คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 10 เมนูใหม่
.
ตอนที่ 10 เมนูใหม่
ประดู่ผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเหงื่อโซมกาย เขาหอบหายใจในความมืดที่มีเพียงแสงไฟจากกองถ่านอ่อนแรง
“ฝันร้ายรึไง” ไม้สักถาม เขานั่งอยู่ข้างกองถ่านใช้ไม้เขี่ยถ่านและเติมฟืนเพื่อเลี้ยงดูบุตรพระเพลิง เสียงใบไม้แห้งเผาไหม้และเสียงกิ่งไม้แตกแยกยามโดนไฟดังแว่วไปไกลในป่าอันเงียบกริบ
“อืม” ประดู่ตอบแล้วขยับตัวเข้ามาผิงไฟ เขาเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนห่มผ้ากันความเย็นให้เขาในตอนที่เขาหลับไปแล้ว
“ฝันว่ายังไงล่ะ” ไม้สักถามต่อ เขาโยนหัวมันที่เหลือเข้าไปในกองถ่านที่เกลี่ยลดความร้อนแรงลง
“ฝันว่าโดนฆ่าตัดคอที่ริมน้ำ คนที่ข้าใช้กระบองฟาดหัวไปนั่นแหละ” ประดู่วางกระบองเหล็กลงที่ข้างลำตัวเหมือนจะพยายามขับไล่กลิ่นคาวเลือดออกไปให้พ้นร่างกายสักชั่วเวลาหนึ่ง
“ตอนเย็นก็เห็นหลับสบายดีนี่” ไม้สักเกลี่ยถ่านและขี้เถ้ากลบมันหัวใหญ่ที่น่าจะสุกช้ากว่าหัวอื่น
“หลับสบายดี แต่คงนอนนานไปหน่อยเลยฝันเพ้อเจ้อตอนใกล้ตื่น … คนสมัยก่อนที่ต้องออกไปรบเค้าอยู่กันยังไงวะ ข้าว่ามันต้องมีคนที่ไม่อยากสู้ไม่อยากฆ่าคนอยู่ด้วยแน่ ๆ ” ประดู่ที่ไม่ได้ฆ่าใครโดยตรงยังได้รับผลกระทบต่อสภาพจิตขนาดนี้ เขาจินตนาการถึงคนแบบเขาแต่ต้องถูกสถานการณ์บังคับให้เป็นฆาตกร จิตใจของพวกเขาจะทนทานรับได้อย่างไร
“มนุษย์เรามีความสามารถปรับตัวมากกว่าสิ่งมีชีวิตชนิดไหน ๆ ที่สำคัญยังรู้จักใช้เครื่องมือ” ไม้สักดึงกระเป๋าที่อยู่ข้างตัวออกมา เปิดแล้วค้นหาของในกระเป๋า หยิบเอาหลอดพลาสติกตัดสั้นเท่าหนึ่งหนึ่งก้อยซึ่งผนึกหัวท้ายเอาไว้ส่งให้ประดู่
ประดู่รับหลอดพลาสติกมาส่องกับไฟเห็นภายในมีของเหลวสีอำพันบรรจุอยู่จนเต็ม
“อะไรวะ”
“วิสกี้ดองสมุนไพร”
“วิสกี้! เหล้าอ่ะนะ เหล้าดองยาด้วย เอามาดองยาแบบนี้คอเหล้าร้องไห้แน่ ว่าแต่แกพกเหล้าติดกระเป๋าด้วยเรอะ ถ้าโดนครูฝึกจับได้นี่งานเข้าเลยนะเว้ย” ประดู่อุทาน เขาคิดอยู่ว่าไม้สักเป็นคนไม่สนใจสังคมแต่ไม่คิดว่าจะกล้าฝ่าฝืนกฎระเบียบไปถึงขั้นนี้
“การเอาตัวรอดในสภาพเลวร้ายไม่ใช่เฉพาะร่างกายที่สำคัญ จิตใจเองก็ต้องได้รับการดูแล เหล้าแรง ๆ แบบนี้จะช่วยให้แกผ่อนคลายได้ แกเป็นคนไม่กินเหล้า แค่หลอดเดียวก็คงพอแล้ว กินให้หมดหลอดนั่น” ไม้สักพูดโดยที่ไม่มองหน้าเพื่อน
“ถ้าจะผ่อนคลายจริง ๆ ข้าอยากได้หนังสือดี ๆ มากกว่านะ … นี่มันเป๊กนึงได้มั้ง … แย่ เอาไปหมักไก่ทำไก่อบน่าจะดีกว่าเอามากินคลายเครียดนะ เสียดายว่ะ” ประดู่บ่นแต่ก็ใช้มีดทำครัวของตัวเองตัดปลายหลอดออกแล้วกรอกน้ำสีอำพันที่พ่นไอดีกรีออกมาลงคอรวดเดียว
เหมือนกลืนเหล็กหลอมเหลว เด็กหนุ่มที่ดื่มอย่างมากที่สุดก็คือเบียร์แก้วเดียวอ้าปากพ่นลมออกจากคอ พยายามระบายความร้อนของแอลกอฮอล์ร้อนแรงออกมา เขาไอโขลกรับน้ำสะอาดจากเพื่อนมาดื่มจนเกือบหมดขวด
“ไม่เห็นจะอร่อยเลย คนที่ชอบกินเหล้านี่มันยังไงกันวะ” ประดู่บ่น ๆ ๆ
ไม้สักยินดีที่ประดู่ตื่นขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อน เขาตื่นขึ้นมาก่อนประมาณหนึ่งชั่วโมงได้แล้ว ในป่าแห่งนี้ช่างเงียบเหลือเกิน ความเงียบที่เขาเคยได้รับจากการนอนในกระโจมริมแม่น้ำเทียบไม่ได้เลยกับความเงียบในป่าแห่งนี้ มันทำให้เขารู้ตัวว่าในประเทศไทยที่เขาจากมาแม้จะเป็นเวลาดึกก็ยังมีเสียงรถยนต์ เสียงเครื่องบิน เสียงรถมอเตอร์ไซค์ เสียงหมาเห่า แต่ที่นี่มีแต่ความเงียบ มีเพียงเสียงนกกลางคืน เสียงแมลงและเสียงสัตว์ซึ่งไม่คุ้นเคยที่ดังเป็นครั้งคราว
เป็นความเงียบสงัดจนเสียงแห่งความคิดดังก้องกลบถมทับทุกสิ่งทุกอย่าง
“ไอ้หลอดนี่แกทำยังไงวะ” ประดู่พลิกดูหลอดใส่วิสกี้แล้วถาม
“หาซื้อหลอดพลาสติกที่ใหญ่หน่อย เลือกแบบใสจะได้เห็นว่าข้างในมีอะไร ตัดตามที่ต้องการแล้วพับปิดด้านหนึ่งก่อน ถ้าไม่ใช้ไฟลนปิดเลยก็ตัดหลอดแบบเดียวกันเป็นเข็มขัดรัดปลายพับเอาไว้ ใช้เข็มฉีดยาดูดเหล้าฉีดเข้าไปในหลอด พับปิดฝาทับอีกด้านแล้วสอดเข็มขัดรัดเอาไว้หรือลนไฟปิดทับอีกชั้นให้เรียบร้อย”
“ลนไฟไว้แบบนี้มันไม่แตกเหรอ” ประดู่มองดูร่องรอยของหลอดพลาสติกที่โดนความร้อนจนละลายปิดสนิท
“ไม่แตกหรอก พลาสติกที่ใช้ทำหลอดนี่มีความเหนียวมากกว่าแก้วพลาสติกใส่น้ำ แก้วแบบนั้นจะกรอบแต่หลอดดูดน้ำจะเหนียวมาก ลนไฟแล้วใช้มือจุ่มน้ำบีบ ๆ ปิดไว้ก็ใช้เก็บของได้หลายอย่าง”
ประดู่ได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าหลอดดูดน้ำธรรมดาจะนำมาประยุกต์ใช้ในลักษณะนี้ได้ เขาพูดคุยกับไม้สักอีกครู่หนึ่งแล้วจึงรู้สึกได้ถึงฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ เกิดเป็นความคึกคะนองทำให้พูดเสียงดังก่อนแล้วตามมาด้วยความเหงาหงอย
ไม้สักฟังเพื่อนระบายความเป็นห่วงคนที่บ้านจนกระทั่งประดู่กลับไปนอนที่เดิมอีกครั้ง เขามองดูเพื่อนที่นอนหลับไป ในใจคิดว่าถ้ามีเหตุให้ต้องมีการทำร้ายหรือฆ่าใครอีก เขาจะเป็นคนจัดการแทนประดู่เอง มันเป็นหน้าที่ของเขาที่เตรียมตัวมาเพียบพร้อมกว่าที่จะต้องรับหน้าที่นี้
เขาคิดว่าการฆ่าคนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย สิ่งที่รับได้ยากก็คือแววตาสีหน้ายามได้มองเห็นความตายของคนเหล่านั้น ก่อนที่จะดำเนินมาถึงจุดที่ถูกฆ่าตายคนเหล่านี้ใช่เคยคิดหรือไม่ว่าตนเองจะมาถึงจุดจบ นักเลงที่โดนฟันตายในร้านสะดวกซื้อร้านนั้นเคยคิดหรือไม่ว่าจะต้องตาย ไม่กี่นาทีก่อนเขายังสนุกนานยังกินอาหารดื่มสุราสังสรรค์กับมิตรสหาย ไม่กี่นาทีต่อมากลับต้องตายกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ ถ้าเขาทราบว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเขาจะเลือกทำสิ่งที่แตกต่างไปหรือไม่ จะหลีกหนีไม่เผชิญหน้าหรือจะเตรียมตัวรอรับฆาตกรในอนาคต จะเลือกเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตหรือจะเดินหนทางเดิมต่อไป
นี่จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตา เป็นดังสายน้ำที่ไหลไปอย่างต่อเนื่องไม่มีย้อนกลับ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตก็ไม่ต่างจากหินกรวดพ่ายแรงน้ำพัดผ่านพลิก ทำได้เพียงยอมรับความจริงและตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้
ไม้สักจมอยู่ในความคิดมากมายจนกระทั่งรุ่งเช้า ประดู่บ่นว่าปวดหัวทันทีที่ตื่นขึ้นแล้วจึงไปอาบน้ำที่ลำธารโดยมีไม้สักคอยดูแลความปลอดภัยให้ เมื่อประดู่อาบน้ำเสร็จแล้วไม้สักจึงอาบบ้าง เขามองดูบาดแผลที่คืนสภาพจนไม่เหลือร่องรอยใด ๆ แล้วคิดถึงหมู่บ้านของรีดินว่าป่านนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง การไล่ล่าล้างแค้นของนายทาสเหล่านั้นจะเป็นอย่างไร ถ้าเขายังอยู่ที่นี่อีกนาน ๆ จะได้พบกับคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่
“กินมันที่เหลือจากเมื่อคืนก็แล้วกันนะ” ประดู่บอกเพื่อน เขาเองหยิบมันขึ้นมากินรอก่อนแล้ว
เมื่อจัดการอาหารมื้อเช้าเสร็จสิ้นสองหนุ่มก็ออกเดินทางกลับไปยังเมืองคีราวีอีกครั้ง พวกเขาแบกกระเป๋าไปด้วยเนื่องจากเกรงว่าจะมีคนมาพบเจอแล้วหยิบฉวยไป ชาวบ้านที่นอกเมืองยังคงมองทั้งสองด้วยสายตาแปลกประหลาด ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดกับพวกเขาเช่นเมื่อวานนี้
“สี ขาว สี แดง สี น้ำเงิน สี เขียว”
เสียงของเด็กเล็กที่ประสานกันเรียกความสนใจของสองหนุ่มได้ในทันที มันรูปแบบการสอนภาษาให้เด็กที่ได้ยินบ่อยในสถานศึกษาสำหรับเด็กอย่างเช่นโรงเรียนอนุบาล
ไม้สักและประดู่วิ่งไปตามเสียงจนกระทั่งได้พบกับสิ่งที่ตามหา โรงเรียนสำหรับเด็กเล็ก โรงเรียนแห่งนี้ให้บรรยากาศของโรงเรียนในชนบทสมัยเมื่อสิบถึงสิบห้าปีที่แล้ว ตัวอาคารเรียนมีเพียงหลังคาและแผ่นไม้กระดานขนาดใหญ่หน้าห้อง โต๊ะของครูผู้ส่อน โต๊ะของนักเรียนจัดเรียงกันเป็นระเบียบ ผนังอาคารเรียนเปิดโล่งแต่มีรั้วไม้ล้อมรอบกั้นพื้นที่โรงเรียนออกจากถนนดินด้านหน้าโรงเรียน
ทั้งสองคนยืนค้ำรั้วไม้ที่สูงกว่าเอวเล็กน้อยตั้งใจฟังครูที่ใช้ไม้ยาวชี้แผ่นไม้ทาสีต่าง ๆ ประกอบตัวหนังสือบนกระดาน อ่านและเปรียบเทียบความหมายให้นักเรียนฟัง
“ข้าคิดว่ามาอยู่กันแบบนี้มันเสียเวลามากไปหน่อย เอาแบบนี้ดีมั้ย ข้าจะไปที่ตลาด ไปฟังคนคุยกันให้มาก ๆ พยายามเรียนจากการฟังการพูด ส่วนแกเรียนเรื่องการเขียนที่นี่ เสร็จแล้วเรามาสรุปบทเรียนกันตอนเย็น ๆ แบบนี้ดีมั้ย”
ประดู่เสนอแนวคิดของตัวเอง
ไม้สักไม่แน่ใจว่าเพื่อนกำลังหาเรื่องหนีเรียนหรือไม่ แต่คิดถึงความเป็นห่วงที่เพื่อนมีให้ครอบครัวเขาน่าจะมีความพยายามในการเรียนภาษาของคนที่นี่ ยิ่งได้ภาษาเร็วเท่าไรก็จะยิ่งกลับบ้านได้เร็วเท่านั้น
“ก็ดีเหมือนกัน ปลอกคอนี่ทำให้เราเข้าใจความหมายในภาษาของคนที่นี่อยู่แล้ว แกไปศึกษาจากการฟังก็น่าจะเหมาะกว่า” ไม้สักพยักหน้าเห็นด้วยแล้วหยิบเอากระดาษและปากกาออกมาจากกระเป๋า ทำการจดตัวหนังสือบนกระดานพร้อมคำแปลภาษาไทยอย่างละเอียด นอกจากนั้นยังเขียนคำอ่านออกเสียงระบุไว้เปรียบเทียบด้วย
.
ในช่วงแรกทั้งสองต้องทนรับสายตาที่พุ่งใส่ตั้งแต่เช้าจนเย็น แต่เมื่อปักหลักอยู่ในหมู่บ้านนอกเมืองนานเข้าผู้คนก็เริ่มคุ้นเคย จนกระทั่งสิบวันผ่านไปประดู่ก็ได้งานคนลากรถขนผักในตลาด แม้เขาจะพูดภาษาของคนในโลกนี้ไม่ได้แต่เขาฟังเข้าใจ ดังนั้นเมื่อมีคนมาเสนองานขนผักแลกค่าแรงราคาถูกเขาจึงตกลงรับในทันที พ่อค้าแม่ค้ายินดีที่จะจ่ายค่าแรงราคาถูกให้กับทาสต่างเมืองเช่นนี้อยู่แล้วพวกเขาจึงไม่ถามประดู่ว่ามาจากที่ใด
ไม้สักเองได้รับการเชิญจากครูในโรงเรียนให้เข้าไปเรียนร่วมกับเด็กน้อย ครูที่เข้ามาสอดแนมเขาเห็นเขาพยายามเรียนรู้ภาษาจึงช่วยเหลือสนับสนุนเขาเพราะโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนสำหรับผู้ด้อยโอกาสโดยเฉพาะ ภาพของชายหนุ่มที่ไปนั่งรวมกับเด็กอายุสิบขวบเพื่อเรียนหนังสือระดับพื้นฐานนั้นแปลกตาไม่ใช่น้อย
“วันนี้ทำไมกลับมาเร็ว” ไม้สักถามเพื่อน ปกติเวลานี้ประดู่จะไปทำงานที่ตลาดแล้ว ส่วนเขาต้องรอเวลาอีกเล็กน้อยเนื่องจากโรงเรียนยังไม่เปิด
“ข้าเบื่อกุ้งกับมันแล้วเลยอยากกินอะไรอย่างอื่นบ้าง วันนี้ข้าไม่ได้ทำงานแต่ซื้อเนื้อกุนมาครึ่งโล อยากเอามาผัดกับไผ่คะน้ากิน” ประดู่ยกเนื้อสัตว์สีชมพูที่มัดไว้ด้วยใบไม้ใหญ่สีเขียวอ่อนขึ้นมาให้ไม้สักดู
“แกซื้อมาเหรอ เนื้อกุนคือเนื้อหมูใช่มั้ย แล้วไผ่คะน้านี่อะไร”
“เออ ลากรถเข็นขนของให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดอยู่สามวันเต็ม ๆ ระหว่างนั้นก็คอยฟังว่าคนที่นี่พูดกันยังไง ภาษาอะไร ข้าเห็นคนที่พูดกันคนละภาษาแต่เข้าใจกันได้ด้วย จะต้องเป็นเครื่องแปลภาษาแน่ ๆ ถ้าเราได้เครื่องนี่มาเราก็ไม่ต้องเรียนให้เหนื่อยแล้วนะ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนก็ได้ ไผ่คะน้าเป็นผักยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่หยุดพักในเมืองคีราวี ข้างนอกเป็นเหมือนไม้ไผ่ธรรมดาแต่ข้างในเป็นเนื้อขาว ๆ เหมือนคะน้า”
“หมายถึงเนื้อในต้นตอนที่ปอกเปลือกแข็ง ๆ ออกแล้วน่ะเหรอ”
“เนื้อนั่นแหละ ข้าเคยคิดมานานแล้วว่าต้นคะน้าน่ะอร่อยมาก กรอบหวานกำลังดี ผัดได้หลายอย่าง แต่ข้าไม่ชอบใบคะน้าเพราะมันมีกลิ่นเหม็นเขียว ลองเอาไปต้มนี่จะได้กลิ่นชัดเจนเลย ขมด้วย แต่เนื้อไผ่คะน้านี่จะเป็นเหมือนกับหัวไชเท้าเลยนะ ปอกเปลือกออกจะได้เป็นเนื้อสีขาว เอามาหั่นมาซอยผัดกับหมูจะต้องอร่อยสุดยอดแน่ ๆ เสียดายไม่มีพริกสด … เวรเอ๊ย อยากได้พริกสดว่ะ” ประดู่บนเรื่องเครื่องปรุงอาหารสำคัญที่ขาดไปอีกครั้ง
“เดิน ๆ ไปอาจจะเจอในป่าก็ได้มั้ง” ไม้สักคิดว่าพริกเป็นพืชเขตร้อน พวกเขามีโอกาสที่จะได้พบอยู่เช่นกันเพราะภูมิอากาศที่ได้พบในสามวันที่ผ่านมาก็ให้ความรู้สึกของเมืองเขตร้อน ถ้าเพียงแต่ในมิตินี้มีพริกอยู่ล่ะก็
ทั้งสองเก็บของและเดินเลียบลำธารไปเรื่อย ๆ โดยมีเป้าหมายคือจุดเก็บผักตามที่ประดู่แอบได้ยินมาจากคนในตลาด เขาไม่คิดว่านี่เป็นความลับสำคัญอย่างไรเพราะอาชีพของคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็คือการเก็บเกี่ยววัตถุดิบเพื่อส่งเข้าไปยังร้านอาหารในเมือง ซึ่งร้านในเมืองก็จะใช้วัตถุดิบเหล่านี้ปรุงอาหารขายให้นักท่องเที่ยว วัตถุดิบเองก็มีอย่างอุดมสมบูรณ์จนไม่มีความจำเป็นต้องทำการเพาะปลูกเพราะไปเก็บเอาจากในป่าเมื่อไรก็ได้
“ใช่นั่นรึเปล่า” หลักจากเดินมาหนึ่งชั่วโมงเต็มไม้สักที่ตาดีกว่าประดู่ชี้ไปยังป่าไผ่สีเขียวเข้มห่างออกไปเกือบยี่สิบเมตร มีเพียงบางส่วนที่โผล่ลอดผ่านช่องว่างของต้นไม้ออกมาไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงมองข้ามมันไป
ทั้งสองแหวกต้นไม้เข้าไปยังป่าไผ่ยอดสูงลิบ มองดูเห็นต้นไผ่ที่มีแต่ตอหลายต้น เป็นร่องรอยของการตัดไผ่คะน้าของคนที่มาเก็บวัตถุดิบ
“ต้นเล็กที่เป็นสีเหลืองนั่นกินไม่ได้ ต้นใหญ่สีเขียวเข้มนั่นแข็งเกินไป ต้องใช้ต้นสีเขียวกลาง ๆ เออ แกรู้รึเปล่าว่าในโลกนี้มีคนทำงานเป็นนักล่าวัตถุดิบด้วยนะ” ประดู่คุยพลางเดินสำรวจดูป่าไผ่คะน้า เขาพบว่ามีการติดป้ายไม้จองไผ่ต้นเล็กเอาไว้หลายต้น ที่นี่จะต้องเป็นจุดเก็บเกี่ยวป่าไผ่ที่มีเจ้าประจำอยู่แล้วแน่นอน
“นักล่าวัตถุดิบ ? เป็นงานแบบไหน” ไม้สักช่วยเพื่อนหาไผ่ที่น่าจะใช้ได้ช่วยเพื่อน
“ก็พ่อค้าแม่ค้าคุยกันในตลาดนั่นแหละ เป็นอาชีพที่เข้าไปเก็บวัตถุดิบทำอาหารจากที่อันตรายแล้วเอามาขายให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด แต่ตลาดนอกเมืองนี่ไม่มีสินค้าแพง ๆ แบบนั้นหรอก … ว่าแต่แกไปเรียนแล้วได้ข้อมูลเกี่ยวกับการข้ามมิติบ้างมั้ย”
“ไม่ได้เลย แต่ได้ความรู้เกี่ยวกับสังคมในโลกนี้หลายอย่าง นอกจากประเทศคีราวีแล้วรอบนอกยังมีประเทศอื่นอีกหลายประเทศ โลกนี้เป็นโลกที่มีวัฒนธรรมเวทมนตร์ตั้งแต่สมัยก่อน มีการนับถือเทพต่าง ๆ เหมือนมีตัวตนจริง ๆ อย่างเทพโภชนานี่เป็นเทพที่สำคัญมาก คนที่นี่รับพลังงานเวทมนตร์ผ่านอาหาร เหมือนที่พวกเรารับสารอาหารผ่านการกินอาหาร เลยมีความเชื่อว่าพลังเวทมนตร์ที่ทุกคนมีคือพลังที่เทพโภชนาแบ่งปันให้กับคนบนโลก” ไม้สักเรียบเรียงความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาจากโรงเรียนอนุบาลแล้วอธิบายให้เพื่อนฟัง
“ข้าได้ยินมาจากคนในตลาดเหมือนกัน ยังมีพ่อครัวเทพ แม่ครัวเทพ อาหารเทพ ข้าไม่รู้อะไรมากแต่โลกนี้มันบ้าอาหารกันสุด ๆ เลยว่ะ เหมือนสารอาหารกลายเป็นพลังเวทมนตร์ยังไงยังงั้นเลย”
ไม้สักได้ยินคำว่าสารอาหารแล้วก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นได้
“ไอ้ดู่ ช่วงนี้เลือดข้าออกในปาก คิดว่าน่าจะเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน แล้วก็รู้สึกเพลีย ๆ ข้าคิดว่าบางทีพวกเราอาจจะกำลังขาดสารอาหารอยู่ก็ได้นะ”
“จริงเหรอวะ” ประดู่ไม่มีอาการเหล่านั้น
“จริง ร่างกายข้าไวกับอาการแบบนี้ ถ้ากินวิตามินซีไม่พอเลือดข้าจะออกตอนแปรงฟัน เยอะมาก”
“แล้วทำไงดีวะ หรือว่าอาหารในโลกนี้จะไม่มีสารอาหาร ไม่เหมือนอาหารในโลกเรา” ประดู่เริ่มวิตกกังวล
“ข้าคิดว่าน่าจะมีทางอยู่ คนในโลกนี้ก็มีคนที่ใช้พลังเวทมนตร์ไม่ได้ ถ้าใช้พลังเวทมนตร์ไม่ได้ก็หมายความว่ารับพลังงานเวทมนตร์ไม่ได้ คนพวกนี้น่าจะมีอาหารต่างไปจากคนทั่วไปที่มีพลังเวทมนตร์ ถ้าเราหาข้อมูลของคนพวกนี้ได้ก็น่าจะมีทางรอด” ไม้สักคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
“ให้มันเป็นแบบนั้นเถอะ จะมาขาดสารอาหารตายในโลกอื่นแบบนี้มันไม่ขำนะเว้ย แฟนตาซีบ้าบออะไรวะ ดูหนังแฟนตาซีมาตั้งเยอะแต่ไม่เคยเห็นมีคนพูดถึงเรื่องขาดสารอาหารในโลกแฟนตาซีเลย ถ้านักเขียนเขียนนิยายพล็อตแบบนี้ไม่โดนคนอ่านด่าแย่เหรอวะ” ประดู่บ่น ๆ ๆ อีกครั้ง
ถึงแม้อาหารในโลกนี้อาจจะไม่ให้สารอาหารที่ร่างกายทั้งสองต้องการแต่มันก็ทำให้พวกเขาอิ่มท้อง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกิน ทั้งสองสำรวจดูจนทั่วป่ากว้างร้อยตารางเมตรก็ไม่พบต้นไผ่คะน้าขนาดพอดีและยังไม่มีคนแขวนป้ายจองแม้แต่ต้นเดียว
“เอาไงดีวะ ลองต้นแก่ดูมั้ย น่าจะเอาไปต้มให้เปื่อยได้นะ” ประดู่ถามความเห็นเพื่อน ต้นอ่อนที่จะโตมาเป็นต้นหนุ่มใช้งานได้ต้องเก็บรักษาไว้ ถ้าไม่อยากมีปัญหากับคนในท้องถิ่นพวกเขาไม่สมควรทำเรื่องเช่นนั้น นอกจากทดลองกินต้นแก่แล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก
“อืม ลองดู” ไม้สักย่อตัวลงที่โคนต้นไผ่ขนาดเท่าลำแขนสีเขียวจัดจนเกือบดำต้นหนึ่ง ใช้มีดของตนเองสับเข้าไปแต่มีดกระดอนออกมาโดยที่เนื้อไผ่ไม่มีรอยบิ่นเลย มีเพียงรอยขีดจาง ๆ เท่านั้น
“แข็งขนาดนี้น่าจะเอาไปทำเป็นชุดเกราะนะ” ไม้สักหัวเราะเบา ๆ เขาค้นในกระเป๋าแล้วหยิบเอาเลื่อยแบบสายลวดออกมา นี่เป็นเลื่อยที่เคลือบด้วยเกล็ดเพชรมีความแข็งแรงมากพอที่จะล้มไม้ใหญ่ได้หลายต้นโดยที่ไม่เสียความบิ่น เขาส่งปลายด้านหนึ่งให้ประดู่แล้วช่วยกันออกแรงเลื่อยไผ่คะน้า
“ข้าเข้าใจแล้ว ไอ้ที่ว่าต้นแก่จะแข็งนี่ไม่ได้หมายถึงเนื้อมันแข็งจนกินไม่ได้นะ แต่หมายถึงต้นมันแข็งจนโค่นไม่ลงต่างหาก” ประดู่พูดกับไม้สัก เหงื่อของเขาไหลซึมผ่านขมับลงมาจนถึงปลายคาง ไม้สักเองก็เห็นด้วย เขาที่เคยใช้งานเลื่อยชนิดนี้มาก่อนรู้สึกเหมือนกำลังเลื่อยเหล็กไม่ใช่เลื่อยไม้ เปลือกไผ่นี้แข็งมากจนเหลือเชื่อ
เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงกับการเลื่อยไม่หยุด ในที่สุดไผ่คะน้าก็ถูกเลื่อยตัดจนขาด ทันทีที่คมเลื่อยกินเปลือกไผ่เข้าไปจนหมดลวดเลื่อยก็ตัดผ่านเนื้อในของต้นไผ่ในทันที ประดู่ที่ไม่ได้เตรียมตัวถึงกับล้มก้นจ้ำเบา
ไผ่ต้นใหญ่ที่ถูกตัดยังคงลอยตัวอยู่ไม่ล้มลงเนื่องจากลำต้นด้านบนที่เต็มไปด้วยกิ่งก้านได้รับการพยุงเอาไว้โดยต้นไผ่ต้นอื่นที่อยู่ติดกัน ทั้งสองต้องช่วยกันดึงต้นไผ่ลงมาจึงได้เห็นเนื้อในของไผ่คะน้า มันเป็นเนื้อสีขาวเหมือนเนื้อในมะพร้าวแต่มีความแข็งน้อยกว่า
“เหมือนหัวไชเท้าเลยแฮะ” ประดู่ทดลองใช้มีดของตัวเองทิ่มบิเอาเนื้อในของไผ่คะน้าออกมาชิม รสชาติของมันคล้ายคลึงกับคะน้าแต่กรอบกรุบเคี้ยวสนุกกว่า
“ข้าอยากรู้เหมือนกันนะว่าถ้าพวกเรารับรสชาติเวทมนต์ได้เหมือนคนบนที่นี่แล้วไผ่คะน้านี่จะมีรสชาติยังไง … เอาเถอะ กินได้แบบนี้ก็ดีแล้ว เดี๋ยวข้าผัดให้กิน แกจัดการแงะเอาเนื้อมาให้หน่อยก็แล้วกัน” ประดู่ฝากงานให้ไม้สัก
ทั้งสองแบกเอาต้นไผ่คะน้าเดินย้อนกลับมายังลำธาร ไม้สักทำการก่อไฟในขณะที่ประดู่ซอยหั่นเนื้อกุนเป็นชิ้นเล็กรอการผัด การแงะเนื้อไผ่คะน้าง่ายกว่าที่ไม้สักคิด ตอนแรกเขาคิดว่าคงต้องเลื่อยหั่นแยกไผ่เป็นส่วน ๆ แต่เมื่อทดลองใช้มีดฟันเข้าไปบนรอยตัดไม้ไผ่ก็แยกปริออกง่าย ๆ เขาใช้มือฉีกไผ่คะน้าจากโคนไปถึงปลายโดยแทบไม่ต้องใช้แรง เนื้อไผ่คะน้าเป็นแท่งกลมนอนอยู่บนไผ่โดยแยกเป็นปล้อง ๆ อย่างสวยงาม เหมือนแท่งข้าวหลามหลาย ๆ แท่งวางต่อกัน
เมื่อเตรียมวัตถุดิบเรียบร้อยประดู่ก็เริ่มทำอาหาร เขาใส่น้ำมันลงกระทะ เจียวกระเทียมทุบจนหอมด้วยไฟแรงจากนั้นใส่พริกแห้งซอยและเนื้อกุนลงไปผัดรับความร้อน พลิกแค่สองสามครั้งไม่ให้เนื้อกุนสุกเกินไปแล้วจึงเติมน้ำเล็กน้อย โรยน้ำตายทราย ผงชูรส ตามด้วยเนื้อไผ่คะน้าซอยเป็นแผ่นบาง ผัดจนเนื้อไผ่คะน้าเริ่มใสแล้วใส่ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว น้ำปลา ตบท้ายด้วยน้ำมันหอยเสริมความกลมกล่อม พลิกเนื้อกุนและเนื้อไผ่คลุกซอสจนทั่วแล้วยกลงจากเตา
“ปกติแล้วแกใส่ผงชูรสแบบนี้ที่ร้านตลอดเหรอ” ไม้สักที่ยืนดูเพื่อนปรุงอาหารถาม
“เออ ถ้าไม่มีน้ำซุปเอาไว้เสริมรสชาติก็ต้องใช้ MSG นี่แหละ จริง ๆ เคยมีลูกค้าแบบบ่นมาก ๆ ว่ากินข้าวร้านข้าแล้วคอแห้งแสบคออย่างนั้นอย่างนี้ กินทุกวัน บ่นทุกวัน คืออยากจะบอกว่าเลิกใส่ผงชูรสให้ตั้งแต่มาสั่งครั้งที่สองแล้ว แม่ข้าจำได้หมดแหละว่าลูกค้าคนไหนกินหรือไม่กินผงชูรส ข้าขี้เกียจเถียงกับลูกค้าก็เลยไม่พูดอะไร พลาซีโบโคตร ๆ ข้ายังเห็นลูกค้าคนนี้ยืนกินมันฝรั่งทอดกินมาม่ากินโจ๊กอยู่หน้าเซเว่น ไอ้พวกนั้นน่ะผงชูรสบานเบอะ ในซีอิ๊ว ในซอสปรุงรส ในโชยุ ในน้ำปลา ในน้ำมันหอย มันมีหมดแหละโมโนโซเดียมกลูตาเมตน่ะ ข้าเคยค้นข้อมูลเกี่ยวกับคนที่แพ้ผงชูรสอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยได้หลักฐานชัดเจนเรื่องผลกระทบจากผงชูรสต่อร่างกายอย่างเป็นรูปธรรม มีแต่ รู้สึกอย่างนั้น คิดว่าอย่างนี้ ไอ้เรื่องคอแห้งนี่ถ้ากินของเค็มมาก ๆ มันก็คอแห้งทุกคนแหละ อยู่ที่จานไหนใส่ชูรสเยอะรึน้อยต่างหาก” ประดู่บ่นยาว
“มีเยอะเหรอคนแบบนั้น”
“ไม่เยอะหรอก ลูกค้าส่วนใหญ่เค้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้กัน ร้านข้าเองปกติก็ไม่ได้ใช้ผงชูรส ใช้ซุปโครงไก่แบบเข้มข้นที่ต้มเองแทน แต่อาหารบางอย่างที่มันใช้น้ำซุปไก่ช่วยเสริมรสไม่ได้ก็ต้องใช้ผงชูรสนี่แหละ ไม่งั้นรสชาติอาหารมันไม่สมบูรณ์ คนไทยกินอาหารรสจัดจะตายโหง”
ประดู่ตักแบ่งกุนผัดไผ่คะน้าลงบนกระทงใบไม้ให้ไม้สักแล้วจึงนั่งกินอาหารเมนูใหม่กับเพื่อน อาหารผัดจานนี้ปรุงด้วยเครื่องปรุงหลายชนิดแต่ใส่เป็นจำนวนน้อยเนื่องจากพวกเขาไม่มีข้าวไว้กินด้วย การลดความเค็มของอาหารจึงเป็นสิ่งจำเป็น ซอสปรุงรสและซีอิ๊วขาวถูกใส่ลงไปในตอนท้ายเพื่อไม่ให้เสียกลิ่นหอมไประหว่างการผัด อาหารที่ผัดด้วยซอสถั่วเหลืองปรุงรสแม้จะมีกลิ่นที่ทนทานแม้จะผัดเป็นเวลานาน แต่ถ้าใส่ซอสลงไปตั้งแต่แรกเลยกลิ่นเฉพาะตัวอีกชนิดที่บางเบาของซอสจะหายไป
กลิ่นหอมของซอสถั่วเหลืองซึ่งปกติจะไม่ได้สัมผัสนี้เองที่ทำให้อาหารอร่อยขึ้นมาก บางครั้งประดู่ก็จะใช้ซอสถั่วเหลืองญี่ปุ่นในการผัด แต่กลิ่นและรสชาติของมันไม่เข้ากับการผัดอาหารแบบไทย ๆ ที่คุ้นเคย เขาคิดว่ากลิ่นของมันกระด้างและรุนแรงกว่าซอสถั่วเหลืองแบบที่ใช้เป็นประจำ
เนื้อไผ่คะน้าที่กรุบกรอบนั้นดูดเอาน้ำซอสและน้ำเนื้อที่ไหลออกมาจากเนื้อกุนเอาไว้จนหมดสิ้น ตัวของเนื้อไผ่คะน้าเองไม่ได้มีรสชาติอันโดดเด่น แต่เมื่อมันดูดเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เข้าไปแล้วกลับกลายเป็นว่ารสชาติทั้งหลายคลุกคลีผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นรสชาติเฉพาะตัวของเนื้อไผ่คะน้าที่มีเฉพาะในอาหารจานนี้
ประดู่เคี้ยวกินชิ้นพริกแห้ง ไผ่คะน้าและเนื้อกุนพร้อม ๆ กันทั้งยังตักชิ้นกระเทียมขึ้นมาเคี้ยวตามหลัง จัดการอาหารตรงหน้าจนหมดภายในไม่กี่นาที ไม่มีเหลือแม้แต่หยดน้ำมันบนกระทะ
“สุขีแท้ ถ้ามีข้าวนะ แกเอ๊ย” พ่อครัวหนุ่มดื่มน้ำแล้วนอนหงายไปกับพื้นหญ้า
“แล้วที่เหลือนี่ทำไง” ไม้สักชี้ไปยังไผ่คะน้าที่ยังเหลืออีกเกือบสิบปล้อง
“ไผ่คะน้านี่เก็บได้วันเดียว เอาไปขายที่ตลาดก็แล้วกัน แต่ขอข้างีบซักพักก่อน”
ไม้สักปล่อยให้เพื่อนนอนไป ตัวเขาเก็บกระทะไปล้างและคิดหาวิธีการขนไผ่คะน้าทั้งหมดกลับไปยังตัวเมือง
.
คุยกับท่านผู้อ่าน
เนื้อในของต้นคะน้านั้นอร่อยนะเออ ผมชอบมาก ๆ โดยเฉพาะผัดกับเนื้อสันคอหมู ใส่ต้นหอมเยอะ ๆ พริกสดซอยเยอะ ๆ กินกับข้าวช่างอร่อยแท้ แต่ผมไม่ชอบใบคะน้าแฮะ ไม่ชอบกลิ่นมัน
ชาลี
7 มีนาคม 2558
.
ความคิดเห็น