ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นิยายเวี๊ยน นิยายเวียน <3

    ลำดับตอนที่ #7 : [Freeze Family I ] เมอริเอล ไมดาเรน

    • อัปเดตล่าสุด 24 มิ.ย. 55





               เธอคือเมอริเอล ไมดาเรน น้องเล็กสุดของตระกูล

                คนอื่นๆมักบอกว่าเธอประหลาด เก็บตัว เฉื่อยชา ไม่เข้าสังคม

                ...ความจริงแล้ว

    ...เธอก็แค่เด็กสาวธรรมดาๆคนหนึ่ง

     

                ก็แค่นั้นเอง

               

     

                นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าท้องฟ้า ส่วนก้อนขาวๆก็เรียกว่าก้อนเมฆ

     

                เมอริเอลใช้ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์จดจ้องทั้งสองสิ่งนั้นนานหลายนาทีโดยไม่กระพริบตา ราวกับว่าเธอเหม่อมองและคิดอะไรบางอย่างในหัว เด็กสาวนอนแผ่อยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวสด เข่าทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นอบอวลไปด้วยกลิ่นไอดิน เส้นผมสีน้ำตาลยาวเป็นลอนล้อมใบหน้าเล็กๆ ถูกมัดรวบและปัดมาไว้ข้างหน้า เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวที่เป็นเครื่องแบบนักเรียนเริ่มมีรอยดินปรากฏขึ้น เนคไทสีน้ำเงินขลิบทองพร้อมตราโรงเรียนเล็กๆที่ปักไว้ตรงกลางด้วยเส้นไหมสีทองเลื่อนลงต่ำราวกับจะหลุดได้ทุกเมื่อ เมอริเอลสวมกระโปรงยาวกร่อมเท้า ทั้งที่ความจริงแล้วเครื่องแบบของสถาบันเนอเซอเลนท์เป็นกระโปรงสีดำจีบรอบสั้นเหนือเข่าเล็กน้อยต่างหาก เท้าของเธอเปลือยเปล่า ไม่ได้สวมแม้กระทั่งถุงเท้าสักข้าง ทางฝั่งซ้ายของเด็กสาวมีเสื้อคลุมตัวหลวมสีน้ำเงินซีดวางกองไว้

                แลดูเป็นภาพที่ประหลาดสำหรับเด็กสาววัยสิบเจ็ด โดยปกติแล้วในวัยนี้พวกเธอทั้งหลายมักจะจับกลุ่มคุยเรื่องราวต่างๆนานาเสียมากกว่าที่จะมานอนเก็บตัว ขลุกตัวกับพื้นหญ้าที่สวนหลังตึกเรียนอันเงียบเชียบและจ้องมองท้องฟ้าแบบนี้

                เธอมักอยู่คนเดียวเสมอ ชีวิตในโรงเรียนของเธอพูดจากับคนอื่นกี่ครั้งสามารถนับได้ เมอริเอลไม่ค่อยเข้าสังคมและสุงสิงกับคนอื่น เด็กสาวจะเปิดปากพูดก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอไม่มีเพื่อนสนิท อีกสาเหตุก็คือนิสัยแปลกๆของเธอ ที่ทำให้เพื่อนร่วมห้องหรือคุณครูที่มาสอนยังไม่กล้าจะคุยด้วย

                เมอริเอลพลิกตัวตะแคงนอนทางซ้าย ใช้สายตาเรียบนิ่งมองเสื้อคลุมสักครู่ก่อนจะใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดออกมากดฆ่าเวลา

     

                บางครั้งเธอก็เคยคิดอยากจะมีเพื่อนบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่เคยมี แต่พอมีแล้วก็ต้องเลิกคบเกือบทุกราย เมอริเอลไม่ชอบ...พวกที่ต่อหน้าก็พูดดีไปด้วยทุกอย่าง แต่ลับหลังนี่นินทาซะเละ เธอไม่ชอบคนพวกนั้นเลย เธอชอบคนที่ตรงไปตรงมา แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เคยมีใครมาพูดกับเธอตรงๆ ดังนั้นแล้วเด็กสาวจึงโดดเดียวเดียวดายอยู่แบบนี้นี่แหละ

     

                แสงจากหน้าจอโทรศัพท์สะท้อนเข้ากับดวงตาของเด็กสาว บนหน้าจอปรากฏรายชื่อเพลงต่างๆมากมาย นิ้วเรียวยาวของเธอเลื่อนรายการลงมา เมอริเอลลุกขึ้นยืน มีเศษหญ้าสีเขียวอยู่บนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มของเธอเล็กน้อย เด็กสาวเลื่อนระดับเสียงให้ดังที่สุดและกดเล่นเพลงๆหนึ่ง

     





                แต่ แด แด แด้... แต้ แด แด๊ แด แด่ แด...

     

    (โปรดคิดถึงเพลงที่เขาใช้เปิดในหนังตอนที่ตัวร้ายยั่วพระเอก)

     





                เสียงเพลงดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือเล็กๆ เด็กสาวกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะแหกปากออกมาดังๆ

     


                “ฉันก็อยากจะมีเพื่อนกับคนอื่นเขาบ้างนะ!! ทำไมพวกเธอต้องหนีฉันกันด้วยฮะ!! ฉันมันไม่น่าคบตรงไหน! คนที่นิสัยดีก็ไม่คบ พวกแย่ๆก็ดันอยากจะมาคบด้วย โว้ยยยย จะบ้าตายว้อยยยยยย!! ยัยสลัมเป็ด! อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าเธอเอารองเท้าฉันไปทิ้งน่ะ! งี่เง่าชะมัด! ฉันไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจเหรอไงยะ!!” น้ำเสียงตะโกนแฝงไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกเปล่งออกมาจากริมฝีปากเล็กๆ

     


                แลดูเป็นการระบายที่จริงจังมาก....

     


                แต่ว่า...





     

                ...แต่ แด แด แด้... แต้ แด แด๊ แด แด่ แด...

     


               

                ซาวน์ประกอบนั่นมันอะไร...

     

     


                เมอริเอลทำท่าจะตะโกนต่อ

     





     

    แต่ แด แด แด้... แต้ แด แด แด...แด...แด....แด...แด่.....วูบ....

     

     


                “... เด็กสาวหุบปากก่อนที่จะมีเสียงใดๆเล็ดลอดออกไป เมื่อเสียงเพลงจากโทรศัพท์เริ่มติดๆขับๆและดับวูบลงกลางอากาศ

     

                เมอริเอลยืนนิ่งไปหนึ่งนาที รู้สึกเหมือนมีสายลมร้อนพัดผ่านหน้าของตนไป เธอนั่งลงชันเข่าเงียบๆ เหลือบตามองโทรศัพท์มือถือในมือที่บัดนี้หน้าจอดับสนิท มือเล็กพยายามเขย่า ทุบ ตบ ตี เจ้าเครื่องเล็กๆนั่น โดยหวังว่ามันจะกลับมาใช้ได้อีกครั้ง

               


                ถ้าปาฎิหารย์มีจริงเธอขอให้มันกลับมาใช้ได้อีกครั้งด้วยเถอะนะ

     


                เด็กสาวหลับตาอธิษฐานในใจพร้อมกับโยนโทรศัพท์มือถือลงพื้น เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง มือขาวๆสั่นระริกเล็กน้อยเตรียมกดปุ่มเปิดเครื่องหวังในใจว่ามันคงกลับมาใช้ได้อีกครั้ง

     


                ♪♪♫♪♫♪~

     


                เสียงเพลงที่เธอตั้งให้เป็นเสียงตอนเปิดลอยเข้ากระทบหู หน้าจอโทรศัพท์ติดขึ้น ดวงตาสีม่วงเบิกขึ้นเล็กน้อย

     


                คำขอของเราเป็นจริงสินะ!!

     


                เมอริเอลอมยิ้มเล็กๆด้วยความดีใจ นี่เราไม่ต้องไปห้างที่มีแต่ความวุ่นวายเพื่อซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่แล้วสินะ อา...

                หน้าจอโทรศัพท์วูบลง เธอไม่ได้เอะใจอะไรเพราะมันเป็นปกติที่จอสว่างพร้อมกับเสียงเพลงตอนเปิด หลังจากนั้นมันก็จะดับลงไปสักพักและติดขึ้นมาใหม่ เป็นการเปิดเครื่องที่เสร็จสมบูรณ์

               

                ในใจของเด็กสาวจดจ่ออยู่กับการคืนชีพของโทรศัพท์มือถือของตน อีกแค่ 5 วิมันก็จะเปิดเครื่องแล้วน่า

     

                1...2...3...4...5...

     


                เงียบ...งั้นรออีก 5 วิก็ได้

     


                1...2...3...4...5...

     


                งะ...เงียบอีกเรอะ หรือมันจะดีเลย์!? งั้นต่อให้อีก 10 วิเลยเอ้า!!

     


                1...2...3...4...5...6...7...8...9...10...

     


                ทะ..ทำไมมันเงียบล่ะ!! เฮ้ๆ ติดเดี๋ยวนี้นะ!!” เมอริเอลพึมพำเบาๆ มือเล็กๆเขย่าเจ้าเครื่องนั่นอย่างบ้าคลั่ง เธอไม่ยอมนะ เครื่องนี้พึ่งซื้อมาเมื่อเดือนก่อนเองนี่นา...

     



                วูบ บึ้ม! ฟี้...

     



                “…” เมอริเอลชะงักมือทันที ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือนิ่งๆ เมื่อกี้เธอได้ยินเสียงเหมือนเครื่องดับ เสียงระเบิดเบาๆ แล้วก็...เห็นควันสีขาวๆลอยออกมาจากตัวเครื่อง ?????

     


                คะ..ควัน!!? จำได้ว่าต่อจากควันมันก็จะ…ไฟ...ไหม้...

     



                “กรี๊ดดดดดดดดดด!!”

     


                เด็กสาวหวีดร้องเมื่อเห็นสะเก็ดไฟปะทุขึ้น เมอริเอลรีบขว้างโทรศัพท์มือถือในมือออกไปก่อนที่จะเกิดไฟไหม้ลุกลามใหญ่โตเสียก่อน

     


                ...

     


    นะ นี่เราปลอดภัยแล้วสินะโล่งอกไปที...

     

     





    พลั่ก! โอ้ย!!

     


    ไม่นานต่อมาก็มีเสียงร้องตามมา เมอริเอลขมวดคิ้วเล็กๆ พอได้ยินเสียงแปลกๆ เด็กสาวก็สามารถรู้สึกได้ถึงเรื่องวุ่นวายที่กำลังจะตามมา นี่เราคิดผิดหรือเปล่าที่โยนโทรศัพท์ออกไป...(หล่อนคิดผิดตั้งแต่เปิดเพลงแต่แต่แดแดแด๊อะไรนั่นแล้วล่ะ)

    หันไปมองที่มาของเสียงนั่น ซึ่งคือต้นไม้ต้นใหญ่ต้นหนึ่ง เธอนิ่ง ยืนจ้องต้นไม้เฉยๆราวกับรอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อ

     

    หวะ เหวออออออ!!” เหมือนจะเป็นเสียงของผู้ชายที่กำลังตื่นตระหนกตกใจ เด็กสาวยังคงมองอยู่นิ่งๆเหมือนเดิม

     



    ตุ้บ!

     


    ร่างๆหนึ่งตกลงมาจากต้นไม้ใหญ่ มองจากไกลๆก็สามารถรับรู้ได้ว่าคือบุรุษเพศ แม้จะเพ่งมองจนปวดตา แต่เพราะสายตาสั้นและการที่ไม่ชอบใส่แว่นเมอริเอลจึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าเขามีหน้าตายังไง จุดเด่นที่เธอสามารถรับรู้ได้คือเส้นผมสีแดงเพลิงของเขา

     

    เด็กหนุ่มคนนั้นนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ใช้มือลูบบั้นท้ายป้อยๆ เขาจำได้ว่าตอนแรกเขาขึ้นมานอนหลับบนต้นไม้แก้เบื่อ ทว่าจู่ๆก็มีวัตถุแข็งๆอะไรไม่รู้ลอยมากระแทกหัวทำให้ตื่น ด้วยความที่ตื่นใหม่ๆยังคงมึนๆบวกกับแรงกระแทกนั่นก็เลยทำให้ตัวเองตกลงมาจากต้นไม้...

    เขาเบือนดวงตาสีเขียวมรกตลงไปบนพื้น นั่นทำให้เด็กหนุ่มมองเห็นวัตถุที่ว่านั่น...

     

    โทรศัพท์มือถือรุ่นที่ราคาแพงเครื่องหนึ่ง หน้าจอแตกร้าวและมีควันพุ่ง สภาพดูเหมือนจะใช้การไม่ได้ชัวร์ๆ เหอะ อีเครื่องแบบนี้มีอยู่ที่บ้านเป็นโหลๆน่า...ดวงตาสีเขียวฉายแววเย่อหยิ่งแวบหนึ่ง

     

    ด้วยความที่มีโทรศัพท์แบบนี้เป็นโหลๆ เขาสามารถแน่ใจได้ว่ามันไม่สามารถเดินหรือพุ่งตัวเองได้แหงๆ ดังนั้นแล้วก็ต้องมีคนเขวี้ยงมันมาแน่!

     

    จากนั้นเด็กหนุ่มก็เริ่มหันซ้ายขวามองหาผู้กระทำผิดอย่างรวดเร็ว

     


    ใคร้! ใคร! ไหนใครมันกล้ามาปองร้ายประธานนักเรียน ‘เจเรน  ฟรีซ’ ทายาทตระกูลฟรีซอันลือชื่ออย่างเขากัน!?

     


                “อะ..อะ..”

     


                นั่นไง เจอแล้ว เป็นผู้หญิงหรือนี่ หรือว่าเธออยากจะเข้าใกล้เขาถึงลงทุนปาโทรศัพท์มาใส่แบบนี้เพราะรู้ว่าเขาต้องเอาเรื่องแน่ๆสินะ โถ่ เกิดเป็นคนหล่อก็เงี้ย เดินเอาโทรศัพท์ไปคืนแล้วปฏิเสธแบบเท่ๆดีกว่า ก๊าก

     


                เจเรนฉีกยิ้ม สายผมเดินเข้าไปหาเมอริเอลด้วยท่าทีดูดียิ่งกว่านายแบบนิตยสารค่าตัวพันล้าน

     

                (อีนี่ก็บ้า-*-)

     


     อะ...อะ...อะ...อะ...อะ....เมอริเอลหน้าซีด เด็กสาวรู้สึกเหมือนเธอจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาตกลงมาจากต้นไม้ ในหัวพยายามประมวลผลหาทางออกที่ดีที่สุด

     


    เราต้องขอโทษเขาสินะ อืมๆ ถ้าเขาไม่หายก็พาเขาไปเลี้ยงข้าวดีกว่า ร้านอาหารนั่นพึ่งเปิดใหม่นี่นา ดีเหมือนกันแฮะ เอ๊ะ แต่ถ้าเขาเป็นแผลเราก็ต้องพาเขาไปส่งโรงพยาบาลสิ! ถึงเราจะกลัวโรงพยาบาลนิดหน่อยแต่มันก็จำเป็นนี่นะ อะ..อือ โอเคๆ เราทำได้น่า ...ตะ...แต่...แต่...ถ้าเกิดว่าเขาเอาเรื่องเราแล้วเรื่องมันไม่จบแค่ที่โรงพักล่ะ มะ...ไม่นะ เรายังไม่อยากตาย...คุณแม่ช่วยด้วยค่ะ...

     


    (อีนี่ก็จริงจังเกิน-*-)

     


                เมอริเอลแทบจะกรี้ดเมื่อเด็กหนุ่มเดินมาใกล้ เธอหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ลำตัวสั่นระริก แม้มองเห็นไม่ชัดแต่ก็คิดว่าอีกฝ่ายต้องทำหน้าบึ้งแหงๆ (ความจริงแล้วยิ้มหล่อ)

     


                “สวัสดี...เจเรนยิ้มเป็นมิตร

     


                หน้าซีดแบบนี้แสดงว่าเธอต้องประหม่าไม่ก็เขินแหงๆ หน้าตาเราหล่อไปสินะ เฮ้อ~ (ความจริงแล้วกลัว)

     


                ขะ....ขะ...ขะ...ขะ...ขอ…” เมอริเอลสะดุ้งด้วยความตกใจ เด็กสาวชี้นิ้วไปที่โทรศัพท์ในมือของอีกฝ่าย เธอพยายามพูดขอโทษที่ขว้างมันไปโดนเขาตามที่คิดไว้ แต่ก็กลายเป็นพูดติดอ่างราวกับเครื่องเล่นดีวีดีที่ใกล้พังซะงั้น

     


                เจเรนยิ้ม เอียงคอเล็กๆ สมองตีความกิริยาท่าทางของอีกฝ่ายเงียบๆ เอ๋?

     


                “อ้อ! เธอคงอยากได้โทรศัพท์นี่คืนสินะ ...อะนี่ เด็กหนุ่มพูดต่อ เมอริเอลผงะถอยหลังด้วยความตกใจเล็กน้อย

     


                นี่...เขาจะคืนโทรศัพท์ให้เราแล้วก็จะเริ่มพูดเรื่องที่เราทำให้เขาเจ็บสินะ ต้องรีบขอโทษ...

     


                เธอกลืนน้ำลายหนืดๆลงคอ ก้มหน้าและตะโกน ขอโทษค่ะ!!”

     



    จากนั้นก็รีบก้าวไปคว้าโทรศัพท์ในมืออีกฝ่ายมาทันทีทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่ แต่เพราะว่ารีบเกินไปหน่อยเลยส่งผลให้เด็กสาวเผลอเหยียบชายกระโปรงตัวเองจนสะดุดล้ม

     


    วะ...ว้าย...

     

                เจเรนมองเด็กสาวประหลาด จู่ๆเธอก็พูดขอโทษแล้วลงไปจับกบบนพื้นซะงั้น

     


                หรือนี่จะเป็นการบอกรักแบบใหม่ เธอคงแกล้งล้มแล้วหวังให้เขาเข้าไปประคองสินะ หึหึ ผู้หญิงสมัยนี้ร้ายกาจจริงๆ

     

                (คิดไปคนละเรื่องเลยเอ็ง)

     



                “!!” เมอริเอลตื่นตระหนกเมื่อเด็กหนุ่มคุกเข่าลงนั่งในระดับเดียวกันและยื่นมือมาให้ เด็กสาวทำอะไรไม่ถูก สมองว่างเปล่า ลืมขั้นตอนขอโทษที่พึ่งคิดไว้ไปหมดสิ้น

     


                เจเรนส่งยิ้มเป็นมิตรพร้อมกับพูด “เป็นอะไรหรือปละ…”

     


                ผลั่ก!

     

                ไม่ทันพูดจบเด็กสาวตรงหน้าก็ผลักเขาออกเต็มแรง ประธานนักเรียนเซถอยหลังด้วยความมึนงง หันไปมองอีกทีก็เห็นแค่แผ่นหลังเล็กๆนั่นที่ห่างไกลออกไปเรื่อยๆเสียแล้ว

     


                แกล้งล้ม...ให้เขาช่วย...ผลัก...วิ่งหนี เขินตูเรอะ ????

     


                ผู้หญิงสมัยนี้เข้าใจยากแฮะ...

     

    เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกๆด้วยความไม่เข้าใจ

     

     

     

     

    เมอริเอลกำลังวิ่งไปตามทางเดินภายในตึกเรียน ดวงตาหลายสิบคู่หันมามองเธอเป็นตาเดียว เด็กสาวหาได้สนใจไม่ ร่างเพรียวบางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสกับพื้นหินอ่อนสีขาวปลอดเย็นเยียบ เด็กสาวค่อนข้างจะเป็นจุดเด่น ตั้งแต่การแต่งกายที่แปลกประหลาด สวมกระโปรงยาวแต่ไม่สวมรองเท้า ทั้งยังวิ่งแบบไม่คิดชีวิตอีก ใครไม่หันมามองก็คงบ้าแล้ว

    เธอวิ่งขึ้นบันใดอันหรูหราไปยังชั้นสาม เลี้ยวซ้ายและวิ่งต่อจนเกิดสุดทาง ดวงตาสีม่วงอะเมทิสต์มองเห็นเป้าหมาย เด็กสาวรีบใช้มือเลื่อนประตูให้เปิดและสอดตัวเข้าไปทันที

                ห้องนี้มืดสนิท แทบจะไม่มีแสงสว่างลอดเข้ามาเพราะปิดม่านทึบ แต่เพราะเป็นเวลากลางวันจึงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆภายในห้องได้ หุ่นน่าสยดสยองสองสามตัวตั้งอยู่ตรงมุมห้อง มีชั้นโลหะไว้วางโหลดองสัตว์ต่างๆเต็มไปหมด กล้องจุลทรรศน์ฝุ่นจับสี่ห้าตัววางเรียงๆกัน สมกับเป็นห้องทดลอง



    เฮ้อ... เด็กสาวทรุดตัวนั่งแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆเฮือกใหญ่

     


    เธอวิ่งหนีมาเพราะกลัว (ไม่ใช่เขินแบบที่ใครบางคนเข้าใจ) ...กลัวว่าคนผมแดงนั่นจะเอาเรื่องเธอ ทั้งๆที่เขาเดินมาใกล้ก็อาจจะมีเจตนาดีก็ได้ แต่เธอก็ยังกลัว...

     

    เบื่อนิสัยแบบนี้ของตัวเองชะมัด...

     

    นอกจากสวนหลังโรงเรียนแล้ว เมอริเอลมักจะมานั่งหลบอยู่แถวห้องทดลองนี่ เพราะมันเป็นห้องทดลองเก่าที่ไม่ค่อยมีใครเข้ามาใช้แล้ว โดยปกติเธอมักจะนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือหรือฟังเพลงแก้เซ็ง แต่ตอนนี้มันก็พังไปแล้ว แถมซากก็อยู่กับคนๆนั้นอีก เธอจึงว่าง...มาก...

     

    นึกๆดูแล้วผู้ชายผมแดงคนนั้นก็ดูคุ้นๆ เมอริเอลรู้สึกเหมือนเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน โชคร้ายที่เธอพึ่งทำแว่นสายตาตกท่อไปเมื่อวันก่อนและยังไม่ได้ไปซื้อใหม่ สายตาเลยมองเห็นไม่ค่อยชัด

     

    ยังไม่ทันคุยให้รู้เรื่องเลย ดันวิ่งหนีมาก่อนซะงั้น งี่เง่าจัง...

     

    คาบต่อไปเริ่มตอนบ่ายโมง เมอริเอลใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมที่ปกติมักจะวางอยู่ข้างกายเพื่อควานหานาฬิกา

     



    ทว่าพบเพียงความว่างเปล่า...

     


    “……..”

    “……..”

     

    !!

     


    เด็กสาวตกใจเมื่อคลำหาเสื้อคลุมไม่พบ เมื่อกี้เธอไม่ได้ถือมันมาด้วยหรอกเหรอ!!

     

    เสื้อน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ในกระเป๋าเสื้อน่ะมีทั้งนาฬิกา กระเป๋าสตางค์ ผ้าเช็ดหน้า แล้วก็หนังสือเรียนหนึ่งเล่มอยู่!!

     


    ที่สำคัญยิ่งกว่า...มันมีรูปของคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ด้วยนี่นา...

     


    ฮือ...เมอริเอลเริ่มร้องไห้เบาๆ เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เธอเกลียดตัวเองยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนิสัยป้ำๆเป๋อๆเบ๊อะๆบ๊ะๆของเธอ!

     


    ไม่ไปรงไม่ไปเรียนแล้ว! เธอจะนั่งร้องไห้อยู่ในห้องนี้จนกว่าจะเลิกเรียนแล้วค่อยกลับหอนี่แหละ!

     

    “ฮือ…นั่นมันรูปครอบครัวที่ฉันอุตส่าห์ไปขโมยมาจากคุณแม่นะ! นายหัวแดงนั่นแหละผิด! ถ้นายไม่สะเออะไปอยู่บนต้นไม้จนตกลงมาให้ฉันตกใจฉันก็ไม่วิ่งมาแบบนี้หรอก!”

    (เริ่มโทษคนอื่น)

     

    ฮือออ ฮืออออ ฮืออออ...เสียงร้องไห้ยังคงดังระงมไปทั่วห้อง

     

     

     

     


    ขณะเดียวกัน

     

    เธอลืมอะไรไว้เดี๋ยวค่อยมาเอาไม่ได้เหรอไง ตึกสามฝั่งซ้ายน่ากลัวจะตาย..เด็กสาวคนหนึ่งเกาะแขนเพื่อนแน่น

     

    ฉันเผลทำแหวนที่แฟนพึ่งซื้อให้ตกไว้แถวนี้อะ! รอแป๊บนึงนะ มันสำคัญมากเลยเด็กสาวอีกคนก็กลัวไม่แพ้กัน กอดเพื่อนไว้แน่น

     

    “อือๆ รีบๆหน่อยนะ ฉันกลัว...เขายิ่งว่ากันว่าห้องทดลองเก่ามีผีอยู่ด้วย.. เด็กสาวที่เกาะแขนพูดเบาๆ

     

    เด็กสาวอีกคนตีแขนเพื่อนแล้วตวาด หล่อนจะพูดทำไมยะ! เดี๋ยวเขาก็มาหรอก TOT”

     



    ฮือออ ฮืออออ ฮืออออ...ฮือ...ฮึก...ฮือออออออออออออ...

     



    เสียงคร่ำครวญดังขึ้น เด็กสาวสองคนสะดุ้ง คนที่ทำแหวนหายหันหน้าไปมองเพื่อน

     

    “ฉันแค่พูดเล่น เธออย่าร้องไห้สิ” เธอปลอบเพื่อน

     

    “ฉะ…ฉันรู้ว่าเธอพูดเล่น...แต่ฉันเปล่าร้องนะ...

     

     

    แล้วเมื่อกี้เสียงใครล่ะยะ...อย่ามาหลอกฉันเลยน่า ฮะๆๆ

     



    ฮือออออออออออออออออ..ฉะ...ฉัน....ฮือออออออออออออออออ...

     

     

    ชัดเจน...

     


    “กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดด”

     


    เด็กสาวทั้งสองกรีดร้องก่อนที่จะหันหลังวิ่งแบบไม่คิดชีวิต

     

     

     

    “ฮึก ฮึก…ฮือ.....ไอ้หัวแดง...บ้า...ฮึก....ฮือออออออออออออออออ

     

     

    (ตัวต้นเหตุแม่งยังไม่รู้เรื่อง-*-)

     

     

     

     

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×