คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตำนานในวันวาน ,, Cordia 1 ★ Vanessa & Thomas [วาเนสซ่ากับโทมัส]
ตำนานในวันวาน
Vanessa & Thomas [วาเนสซ่ากับโทมัส]
ฉันมีสิ่งที่เรียกว่า ครอบครัว
ครอบครัวที่มี่เหล่าคนที่ฉันรัก
ขอแค่มีพวกเขา ฉันก็มีความสุขมากพอ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ทว่า
พวกเขาน่ะ...
ก็ได้พังทลายความสุขนั้นลง
“คอร์!! ตื่น!”
น้ำเสียงเย็นยะเยือกหาได้ทำให้ผู้ที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงตื่นขึ้นแต่ อย่างใด ดูเหมือนเจ้าของเสียงจะรู้ดีถึงสัจธรรมข้อนั้นจึงเดินดุ่มๆไปกระชากผ้าม่าน ผืนโตเปิดให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา สองสามวินาทีต่อมาคนที่กำลังนอนอยู่ก็เริ่มขมวดคิ้วก่อนจะหันหน้าหนีไปมุด อยู่ใต้ผ้าห่มแทน
หลังจากที่เปิดผ้าม่านให้ห้องสว่างไสวเสร็จ แต่ไอ้คนที่นอนหลับอุตุนี่ยังไม่ตื่นเสียที เขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นแล้วจึงต้องใช้มาตรการขั้นสุดท้าย...
“ถ้าไม่ตื่น ฉันจะไปเป่าหูให้เคอลินซ์เกลียดแกซักร้อยปี!”
“เคอลินซ์น้อยห้ามเกลียดพี่นะ! ฮะ? โลกจะแตกแล้วเรอะ!? อ้ากกกกก!! กรูยังไม่อยากตายว้อยยยยย!! กรูยังไม่ได้สูดดมสเปเชี่ยลคอลเลคชั่นเคอลินซ์น้อยที่แอบซ่อนไว้ในอ่างจากุซซี่เลยเว้ยยยยยยยย!!”
เมิงตื่นก็ดีนะ แต่ช่วยพูดภาษาคนปกติเถอะ
“สูดดมบ้าอะไรของแกฮะ ไอ้โรคจิต! อาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว! วันนี้ท่านหญิงไดแอนน์จะมา” ผู้เป็นพี่ออกคำสั่ง
“โน๊วววว!! กรูไม่อยากตายยยยยย!! เคอลินซ์น้อยอยู่ไหน เราหนีตามกันไปมีความสุขก่อนตายกันเถอะ ไปเกาะที่มีแค่เราสองคน วู้ คิดแล้วจั๊กจี้หัวจายยย~ ขาอ่อนขาวๆของเคอลินซ์น้อย แฮ่กๆ...”
ครอสเทลรู้สึกเหมือนเส้นที่ขมับเต้นตุบๆ ดวงตาสีแดงหรี่ลงมองผู้กำลังพล่ามเรื่องบ้าบออยู่บนเตียง ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยเสียจนน่ากลัว ดูเหมือนว่าไอ้คนที่เป็นต้นเหตุของความหงุดหงิดเล็กๆนี้จะยังไม่รู้สึกถึง รังสีอาฆาตที่แผ่ออกมา
“หุบปากซะคอร์ดีอา เนเวอเรน ไม่งั้นฉันจะบอกเคอลินซ์ว่านายเคยจูบกับผู้ชายมาแล้ว”
สิ้นเสียงอันเย็นเยียบ น้ำเสียงก้ำกึ่งระหว่างเพศชายกับหญิงก็เงียบลงทันใด ใบหน้าสวยค่อยๆหันมาหาคนที่มีศักดิ์เป็นถึงพี่ชายก่อนจะเบิกตากว้าง “อย่าบอกเคอลินซ์น้อยนะ! ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!!” คอร์ดีอาโยนผ้าห่มออกจากตัวแล้วรีบกุลีกุจอลุกขึ้น
โครม!!
แต่ดูเหมือนจะรีบไปหน่อยเลยกลิ้งหน้าคว่ำตกเตียง
อนาถชิพลอส...นั่นไม่ใช่น้องชายกรูครับ
ครอสเทลกุมขมับ ไม่ทันทีจะได้พูดด่าไอ้คนที่หน้าปักพื้นตรงปลายเท้า ประตูห้องที่เคยปิดสนิทก็ถูกเปิดออกเสียก่อน เรียกสายตาของเขาให้หันไปมองผู้มาใหม่
เส้นผมสีน้ำตาลเข้มยาวระต้นคอ ผิวขาวอมชมพู ใบหน้าน่ารักเกินกว่าเด็กหนุ่มวัยสิบห้าทั่วไป ดวงตาสีฟ้าสุกใสของเขากวาดมองไปรอบห้องซักพักก่อนจะเอ่ยปากพูด “เสียงดังจัง เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ…”
หูของคอร์ดีอาได้ยินเสียงอันแสนคุ้นเคย เจ้าตัวแทบจะกระเด้งตัวขึ้นมาจากพื้นทันทีทันใด เขากางแขนกว้าง ดวงตาเป็นประกายตั้งท่าเตรียมพุ่งเข้ากอดน้องชายสุดที่รักเต็มเหนี่ยว
“เคอลินซ์น้อยยยยยยยย!~ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พี่คิดถึงนายสุดๆไปเลย”
เมิงก็เจอกันทุกวันไม่ใช่เรอะ กะอีกแค่นอนหลับไปตื่นเดียวจะอะไรนักหนาวะครับ
“อื้ม! ลินซ์ก็คิดถึงพี่คอร์นะครับ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นเจือความใสซื่อไว้ สำหรับเขาแล้วมันเป็นอะไรที่…
“โมเอะสุดๆเลยอะ อ้ากกกกกกก!! เคอลินซ์น้อยโมเอะโคตร ไอเลิฟยูจุ๊บๆ เห่อเห่อเห่อ…” ไม่ว่าเปล่า ยังกอดคุณน้องชายหมับด้วยความรักใคร่ ไปๆมาๆอาจกลายเป็นการฆ่าน้อยได้เพราะรัดแน่นเกิน
เอาอีกแล้วน้องกรู สติแตกอีกแล้ว แล้วไอ้เสียงหื่นๆตอนท้ายนั่นมันหมายความว่าไง
“พี่ครับ ลินซ์หายใจไม่ออก”
“ถึงพี่จะกอดนายแน่นไปหน่อย แต่พี่ก็ทำไปด้วยความรักที่มีล้นหัวใจน้า”
“เอ่อ พี่คอร์ครับ ผม…”
“ไหนๆดูซิ ผมนายมีรังแคไหม ฉันดูแลนายทุกวันไม่น่าจะมีนะ…” ว่าพลางใช้มือจับๆดมๆผมสีน้ำตาลของน้องชาย แหวกหัวทุยๆเหมือนหาเหา
คอร์ดีอาคุ้ยหัวเคอลินซ์ซักพักค่อยละมือจากเส้นผมหน้านุ่ม โดยไม่ลืมลูบหัวเบาๆสองสามที “ไม่มี ดีมาก!”
”แล้วเล็บนายล่ะเป็นดอกหรือเปล่า ถ้ามีดอกซักนิดฉันจะไล่แม่ครัวออกโทษฐานทำอาหารมีประโยชน์ไม่เพียงพอให้น้องฉันกิน…” จากนั้นคุณพี่แกก็เริ่มหันมาสนใจมือขาวๆของคุณน้อง ลูบๆจับๆ แอบดมนิดหน่อยตามสเต็ปเดิม
“เอ่อพี่…” เคอลินซ์ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง
“เล็บก็ยังเป็นสีชมพูน่ารักเหมือนเดิม! โอเค! ที นี้ดูขานายซิ ขนหน้าแข้งขึ้นมาให้น่าเกลียดหรือเปล่า ถ้ามีแม้แต่เส้นเดียวฉันจะไล่ยัยแม่บ้านที่ชื่อมาเรียออกโทษฐานที่เตรียมน้ำ ให้นายอาบไม่ดี ขนเลยขึ้นประท้วง…” มือเรียวยาวถกขากางเกงน้องชายขึ้นก่อนจะลูบไล้ดูว่าเรียบมั้ย
น้ำอาบกับขนหน้าแข้ง โยงไปได้นะเมิง
คือ เมิงตั้งใจลวนลามน้องสุดที่รักสินะ
“…” ครอสเทลที่ถูกลืมมองทั้งสองคนนิ่งๆ น้องชายคนเล็กน่ะไม่ค่อยสนใจหรอก แต่ไอ้น้องคนโตนี่สิต้องดูให้ดี จิตมันไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ ถ้าเกิดมันปล้ำเคอลินซ์ขึ้นมาเขาจะต้องรีบถีบมันออก ฟาดหัวให้สลบซักสามวัน เอาไปขังไว้ห้องใต้ดินซะ
ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของน้องชายคนเล็กสุดที่รัก พี่คนโตอย่างเขาจึงต้องช่วยห้ามปรามไอ้โรคจิตคอร์เสียก่อนที่มันจะกระทำการ อุกอาจ ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องห้ามมันซะ เริ่มจากเรียกชื่อมันด้วยเสียงดุๆก่อนแล้วกัน
“คอร์”
“ขนหน้าแข้งก็ไม่มี เคอลินซ์น้อยของพี่นี่ช่างน่ารักเป็นบ้า! คืนนี้มานอนกับพี่เถอะนะ เตียงกว้างๆนอนคนเดียวพี่เหงาจะตายไป พี่หนาวด้วยอะ แล้วก็…”
“พี่คอร์ครับ คือลินซ์อยากจะบอกว่า…” เคอลินซ์พูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เตรียมตัวจะพูดกับพี่ชายคนกลางให้รู้เรื่อง
“ไม่นะ เคอลินซ์น้อยของพี่กล้าพูดขัดพี่แล้วเหรอ โฮๆ สอนให้น้องสุดโมเอะของพี่แบบนี้ พี่จะไปฆ่ามัน!” ยังไม่ฟังอีก
“คอร์ดีอา เนเวอเรน! จะให้ฉันบอกอีกกี่รอบว่าวันนี้ท่านหญิงไดแอนน์มา ถ้านายยังไม่รีบไปเตรียมตัวล่ะก็ ฉันจะบอกเคอลินซ์เรื่อง…”
ปัง!
“มีใครพูดถึงข้าเรอะ!?”
น้ำเสียงทุ้มของสตรีเพศดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่ถูกถีบออกอีกครั้ง ปรากฏภาพท่านหญิงไดแอนน์ ยืนจังก้าอยู่เบื้องหลัง มือเล็กๆของท่านหญิงกำท่อนไม้ขนาดใหญ่พาดไว้บนบ่า เสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมเม็ดบนออก แขนเสื้อถูกถกขึ้นมา เนคไทสีแดงเข้มพาดอยู่บนคอ กางเกงขายาวสีดำแทนที่จะเป็นกระโปรงแบบผู้หญิงทั่วไป ริมฝีปากเรียวบางจิ้มลิ้มนั่น หากมองดีๆจะสังเกตเห็นว่าเธอคาบไม้จิ้มฟันอยู่อันหนึ่งด้วย
นักเลงโคตร…
“อ้าว อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ ไอ้กระทิงครอส ไอ้ตุ๊ดคอร์ แล้วก็น้องลินซ์สุดน่ารักของข้า”
…
“เคอลินซ์น้องกรูว้อยยยยยยยย!!”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ครอสเทลกับคอร์ดีอาตะโกนออกมาพร้อมกัน
เนเวอเรน เป็นตระกูลนักรบแสนลือชื่อ
ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูล เจ้าของดวงตาสีแดงทับทิมคมกริบกับเส้นผมสีบลอนด์ อันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของผู้สืบสายเลือดเนเวอเรน ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยฉายแววเย็นชาอยู่ตลอดเวลา ทว่าเมื่อยามที่เขามองลูกชายและหญิงที่เขารัก กลับทอประกายอ่อนโยนออกมา ดวงตาสีแดงของครอสเทลและคอร์ดีอาก็ได้รับมาจากเขาคนนี้ และเขาเป็นผู้มอบผมสีบลอนด์ให้แก่คอร์ดีอา…ไดเดเรย์ เนเวอเรน คุณพ่อของพวกเขา
โลนาเอล ฟานินต์ เนเวอเรน เป็นหญิงจากตระกูลขุนนางเก่าแก่ผู้เป็นภรรยาของผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีฟ้าใส สัญลักษณ์ของตระกูลฟานินต์ เป็นผู้ถ่ายทอดสีผมให้แก่ครอสเทล มอบสีผมและสีตาให้แก่เคอลินซ์ ยัดเยียดใบหน้าสวยหวานให้แก่คอร์ดีอา
ผู้ชายตระกูลเนเวอเรนขึ้นชื่อด้านความหน้าตาดี ในขณะเดียวกันก็ขึ้นชื่อด้านความร้ายกาจเช่นเดียวกัน
เพราะคอร์ดีอาได้รับเชื้อสายเนเวอเรนเข้มข้นมาจากผู้เป็นพ่อ ทั้งสีผม สีตา แม้ใบหน้าจะสวยมากเกินกว่าที่จะเรียกว่าหล่อเหลา แต่ก็มีแววตาที่มีประกายเฉียบขาด เหล่าญาติมิตรหรือคนรู้จักจึงคิดว่าในอนาคตเขาต้องได้ขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไป แน่ๆ หากมีบุตรสาว พวกเขาเหล่านั้นก็จะรีบนำหล่อนมาทำความรู้จักกับเขา
เด็กหนุ่มหาได้สนใจไม่ เขามักจะทำให้คุณหนูพวกนั้นหน้าแตก หรือพูดด้วยถ้อยคำเจ็บแสบเย็นชาจนพวกเธอกลัวเขา และไม่กล้าโผล่หน้ามาอีก
อันที่จริงแค่เห็นใบหน้าที่สวยกว่าตัวเองพวกเธอก็ชักจะอายบ้างแล้วล่ะ
คอร์ดีอาเป็นคนที่นิยมชมชอบความรุนแรง ค่อนข้างจะเถื่อนด้วยซ้ำไป อาจเป็นเพราะเขาเกิดมาในตระกูลนักรบก็เป็นได้ แต่เขาหาได้เอาดีในด้านดาบ คอร์ดีอาสามารถใช้เวทย์มนตร์ได้ดีกว่าดาบที่เป็นของเล่นชิ้นแรกเสียอีก
เขาไม่ชอบใบหน้าสวยๆที่แม่มอบให้ แบบนี้มันไม่สมชายชาตรีเลยซักนิด ขนาดไดแอนน์เป็นผู้หญิงแท้ๆยังหล่อกว่าเขาเลย ชื่อคอร์ดีอาเหมือนผู้หญิง ถ้าเรียกชื่อเล่นว่าคอร์เดียก็ยิ่งเหมือนผู้หญิงเข้าไปใหญ่
ดังนั้นแล้วเขาจึงบังคับให้ทุกคนเรียกตัวเองว่า ‘คอร์’
เขาไม่เคยเรียกครอสเทลว่าพี่ชาย
ด้วยเหตุผลปัญญาอ่อน…ถึงครอสเทลจะอายุเพียงสิบขวบ ใบหน้าของลูกชายคนโตแห่งเนเวอเรนก็ฉายแววหล่อเหลามาแต่เด็ก คอร์ดีอาพูดจาหาเรื่องพี่ทุกวัน พ่อแม่ของเขาเองก็เหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะห้าม
สองคนนี้ไม่ค่อยญาติดีกันเท่าไหร่ (คอร์ดีอาอคติฝ่ายเดียวมากกว่า)
แต่พอมีเคอลินซ์ เนเวอเรน คอร์ดีอาจึงเลิกนิสัยแบบนั้น
ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อนาย
ถึงฉันจะบอกว่านายโกรธเกลียดฉันได้ตามสบายก็เถอะนะ
จริงๆแล้วฉันน่ะ...
ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย
วันนี้วันที่ 12 พฤษภาคม
คอร์ดีอาคิดกับตัวเองในใจหลังจากลืมตาตื่นได้ไม่นาน ดวงตาสีแดงทับทิมเหม่อมองเพดานสีขาวซักพักก่อนเบนหน้าไปทางซ้าย หน้าตาหล่อเหลาแสนน่าอิจฉา เห็นทีไรเป็นต้องหงุดหงิดของพี่ชายก็ปรากฏขึ้นมา
อยากต่อยให้เละเป็นบ้า
เขาบ่นในใจแล้วลุกขึ้นจากเตียง เพราะแรงสั่นไหวเมื่อมีน้ำหนักกระแทกลงทำให้ครอสเทลตื่นขึ้นมาบ้าง เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบๆ หันหน้าไปมองน้องชายที่ยืนอยู่ข้างเตียง ตามด้วยการกระเด้งตัวขึ้นเหมือนนึกอะไรออก
“วันนี้คุณหนูวาเนสซ่าจะมา คอร์ นายอาบน้ำหรือยัง!?” ครอสเทลถามทันทีที่ได้สติ
คือ รู้สึกว่ากรูพึ่งตื่นก่อนเมิงไม่ถึงนาทีนะ...
คอร์ดีอาขมวดคิ้วหน้ายู่ แค่นเสียงหัวเราะ “น่าเบื่อจะตายชัก ยัยคุณหนูพวกนั้นแก่แดดจะตาย อายุสิบสามสิบสี่ก็วิ่งเต้นหาคู่ละ กลัวไม่มีใครเอาเหรอไง เฮอะ!”
“คอร์!” ผู้เป็นพี่ขึ้นเสียงดุ แม้ว่าจะเห็นด้วยกับน้องชายก็ตาม
“นายก็เหมือนกันครอส ทำตัววุ่นวายกับฉันอยู่ได้ ใครจะไปสนว่ายัยพวกนั้นจะมา ไม่ต้องตื่นมารายงานฉันทุกวันหรอกนะ”
“นายเด็กกว่าฉันหนึ่งปี คอร์ หัดมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่บ้าง เดี๋ยวเขาจะไปนินทากันให้สนุกปากว่าคนตระกูลเนเวอเรนมารยาทแย่กว่าคนที่นอน ข้างถนน” ครอสเทลพูดเสียงเรียบ เว้นวรรคหายใจแล้วพูดต่อ “ไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว เราไม่ควรสาย” คอร์ดีอาจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิดแต่ก็ยอมออกจากห้องไปแต่โดยดี
ท่านหญิงโลนาเอล ฟานินต์ เนเวอเรนให้กำเนิดบุตรชายคนแรก หนึ่งปีหลังจากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สอง กระแสกาลเวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ จากหนึ่งกลายเป็นสองวัน จากสามวันกลายเป็นหนึ่งอาทิตย์ จากหนึ่งอาทิตย์เป็นหนึ่งเดือน...จากหนึ่งเดือนกลายเป็นสิบสี่ปี
สิบห้าปีที่บุตรชายคนแรกเติบโตขึ้น และสิบปีที่บุตรชายคนที่สองเติบโตขึ้นมา
นิสัยของทั้งคู่เริ่มแสดงเห็นได้ชัดเมื่อโตขึ้น
ครอสเทล...เปรียบเสมือนสายน้ำ สงบนิ่ง เมื่อยามไหลเชี่ยวก็รุนแรงไม่แพ้สิ่งอื่นใด
คอร์ดีอา...เปรียบเสมือนเปลวไฟ ร้อนแรงและอันตรายเป็นที่สุด
ในขณะที่คอร์ดีอาเป็นคนปากร้ายขี้หงุดหงิดชอบทำอะไรบุ่มบ่ามบ้าระห่ำไม่คิด หน้าคิดหลัง ครอสเทลก็เป็นคนคอยที่ห้ามไม่ให้เขาคอยผิดพลาดด้วยความจริงจังกับทุกสิ่ง ทุกอย่างของเจ้าตัว
มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาและคนอื่นๆไม่รู้
นั่นก็คือความจริงที่ว่า พวกเขามีน้องชายอีกคน
คอร์ดีอานั่งหน้ามุ่ยอยู่ตรงโต๊ะอาหาร ใช้ส้อมเขี่ยอาหารในจาน ส่วนครอสเทลนั่งฝั่งเดียวกับน้องชายทำหน้านิ่งรับประทานอาหารอยู่เงียบๆ ไม่สนใจคุณหนูวาเนสซ่าที่กำลังส่งสายตาโลมเลีย (?) ตนเองเต็มที่...
น่ากินชิพลอสเลยค่า หมายถึงคนนะคะ หุหุหุ
หากสังเกตให้ดีคุณจะสามารถมองเห็นน้ำลายไหลหยดย้อยออกมาจากริมฝีปากของเด็กสาว
สองหนุ่มมัวแต่นั่งเงียบ อ้อ นี่เป็นยุคสมัยที่ผู้หญิงต้องรุกเข้าหาก่อนสินะคะ!
เด็กสาวไม่รอช้าเริ่มเปิดปากพูดทันที
“อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านครอสเทล ท่านคอร์ดีอา ดิฉันวาเนสซ่า แครีสค่ะ” วาเนสซ่าแนะนำตัวเสร็จสรรพ บรรจงกรีดยิ้มที่คิดว่างดงามที่สุด
หุหุ ทีนี้พวกคุณก็จะตอบมาว่ายินดีที่ได้รู้จัก เป็นเกียรติ์อย่างยิ่งที่ได้มารู้จักกับดิฉันสินะคะ โฮะๆๆ คิดแล้วเขินนิดหน่อยนะเนี่ย
คุณหนูวาเนสซ่าหัวเราะในใจ นั่งรอคอยคำตอบที่กำลังจะออกมาจากปากของฝ่ายชาย
คอร์ดีอาเงยหน้าขึ้น
“ใครถาม” ...ตอบกลับด้วยเสียงหงุดหงิด
หวะ..เหวย!
“เหรอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ถ้ายินดีก็อย่าทำหน้าบูดเป็นตูดลิงสิค้าท่านชาย
วาเนสซ่าหัวเราะแหะๆ พยายามเมินคำพูดเหล่านั้นแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ยามว่างพวกคุณชอบทำอะไรกันคะ ฟันดาบ ตกปลา ปีนเขา ดำน้ำ ปลูกต้นไม้ ปิ้งเห็ดขาย ทำอาหาร ล้างห้องน้ำ ขัดส้วม....”
อันหลังๆนี่มันทะแม่งๆนะ
คอร์ดีอายิ้ม “อัดคน”
“คะ…คะ??”
“ฉันชอบอัดคนเป็นงานอดิเรกน่ะ”
เอิ่ม โรคจิตมากค้าท่านชาย!!
“แหะๆ เป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจดีนะคะ แล้วท่านครอสเทลล่ะค้า ชอบทำอะไรเป็นงานอดิเรก...”
“ปลูกผัก” ว่าพลางตักสลัดเข้าปาก
นี่พวกคุณเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลหรือลูกชาวนากันแน่ค้า?
บรรยากาศมาคุน่าอึดอัดภายในห้องอาหารยังคงดำเนินต่อไปโดยมีคุณหนูวาเนสซ่าส่งเสียง เจื้อยแจ้วเล่าเรื่องราวต่างๆนาๆไม่หยุดปาก ส่วนลูกชายเจ้าของคฤหาสน์หลังโตก็นั่งเงียบไม่ออกความเห็นใดๆ
บังเอิญว่ากรูไม่ลดตัวไปพูดกับคนบ้าน่ะ
“…ด้วย ความดีใจที่ได้เจอท่านพ่อดิฉันเลยขว้างไวโอลินทิ้งกับพื้นจนแตก แล้วรีบกระโดดตีลังกาออกไปนอกหน้าต่าง อารมณ์ประมาณเจมส์ *ตึ้ด* 007 เลยล่ะค่าาาา! กะจะเซอร์ไพร์สท่านพ่อค่ะ แต่ไม่ทันระวังเลยหัวโหม่งดินหน้าจิ้มกองขี้ของเจ้าโทมัสซะงั้น”
“อนาถครับ” ครอสเทลพูด
“อุกรี้ด!! ตอนนั้นดิฉันอับอายและรู้สึกอัปรีย์มากค้า ถึงจะเป็นอุนจิจังของน้องหมาสุดรักก็เถอะ ฮือๆ ตอนนั้นท่านพ่อเดินผ่านมาพอดี ท่านเลยสั่งให้คนเอาดิฉันไปปล่อยไว้บนเกาะสามวันสามคืนค่า...” วาเนสซ่าเล่าต่อ
ตามหลักแล้ว เขาต้องเอาหมาไปทำโทษไม่ใช่เรอะ
“เพราะท่านพ่อรักโทมัสมากกว่าดิฉัน บอกว่าขนของมันสวยกว่าผมสีทองเงางามของฉันร้อยเท่า กรี้ด! ถึงโทมัสจะเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของดิฉัน แต่มาแย่งความรักจากท่านพ่อไปดิฉันไม่ยอมนะคะ ฮืออออ..”
เอิ่ม ก็สมควรแล้วล่ะ
“พอผ่านไปสามวันก็มีคนมารับดิฉันกลับบ้านค่ะ ในวินาทีแรกที่ดิฉันมองเห็นเรือรู้สึกดีใจเหมือนผู้ป่วยที่ได้ออกจากศรีธัญญาเลยค้า!”
เมิงพูดเหมือนเคยเข้าไปอยู่นะ
“ตอนกลับมาถึงบ้านดิฉันตั้งใจจะสั่งให้คนเอาเจ้าโทมัสไปปล่อยไว้ในสวนสัตว์ค่ะ มันจะได้ไม่มาแย่งความรักจากท่านพ่อไป...”
เอาหมาไปปล่อยในสวนสัตว์ เมิงบ้าหรือเปล่าครับ!?
แต่เมิงอิจฉาหมานี่บ้ายิ่งกว่า...
“แต่ว่า เจ้าโทมัสมันไม่อยู่แล้วค่ะ”
“…”
คุณหนูวาเนสซ่าหุบยิ้ม ใบหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ “ฮ่ะๆ ท่านพ่อบอกว่ามันป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย พึ่งตายไปเมื่อเช้านั้นเอง...”
ดราม่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวช่อง 7
“น่าแปลกมาก ในตอนแรกดิฉันยังโกรธและเกลียดมันอยู่แท้ๆ พอรู้ว่ามันตายแล้วกลับยิ้มไม่ออกซะงั้น”
“ดิฉันอยากให้มันกลับมาค่ะ ถึงหน้าจะต้องถูกละเลงไปด้วยกองขี้อีกครั้ง หรือต่อให้มันแย่งความรักจากท่านพ่อไปจนหมด ดิฉันก็ยอม...”
“ขอแค่ห้านาทีก็ได้ ขอให้มันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ขอให้ดิฉันได้พูดกับมันหน่อยเถอะ”
“...ดิฉันนี่งี่เง่าชะมัด ดันเล่าเรื่องน่าอายแบบนี้ให้พวกคุณฟัง”
“...”
“อร๊ายยย!! ดิฉันอยากเอาหน้ามุดดินค่ะ กรี้ดดดดดด!! นี่ดิฉันพูดอะไรออกไปเนี่ย!! ฮืออออ โทมัส... อ้ากกกกกกกก!! ท่านพ่อขา วาเนสซ่าอยากกินเป็ด!! ขอโสมเกาหลีตังกุยจับด้วยก็ดีนะค้า!”
อารมณ์ดราม่าของคุณหนูวาเนสซ่าถูกแทนที่ด้วยความบ้าเต็มสตรีม
คอร์ดีอาใช้หางตามองสตรีเพียงหนึ่งเดียวในห้องด้วยความสมเพช พยายามไม่สนใจหล่อน ทว่าเรื่องราวที่เล่าออกมาจากปากเล็กๆนั่น เขารับรู้มันทั้งหมด ครอสเทลนั่งฟังอย่างมีมารยาท ใบหน้าเรียบเฉย ต่อให้ท่านหญิงตรงหน้าปล่อยมุกตลกขำกรามค้างก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะหัวเราะ หรืออมยิ้มแม้แต่น้อย
วาเนสซ่ารู้ดีว่าท่านชายทั้งสองตรงหน้าไม่ได้สนใจเธอ ออกจะรำคาญด้วยซ้ำไป การที่พวกเขายังนั่งอยู่ตรงนี้ก็แค่ทำตามมารยาทเท่านั้น ใช่ว่าเธอจะสนใจพวกเขา แต่การมาที่นี่ มานั่งพล่ามเรื่องราวบ้าๆบอๆให้ฟังก็เพราะท่านพ่อของเธอนั่นล่ะ
เพื่อท่านพ่อที่เป็นที่รักของเธอ เธอทำได้ทุกอย่าง และเธอจะทำทุกอย่างที่อยากทำ
ก่อนที่เธอจะเสียท่านพ่อไปโดยที่ยังไม่ได้ทำตามที่ใจต้องการ
เหมือนการที่เธอสูญเสียโทมัส
“วันนี้ดิฉันมีความสุขมากค่ะ” วาเนสซ่ายิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ขอบคุณที่รับฟังเรื่องราวของดิฉัน”
“หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะคะ” เด็กสาวลูกขึ้นจากเก้าอี้ชั้นดีด้วยท่าทางสง่างาม บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับไว้
สองศรีพี่น้องกู่ร้องด้วยความดีใจในความคิดเมื่อเห็นท่าทีว่าคุณหนูวาเนสซ่า กำลังจะจากไปแล้ว คอร์เดียรีบพุ่งไปเปิดประตูให้เธอได้เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ครอสเทลเปลี่ยนจากหน้าอมทุกข์เป็นการยิ้มเล็กน้อย เดินนำเด็กสาวไปที่ประตูหน้าคฤหาสน์
“ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” ผู้เป็นพี่กล่าว
รถยนต์สีขาวของตระกูลแครีสจอดรออยู่บริเวณน้ำพุ ในขณะที่วาเนสซ่ากำลังจะเปิดประตูรถนั่นเอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
มอเตอร์ไซค์สีดำสนิทแล่นเข้ามาจอดข้างๆรถยนต์ของตระกูลแครีสด้วยความเร็วสูง ชนิดที่ว่าฝุ่นตลบคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ สองท่านชายหนึ่งคุณหนูหลับตาไอคอกแคกเป็นบ้าหลัง
ดูเหมือนว่าผู้มาใหม่จะสวมหมวกกันน็อคปิดบังหน้าตาไว้ เมื่อดับเครื่องแล้วเขาก็ค่อยๆถอดหมวกกันน็อคออกไปจากศีรษะ โยนมันลงไปในบ่อน้ำพุจนเกิดเสียงดัง ‘จุ๋ม’
ฝุ่นควันเริ่มเบาบางลงก็ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่าผู้มาใหม่คือใคร
“เฮ้ย! ทำอะไรกันอยู่วะ ขอข้าร่วมวงด้วยสิ!” น้ำเสียงห้าวๆอันเป็นเอกลักษณ์...
‘ไดแอนน์ ฟินน์’
เด็กสาวผู้แมนกว่าใครบางคนแถวนี้เสียอีก
ความคิดเห็น