ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Barbecue Fantasia

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 มิตรหรือศัตรู

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 58


    .

    ตอนที่ 2 มิตรหรือศัตรู

    เมื่อต้องเดินขึ้นเขาน้ำหนักของที่แบกอยู่ก็เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าสิ่งของนั้นเพิ่มน้ำหนักตัวเองไม่ได้ แต่เป็นร่างกายอันเมื่อยล้าที่สร้างความรู้สึกหลอนขั้นมา

    นับจากตอนที่เริ่มออกเดินเวลาก็ผ่านไปเกือบสิบชั่วโมงแล้ว เกรงว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเดินทางต่อเนื่องได้นานถึงเพียงนี้ สิ่งที่ทำให้สองเด็กหนุ่มก้าวเดินไปข้างหน้าได้เรื่อย ๆ ก็คือร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก ไม่เพียงแต่การฝึกวิชาทหารอย่างที่ทำเป็นประจำเพียงอย่างเดียว ทั้งประดู่และไม้สักต่างก็มีงานของตัวเองในช่วงเวลาว่าง

    ประดู่เมื่อกลับจากโรงเรียนไปถึงบ้านก็ต้องช่วยที่ร้านทำอาหารซึ่งจะขายดีมากในตอนเย็น เขาต้องยกลังใส่ขวดน้ำอัดลมและเครื่องดื่มต่าง ๆ เป็นจำนวนมากขึ้นลงรถบรรทุก ต้องสะบัดกระทะเพื่อทำอาหารให้กับลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนกันเนื่องแน่นต่อเนื่อง ต้องขนแบกล้างเครื่องครัว ต้องลากถังขยะอันเต็มไปด้วยเศษอาหารหนักอึ้งขึ้นรถบรรทุก ต้องยกโต๊ะเก้าอี้ไม้เก่าหนักอายุนับสิบปีออกมาตั้งวางในตอนเช้าและเก็บเข้าห้องเก็บของในตอนเย็น ใต้ชุดนักศึกษาวิชาทหารที่เขาสวมใส่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่ง

    ไม้สักเองก็เช่นเดียวกัน เขาไม่มีร้านอาหารที่ต้องช่วยงานแต่เขามีงานอดิเรกที่ต้องใช้งานร่างกายอย่างหนักไม่แพ้กัน ไม้สักเป็นคนที่หลงใหลการเอาตัวรอด เขาศึกษาการเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทั้งในความเป็นจริงอย่างในป่า ในทะเลทราย การเอาตัวรอดเมื่อติดเกาะ ติดในภูเขาหิมะ ไปจนถึงการเอาตัวรอดในโลกแห่งจินตนาการอย่างเช่นโลกซอมบี้ โลกหลังสงครามนิวเคลียร์ โลกในวิกฤติเชื้อไวรัส โลกในยุคน้ำแข็ง เขาไม่ได้นอนในบ้านเป็นเวลาสามปีแล้ว เขามีบ้านไม้หลังเล็กที่สร้างขึ้นเองริมห้วย หาอาหารและฝึกฝนตัวเองอยู่ทุกวันโดยมีประดู่เป็นเพื่อนเพียงคนเดียว บางครั้งเขาก็ไปช่วยงานประดู่ในร้านอาหารด้วย

    “เอาไงวะ ไม่มีทางให้ปีนแล้ว” ประดู่เหยียดแขนยืดกล้ามเนื้อ ใช้กำปั้นทุบต้นขาสองสามครั้ง

    ด้านหน้าของทั้งสองคือหน้าผาหินชัน มองไปซ้ายขวาไม่เห็นหนทางให้เดินขึ้นยกเว้นแต่จะปีนขึ้นไปขึ้นไปตามแง่งหินรอยแตกที่เห็นอยู่ตรงหน้า

    สักแหงนมองดูส่วนบนของหน้าผาที่สูงขึ้นไปประมาณสิบห้าเมตร พิจารณาดูรูปร่างของก้อนหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผาอย่างตั้งใจ เมื่อกำหนดเส้นทางได้แล้วเขาก็ถอดกระเป๋าสะพายหลัง ถอดรองเท้าและถุงเท้าเหลือเพียงเท้าเปล่า สิ่งที่เขาพกติดตัวไปมีเพียงมีดและเชือกที่ม้วนหนึ่ง

    “แกจะปีนจริง ๆ เหรอวะ นี่ไม่ใช่หน้าผาฝึกปีนเหมือนที่เราเคยไปปีนด้วยกันมานะ นี่ของจริงนะ ไม่มีเชือกเซฟตี้ด้วย ตกลงมานี่กระดูกออกนอกเนื้อเลยนะ” ประดู่ถามด้วยความเป็นห่วง

    “ไม่เป็นไร ข้าเคยไปปีนหน้าผาของจริงมาแล้ว หน้าผานี่สูงกว่าที่เคยปีนมานิดหน่อย แต่ข้ามั่นใจว่าทำได้” ไม้สักพูดเสียงเรียบเช่นเคย เขาพับขากางเกงเข้าด้านในเพื่อไม่ให้เกะกะการปีนแล้วจับยึดแง่งหินเป้าหมายยกตัวเองไต่ขึ้นหน้าผาไป

    ประดู่ขยับมายืนในตำแหน่งตรงตัวด้านล่างของไม้สักเตรียมพร้อมรับตัวเพื่อนถ้าหากพลาดร่วงหล่นลงมา เขาเชื่อมั่นในฝีมือของเพื่อนแต่ไม่ประมาท อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

    การปีนหน้าผาที่ไม่เคยมีคนปีนมาก่อนเช่นนี้เสียเวลามากเป็นพิเศษ ไม้สักต้องทดลองหยั่งประเมินว่าร่องแตกและแง่หินนั้นมีความแข็งแรงมากพอที่จะรับน้ำหนักของเขาหรือไม่ เขาไม่มีหมุดเหล็กสำหรับยึดตัวเองเพื่อสร้างจุดปลอดภัยในการปีน ไม่มีเชือกนิรภัยสำหรับพยุงตัวเองยามร่วงหล่น แต่ละเซนติเมตรที่ยกตัวเองสูงขึ้นไปคืออันตรายที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

    หัวใจของไม้สักเต้นระทึก ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวแต่เป็นความยินดีที่ได้ใช้ความสามารถในสถานการณ์จริง

    หัวใจของประดู่ก็เต้นรัวไม่แพ้กัน แต่เป็นการเต้นด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนจะตกลงมาคอหักตาย จนกระทั่งไม้สักปีนขึ้นไปจนถึงบนหน้าผาได้สำเร็จแล้วนั่นเองเขาจึงระบายลมหายใจของความโล่งอกออกมาได้

    “ผูกกระเป๋ากับของขึ้นมาก่อน” ไม้สักตะโกนลงมาจากหน้าผาหลังผูกเชือกติดกับต้นไม้บนหน้าผาได้เรียบร้อยแล้วโรยปลายเชือกลงมา กระทะของประดู่ครูดกับก้อนหินส่งเสียงดังตลอดทางที่มันถูกลากขึ้นไปพร้อมกระเป๋าและรองเท้า

    เมื่อประดู่ปีนเชือกขึ้นมาถึงไม้สักก็สวมรองเท้าสะพายกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ประดู่จัดการตัวเองเสร็จแล้วทั้งสองก็ออกเดินทางต่อ หลังจากผ่านพ้นหน้าผาขึ้นมาแล้วทั้งสองก็ไม่พบอุปสรรคทางตันอีก แม้ความชันจะมีมากขึ้นแต่ก็สามารถเดินต่อไปได้โดยไม่ต้องผูกเชือกไต่หน้าผาอีก

    บนยอดเขามีลานหน้าตัดกว้างประมาณสนามฟุตบอล มีต้นไม้ขึ้นแต่ไม่หนาแน่น สามารถมองเห็นทุกสิ่งโดยรอบได้ไม่ถูกปิดบัง ประดู่ที่ตรงเข้าไปหาจุดกำเนิดควันถูกไม้สักดึงไหล่เอาไว้ เขาบอกให้เพื่อนสำรวจดูโดยรอบให้ละเอียดก่อน

    สิ่งที่อยู่ในจิตใจไม้สักตอนนี้ก็คือตัวคนหรืออะไรก็ตามที่สร้างควันนั้นขึ้นมา จากที่มองด้วยสายตาเขาไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดนอกจากวัตถุทรงกระบอกตรงกลางลาน ควันสีขาวพุ่งขึ้นมาจากส่วนบนของวัตถุทรงกระบอกขนาดเท่าถังน้ำโดยไม่ได้รับผลกระทบจากกระแสลมที่พัดโชย

    ประดู่และไม้สักแยกย้ายกันไปสำรวจโดยเดินวนขอบลานกว้างไปคนละทิศจนมาประจบกันที่ด้านตรงข้าม

    “ไม่มีทางขึ้นอื่น มีแต่ทางลาดชันพอสมควร” ประดู่บอกให้ไม้สักทราบถึงรายละเอียดของหน้าผาด้านที่เขาเดินสำรวจ

    “ทางนี้ก็เหมือนกัน นอกจากทางที่พวกเราเดินขึ้นมาไม่มีเส้นทางอื่นอีก แต่ข้าสังเกตดูทางที่พวกเราใช้เดินขึ้นมาบนยอดเขานี่แล้วไม่เห็นมีรอยเท้าอะไรนะ ประหลาดจริง”

    “บินมารึเปล่า เป็นมนุษย์ต่างดาวแบบมีปีกอะไรแบบนี้น่ะ” ประดู่เพียงแค่ล้อเล่น แต่ไม้สักไม่ขำด้วย มันทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายและมองดูท้องฟ้าสูงเบื้องบน กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองพูดเล่น ๆ จะกลายเป็นจริงเข้า

    เด็กหนุ่มทั้งสองค่อย ๆ เดินเข้าหาวัตถุที่กึ่งกลางลานกว้างโดยลัดเลาะบังตัวไปตามต้นไม้บนลานที่มีเพียงเล็กน้อย ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น จนกระทั่งอยู่ห่างจากวัตถุนั้นเพียงแค่ห้าเมตร

    มองแล้วมองอีกจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ สองเด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปสำรวจว่าวัตถุนั้นคืออะไร

    ดูจากสายตาไม้สักเห็นว่านี่เป็นเครื่องปั้นดินเผาชนิดหนึ่ง เป็นท่อทรงกระบอกกว้างและสูงประมาณครึ่งเมตร ปากท่อด้านบนมีควันสีขาวเข้มข้นจนเหมือนน้ำนมลอยขึ้นสูงอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเลยผ่านยอดไม้ไปแล้วจึงเริ่มไหวเอนเล็กน้อย

    “… นี่มันโอ่งรมควันรึเปล่า” ประดู่ที่คุ้นเคยกับอุปกรณ์ประกอบอาหารรู้สึกเช่นนั้น ไม้สักที่คิดไม่ถึงในตอนแรกเห็นด้วยกับการคาดเดาของประดู่ ท่อดินเผาผิววาวนี้มีความคล้ายคลึงกับท่อหรือตุ่มที่ใช้อบและรมควันอาหาร ต่างกันเพียงเล็กน้อย

    “เป็นไปได้ ต่างจากของที่พวกเราใช้กันอยู่แต่ก็ถือว่าคล้ายกันมาก”

    “เหรอ ?” ประดู่กอดอกขมวดคิ้ว “แต่ข้าว่ามันปล่อยควันเยอะไปนะ รมควันแบบนี้คงไม่ใช่การรมเอากลิ่นหรอก น่าจะเป็นการรมถนอมอาหารมากกว่า … เอาไงต่อ”

    ไม้สักเหลียวมองรอบตัว

    “อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่านี่เป็นสิ่งของที่ถูกสร้างขึ้น อย่างน้อยก็ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสูงพอสมควร การที่จะเผาดินให้ได้ออกมาเป็นเงาแบบนี้ต้องใช้ความร้อนสูงมากจนโครงสร้างภายในเปลี่ยนสภาพ บางทีถ้าได้เจอกันเราอาจจะคุยกันได้”

    “มันจะใช่เหรอวะ ไม่ใช่ว่าขัดอะไรนะ แต่มนุษย์ต่างดาวนี่คงไม่พูดภาษาไทยหรอกมั้ง” ประดู่เกาหัว

    “คุยกันไม่ได้ก็ใช้ภาษามือเอา” ไม้สักยกมือยกไม้สะบัดไปมา

    “รถขนกล้วย อะไรของแก” ประดู่ดูภาษามือของไม้สักแล้วขมวดคิ้ว

    “แกใช้ภาษามือเป็นเหรอ” ไม้สักทำหน้าเหมือนเพิ่งรู้จักเพื่อนเป็นครั้งแรกทั้งที่คบกันมาเกือบสิบปี

    “ไอ้บ้า น้องสาวข้าหูหนวกเป็นใบ้ ข้าเป็นคนขอให้แกเรียนภาษามือเองแกจำไม่ได้รึไง แกนี่ดีหมดทุกอย่างเลยนะ ฉลาดก็ฉลาด หน้าตาก็ดี แต่ทำไมหลง ๆ ลืม ๆ แบบนี้วะ”

    ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเอาตัวรอดไม้สักมั่นใจว่าตัวเองจดจำได้ดีเยี่ยม แต่พอเป็นเรื่องอื่น ๆ แล้วความจำเขาไม่ดีเอาเสียเลย

    “อีกอย่าง ต่อให้ใช้ภาษามือมันก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ต่างดาวจะเข้าใจนี่หว่า” ประดู่ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญอีกข้อ

    ทั้งสองเงียบไปอีกครู่หนึ่งประดู่จึงพูดขึ้น

    “เอาเป็นว่าพักกันก่อนก็แล้วกัน จะลงจากยอดเขานี่ก็คงไม่ทันแล้ว แกก่อไฟ ข้าจะเอาเนื้อแดดเดียวมาย่างให้กิน เนื้อนี่ต้องรีบกินเพราะมันเก็บได้ไม่นาน ร้านที่ซื้อมาเอาเนื้อใกล้เสียมาหมักเครื่องตากแดดขาย น่าโมโหชะมัด รู้งี้เปิดถุงดมก่อนก็ดี”

    “ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะแกมัวแต่ดูนมลูกสาวแม่ค้าอยู่รึไง” ไม้สักพูดแบบไม่มองหน้าเพื่อน เขาหยิบเอาแท่งแม็กนีเซียมสำหรับจุดไฟออกมาจากกระเป๋าเตรียมพร้อม

    “เค้าเปิดให้ดูแล้วถ้าไม่ดูก็เสียมารยาทสิวะ” พูดแล้วประดู่ก็ยิ้ม เขานึกถึงเนื้อขาว ๆ ของลูกสาวเขียงขายหมูที่ใส่เสื้อคอกว้างคว้านจนแทบเห็นสะดือ เขาเป็นคนที่ถือคติว่าถ้าเปิดให้ดูก็ต้องดู ถ้าไม่อยากให้ดูก็อย่าเปิดให้ดู

    กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระหว่างที่ประดู่ย่างเนื้อไม้สักก็ลงจากเขาไปยังจุดที่มีเมฆพัดผ่าน ขึงแผ่นพลาสติกรับไอน้ำจัดวางมุมให้น้ำที่ควบแน่นไหลลงหม้อสนามใบใหญ่ เมื่อกลับขึ้นไปถึงยอดเขาประดู่ก็ย่างเนื้อจนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองจัดการกินเนื้อย่างคลายหิวตามด้วยน้ำในขวดจนเหลือเพียงครึ่งเดียว ที่เหลือน้ำในขวดไว้ก็เผื่อว่าพรุ่งนี้เช้าจะไม่มีน้ำให้ดื่ม

    ประดู่มองดูดวงดาวใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนด้วยใบหน้าอันขมขื่น จนถึงยามที่ต้องหลับนอนนี้เองที่เขาได้ผจญกับความรู้สึกของการพลัดพรากอย่างแท้จริง ดวงดาวแปลกตาที่เห็นยามค่ำคืนช่วยตอกย้ำความจริงที่อยากหลบหนีอีกครั้ง เขาอยากจะร้องไห้ ป่านนี้ข่าวการหารตัวไปของเขาคงไปถึงพ่อกับแม่แล้ว หรืออย่างน้อยครูฝึกก็ต้องทราบเรื่อง ถ้าตามหาเขาไม่เจอพรุ่งนี้ครอบครัวเขาก็คงทราบข่าว หลังจากนี้ครอบครัวเขาจะเป็นเช่นไร เขาจะกลายเป็นอดีตที่ทุกคนจะลืมไปในที่สุดหรือไม่

    “ห่วงน้องสาวเหรอ” ไม้สักที่นั่งเหยียดขาอยู่ริมผายอดเขาถาม

    “ห่วงหมดแหละ ทั้งพ่อแม่ทั้งน้องด้วย ป่านนี้พวกครูฝึกคงจะหัวเสียกันใหญ่แล้ว”

    ไม้สักไม่ได้พูดในทันที เขาปล่อยให้ความเงียบครอบงำบรรยากาศก่อนอึดใจหนึ่ง

    “มันจะเป็นแบบนั้นรึเปล่า บางทีโลกนี้ในมิตินี้จักรวาลนี้อาจจะแตกต่างจากโลกที่เราอยู่หลาย ๆ อย่างก็ได้ เวลาที่นี่อาจจะหมุนเร็วกว่า เราเดินกันเหนื่อยทั้งวันที่นี่แต่ในโลกของเราบางทีเราอาจจะยืนอยู่ริมถนนหน้าเขาชนไก่ก็ได้”

    “แกคิดอย่างงั้นเหรอ” ประดู่หันมาถามเพื่อน เทียบกันแล้วเขาไม่มีหัวไม่เข้าใจในเรื่องนี้อย่างไม้สัก สิ่งที่เขาชอบคือความสนุกสนานบันเทิงอย่างเรียบง่ายมากกว่า ไม้สักจะเข้าไปดูหนังไซไฟในโรงบ่อย ๆ ในขณะที่เขาจะเข้าไปดูหนังยิงกันตื่นเต้นสะใจเป็นหลัก ถ้าไม้สักให้เหตุผลเช่นนี้เขาก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้

    “อืม ถ้าขนาดพวกเราหลุดมาในโลกอื่น เรื่องประหลาด ๆ มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ เหมือนผู้หญิงบนท้องฟ้านั่นไง” ไม้สักไม่ได้พูดถึงความเป็นไปได้อื่นอีกอย่างหนึ่ง ความเป็นไปได้ที่ว่าเวลาในโลกนี้อาจเดินเร็วกว่าเวลาในโลกของพวกเขาหลายเท่า ในช่วงที่เขานั่งอยู่บนเขาที่นี่บนโลกที่พวกเขาจากมาอาจจะไม่มีอารยธรรมของมนุษย์หลงเหลือแล้วก็ได้

    ประดู่ต้องการที่พึ่งทางจิตใจ เขาเลือกที่จะฝากความหวังไว้กับความเป็นไปได้นี้มากกว่ามองในด้านลบ

    “เดี๋ยวนะ ผู้หญิงบนท้องฟ้าอะไรของแก” เขาเพิ่งรู้ตัวว่าไม้สักพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา

    “นั่นไง”

    ประดู่หันไปมองท้องฟ้าด้านซ้าย เขาเห็นผู้หญิง เป็นภาพของหญิงสาวนอนหนุนแขนตนเองหลับตาพริ้ม ตอนแรกเขาคิดว่านั่นเป็นภาพของหญิงสาวบนท้องฟ้าจริง ๆ แต่เมื่อเพ่งตามองจึงได้เห็นว่านั่นเป็นภาพที่ประสานสร้างขึ้นจากแสงประกายดาวจำนวนมากบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงที่มีสีและความเข้มแตกต่างกันสร้างรูปจำลองของหญิงสาวผมยาวนอนหลับตาดังเทพธิดากำลังดื่มด่ำกับฝันหวานในยามราตรี เป็นการนอนหลับข้ามช่วงเวลาอันเป็นนิรันดร

    ประดู่อ้าปากค้าง เขาคิดและจินตนาการไปถึงโลกต่างดาวที่มีความเป็นไปได้มากมาย แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นสิ่งนี้ เขาอยากเห็นยานอวกาศมากกว่าหญิงสาวที่นอนกินพื้นที่เกือบครึ่งบนท้องฟ้า

    ไม้สักไม่ตกใจเท่าประดู่ เขาเห็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่าภาพหญิงสาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาเห็นรูปร่างของมนุษย์ ไม่ว่าหญิงสาวบนท้องฟ้านั้นจะเป็นใครก็ตาม เธอมีรูปร่างหน้าตาอย่างมนุษย์ เขาไม่กล้าสรุปว่าสิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ บางทีหญิงสาวบนท้องฟ้าจะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้เลยก็ได้ แต่เขาคิดว่าความเป็นไปได้มีสูงมาก

    “นอนเถอะ แกนอนก่อนข้าจะเฝ้ายามให้ สามชั่วโมงแล้วผลัดกัน” ไม้สักส่งผ้าห่มเก็บความร้อนผืนบางแผ่นหนึ่งให้ประดู่ ส่วนเขาใช้ผ้าอีกผืนคลุมไหล่ตัวเองนั่งเฝ้ายามอยู่ข้างกองไฟ

    ทั้งสองไม่สามารถนอนจนถึงรุ่งเช้าเพราะช่วงเวลากลางวันและกลางคืนในโลกนี้ยาวกว่าโลกมนุษย์ ทั้งสองนอนจนนอนไม่ได้อีกจึงลุกขึ้นมาพูดคุยวางแผนกันในตอนกลางดึก

    สักนับเวลาบนนาฬิกาตัวเองแล้วประมาณว่าโลกนี้น่าจะมีช่วงเวลายาวเป็นสองเท่าของโลกมนุษย์ หนึ่งวันมีสี่สิบแปดชั่วโมง ทั้งสองแม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ไม่สามารถนอนได้มากกว่าสิบสองชั่วโมง โดยเฉพาะกับคนที่มีกิจวัตรให้ต้องตื่นเช้าอย่างเช่นพวกเขา

    แผนการที่ไม้สักยกมาเสนอประดู่ก็คือเดินลงต่ำ มุ่งหน้าเข้าหาแม่น้ำ จากนั้นเดินตามแม่น้ำไปจนกว่าจะพบอารธรรม หลังจากนั้นค่อยหาทางติดต่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้อีกครั้ง

    “จะสว่างแล้ว บอกลาคุณราตรีหน่อยเป็นไง” ประดู่พูดหลังดับกองไฟเสร็จเก็บของเสร็จเรียบร้อยเตรียมเดินทางต่อ น้ำที่เก็บได้จากแผ่นพลาติกถูกเติมใส่ขวดจนเต็มแต่ยังไม่มีใครกล้าดื่ม ทั้งสองดื่มน้ำครึ่งขวดสุดท้ายจนหมดแล้วรอเวลาที่กระหายจนทนไม่ไหวจึงจะหยิบน้ำค้างมาดื่ม

    “ราตรี ?”

    “ก็แม่สาวหุ่นดีบนท้องฟ้าคนนั้นไง” ประดู่ชี้นิ้วไปบนฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี ดวงดาวที่ประกอบสีกันเป็นหญิงสาวอย่างเลือนรางกำลังจะเคลื่อนลับขอบฟ้า

    นักเอาตัวรอดกะพริบตามองหน้าเพื่อนแล้วทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เขาใช้สองนิ้วแตะริมฝีปากแล้วส่งจูบให้ราตรีบนท้องฟ้า

    “แล้วเจอกันใหม่คืนนี้ครับคุณราตรี”

    ประดู่ฟังแล้วหัวเราะส่งจูบเลียนแบบเพื่อน

    “คืนนี้เจอกันนะจ๊ะหวานใจ”

    ไม่มีเวลาให้มาคิดกังวล ประดู่เบี่ยงเบนความคิดไปที่การหาทางกลับบ้านทั้งหมด เขาไม่เข้มแข็งเท่าไม้สักแต่เขาเชื่อว่ามีความสามารถในการปรับตัวมากกว่า

    ทั้งสองคนเดินมาที่ท่อดินเผารมควันกลางลานอีกครั้ง มองหน้ากันไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรกับของชิ้นนี้ดี ควันสีขาวยังคงหนาแน่นเช่นเดียวกับเมื่อวาน

    “ปล่อยไว้แบบนี้เถอะ อย่าเสี่ยงทำให้คนบนโลกนี้โกรธดีกว่า” นั่นเป็นข้อสรุปของไม้สักที่ประดู่เห็นด้วยเต็มร้อย ทั้งสองหันหลังตั้งใจจะเดินกลับไปยังทางที่ใช้ขึ้นมาแล้วตัวแข็ง

    มีคนยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ด้านหลังคนผู้นั้นมีสิ่งที่ดูยังไงก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากมังกรยืนสงบนิ่งจ้องมองทั้งสองเขม็ง

    .

    คุยกับท่านผู้อ่าน

    คนปริศนาและมังกร พวกเขาเป็นใครกันหนอ แล้วแม่สาวบนท้องฟ้าราตีเป็นใครกันนะ เจอกันตอนหน้า ตอนที่ผมมีอารมณ์จะแต่งต่อครับ

    ชาลี

    9 กุมภาพันธ์ 2558

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×