็นมิตรหรือศัตรู … คงยังพูดกันไม่เข้าใจ ถ้าไม่มีเครื่องมือในการสื่อสารก็ต้องเรียนภาษาของคนบนโลกนี้ หาข้อมูลเรื่องการข้ามมิติ แล้วก็หาทางกลับบ้าน”
ประดู่แกะถุงพลาสติก นำหมูแดดเดียวมาเสียบกับเหล็กเสียบเป็นแถวเหมือนผ้าตากบนราวตากผ้า เหล็กเสียบนี้เป็นของที่เขาถูกสั่งให้ซื้อกลับไปที่ค่ายพร้อมกับกระทะ
“แกคิดว่ามันจะใช้เวลานานเท่าไหร่วะ” ประดู่มานั่งข้าง ๆ ไม้สักที่เริ่มขูดแท่งแม็กนีเซียมลงขุยไม้
“ไม่รู้ แต่จะให้พูดจริง ๆ ก็คงไม่ต่ำกว่าปี อาจจะหลายปี พวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลยซักอย่าง ข้าไม่อยากพูดให้แกมองหวังลม ๆ แล้ง ๆ ”
“แกยังไม่ได้พูดเรื่องนึง เรื่องที่ว่าพวกเราอาจจะไม่ได้กลับไปโลกเดิมอีกเลยก็ได้” ประดู่พูดขึ้นมาด้วยตัวเอง
ไม้สักเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเพื่อนแล้วก้มลงก่อไฟต่อไปจนกระทั่งได้กินหมูย่างที่เหลือทั้งหมด
.
ทั้งสองมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์มนุษย์เรื่องที่ว่าอารยธรรมของมนุษย์มักจะเกิดขึ้นจากริมน้ำ น้ำเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพของมนุษย์ ดังนั้นการตั้งรกรากปักหลักเป็นถิ่นฐานจึงเกิดในบริเวณใกล้แหล่งน้ำเกือบทั้งหมด แต่ทั้งสองไม่คิดว่าจะได้พบอารยธรรมมนุษย์อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
เรือไม้ติดใบพัดเหมือนกังหันน้ำแล่นสวนน้ำขึ้นมาจากโค้งน้ำโดยที่ทั้งสองไม่ทันได้ตั้งตัว ลักษณะของกังหันน้ำเป็นอย่างเดียวกับที่ใช้กันในเรือโดยสารเครื่องจักรไอน้ำสมัยโบราณ คือเป็นวงล้อซ้ายขวาติดกับบริเวณท้ายเรือ
ชายสองคนที่โดยสารมากับเรือจ้องมองดูประดู่และไม้สักที่ริมน้ำจนกระทั่งเคลื่อนผ่านพวกเขาหายไปกับโค้งน้ำอีกโค้งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
สังเกตจากชุดที่สวมใส่ทั้งสองค่อนข้างมั่นใจว่าคนเหล่านี้เป็นชาวประมง เสื้อผ้าของพวกเขาดูไม่สวยหรูและผ่านการใช้งานมายาวนาน สีผิวที่กร้านดำ ดวงตาสีเข้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยพับของผิวด้าน ที่น่าสนใจก็คือเรือของพวกเขาไม่ได้ใช้เครื่องยนต์แต่กลับเคลื่อนที่สวนน้ำขึ้นไปอย่างง่ายดาย
มองไปยังทิศที่เรือแล่นจากมาก็เห็นบ้านที่ปลูกติดริมตลิ่งหลายหลัง มีคนอยู่บนระเบียงบ้านและริมน้ำหลายคน
“เอาไงวะ จะเดินโทง ๆ เข้าไปแบบนี้เลยเหรอ” ประดู่ถามไม้สัก
“ขอโทษนะ แต่ข้าเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน ที่เรียนมาศึกษามาก็มีแต่การเอาตัวรอดจากคนในช่วงกลียุค เรื่องที่ว่าใครไว้ใจได้ใครไว้ใจไม่ได้ แต่เรื่องเข้าหาคนปกติธรรมดาทั่วไปนี่ข้าไม่รู้จริง ๆ ข้าอยู่ตัวคนเดียวตลอดแกก็รู้อยู่แล้วนี่”
ประดู่กะพริบตาปริบ ๆ เขาเป็นเพื่อนคนเดียวของไม้สักเรื่องนี้เขาและไม้สักทราบดีอยู่แล้ว ไม้สักเข้าสังคมไม่เก่งเขาเองก็ทราบดี
เด็กหนุ่มพยายามคิดอย่างหนัก ทบทวนประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับมาทั้งหมด คิดถึงความเป็นไปได้ทั้งในทางดีและทางร้าย
“แกมีกล้องส่องทางไกลรึเปล่าวะ” ประดู่ถาม
ไม้สักเปิดช่องกระเป๋าเล็กข้างประเป๋าใหญ่หยิบกล้องสองทางไกลเลนส์เดียวแบบพับได้ส่งให้เพื่อน ประดูใช้กล้องส่องทองไกลส่องดูคนที่เห็นบนระเบียงบ้าน สำรวจอยู่ครู่หนึ่งจึงส่งกล้องคืนให้เพื่อน
“ทุกคนที่ข้าเห็นมีปลอกคอคล้าย ๆ กันกับที่พวกเราใส่อยู่ ถ้าปลอกคอเป็นสัญลักษณ์ของทาส คนพวกนี้ก็น่าจะเป็นทาสเหมือนกัน … คิดว่านะ … ข้าคิดว่า … คิดว่าคนพวกนี้น่าจะเห็นใจพวกเราที่ใส่ปลอกคอทาสเหมือนกัน อาจจะไม่ถึงกับต้อนรับแต่คงไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูมั้ง”
ไม้สักใช้กล้องส่องทางไกลสำรวจดูคนบนบ้านเห็นเป็นอย่างที่ประดู่ว่า เขาเห็นด้วยกับความคิดเพื่อนแต่ยังคิดไม่ออกว่าจะเริ่มต้นเข้าหาอย่างไรในเมื่อพวกเขาพูดภาษาของคนบนโลกนี้ไม่ได้ ถ้าปลอกคอใช้งานได้ทางเดียวก็หมายความว่าทาสเหล่านี้ก็จะฟังภาษาไทยไม่เข้าใจอยู่แล้ว
“ไอ้หนุ่ม มาจากต่างประเทศใช่มั้ย แวะกินข้าวบ้านลุงก่อนสิ มา มา เล่าเรื่องเมืองในต่างประเทศให้ฟังหน่อยเดี๋ยวลุงจะให้ป้าทำอะไรอร่อย ๆ ให้กิน”
ไม่ทราบว่าเรือไม้ที่แล่นผ่านไปย้อนกลับมาเมื่อไร ชายชาวประมงบนเรือร้องเรียกประดู่และไม้สักด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“แต่ผมพูดภาษาของที่นี่ไม่ได้นะลุง” ประดู่ร้องตอบกลับไปด้วยภาษาไทย ชาวประมงทั้งสองเบิกตาตกตะลึงก่อนจะร้องตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่กว้างก่าเดิม
“พูดภาษาที่ลุงไม่รู้จักด้วย แสดงว่ามาจากประเทศที่ไกลมาก ๆ แต่เอ็งฟังลุงเข้าใจใช่มั้ย” เขาร้องถาม
“เข้าใจครับ” ประดู่พยักหน้าโบกมือ
“งั้นก็ไม่เป็นไร มากินข้าวกินน้ำที่บ้านลุงก่อนก็ได้ มา ขึ้นเรือ ลุงจะพาไปบ้าน”
ประดู่และไม้สักสบตากันแล้วยิ้มให้กับชายทั้งสอง ขึ้นเรือโดยสารไปกับพวกเขา ประดู่ยิ้มและตอบโต้กับพวกเขาด้วยการส่ายหน้าและพยักหน้าในขณะไม้สักแอบสำรวจดูความเป็นไปได้ว่าจะมีจุดประสงค์แอบแฝงอย่างระมัดระวัง มือเขาพร้อมที่จะชักมีดออกจากฝักตลอดเวลา
.
คุยกับท่านผู้อ่าน
ผมยังลงนิยายในเว็บเด็กดีไปเรื่อย ๆ ครับ ไม่ได้ย้ายไปลงที่อื่น ท่านผู้อ่านสามารถติดตามอ่านต่อไปได้แบบไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ เกี่ยวกับการทำอาหารผมสนใจอยากจะทำอยู่เหมือนกันครับ เอาไว้หลังจัดการเรื่องหนังสือเล่มต่อไปเรียบร้อยแล้วผมจะเริ่มทำครับ
ชาลี
18 กุมภาพันธ์ 2558
ความคิดเห็น