คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ตอนที่ 11 ขายของ
.
ตอนที่ 11 ขายของ
เมื่อประดู่ตื่นขึ้นมาไม้สักก็เตรียมการขนย้ายไผ่คะน้าทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ไม้ไผ่ถูกตัดแบ่งเป็นปล้อง ๆ แต่ละปล้องถูกประกบด้วยซีกไม้ไผ่ที่แตกออก มัดไว้ด้วยเถาวัลย์หัวท้ายเป็นสายสะพายและพันไว้ด้วยใบไม้ใหญ่อีกชั้นเพื่อป้องกันลมและแมลง
ในตอนที่ประดู่นอนไม้สักต้องการทดสอบว่าไผ่คะน้ามีความแข็งแรงมากเพียงใดและต้นไผ่จะนำไปใช้ประโยชน์ใดได้บ้าง เขาใช้มีดขูดทดสอบเปลือกไผ่ด้านในและพบว่าด้านในของไผ่นั้นไม่ต่างไปจากต้นไผ่ธรรมดา ยิ่งเวลาผ่านไปแม้แต่เปลือกนอกที่แข็งเหมือนเหล็กก็หมดสภาพความแข็งกลายเป็นเปลือกไผ่ธรรมดาไป
“แกตัดเองหมดเลยเหรอ” ประดู่ถาม เขาแบกเป้ขึ้นหลังเตรียมตัวออกเดินทาง
“อืม ไผ่นี่พอทิ้งไว้นาน ๆ แล้วมันอ่อนลงนะ ไม่แข็งเหมือนตอนแรก ๆ ” ไม้สักใช้มีดสับไม้ไผ่ส่วนที่เหลือจากการแคะเนื้อในออกมากินให้ประดู่ดู มีดเอาตัวรอดของไม้สักฟันเข้าไปในเนื้อไม้อย่างง่ายดาย
“แกคิดว่าเกี่ยวกับเวทมนตร์รึเปล่า ถ้าโลกนี้เป็นโลกที่มีเวทมนตร์เป็นส่วนประกอบสำคัญ บางทีที่ต้นไผ่คะน้ามันแข็งมากอาจจะเป็นเพราะเวทมนตร์ในต้นไผ่ก็ได้นะ” ประดู่เริ่มใช้จินตนาการ
“เป็นไปได้ เอ้า แกแบกสามปล้อง ข้าแบกสองปล้อง” ไม้สักส่งปล้องไม้ไผ่มัดด้วยเถาวัลย์ให้ประดู่สามปล้อง ตัวเขาเองแบกสองปล้อง
“หนักเหมือนกันนะ พอ ๆ กับปืนสองกระบอกได้มั้ง” ประดู่ชวนไม้สักคุย
“อืม ตอนแรกไม่รู้สึกแต่พอแบกแล้วหนักจริง ๆ ว่าแต่แกจะเอาไปขายที่ไหน”
ประดู่ใช้ความคิดก่อนจะตอบ
“ลองเอาไปขายในเมืองดูดีมั้ย ข้าคิดว่านี่น่าจะเป็นของดีอยู่ เอาไปขายตลาดในเมืองน่าจะได้เงินมากกว่านะ แต่จริง ๆ ก็เดาเอาล่ะนะ”
ประดู่คิดผิดถนัด ตลาดในเมืองคีราวีเป็นตลาดใหญ่แต่มีระบบจัดการพ่อค้าแม่ค้าอันเข้มงวด ถ้าไม่ใช่คนที่เช่าพื้นที่สำหรับขายของไว้จะไม่สามารถนำของมาวางขายที่ตลาดนี้ได้ ประดู่พยายามวางขายที่นอกตลาดแต่ก็โดนทหารเฝ้าเมืองไล่ออกมาจากเขตตลาดทั้งยังคาดโทษตักเตือนเขาอีกด้วย
“เห้ โลกแฟนตาซีแม่มไม่ต่างจากตลาดบางกอกเลยนี่หว่า”
นาน ๆ ประดู่จะสบถเช่นนี้ ไม้สักยิ้มเพราะไม่ได้ยินเพื่อนสบถมานาน พ่อแม่ของประดู่ถือได้ว่าเป็นคนที่เคร่งครัดเรื่องวิธีการพูดคุยของลูกชายคนเดียวมาก เขาเคยเห็นประดู่โดนแม่ตบปากด้วยตะหลิวมาแล้ว ในหลาย ๆ เรื่องประดู่จะถูกปล่อยให้ทำตามใจชอบแต่เรื่องการพูดคำหยาบเป็นสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ของประดู่ไม่ยอมเด็ดขาด
“ไปขายที่ข้างถนนดีมั้ย ถนนใหญ่หน้าเมืองน่ะ” ไม้สักช่วยหาทางออก
“รถม้าวิ่งกันเร็วขนาดนั้นมันจะขายได้เหรอวะ ใครจะจอดซื้อ ทั้งแกทั้งข้าก็เขียนหนังสือไม่ได้ แล้วจะประกาศขายยังไง”
“ข้าเขียนคำว่าไผ่ได้อยู่ เดี๋ยวเราหาแผ่นไม้กับถ่านเขียนแล้วชูป้ายเอา”
ประดู่ไม่มีความเห็นเป็นอื่น ทั้งสองเดินไปค้นถังขยะในเมืองและได้ป้ายไม้ขนาดครึ่งวามาหนึ่งแผ่น ส่วนถ่านสำหรับเขียนไม้สักมีติดตัวอยู่แล้ว ไม้สักต้องเปิดสมุดเทียบตัวหนังสือกับความหมายเพื่อเขียนคำว่า “ขาย ไผ่ กิน ได้ ราคาถูก” เขาเขียนเพียงเท่านั้นเพราะในภาษายีอาลองไม่มีคำว่าคะน้า หรืออาจจะมีแต่เขายังไม่ได้เรียน ดังนั้นจึงต้องใช้ศัพท์เท่าที่มีไปก่อน
ทั้งสองโชคดีอย่างหนึ่งคือถนนใหญ่กว้างสิบสองเมตรนี้สร้างขึ้นจากหินสกัดอย่างดี หินปูถนนมีลักษณะเป็นรูปตัวอักษรไอในภาษาอังกฤษขัดซ้อนกันอย่างสวยงาม ฝุ่นดินจากการวิ่งอย่างรวดเร็วของรถม้าจึงมีไม่มากนัก แต่แสงแดดร้อนทำให้ประดู่และไม้สักต้องสวมหมวก
รถในถนนวิ่งกันเลนขวาดังนั้นไม้สักจึงต้องชูป้ายหันไปทางซ้ายมือ จุดที่พวกเขาใช้ประกาศขายอยู่ห่างจากทางเข้าเมืองประมาณห้าร้อยเมตร เป็นความพยายามเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาจากเจ้าหน้าที่ของเมือง
ประดู่นั้นคิดในใจว่าคงไม่มีทางขายได้ เขาไม่คิดเลยว่ารถม้าคันแรกจะหยุดลงทันทีเมื่อวิ่งผ่านพวกเขาไป รถม้าคันใหญ่ยาวพอ ๆ กับรถบัสที่ใช้ม้าสิบหกตัวลากถอยหลังกลับมาหยุดตรงหน้าพวกเขาทั้งสองแล้วประตูกว้างของรถม้าก็เปิดออก
เชือกสองเส้นพุ่งออกจากประตูรถม้าม้วนพันตัวสองหนุ่มในเสี้ยววินาที แต่ไม้สักไม่ใช่ไม้สักเมื่อหลายวันก่อน เขาเตรียมพร้อมรับสถานการณ์เช่นนี้ตั้งแต่แรก ประดู่เมื่อถูกดึงเข้าไปในรถก็เสียหลักนอนลงไปกับพื้น แต่ไม้สักยืนด้วยสองขาอย่างมั่นคง เขาใช้มีดตัดเชือกคลายพันธนาการในทันที
คนที่ใช้เชือกพันรอบตัวไม้สักแสดงอาการตกตะลึง เขามองดูเชือกที่ถูกตัดขาดด้วยแววตาเหลือเชื่อ
ไม้สักฉวยโอกาสนี้พุ่งเข้าใส่ชายผู้นั้นโดยแนบมีดเอาไว้ที่ข้างเอวขวา มือซ้ายปิดซ่อนคมมีดเอาไว้และใช้ไหล่พุ่งเข้าชน ในความตั้งในของเขาคืออาศัยแรงปะทะช่วยเหลือในการส่งแรง เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากวิดีโอสารคดีเกี่ยวกับยากูซ่าในญี่ปุ่น
ในเสี้ยววินาทีที่เห็นแน่ชัดแล้วว่ามีดของไม้สักจะแทงเข้าลำตัวของชายถือเชือกม้วนใหญ่ ธงพร้อมด้ามก็สอดเข้ามากดข้อมือด้านบนของไม้สักเอาไว้
ไม้สักที่โดนหยุดเอาไว้ด้วยธงหันขวับไปยังผู้ถือธง เขาเห็นร่างชายวัยฉกรรจ์ร่างสมส่วนแววตาแหลมคมมุมปากประดับรอยยิ้ม หางคิ้วเขาแยกสองแฉกดวงตาหยีเหล็ก เสื้อของเขาเลื่อมพรายอย่างเกล็ดอสรพิษ ด้านหลังมีธงแบบเดียวกันอีกสี่ผืนชี้ยื่นออกไปสร้างเป็นภาพของงูแผ่แม่เบี้ย
ที่ต้องตกตะลึงก็คือเขาใช้มือเดียวกำปลายด้ามธงเอาไว้ ใช้เพียงแรงข้อมือหยุดการพุ่งตัวของไม้สักเอาไว้กับที่
ไม้สักไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้ เขาคลายมือซ้ายออกจากการยึดจับมือขวา สะบัดนิ้วในมือซ้ายทั้งห้าเข้าใส่ดวงตาของผู้ใช้เชือกหมายทิ่มตาเขาให้บอด แต่ยอดธงที่กดมือขวาเขาอยู่ก็ดีดตามขึ้นมาเคาะมือเขาเอาไว้จากด้านล่าง ความรู้สึกชาแล่นผ่านข้อมือขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ เขาสัมผัสได้ถึงเส้นสายความรู้สึกที่แทรกผ่านร่างกายเข้ามาเหมือนงูเลื้อยผ่านพังผืดช่องว่างระหว่างเส้นกล้ามเนื้อ
ประดู่ตอนนี้ลุกขึ้นแล้ว
“สองคนนี้ไม่มีพลังเวทมนตร์” คนที่ใช้เชือกมัดตัวประดู่ร้องขึ้น
ประดู่ไม่ทราบว่าการที่ไม่มีพลังเวทมนตร์มีความสำคัญอย่างไร เขาออกแรงกางแขนเหมือนคนตีศอกทั้งสองข้างออกจากลำตัว คลายเชือกที่ม้วนพันไม่กี่ทบออกและพุ่งเข้าใส่คนที่ยึดเชือกพันตัวเขา กระบองเหล็กถูกดึงออกมาแล้วคลี่ยืดจนยาวร่วมศอก
ชายในชุดงูเลิกคิ้วเมื่อเห็นกระบองของประดู่ เขาสะบัดข้อมือซ้ายตีมือที่ถือมีดของไม้สักให้ลดต่ำลง มือขวาดึงธงอีกผืนจากแผ่นหลัง ยื่นปลายธงเข้าขัดขาประดู่ล้มลง กระบองเหล็กที่ตั้งใจฟาดเข้าใส่หน้าของผู้ใช้เชือกกลับฟาดเข้าใส่หน้าแข้งของชายผู้นั้นแทน
ชายผู้ใช้เชือกร้องโหยหวนเกาะกุมหน้าแข้งตัวเองเอาไว้ดิ้นไปมาบนพื้นรถกว้าง เลือดสีแดงไหลซึมผ่านขากางเกงผ้าสีขาวออกมาในทันทีเพราะกระบองเหล็กที่ตีโดยแรงตีเนื้อเขาแตกจนถึงกระดูก
ประดู่พยายามลุกขึ้นแต่ด้ามธงก็ฟาดเข้าใส่ข้อพับเขาจนต้องคุกเข่าลงอีกสองครั้ง จนกระทั่งครั้งที่สามเขาจึงใช้มือซ้ายยึดจับธงเอาไว้ได้ ไม้สักเองก็ยึดธงเอาไว้ด้วยมือซ้ายเช่นกัน เขาเปลี่ยนเป้าหมายจากคนที่พยายามยึดจับตัวมาเป็นผู้ใช้ธงแทน
“ใช่แล้ว ผู้ที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ย่อมไม่ได้รับผลจากการโจมตีด้วยงูเขียวไชวิญญาณ ท่านบู้และท่านบี้ที่ใช้เชือกพันธนาการเวทย่อมไม่อาจทำอย่างไรท่านทั้งสอง ว่าแต่พวกท่านต้องการขายของไม่ใช่รึ เนื้อไผ่คะน้าสุกเหล่านั้นพวกท่านต้องการขายในราคาเท่าไร”
ชายในชุดงูพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน เป็นเสียงที่น่าฟังต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างยิ่ง
“ไอ้แสดดดดดดด จะซื้อของคนเค้าทำกันแบบนี้รึไง ตกใจหมด หอยหลอดเอ๊ย” ประดู่ลากเสียงยาวด้วยความโมโหสุดขีด
เมื่อชายผู้นั้นได้ยินภาษาไทยเขาก็เลิกคิ้วอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว ท่านทั้งสองเป็นคนต่างชาตินี่เอง ไม่แปลกเลยที่จะไม่รู้จักข้า อืม … พวกท่านเป็นทาส มีปลอกคอทาส เข้าใจคำพูดของข้า ข้าจะขอซื้อไผ่คะน้าสุกจากพวกท่าน ไม่ทราบว่าท่านจะยินดีขายให้ข้าหรือไม่” เขายังคงทำการต่อรองซื้อขายต่อ
ไม้สักปล่อยมือออกจากด้ามธงแล้วพยักหน้าให้ประดู่ปล่อยธงด้วย
“ราคาที่เหมาะสม” ไม้สักพูดอย่างกะท่อนกะแท่น พยายามออกเสียงให้เหมือนเจ้าของภาษามากที่สุดแต่เขาทราบดีกว่าความจริงยังห่างไกลมาก
ชายในชุดงูสอดธงเข้ากับช่องเสียบธงด้านหลังแล้วยิ้มให้
“ไผ่คะน้าสุกห้าปล้อง ข้าให้ราคาพวกท่านปล้องละหนึ่งหมื่นบาทเป็นอย่างไร ไผ่คะน้าสุกของพวกท่านไม่ใช่ไผ่สด ผ่านการปอกและสัมผัสกับพลังเวทมนตร์ในอากาศมาแล้ว ความบริสุทธิ์ต่ำ นี่เป็นราคาดีที่สุดที่ท่านจะได้จากการขาย ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งมีมูลค่าลดลง”
การเรียกหน่วยเงินเป็นบาทสร้างความรู้สึกขัด ๆ ให้กับเด็กหนุ่มทั้งสอง แต่มูลค่าเงินในเมืองคีราวีกับเงินบาทเองก็ไม่ต่างกันมากนักทั้งสองจึงยังพอปรับความรู้สึกได้
“ตกลง” ไม้สักตัดสินใจแทนประดู่ ตอนนี้เขาต้องการออกไปจากรถม้าคันยักษ์คันนี้ให้เร็วที่สุด ประดู่ก้มลงเก็บไผ่ทั้งห้าปลอกแล้วส่งให้คนที่ใช้เชือกยึดตัวไม้สัก ชายผู้นั้นแกะเถาวัลย์มัดเปลือกไผ่ออกแล้วสูดดมกลิ่นจากนั้นพยักหน้าให้ชายในชุดงู
ชายในชุดงูยิ้มกว้างอีกครั้งแล้วสอดมือเข้าไปในสายรัดเอวปักลายงู หยิบเอาไข่มุกห้าลูกส่งให้ไม้สักแล้วผายมือให้ลูกน้องเปิดประตูรถม้า รด.ทั้งสองรีบกระโดดลงจากรถแล้ววิ่งจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
“ท่าน งูเงิน ทำไมท่านจึงปล่อยทั้งสองคนนั้นจากไป” บู้ ซึ่งโดนตัดเชือกขาดถามเจ้านาย
“ข้าก็อยากจับพวกมันทั้งสองไว้ แต่กำลังของพวกมันไม่ธรรมดา พลังเวทมนตร์งูเขียวไชวิญญาณของข้าไม่ส่งผลใด ๆ ต่อร่างกายของมัน กำลังกายของพวกมันแทบจะเทียบเท่ากับข้าที่ใช้พลังเวทมนตร์เข้าช่วย เจ้าคิดว่าข้าออมมือหรือ พวกมันยึดจับธงงูของข้าเอาไว้จนไม่อาจดึงกลับมาได้ต่างหาก เวทมนตร์ใช้ไม่ได้ พลังก็ไม่เหนือกว่า อาวุธของมันก็พิสดาร เจ้าเคยเห็นอาวุธไร้พลังเวทมนตร์ที่สามารถตัดเชือกดูดพลังเวทของเจ้าหรือ”
บู้มองดูปลายเชือกซึ่งเป็นอาวุธคู่กายของตัวเองแล้วส่ายหน้า
“ข้าไม่เคยเห็นอาวุธไร้พลังเวทมนตร์ที่ทำเช่นนี้ได้มาก่อน”
“ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ปลอกคอทาสของพวกมันยังเป็นที่กังขา ข้าไม่เคยเห็นปลอกคอลักษณะนี้มาก่อน … ข้าเคยเห็นตราบนปลอกคอของพวกมันจากที่ไหนสักแห่งแต่ข้าจำไม่ได้ ถ้าล่วงเกินทาสของผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้าเกรงกว่าสมาคมงูเล็กของพวกเราจะต้องเจอปัญหาที่คาดไม่ถึง … น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีเวลา ไม่ใช่นั้นคงได้หยุดพักที่เมืองคีราวีเพื่อสืบหาว่าคนทั้งสองนี้ใช้วิธีการใดเก็บเกี่ยวไผ่คะน้าสุกมา”
งูเงินระบายลมหายใจออกเบา ๆ แล้วเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้บุนวม สั่งการให้รถม้าออกเดินทางต่อ
.
“ไอ้สัก หัวใจข้าจะวายตาย อะไรของพวกมันวะ” ประดู่พูดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองวิ่งต่อเนื่องหลายกิโลเมตรจนมาถึงที่พักริมน้ำของตัวเอง พวกเขาเพียงหอบเล็กน้อยแม้จะวิ่งมาจนสุดแรง
“บางทีต้นไผ่คะน้าสุกอาจจะเป็นของหายากมากก็ได้ ที่พวกเราทำก็คงเหมือนเอาทองไปเร่ขายข้างถนน จะโดนคนปล้นก็คงไม่แปลก ยังดีที่คนนี้จ่ายเงินให้พวกเราแทนที่จะปล้นเอาดื้อ ๆ ” ไม้สักบีบนวดมือที่รู้สึกปวดเมื่อยไปจนถึงหัวไหล่ เขาค้นกระเป๋าหยิบเอาขี้ผึ้งสมุนไพรขึ้นมานวดแขนตัวเอง
“ขอข้าด้วย” ประดู่ขอแบ่งขี้ผึ้งจากไม้สักมานวดข้อพับเข่าตัวเองที่รู้สึกติดขัดปวดเมื่อยไม่แพ้กัน “แกรู้สึกเหมือนข้ารึเปล่าวะ ตอนโดนด้ามธงกระแทกข้อพับอย่างกับโดนปลาไหลเลื้อยเข้าไปในขาเลย”
“อืม ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” ไม้สักพยักหน้า
“เวรจริง ๆ ต่อจากนี้พวกเราต้องระวังตัวให้มาก จะทำอย่างวันนี้ไม่ได้ ข้ามัวแต่คิดว่าตัวเองจะได้เงินมาก ๆ เลยลืมนึกถึงเรื่องแบบนี้ไปเลย … ขี้ผึ้งแกร้อนจังวะไอ้สัก” ประดู่รู้สึกเหมือนหัวเข่าของตัวเองกำลังโดนไฟเผาจากข้างใน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของใดที่นำมาจากโลกเดิมก็ให้ความรู้สึกแตกต่างไปเสียหมด
“ข้าคิดว่าในโลกนี้ระบบราชการต่าง ๆ คงจะมีความเข้มงวดจริงจังน้อยกว่าโลกของเรา อย่างการดึงตัวคนขึ้นรถแบบนี้ไม่ต่างจากตีหัวคนแล้วลากขึ้นรถตู้เลย ถ้ามีคนกล้าทำเรื่องแบบนี้กลางวันแสก ๆ ข้างถนนที่คนพลุกพล่าน แถมยังอยู่ใกล้ตัวเมือง โลกนี้จะต้องโหดร้ายกว่าโลกของเรามาก ๆ ” ไม้สักคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“แกไม่ต้องบอกข้าก็รู้แล้วไอ้สัก แค่มีทาสมีฆ่ากันแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากโลกในหนังจีนกำลังภายในหรือในโลกแฟนตาซีแบบดาร์ค ๆ แล้ว ข้าไปทำงานขนผักที่ตลาดเห็นทาสหลายคน ที่อยู่ดีมีสุขอย่างทาสที่ไปทำงานกับล่อซิกน่ะแทบจะไม่เห็นเลย ที่เห็นแต่ละคนนี่คือกัดฟันทนกันทั้งนั้น บอกตรง ๆ นะ เวลาข้าเห็นพวกนายทาสคุยกันสนุกสนานใช้ชีวิตกันระรี้ระริกนี่ข้าโคตรขยะแขยงเลย คือมันตัดกันน่ะแกเข้าใจมั้ย นายทาสตัวขาว ๆ ผิวเนียน ๆ มีทาสยืนกุมเป้าก้มหน้ารอรับคำสั่งอยู่ข้างหลัง บางคนมีตรวนติดขามาด้วย ความคิดของคนในโลกนี้มันบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว คนทำกับคนด้วยกันแบบนั้นได้ยังไงวะ”
ไม้สักมองหน้าประดู่แล้วยิ้มให้เพื่อนอย่างอ่อนโยน
“ดู่ ในโลกนี้คนที่มีความคิดบิดเบี้ยวคือพวกเราต่างหาก”
ประดู่ขยับปากจะเถียงแต่สมองของเขาทำความเข้าใจกับความหมายในคำพูดของไม้สักเสียก่อน ใช่แล้ว ในโลกนี้พวกเขาคือสิ่งแปลกปลอม เป็นสิ่งผิดธรรมชาติ ผิดครรลองวัฒธรรมของโลกนี้
แต่ความคิดของคนในโลกนี้มันจะสำคัญไปกว่าความคิดของเขาที่ฉายทอดความจริงของโลกออกมาได้อย่างไร ประดู่ได้แต่คิดแล้วถอนหายใจ
ทั้งสองนั่งพักจนกระทั่งอาการปวดเมื่อยผ่อนคลายลง จากนั้นจัดวางแผนการปฏิบัติใหม่แล้วตัดสินใจว่าจะสร้างที่พักที่ริมลำธารแห่งนี้ให้เป็นเรื่องเป็นราวแทนที่จะนอนใต้ต้นไม้เหมือนหลายวันที่ผ่านมา
หลังทำการลบรอยเท้าในการเดินทางไปยังป่าไผ่คะน้าเรียบร้อย ป่าไผ่ก็ถูกจัดเป็นพื้นที่ต้องห้ามเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา ต้นไม้ขนาดเล็กประมาณต้นขาถูกตัดมาทำเป็นเสาบ้าน ไม้สักใช้มีดและเลื่อยสกัดไม้เป็นช่องเบ้าเพื่อวางคานรองพื้นและคานรับเพดาน เขาสร้างบ้านขนาดเล็กขึ้นมาโดยใช้ลิ่มและเดือยเพียงอย่างเดียวโดยไม่พึ่งพาเชือกหรือตะปู นี่เป็นความมารถหนึ่งที่เขาศึกษามาเพื่อเอาตัวรอดในสถานการณ์อันเลวร้าย
ประดู่รู้สึกว่าไม้สักสนุกกับงานที่ตัวเองทำเป็นอย่างมาก เขาเองก็ช่วยเหลือโดยการออกแรงขนไม้ขนาดพอเหมาะมายังจุดสร้างบ้าน ช่วยจับยึดไม้ในจุดที่ต้องสอดไม้เข้าร่องเดือย สิ่งหนึ่งที่เขาและไม้สักรู้แต่ไม่มีใครพูดออกมาก็คือกำลังกายที่เพิ่มมากขึ้นผิดปกติ ประดู่มั่นใจว่าเขาไม่สามารถแบกซุงทั้งท่อนโดยที่ไม่รู้สึกเหนื่อยหอบ อย่าว่าแต่การทำงานยี่สิบชั่วโมงติดต่อกันโดยพักดื่มน้ำเพียงสองครั้ง เหงื่อของเขาก็เพียงแค่ซึม ๆ ออกมาเท่านั้น
เมื่อวางรากฐานบ้านใต้ถุนสูงหลังเล็กรวมไปถึงโครงและคานหลังคาเรียบร้อย ต่อมาก็คือการปูพื้นบ้านซึ่งต้องทำการเลื่อยไม้ให้เป็นแผ่น ด้วยความช่วยเหลือของเลื่อยเกล็ดเพชรการเลื่อยแผ่นไม้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อใช้มีดขัดส่วนที่ขรุขระออกก็ได้ไม้แผ่นพร้อมใช้
บ้านหลังเล็กทั้งหลังปลูกเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมงไม่รวมเวลานอน บ้านใต้ถุนสูงมีบันไดสวยงาม มีหน้าต่างสองบานแยกห้องสองห้อง พื้นและผนังเป็นไม้แผ่น หลังคาเป็นใบไม้มุงหลายชั้น
จังหวะเวลาชีวิตของประดู่และไม้สักเริ่มเปลี่ยนไป พวกเขาสามารถลืมตาตื่นได้ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดึกเป็นเวลาเกือบสี่สิบชั่วโมงได้โดยที่ไม่มีปัญหา นอนพักผ่อนเพียงแปดชั่วโมงก็พักผ่อนร่างกายคลายเหนื่อยจนหมดสิ้น
แม้จะมีเงินครึ่งแสนแต่ประดู่ที่มีความรอบคอบมากกว่าเดิมก็เก็บซ่อนไข่มุกเอาไว้ไม่นำออกมาใช้ เขาใช้เพียงแต่เงินที่ได้มาจากการขนผักในตลาดขายเท่านั้น
จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน อาการขาดสารอาหารของทั้งสองเริ่มทวีความรุนแรง พวกเขามีอาการตาเหลืองอย่างเห็นได้ชัด เลือดไหลออกจากไรฟัน มีอาการเหน็บชาตามข้อต่อ ผิวหนังแห้งเป็นเกล็ด ร่างกายปวดเมื่อย
“ไอ้สัก แกหาข้อมูลเรื่องอาหารของคนที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ไปถึงไหนแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราจะตายเอาจริง ๆ นะ” ประดู่ถามเพื่อน ทั้งสองนั่งคุยกันในตอนเช้ามืดสี่ชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
“ข้าอ่านหนังสือได้มากขึ้น หนังสือในโรงเรียนอนุบาลนั่นเป็นหนังสือสำหรับเด็กเกือบหมด แต่ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารพวกนี้เหมือนกัน ปัญหาก็คือหนังสือที่มีรายละเอียดมากกว่านี้มันอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียนในเมือง เมืองคีราวีนี่มีแต่เศรษฐีมีสกุลเท่านั้นถึงจะได้เรียนหนังสือในโรงเรียน พวกเราไม่มีทางเข้าไปในห้องสมุดของโรงเรียนในเมืองได้เลยถ้าไม่ใช่นักเรียน มันเป็นการปิดกั้นความรู้ไม่ให้พวกทาสหรือชนชั้นต่ำได้เรียนรู้ ทำให้คนโง่เข้าไว้จะได้ไม่กล้าหือกับพวกคนชั้นสูง” ไม้สักเล่าความก้าวหน้าของตนเองให้ประดู่ฟัง
“ข้าเองก็พูดได้มากขึ้น เริ่มถามนั่นถามนี้ได้แล้ว คำศัพท์ง่าย ๆ ประโยคง่าย ๆ นี่ข้าได้เกือบหมด ให้ตายเถอะ ทำไมตอนเรียนภาษาอังกฤษข้าไม่พยายามแบบนี้บ้างวะ ภาษาอังกฤษแม่มง่ายกว่าภาษายีอาลองตั้งเยอะ”
“แล้วแกได้ข้อมูลอะไรบ้าง” ไม้สักดึงประดู่เข้าเรื่อง
“ข้าได้ข่าวเกี่ยวกับนักล่าอาหารที่ต้องเดินทางไปในดินแดนที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ชื่อ โนเอเนอ มีเรื่องเล่าว่าในดินแดนโนเอเนอมีคนอาศัยอยู่ คนที่นั่นไม่ต้องการพลังเวทมนตร์ ข้าคิดว่าอาหารของคนพวกนั้นอาจจะมีสารอาหารให้พวกเรา ปัญหาก็คือ คนที่จะเข้าไปในดินแดนนั้นจะต้องเป็นนักล่าอาหาร คนธรรมดาจะเข้าไปไม่ได้”
ประดู่รินน้ำมะนาวที่เหลือเพียงหนึ่งในสี่ขวดลงกระทงใบไม้สองใบ เหยาะเกลือน้ำตาลลงไปหนึ่งหยิบมือ ผสมน้ำต้มสุกจนเกือบเต็มคนให้ละลายแบ่งให้ไม้สักหนึ่งกระทง
“หมดจอก” เขาชูกระทงน้ำมะนาว ถ้าไม่ได้น้ำมะนาวขวดนี้ทยอยแบ่งละลายน้ำดื่มพวกเขาคงตกอยู่ในสภาพเดียวกับลูกเรือทะเลสมัยก่อนที่ตายเพราะขาดวิตามินซี
“หมดจอก” ไม้สักยกจอกชนกับจอกของประดู่แล้วดื่มน้ำมะนาวเปรี้ยวเฝื่อนรวดเดียวหมด
ทั้งสองหันไปทางตะวันออกซึ่งเป็นทิศของลำธารพร้อมกันเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าที่เหยียบลงบนกิ่งไม้แห้ง กิ่งไม้แห้งเล็ก ๆ จำนวนมากที่ไม้สักโปรยลงพื้นแล้วปูทับด้วยใบไม้แห้งใบเล็ก ๆ
โชคดีที่ประดู่และไม้สักคุยกันในความมืด คนที่ปรากฏตัวขึ้นมาไม่ทราบว่าพวกเขาตื่นแล้ว ไม้สักชักมีดออกมาและยืนขนาบด้านหนึ่งของประตูบ้านหลังน้อย ประดู่เองก็คืนสภาพกระบองเหล็กอย่างแผ่วเบายืนที่อีกด้านหนึ่งของประตู
ประตูไม้ถูกปลดกลอนจากด้านในด้วยมือของไม้สักเพื่อล่อให้ใครก็ตามเข้ามาในห้องด้วยความกระหยิ่มใจ และบานประตูก็เปิดออกไปด้านนอกช้า ๆ
ไม้สักนั้นเยือกเย็น ประดู่ไม่เยือกเย็นเท่าแต่หัวใจก็ไม่เต้นแรงดังที่เคย ในโลกอันโหดร้ายนี้ ถ้าไม่ปรับตัวก็ไม่อาจมีชีวิตรอดอยู่ได้
.
โปรดติดตามตอนต่อไป
.
คุยกับท่านผู้อ่าน
จะขาดสารอาหารตายจริง ๆ ซะล่ะมั้งสองคนนี้
ชาลี
15 มีนาคม 2558
.
ความคิดเห็น