คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 2 รด.
.
2 รด.
“ไอ้ สัก นี่มันใช่เขาชนไก่เหรอวะ เมื่อวานมันไม่ใช่แบบนี้นี่หว่า” เด็กหนุ่มคิ้วหนาใช้สองมือบังแดดจ้าแหงนมองดูภูเขาสูงเสียดฟ้าตรงหน้า ด้านหลังเขาสะพายกระทะจีนสีดำใบใหญ่เอาไว้หนึ่งใบ มือถือตะหลิวอันใหญ่ ใต้กระทะที่ร้อยหูด้วยเชือกสะพายเฉียงมีกระเป๋าเป้ทหารหนึ่งใบ
สักที่มีชื่อจริงว่าไม้สักแต่คนมักจะเข้าใจว่าเป็นศักดิ์ที่มาจากศักดิ์ศรีไม่ได้ตอบคำถามเพื่อน เขาหันหลังให้ภูเขากอดอกมองดูแนวสันเขาใต้ยอดเมฆด้านล่างไร้คำพูด เขาเองก็สะพายเป้ทหารของตัวเองหนึ่งใบเช่นกัน
“ไอ้สัก” รด.หนุ่มผู้แบกกระทะร้องถามเพื่อนอีกครั้งก่อนจะหันมามองดูเพื่อนแล้วตะลึงจนตาโตเป็นไข่นกกระจอกเทศ
“เฮ้ย นี่มันอะไรวะ ถนนลาดยางหายไปไหน รถยนต์ที่ขนพวกเรามาล่ะ ของบนรถด้วย แล้วที่นี่มันที่ไหน มารดา ประดู่ ช่วยด้วย” นักศึกษาวิชาทหารเจ้าของชื่อประดู่เหยียดมือทั้งสองไปข้างหน้าจนสุดแขนอ้าปากกว้างเท่าโอ่งเห็นทะลุผ่านลิ้นไก่ไปจนถึงลำไส้
“เดี๋ยวนะ ๆ นี่พวกเราฝันไปรึเปล่าวะ ขอทบทวนก่อนนะ ข้ากับแกสองคนถูกครูฝึกใช้ให้ไปซื้อของในตลาดเพราะกระทะในค่ายหายแถมถูกสั่งให้ซื้อของมาใช้ในครัวเพิ่มด้วย ข้าถูกเลือกเพราะที่บ้านทำร้านอาหารตามสั่ง ครูฝึกอยากได้ของดี ๆ เลยให้ข้าไปเลือก ส่วนแกถูกเลือกเพราะว่าเพราะว่ายืนอยู่กับข้าพอดี พวกเราซื้อของจากตลาดเสร็จแล้วโบกขอติดรถกลับไปที่เขาชนไก่ ลงจากรถแล้วก็เจอภูเขายักษ์นี่เลย แล้วถนนหายไปไหน รถล่ะ พวกเราอยู่ที่ไหนวะ สัก สัก สัก ไอ้สัก”
“หนวกหู” สักขมวดคิ้วดึงมือเพื่อนที่เกาะแขนเขาออก เขาเดินตรวจสอบดูพื้นที่รอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ที่นี่ไม่ใช่เขาชนไก่แน่นอน ไม่เพียงแต่สภาพภูมิประเทศที่แตกต่าง แม้แต่บรรยากาศก็แตกต่าง อุณหภูมิ กลิ่นของอากาศ เสียงของสัตว์น้อยใหญ่ แม้แต่สัมผัสของผิวดินก็แตกต่าง
บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ประเทศไทยเลยด้วยซ้ำ
สักดึงกระบองโลหะยึดหดได้แบบที่ตำรวจใช้ออกมาจากกระเป๋าเล็กด้านข้างกระเป๋าเป้สะพายหลัง ดึงส่วนปลายที่เป็นโลหะแข็งออกมาจนสุด ปลายกระบองโน้มลงสู่ผิวดินเล็กน้อยตามแรงโน้มถ่วง ดูผ่าน ๆ เหมือนจะเปราะบางแต่คุณลักษณะพิเศษเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้กระบอกเหล็กสร้างอาการบาดเจ็บได้มากขึ้น
“เฮ้ย แกพกกระบองติดตัวมาด้วยเหรอวะ วิดพื้นสองร้อยครั้งคราวที่แล้วยังไม่เข็ดอีกเหรอ ข้าไม่ช่วยหารแล้วนะเฮ้ย” ประดู่ดีดนิ้วใส่ปลายกระบองของสักเพียงแค่เบา ๆ แต่ก็เจ็บนิ้วจนต้องสะบัดมือไปมา เมื่อวานนี้ครูฝึกจับได้ว่าสักแอบพกกระบองติดตัวและสั่งลงโทษด้วยการวิดพื้นสองร้อยครั้งจากนั้นยึดกระบองไป เขาขอครูฝึกช่วยแบ่งการลงโทษมาครึ่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าสักไปเอากระบองเหล็กกลับคืนมาตั้งแต่เมื่อไร
“จะห่วงลงโทษอะไรอีก พวกเรายังอยู่ในประเทศไทยรึเปล่าเถอะ แกเคยเห็นวิวแบบนี้ในประเทศไทยรึเปล่า” สักพูดด้วยน้ำเสียงกระด้างอยู่บ้าง สถานการณ์ที่ไม่ทราบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนทำให้เขาไม่สบายใจแม้ตัวเองจะเป็นคนเข้มแข็งหนักแน่นก็ตาม
ประดู่หยุดโวยวายและเริ่มตั้งใจมองดูรอบข้างเลียนแบบสัก พื้นหญ้าสีเขียวเข้มที่พวกเขาเหยียบยืนอยู่เป็นเนินลาดความชันน้อย ด้านหนึ่งเป็นภูเขาสูงตั้งแทงเสียดฟ้า ผิวนอกของภูเขาที่มองเห็นเป็นหินสีเข้มมีต้นไม้ขึ้นแทรกตามร่องแตกเป็นจุด ๆ มองดูดี ๆ ยังเห็นนกบินวนไปมารอบต้นไม้บนเขาเหมือนจะบินเฝ้ารังที่อยู่สูงลิบ
ด้านตรงกันข้ามกับภูเขาเป็นทิวเขาลูกเตี้ยแต่สูงพ้นเมฆ ยอดเขาอันปกคลุมด้วยต้นไม้โผล่พ้นเมฆขึ้นมาเหมือนเกาะสีเขียวลอยอยู่กลางทะเลสีขาว ท้องฟ้าเหนือเมฆเป็นสีฟ้าเข้มจนเกือบจะเป็นน้ำเงิน
“ไอ้สัก นั่นใช่ดาวเสาร์รึเปล่าวะ” ประดู่ใช้ตะหลิวชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า สักที่กำลังตรวจสอบดูหน้าผาใกล้ ๆ เงยหน้ามองดูแล้วหยุดนิ่ง
บนท้องฟ้าตอนนี้ถ้ามองผาด ๆ จะเห็นดวงจันทร์ แต่ถ้ามองจริงจังจะเห็นวงแหวนหมุนรอบดวงจันทร์ดวงใหญ่ นั่นเป็นสิ่งที่ไม่มีบนดวงจันทร์ของโลก
“ไอ้สัก ดวงอาทิตย์ว่ะ” ประดู่สะกิดไหล่เพื่อน สักหันหน้าไปยังดวงอาทิตย์และหรี่ตาลงเพื่อกรองแสง แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็มีวงแหวนที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันไม่ใช่ดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะจักรวาลที่เขารู้จักแน่นอน
“ที่นี่ที่ไหนวะ” ประดู่เสียงแผ่วเบาสั่นเครือ
“ข้าไม่รู้” สักตอบเสียงเรียบ ดวงตาที่สบกับเพื่อนไม่มีเค้ารอยของการล้อเล่น “แต่ที่นี่ไม่ใช่โลกของเราแน่นอน อาจจะเป็นจักรวาลอื่น โลกอื่น มิติอื่น แต่ไม่ใช่โลกที่พวกเราอยู่แน่ ๆ ”
ประดู่ขาอ่อนไม่มีแรง รองเท้าหนังหนักที่เคยยกย่างก้าวได้อย่างไร้ปัญหากลายเป็นสมอเหล็กถ่วงยึดกับพื้นดิน อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะทรุดลงไปนั่งกับพื้นแล้ว
“แก … ข้า … ไม่สิ ถ้าเราหลุดไปโลกอื่นจริง ๆ แล้วเราจะทำยังไงวะ เรามาที่นี่ได้ยังไง พวกเราลงจากรถตามปกติไม่ใช่เหรอวะ แกอ่านหนังสือเยอะแกช่วยอธิบายหน่อย ข้าอยากคิดว่ามันเป็นความฝันแต่ของที่เห็นตรงหน้ามัน … มันทำให้ข้าคิดแบบนั้นไม่ได้ … หรือว่าจริง ๆ พวกเราตายแล้ววะ รถที่พวกเราโบกมามันตกเขา หรือว่าโดนรถพ่วงเหยียบ ตอนนี้พวกเราตายแล้วรึเปล่า ที่นี่เป็นนรกรึสวรรค์ แล้วพ่อ แม่ น้องสาวข้าล่ะ … สัก”
สักปล่อยให้ประดู่พูดออกมาตามใจเพื่อผ่อนคลายระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายใน อย่างน้อยประดู่ก็รับทราบอะไรได้โดยไวไม่ตกอยู่ความตะลึงงันนานจนเกินไป เขาเองในตอนแรกคิดว่าตัวเองอยู่ในฝัน แต่ความจริงนั้นไม่ใช่ สิ่งที่ประสาทสัมผัสของตนเองรับได้ทั้งหมดตะคอกใส่หน้าเขาว่านี่เป็นความจริง เขากับเพื่อนกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่โลก บางทีนี่อาจจะเป็นโลกหลังความตายอย่างที่ประดู่ว่า
ต่างจากประดู่ สักเป็นคนมองโลกตามความเป็นจริงและไม่คิดกังวลถึงสิ่งที่ไม่สามารถบังคับควบคุมได้
“ดู่ ตรงนั้นใช่ควันไฟรึเปล่า แกดูซิ” สักมองเห็นเสาควันสีขาวลอยขึ้นบนยอดเขายอดหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป เป็นเสาควันสีขาวสูงเหมือนที่เขาเคยเห็นในภาพยนตร์สารคดี เป็นรูปแบบของการส่งสัญญาณติดต่อสื่อสารกันในระยะไกล
“ดูเหมือนควันไฟนะ … พวกเราทำยังไงดีวะสัก แกช่วยข้าหน่อย ข้าจะบ้าตายแล้ว” ประดู่กำลังจะบ้าจริง ๆ เขาอยากวิ่งไปมากระโดดกลิ้งตัวเอาหัวโขกหินแต่ด้วยกลัวเจ็บเลยหยุดยั้งใจเอาไว้
“พวกเราสำรวจดูรอบ ๆ นี่ก่อน ถ้านั่นเป็นกองไฟก็มีโอกาสสูงว่าจะมีคน เราลองไปถามคนพวกนั้นดูว่าที่นี่ที่ไหน” สักชี้นิ้วไปที่ยอดเขาที่มีควันลอยสูงขึ้นมา
“แล้วถ้าไม่ใช่คนล่ะวะ ถ้าเป็น … มนุษย์ต่างดาว … สัตว์ประหลาด หรือถ้าเป็นคนแต่ไม่เป็นมิตรพวกเราจะทำยังไง” ประดู่พูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล
สักจ้องหน้าเพื่อนด้วยความรู้สึกเหมือนได้เห็นส่วนหนึ่งของเพื่อนที่เขาไม่รู้จัก เขาคิดไม่ถึงว่าประดู่จะมีจินตนาการกว้างไกลและคิดถึงความเป็นไปได้หลายอย่างที่เขานึกไม่ถึง ถ้าหากที่นี่เป็นต่างโลกก็ไม่มีเหตุผลใดที่สิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะเป็นมนุษย์ อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวรูปร่างประหลาดพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง อาจจะเป็นสัตว์กระหายเลือดที่ไล่ฆ่าพวกเขาทันทีที่เห็นตัว อาจจะเป็นทูตสวรรค์หรือปิศาจนรก
“ไม่หรอกน่า พวกเราหายใจได้เป็นปกติใช่มั้ยล่ะ แรงดึงดูดก็เหมือน ๆ กับโลกของเรา แกรู้สึกตัวหนักหรือตัวเบาเป็นพิเศษรึเปล่าล่ะ ถ้ามีสภาพอากาศมีแรงดึงดูดคล้ายกันก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตคล้าย ๆ กันแหละน่า”
ประดู่ฟังแล้วตาสว่างสดใสขึ้นมาทันที เขาทดลองกระโดดก้าวเดินโดยตั้งสมาธิไปที่น้ำหนักและแรงดึงดูด
“เออว่ะ จริงของแก งั้นพวกเรารีบไปที่ยอดเขาลูกนั้นกันเถอะ”
สักเห็นเพื่อนสบายใจมากขึ้นก็ยินดี ความจริงเขาเพียงแค่หาเหตุผลช่วยให้เพื่อนผ่อนคลาย เขาทราบดีว่าปัจจัยเพียงแค่สภาพอากาศและแรงดึงดูดไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าพวกเขาจะได้เจอสิ่งที่ดี ๆ อาจจะเจอสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ แต่ไม่มีทางทราบได้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู
เด็กหนุ่มทั้งสองคนออกเดินทางโดยมีเป้าหมายคือควันบนยอดเขาที่กะระยะไม่ถูกว่าห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่เท่าไร ทั้งสองยังโชคดีอยู่บ้างเพราะหน้าผาสูงที่ตัวเองยืนอยู่มีช่องทางลาดลัดเลาะลุล่วงลงไปถึงตีนเขา แม้จะต้องเดินกันจนเหงื่อตกแต่ก็ยังเดินทางกันได้เรื่อย ๆ โดยไม่พบหนทางที่ตัดตัน
นาฬิกาของสักบอกเวลาหกโมงเย็นแต่แสงแดดยังเจิดจ้า เข็มทิศในนาฬิกาข้อมือของเขาหมุนไปมาอย่างอิสระตามแรงเหวี่ยงของข้อมือ เหมือนกับว่าสนามแม่เหล็กขั้วโลกเหนือใต้ไม่คงอยู่อีกต่อไป ตอกย้ำหัวตะปูแห่งความจริงที่ว่าเขาไม่ได้อยู่บนโลกให้จมลึกลงไปในหัวสมองของเขา
เมื่อเดินลงจากเนินเขาทั้งสองคนก็พบกับป่าหนาทึบที่ร้อนชื้นจนตัวเหนียว ต้นไม้ใหญ่ขึ้นจนแทบติดชิดกัน เครือไม้เถาวัลย์พันเกี่ยวดังมือหนุ่มสาวเกี้ยวกันเป็นเกลียว พื้นถูกปกคลุมด้วยไม้พุ่มหนาจนมองแทบไม่เห็นผืนดินหิน
“สัก นี่ใบอะไรวะ” ประดู่หยิบใบไม้แห้งสีน้ำตาลรูปทรงข้างหลามตัดขนาดใหญ่เท่าแผ่นกระเบื้องลอนมุงหลังคาขึ้นมาจากพื้น มันทั้งหนาทั้งแข็งเหมือนเปลือกไม้แต่มีน้ำหนักเบาโหวง
ทั้งสองแหงนหน้าขึ้นไปมองต้นไม้ใหญ่เห็นใบลักษณะเดียวกันไหวไปมายามต้องลม มองหน้ากันแล้วออกเดินทางต่อ
“หวังว่าจะไม่มีตัวอะไรโผล่ออกมานะ” ประดู่พึมพำระหว่างที่เหยียบลงไปบนใบไม้แห้ง
สักไม่มีเวลาที่จะสนทนากับเพื่อนเพราะเขาต้องตั้งสมาธิไปกับการกำหนดทิศทาง เขาต้องเลือกต้นไม้เป้าหมายแล้วเดินหน้าไปเป็นช่วง ๆ อาศัยจังหวะที่เมฆโดนลมพัดเปิดช่องว่างจดจำทิศทางของภูเขาตรงหน้าเพราะเข็มทิศใช้การไม่ได้
เสียงใบไม้แห้งโดนรองเท้าพื้นแข็งเหยียบและเสียงพุ่มไม้โดนแหวกเพื่อเปิดทางดังไปทั่วทั้งป่า เด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มหายใจหนักหน่วง แม้ร่างกายจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนักจนแข็งแรงวิ่งได้หลายกิโลเมตรในเครื่องแต่งกายของนักศึกษาวิชาทหารพร้อมกับแบกกระเป๋าหนักเกือบสิบกิโลกรัมติดตัว แต่การวิ่งทางเรียบและการวิ่งลงเขาขรุขระนั้นแตกต่างกันมาก
“หยุด” สักยื่นมือออกมาขวางประดู่
“อะไร …” ประดูพูดได้เล็กน้อยก็ถูกเพื่อนใช้มือปิดปากไว้
เสียงฝีเท้าของสัตว์ใหญ่ดังขึ้นที่ด้านซ้ายมือเยื้องไปข้างหน้า รด.ทั้งสองย่อตัวลงหมอบใช้ต้นไม้บังตัวพยายามไม่ให้เกิดเสียงดัง แม้แต่ลมหายใจก็พยายามกลั้นไว้ปล่อยระบายออกอย่างเชื่องช้า จากที่เคยคลางแคลงใจในคำสอนของครูฝึกที่ว่าเสียงหายใจในป่านั้นดังก้องตอนนี้ทั้งสองเปลี่ยนเป็นเชื่อและทำตามอย่างเคร่งครัด
ไม้พุ่มที่ขึ้นหนาแน่นเป็นแถมห่างออกไปด้านหน้าประมาณยี่สิบเมตรมีความสูงท่วมหัว ใบสีเขียวหลายประเภทเอนล้ำออกมาด้านนอกเหมือนมีคนใช้มือแหวกเพื่อเปิดทางเดิน เสียงครูดอันเป็นเอกลักษณ์เหมือนคนลากของหนักไปกับพื้นอันเต็มไปด้วยใบไม้แห้งและหญ้าแห้งดังต่อเนื่อง ใบไม้แห้งที่หล่นจากไม้ใหญ่ลงมาติดค้างอยู่บนยอดพุ่มไม้ไหลร่วงตกลงสู่พื้นเมื่อพุ่มไม้ถูกแหวกดันออกมาจากตำแหน่งเดิม
ไม่เห็นกับตาว่าเจ้าของเสียงฝีเท้าหนักและเสียงลากของไปกับพื้นป่านั้นคืออะไร แต่แรงสะเทือนที่สะท้อนผ่านผิวดินขึ้นมากระทบร่างกายบอกให้ทั้งสองทราบว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตน้ำหนักมหาศาล อย่างน้อยต้องเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ระดับแรดหรือช้าง
ไม่ว่าจะเป็นแรดหรือช้างไม้สักและประดู่ก็ไม่อยากพบเจอทั้งสิ้น
ทั้งสองไม่กล้าขยับตัวแม้เสียงฝีเท้าจะหายไปด้านขวามือนานแล้ว จนกระทั่งสักลุกขึ้นยืนก่อนแล้วประดู่จึงลุกขึ้นตาม
“น่าเสียดาย ถ้าได้เห็นตัวเป็น ๆ พวกเราอาจจะรู้อะไรมากขึ้น” สักพูดพร้อมกับออกเดินหลังมองสำรวจดูซ้ายขวาโดยรอบ
“ไม่ล่ะว่ะ อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่ตอนนี้” ประดู่ส่ายหน้าก้าวเดินตามมา “สัก แกมีอาวุธอะไรอย่างอื่นให้ข้าใช้รึเปล่าวะ ถือตะหลิวแล้วใจมันแป้ว ๆ ยังไงไม่รู้”
สักหยุดเดินแล้วส่งกระบองเหล็กให้เพื่อน ประดู่เลิกคิ้วแต่ก็รับมาถือไว้
“แล้วแกล่ะ จะใช้อะไร”
สักรูดซิปกางเกงลง สอดมือเข้าไปข้างในล้วงลึกลงไปจนถึงต้นขา ดึงเอามีดยาวเกือบศอกในฝักไฟเบอร์กลาสออกมา ตัวฝักมีดมีสายรัดสำหรับรัดกับขาเอาไว้ห้อยติดมาด้วย เขารัดสายรัดกับขาตัวเอง รัดทับกางเกงโดยไม่ต้องเก็บซ่อนเหมือนก่อนหน้านี้
“ไอ้บ้า ถ้าครูฝึกรู้ว่าแกพกมีดติดตัวแบบนี้โทษไม่ใช่เบา ๆ นะโว้ย” ประดู่เสียวแทน
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราจะต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตัวเองเมื่อไหร่” เด็กหนุ่มคิ้วบางตาเรียวเยือกเย็นพูดเสียงเรียบแล้วเดินไปยังแนวพุ่มไม้สูงตรงหน้า
เมื่อเดินมาถึงพุ่มไม้สักจึงเข้าใจว่าทำไมจุดนี้มีพุ่มไม้ต่างจากป่าส่วนที่เขาเดินผ่านมาซึ่งโปร่งโล่งกว่า ตัวป่าที่เป็นไปด้วยไม้ใหญ่มีช่องว่างตัดผ่านเหมือนถูกแบ่งออกเป็นส่วน จุดที่เป็นช่องว่างระหว่างป่าเปิดทางให้แสงแดดส่องทะลุลงมาถึงพื้นได้เต็มที่ ไม้พุ่มต่าง ๆ จึงสามารถเจริญเติบโตได้ต่างจากป่าทึบใต้ต้นไม้ใหญ่ที่โดนบดบังแสงเอาไว้จนเกือบหมด มีเพียงตะไคร่และไม้เล็กที่ไม่ต้องการแสงมากจึงเติบโตได้ใต้ไม้ใหญ่เหล่านั้น
สักคุกเข่าลงสำรวจดูรอยเท้าที่ตัวอะไรก็ตามเมื่อสักครู่ทิ้งเอาไว้ ดูตามรูปแบบอุ้งเท้าแล้วคล้ายกับสัตว์ประเภทแมวหรือเสือที่สามารถพับเก็บเล็บยามไม่ได้ใช้งาน ที่สำคัญคือขนาดของมัน เขาวางเท้าสวมรองเท้าคอมแบ็ตหัวเหล็กสั่งทำพิเศษลงไปในรอยเท้าได้โดยยังมีพื้นที่เหลืออีกหนึ่งนิ้วชี้ ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม สัตว์ชนิดนี้จะต้องมีความสูงจากหลังถึงพื้นไม่น้อยกว่าสองเมตรและเป็นสัตว์กินเนื้อ
ระยะห่างระหว่างรอยเท้าบอกให้เขาทราบว่ามันมีความยาวของลำตัวมากกว่าสามเมตร
“ไอ้สัก” เสียงของประดู่อ่อนระทวย “นี่ใช่เลือดรึเปล่า”
สักลุกขึ้นตรงเข้าไปดูของเหลวสีแดงอมม่วงที่เปื้อนติดบนใบไม้ เขาใช้มือป้ายของเหลวนั้นขึ้นมาดมแล้วพยักหน้า
“กลิ่นต่างกันนิดหน่อย แต่นี่น่าจะเป็นเลือด”
ประดู่หน้าซีดจนแทบไร้สีเลือด ไม่ทราบเพราะเหตุใด สมองของเขาพลันคิดเรื่องไร้สาระขึ้นมา เขาคิดว่าตัวเองสมัครเป็นรด.เพราะไม่อยากเกณฑ์ทหาร ไม่ได้สมัครเพราะอยากเรียนวิชาทหาร ไม่ต้องการฝึกเพื่อความแข็งแกร่ง แต่ต้องทำเพราะต้องการเอาตัวรอด เขาไม่ใช่สายพันธุ์นักล่าอย่างไม้สักแต่เป็นสัตว์ที่เน้นหนีเอาตัวรอดเป็นหลักต่างหาก
“ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าสัตว์ที่ลากเหยื่อตัวนี้ผ่านพุ่มไม้ไปจะเป็นตัวอะไรก็ตาม แต่ถ้ามันเพิ่งจะได้เหยื่อมันคงไม่ออกล่าเร็ว ๆ นี้ เหมือนสิงโตในอาฟริกา เวลาพวกมันอิ่ม ๆ ต่อให้กวางเดินผ่านหน้ามันยังไม่สนใจเลย”
ประดู่เห็นว่าเพื่อนพูดมีเหตุผล เขาระบายลมหายใจแล้วเดินตามหลังเพื่อนมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่เป็นเป้าหมายต่อไป
.
เจ็ดชั่วโมง
ท้องฟ้ายังสว่างจ้า ดวงอาทิตย์เคลื่อนไปยังทิศตะวันตกเพียงค่อนครึ่ง เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลาในโลกนี้แตกต่างจากโลกมนุษย์ที่มียี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าเป็นโลกมนุษย์ เมื่อเวลาผ่านไปเจ็ดชั่วโมงดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่กลางฟ้าจะต้องเคลื่อนถึงเส้นขอบฟ้า แต่ที่เห็นตอนนี้เทียบได้กับเวลาบ่ายสามตามปกติเท่านั้น
“ขอบใจ” ประดู่ส่งขวดน้ำที่กินเหลือติดก้นขวดอึกเดียวคืนให้เพื่อน เขากำลังมีความคิดว่าจะโยนเครื่องปรุงรสต่าง ๆ ในกระเป๋าทิ้งไปดีหรือไม่เพราะน้ำหนักของมันไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
สักรับขวดน้ำขนาดครึ่งลิตรขึ้นมาดื่มจนหมดแล้วเก็บขวดใส่กระเป๋าตัวเองเผื่อว่าจะมีโอกาสได้ใช้ในภายหลัง เขาและประดู่กินน้ำอย่างประหยัดแต่การเดินทางในอากาศร้อนชื้นอย่างยากลำบากทำให้น้ำสี่ขวาดเหลือเพียงขวดเดียว ถ้าขวดสุดท้ายในกระเป๋าหมดไปทั้งสองก็ต้องหาทางเก็บน้ำจากแหล่งธรรมชาติมาใช้ดื่ม ปัญหาก็คือน้ำในโลกนี้จะดื่มได้หรือไม่
“เราจะหาน้ำจากไหนสัก” ประดู่เองก็ดูจะเข้าใจอะไรได้ดี เขาทราบว่าน้ำเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการเอาตัวรอด และตอนนี้น้ำของพวกเขาเหลือน้อยแล้ว
“ยอดเขาที่พวกเรากำลังขึ้นไปมีเมฆคลุมอยู่ ถ้าใช้ผ้าพลาสติกขึงขวางทางลมก็จะจับละอองน้ำบังคับให้ควบแน่นเป็นหยดน้ำได้” สักหยิบแท่งอาหารสำเร็จรูปชนิดพลังงานสูงออกมาจากกระเป๋าจะแบ่งให้เพื่อนแต่โดนห้ามไว้
“แกคงมีแผ่นพลาสติกพกติดตัวสินะ พาวเวอร์บาร์ของแกเก็บไว้ก่อน กินนี่ให้หมดก่อนดีกว่า” ประดู่วางกระทะลงกับพื้น หยิบถุงขนมออกมาจากกระเป๋า แบ่งแท่งข้าวพองไส้คาราเมลเคลือบช็อกโกแลตให้สักหนึ่งแท่ง สักเก็บอาหารให้พลังงานสูงของตัวเองเข้ากระเป๋าแล้วฉีกขนมกินกับเพื่อน
รสหวานของช็อกโกแลตและน้ำตาลเคี่ยวที่ได้รับเหมือนเส้นสายพลังงานที่สัมผัสได้ ทั้งสองคนรู้สึกถึงพลังงานที่แผ่กระจายออกจากกระเพาะอาหารเคลื่อนที่ไปตามกระแสเลือดในร่างกาย
แม้จะรู้สึกได้ถึงสัมผัสอันผิดปกติแต่ไม้สักและประดู่ก็คิดอย่างเดียวกัน พวกเขาคิดว่านี่เป็นปฏิกิริยาที่ร่างกายได้รับอาหารในช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยมากเป็นพิเศษเท่านั้น
“อย่างทิ้งซองไว้ เก็บไปด้วย” สักชี้ให้ประดู่เก็บซองขนมบนพื้นซึ่งประดู่ก็ทำตามแต่โดยดี
ทั้งสองนั่งพักบนก้อนหินอีกครู่หนึ่งแล้วออกเดินทางต่อด้วยพลังงานที่มีมากขึ้น มีมากขึ้นอย่างประหลาด
.
คุยกับท่านผู้อ่าน
ไม่มีอะไรพิเศษเลยครับ อ่านการ์ตูนเรื่องโทริโกะจากตอนแรกจนถึงตอนปัจจุบันแล้วอยากเขียนนิยายเกี่ยวกับอาหาร ก็เลยแต่งมันทันที แฟนตาซี ทำอาหาร ข้ามมิติ รวมมิตรมันไปเลย … ตอนนี้ขอตัวกลับไปแต่งวุ้นที่จะลงวันนี้ต่อแล้วครับ :D
ชาลี
7 กุมภาพันธ์ 2558
ความคิดเห็น