คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เจ้าสาวฟันน้ำนม (2)
บทที่ 1
เจ้าสาวฟันน้ำนม (2)
เพราะเป่ยจ้านจื้อเป็นเศรษฐีอันดับต้น
ๆ ของเมืองต้าเหลียง บ้านของคนผู้นี้จึงโอ่อ่าสมฐานะ แค่กำแพงบ้านก็ยาวเหยียดกว่าทุกกำแพงที่เคยพบเห็นมา
เพียงยื่นเทียบเชิญให้บ่าวรับใช้ที่คอยยืนต้อนรับอยู่หน้าบ้าน ทั้งสองพ่อลูกก็ถูกพาไปยังเรือนรับรองซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงาน
ภายในห้องเป็นทรงแปดเหลี่ยม
ประตูและหน้าต่างถูกเปิดออกกว้างเพื่อรับลม รอบ ๆ
เรือนรับรองนั้นเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ กลางบึงมีรูปปั้นปลานำโชค นอกจากปลูกดอกบัวเอาไว้ยังมีปลาสีสวยตัวโตแหวกว่าย
เฉินป๋อหลินที่เพิ่งมาเยือนบ้านสกุลเป่ยเป็นครั้งแรกก็รู้สึกทึ่งไม่น้อย
เขาไม่เคยเห็นใบบัวที่ไหนมีขนาดใหญ่ชนิดที่เด็กสามารถลงไปนอนเล่นได้มาก่อน นอกจากนี้อาณาเขตของบ้านสกุลเป่ยก็กว้างขวางเรือนหมู่ก็ล้วนงดงาม
มองไปทางไหนก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ และดอกไม้ ดูเจริญหูเจริญตาไปเสียหมด
“เชิญนายท่านทั้งสองตามสบายเจ้าค่ะ ข้าจะไปเรียนนายท่านให้ทราบ”
พอบ่าวรับใช้ออกไปแล้ว เฉินป๋อหลินก็หาที่นั่ง รินชาใส่ถ้วยหยกขาวสองถ้วย
พร้อมกับยื่นให้บิดาได้ดื่มดับกระหาย
“บ้านสกุลเป่ยโอ่อ่ายิ่งนัก หากไม่รู้ว่าเป็นพ่อค้า
ข้าคงคิดว่าเป็นจวนของขุนนางหรือไม่ก็เป็นที่ประทับของราชวงศ์”
คนเป็นลูกออกความเห็นพลางยกถ้วยชาขึ้นสูดกลิ่นหอม ค่อย ๆ จิบชา
ช่างเป็นชาชั้นเลิศเสียเหลือเกิน...
“จ้านจื้อกว้างขวางรู้จักคนไปทั่ว เพราะแบบนี้ไงข้าถึงอยากแนะนำเจ้าให้รู้จักสหายผู้นี้
ก็ไม่แน่นะ บางทีเราสองตระกูลอาจได้เป็นดองกัน” เฉินโจวจูกล่าวอย่างเปิดใจ เขามองออกแต่แรก
นี่ย่อมไม่ใช่แค่งานเลี้ยงวันเกิด แต่มันคือการพบปะสังสรรค์เพื่อผูกด้ายแดง
คนเป็นลูกอย่างเฉินป๋อหลินกลับขมวดคิ้วยุ่ง “สกุลเป่ยร่ำรวยถึงเพียงนี้
เขาจะมาดองกับเราหรือ ฐานะบ้านสกุลเฉินแม้จะไม่น้อยหน้าใคร
แต่หากเทียบกับสกุลเป่ยนับว่าห่างชั้นอยู่มาก แค่หมอรักษาคนตามชนบท
คุณสมบัติไม่น่าจะผ่าน”
“เรื่องแบบนี้อยู่ที่วาสนาใช่ฐานะ ก็ไม่แน่นะเฒ่าจันทราอาจผูกด้ายแดงที่เจ้ากับคุณหนูเป่ยก็ได้”
ท่านหมอเฉินกล่าวกับลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่คนฟังอย่างเฉินป๋อหลินกลับย่นจมูก
พวกผู้ใหญ่ก็เป็นเสียแบบนี้ ชอบจับคู่ให้ลูกหลาน
พอใกล้ถึงเวลางาน แขกเหรื่อต่างก็ทยอยมารวมตัวที่บ้านสกุลเป่ย
เฉินป๋อหลินผู้รักสันโดษจำต้องอยู่ข้างบิดาเพื่อรักษามารยาท ดูแล้วงานเลี้ยงวันเกิดคุณชายน้อยบ้านสกุลเป่ยเหมือนงานเลี้ยงสังสรรค์ของสหายเจ้าของบ้านมากกว่า
เขาเห็นเจ้าของวันเกิดนั้นออกมาคารวะสหายของบิดาได้ประเดี๋ยวก็ขอกลับไปพักผ่อน
เพียงเพราะสุขภาพของคุณชายเป่ยนั้นไม่ค่อยแข็งแรง เป็นเช่นนั้นเป่ยจ้าวจื้อจึงต้องรับแขกด้วยตัวเอง
รวมทั้งคอยรับของขวัญแทนลูกชาย
พอตกค่ำแขกเหลือที่มาต่างก็แยกย้ายกันกลับไป
แม้แต่สองพ่อลูกบ้านสกุลเฉินก็ตั้งใจกลับไปพักที่โรงเตี๊ยม
ท่านหมอเฉินและลูกชายกำลังจะกล่าวลาเจ้าของบ้าน ทว่าอยู่ ๆ บ่าวรับใช้ก็วิ่งหน้าตั้งมารายงานประมุขของบ้านว่าคุณชายน้อยไม่สบาย
นอกจากคลื่นไส้ อาเจียน ตัวร้อนแล้วคุณชายน้อยยังถ่ายท้อง พอทราบเรื่องเป่ยจ้านจื้อก็ขอร้องท่านหมออย่างเฉินโจวจูให้ช่วยไปตรวจดูอาการป่วยของเป่ยเสี่ยวหลาง
หลังจากตรวจดูอาการอย่างละเอียด ท่านหมอเฉินก็เขียนใบสั่งยา
รวมถึงช่วยเช็ดตัวเพื่อลดความร้อนให้กับคนไข้
“ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” คนเป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงกังวล
“ไข้ยังสูง ดูจากอาการน่าจะติดเชื้อทางเดินอาหาร
เจ้ารีบเอาใบสั่งยานี่ไปจัดยามา แล้วต้มให้คุณชายน้อยกิน อาการจะได้ทุเลา”
“เฮ้อ... ดึกป่านนี้แล้ว ร้านขายยาที่ไหนจะเปิด” เป่ยจ้านจื้อแย้ง
“ก็ร้านขายสมุนไพรบ้านเจ้าไง ให้คนไปเอามา ลูกเจ้ากินแล้วอาการจะได้ดีขึ้น”
ท่านหมอเฉินบอกยืดยาว
“ช่วงหลังข้าไม่ได้รับสมุนไพรมาขายแล้วสิ เกรงว่าตัวยาที่เจ้าเขียนไว้ในใบสั่งยาจะไม่มี”
“ก็ลองไปดูก่อน ขาดเหลืออะไรค่อยว่ากัน”
ท่านหมอเฉินกล่าวพลางลอบถอนหายใจ
ดังนั้นเป่ยจ้านจื้อจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ชายรีบไปยังร้านขายสมุนไพรบ้านสกุลเป่ย
ผ่านไปครู่ใหญ่บ่าวรับใช้ก็นำสมุนไพรที่ต้องการมาให้ ทว่าตัวยาก็ได้มีไม่ครบ
“ตัวยาสำคัญขาดไป ยาไม่ครบสูตรคงใช้ไม่ได้ผล”
ท่านหมอเฉินที่ตรวจดูสมุนไพรเอ่ย
“จะทำยังไงล่ะทีนี้?” เป่ยจ้านจื้อมองหน้าสหาย
“ท่านพ่อ ของขวัญวันเกิดของคุณชายเป่ยมีสมุนไพรที่ว่า
ข้าเป็นผู้หามาเอง ข้าจำได้” เฉินป๋อหลินที่เป็นผู้ช่วยบิดาเอ่ยขึ้น
เขาไม่ใช่หมอแต่ก็พอมีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง ทั้งนี้เพราะเขาคลุกคลีอยู่กับบิดามาตั้งแต่เล็กจนโต
“จริงด้วย ว่าแต่ห่อของขวัญที่ข้าให้คุณชายเป่ยอยู่ไหนหรือ
รีบเอามาเร็ว” ท่านหมอเฉินกล่าวกับท่านพ่อบ้าน
ในห้องพักของคนไข้จึงค่อนข้างวุ่นวาย
“แย่แล้ว! เสี่ยวหลางเป็นอะไร?”
เป่ยจ้านจื้อถึงกับหน้าถอดสี ตกใจเมื่อเห็นลูกชายร่างกายชักกระตุกเกร็ง
“พวกเจ้าที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน เอาน้ำมาเพิ่ม อาหลินเจ้ารีบช่วยท่านพ่อบ้านจัดการเรื่องยา”
มอบหน้าที่ให้ทุกคนแล้วท่านหมอเฉินก็มาดูแลคนไข้ที่เป็นลมชัก
เขาใช้เวลากว่าครึ่งก้านธูปก็สามารถทำให้คนป่วยสงบและไข้ลดลงได้ ถึงอย่างนั้นอาการของคุณชายน้อยบ้านสกุลเป่ยก็ยังน่าเป็นห่วง
อีกทั้งต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด มิเช่นนั้นหากไข้ขึ้นก็อาจจะกลับมาชักได้อีก
เมื่อได้ยาต้มมาแล้ว ท่านหมอเฉินก็ป้อนยาให้คนไข้ รอดูอาการอีกพักใหญ่คนไข้มีอาการดีขึ้น
ท่านหมอเฉินก็หันไปพูดกับทุกคน
“พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ข้าจะดูแลคุณชายเป่ยเอง”
“เช่นนั้นข้าขอเฝ้าไข้กับท่านพ่อ” เฉินป๋อหลินอาสา
“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว แค่เช็ดตัวไม่ให้ไข้ขึ้นกับคอยให้ยาทุกชั่วยามอาการคุณชายน้อยก็น่าจะดีขึ้น”
“เช่นนั้นเจ้าสองพ่อลูกไปพักผ่อนเถิด
ข้าจะให้คนช่วยดูแลเสี่ยวหลางเอง”
ท่านหมอเฉินมองหน้าลูกชาย แล้วเอ่ยขึ้น “นี่ก็ดึกมาแล้ว
โรงเตี๊ยมที่ข้าพักคงปิดแล้ว เห็นทีคืนนี้...”
“ใครจะใจร้ายให้เจ้าสองพ่อลูกไปพักโรงเตี๊ยมเล่า
ข้าสั่งคนจัดห้องพักให้พวกเจ้าแล้ว ไปพักเถิด” เป่ยจ้านจื้อผายมือเชิญ ทั้งยังหันไปสั่งบ่าวรับใช้เสียงเข้ม
“พาท่านหมอเฉินไปที่ห้องพัก”
“เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงคุณชายเป่ยค้อมศีรษะน้อมรับคำสั่ง
“เชิญท่านทั้งสองทางนี้เจ้าค่ะ”
ท่านหมอเฉินตามไป เขาได้พักอยู่ห้องข้าง ๆ ห้องของคุณชายน้อย ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกหากมีเรื่องด่วนจะได้ดูแลคนไข้ได้อย่างใกล้ชิด
ส่วนเฉินป๋อหลินนั้นถูกพาไปยังห้องพักซึ่งเป็นเรือนรับรองหลังเล็ก
มีไว้สำหรับต้อนรับแขกโดยเฉพาะ
“ที่นี่คือห้องพักของท่าน
หากคุณชายต้องการสิ่งใดก็สามารถเรียกหาข้าได้” ไม่เพียงบอกกล่าว สาวใช้ยังส่งสายตามีความหมายมาให้
เฉินป๋อหลินแม้จะเห็น แต่เขาก็ไม่สนใจ “เจ้าไปได้แล้ว
ข้าจะพักผ่อน”
“เจ้าค่ะ” แม้จะเสียดายที่คุณชายรูปงามไม่เล่นด้วย
แต่การได้ใกล้ชิดชายรูปงามปานหยกก็นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ดังนั้นนางจึงจากไปโดยดี
ได้ที่พักและได้รับความเป็นส่วนตัวเฉินป๋อหลินก็รีบเข้าห้อง
เขาไม่ได้สำรวจข้าวของใด ๆ ภายในห้อง นอกเสียจากดับเทียนบนโต๊ะแล้วเดินไปที่เตียงนอน
จัดการถอดรองเท้าและเสื้อคลุมออกเขาก็ล้มตัวนอน
เพียงครู่เดียวเขาก็ดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา
อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียสะสมที่เกิดจากการเดินทางไกล
อีกทั้งตอนงานเลี้ยงเขาได้ดื่มเหล้าเข้าไปจำนวนหนึ่ง พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับสบายทั้งคืน
ทว่าเขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแจ้ว ๆ ของใครบางคนดังอยู่ใกล้หู
“เจ้าคนเสียมารยาท นี่มันเตียงของข้า
เจ้ามานอนเตียงข้าได้อย่างไร?”
เฉินป๋อหลินยังอยู่ในภาวะสะลึมสะลือเพราะยังตื่นไม่เต็มตา
เขาได้ยินแต่เสียงแจ้ว ๆ ไม่ทันเห็นหน้าคนพูด จนกระทั่ง...
พลั่ก!!
แรงหนึ่งเล่นงานจากทางด้านหลัง
เขาซึ่งนอนตะแคงก็วูบตกจากเตียงเพราะแรงยันนั้นทันที
“โอ๊ย” ครางออกมาด้วยความเจ็บ เฉินป๋อหลินก็ตื่นเต็มตา
เขานอนแผ่สองสลึงบนพื้นอย่างหมดสภาพ พอมองไปที่เตียง
ดวงตาคู่คมก็เบิ่งกว้างถึงกับอุทานออกมา
พร้อมดีดตัวลุกขึ้นนั่งทั้งยังขยับตัวถอยห่างจากเตียง
“ผี!! ผีเด็ก!!”
“ผีบ้านเจ้าสิ!!”
ผีเด็กหน้าตาขาวโพลน รอบเบ้าตาทั้งสองข้างมีรอยแดง ผมเฝ้ายุ่งเหยิงโต้กลับ
เฉินป๋อหลินชะงัก
แสงแดดอ่อนอุ่นยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องก็เห็นว่าร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงนอนทำหน้าขมึงขึงขังนั้นมิได้โปร่งแสง
รูปกายที่ปรากฏดูเหมือนคนธรรมดา
เพียงแต่เจ้าเด็กคนนี้ดูแปลกประหลาดกว่าเด็กทั่วไปก็ตรงที่นางแต่งหน้า
และตอนนี้นางอาจจะกำลังโกรธเขาอยู่ก็เป็นได้ จึงได้ ‘ถีบ’ เขาตกเตียง
“เจ้าเป็นใคร มานอนเตียงเดียวกับข้าได้อย่างไร?!” น้ำเสียงของเจ้าเด็กผีดูไม่พอใจมากมาย
เฉินป๋อหลินกะพริบตาพลางชี้ตัวเอง “เจ้าหมายถึงข้าเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ เจ้าไม่รู้เหรอว่าชายหญิงที่ไม่ใช่สามีภรรยาห้ามนอนร่วมเตียงเดียวกัน”
นางถูกอบรมสั่งสอนมาเช่นนั้น แต่อยู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้มานอนร่วมเตียงกับนาง
เจอแบบนี้มันน่าโมโหนัก
เฉินป๋อหลินนิ่วหน้า พอจับคำพูดของเด็กน้อยได้
เขาก็หัวเราะขำจนน้ำตาไหล
“เจ้าคนถ่อย เจ้าขำอะไร?!!”
“ข้าก็ขำเจ้าน่ะสิ ใครจะไปคิดอะไรกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้า
อีกอย่างท่านเป่ยอนุญาตให้ข้าพักที่นี่” ชายหนุ่มอธิบาย แล้วหรี่ตามองเด็กน้อยที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเตียง
“ว่าแต่... ผีน้อยอย่างเจ้าเป็นใครกัน?”
ผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ผีน้อย’
กรี๊ดลั่นห้อง ทั้งยังลุกขึ้นยืนชี้หน้า
“บังอาจ!! ข้าไม่ใช่ผีน้อย เจ้าคนเสียมารยาท!!” เจ้าผีน้อยลุกขึ้นยืนเอามือชี้หน้า
เฉินป๋อหลินเห็นกิริยาของเจ้าเด็กที่วางท่าทางใหญ่โต ทั้งยังชี้หน้าเขาก็นึกสนุกอยากแกล้งเด็กขึ้นมาอีก
“ดูสภาพเจ้าสิ ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีตรงไหนที่เหมือนคน หากไม่เรียกว่าผีน้อย
แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร?”
ว่าแล้วเฉินป๋อหลินก็ลุกขึ้นไปหยิบคันฉ่องสำริดตรงโต๊ะแต่งหน้ามายื่นให้เจ้าเด็กจอมแสบได้ดูสารรูปตัวเอง
“เอ้าดูซะ เจ้าจะได้เห็นตัวเอง”
พอเขายื่นคันฉ่องให้เท่านั้น เสียงกรี๊ดแสบแก้วหูก็ดังขึ้นลั่นห้อง
จนชายหนุ่มต้องเอามือปิดหู รอให้เจ้าผีน้อยกรี๊ดเสร็จถึงได้พูดจากัน
“เจ้าจะแหกปากทำไม หนวกหูชะมัด”
“ทำไมหน้าข้าถึงเป็นเช่นนี้ไปได้!”
“เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใครล่ะ?” ชายหนุ่มย้อนถาม
ทั้งยังเอานิ้วก้อยแคะหู เพราะเสียงร้องของเจ้าเด็กน้อยแสบหูเสียเหลือเกิน ทว่าเสียงร้องของเจ้าเด็กแสบก็ทำให้บ่าวรับใช้พากันแห่มาที่เรือนรับรอง
ประตูห้องถูกเปิดออกโดยไม่มีการเคาะ ซ้ำผู้ที่มาก็มีสีหน้าตื่นตระหนก
“คุณหนู!! ท่านอยู่ที่นี่เอง พวกเราตามหาคุณหนูแทบแย่”
พอเจอหน้าพี่เลี้ยง เป่ยซีเจียวก็ร้องไห้จ้า
ทั้งยังโผเข้ากอดพี่เลี้ยงราวเด็กน้อยเสียขวัญ
“อาหยงช่วยข้าด้วย คนผู้นี้รังแกข้า เขาเป็นคนถ่อยนิสัยไม่ดี ฮือ”
ชี้นิ้วพร้อมให้ร้ายคนถ่อยที่ถูกถีบตกเตียงแล้ว
เป่ยซีเจียวก็บีบน้ำตาร้องไห้ใหญ่โต
ซวยแล้ว...
เฉินป๋อหลินอุทานในใจ
เพราะสายตาของบ่าวรับใช้ที่มองมายังเขาล้วนแล้วแต่เป็นสายตาตำหนิกล่าวโทษ
“อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าไม่ได้ทำอะไรนาง เป็นนางต่างหากที่ถีบข้าตกเตียง”
“เจ้าทำผิดยังไม่สำนึกอีกเหรอ
ชายหญิงที่ไม่ใช่สามีภรรยาไม่สมควรร่วมเตียง แต่เจ้ากลับร่วมเตียงกับข้าเมื่อคืน”
พูดออกมาแล้ว เป่ยซีเจียวก็แผดเสียงร้องไห้ออกมาอีก แต่พี่เลี้ยงของนางก็เอามือปิดปากนางไว้
เฉินป๋อหลินได้ฟังคำเจ้าเด็กผีก็ถึงกับเอามือกุมขมับ
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเด็กแสบนี่มานอนกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
“นี่เจ้าเด็ก พูดให้มันดี ๆ หน่อย
ข้าไม่เคยคิดร่วมเตียงกับเด็กผีอย่างเจ้าแม้แต่น้อย
ที่ข้ามาพักที่นี่เพราะท่านเป่ยจัดที่พักให้ข้าเป็นเรือนรับรองหลังนี้”
เมื่อคืนตอนเขาเข้ามาในห้องนี้ก็ดึกมากแล้ว
มาถึงเขาก็ขึ้นเตียงนอนเลย ไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าในห้องนี้มีใครอยู่ด้วย
นอนหลับสบายทั้งคืนแต่ต้องมาสะดุ้งตื่นเพราะเจอ ‘ผีเด็กหวงเตียง’เข้า
“อย่าไปเชื่อเขานะอาหยง คนผู้นี้แก้ตัว ฮือ... ไม่รู้ล่ะ ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านพ่อ
ท่านพ่อต้องเล่นงานเจ้าแน่!!” เป่ยซีเจียวร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม
หากแต่บ่าวรับใช้ต่างก็พากันส่ายหน้า เพราะรู้ดีว่าคุณหนูเล็กของบ้านนั้นซุกซนเพียงใด
และเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นความซนของนางเอง สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด
แต่อยู่ ๆ ก็มีบ่าวรับใช้อีกนางยกน้ำล้างหน้าเข้ามาในห้อง พอเห็นคุณหนูจอมซนและบรรดาพี่เลี้ยงก็นิ่วหน้า
“พวกเจ้ามาก่อความวุ่นวายอะไรที่นี่
ว่าแต่คุณหนูมาซุกซนที่นี่ได้อย่างไร ว้าย ทำไมหน้าตาคุณหนูถึงเป็นเช่นนี้”
“เออ...” พวกพี่เลี้ยงคุณหนูต่างก็พูดไม่ออก
“พวกเจ้ารีบพาคุณหนูไปอาบน้ำแต่งตัวซะขืนนายท่านมาเห็นเข้า
พวกเจ้าโดนลงโทษแน่” ไล่พี่เลี้ยงทั้งสามพร้อมกับคุณหนูเล็กของบ้านไปแล้ว
บ่าวรับใช้สาวผู้นี้ก็ยกน้ำล้างหน้าพร้อมผ้าเช็ดหน้ามาให้คุณชายเฉิน
“ต้องขอโทษแทนคุณชายด้วยที่มีเรื่องวุ่นวายแต่เช้า”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่เด็กเมื่อครู่เป็นใครกัน?”
“นางคือคุณหนูเป่ยซีเจียว ลูกสาวคนเล็กของนายท่านเจ้าค่ะ”
“อ้อ...” ได้ยินชื่อแซ่
เฉินป๋อหลินก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าเด็กผีไยถึงไม่กลัวเกรงใครเลย หนำซ้ำยังวางอำนาจบาตรใหญ่ถึงเพียงนี้
“คุณหนูเล็กสูญเสียมารดาตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงขาดความอบอุ่น
ขอคุณชายอย่าได้ถือสาเลย”
“ข้าน่ะไม่ถือสาหาความกับเด็กตัวแค่นี้หรอก
แต่คุณหนูของเจ้านี่สิ...” ดูท่าแล้วเรื่องคงไม่จบเท่านี้ เขานี่แหละที่ต้องปวดหัว
“คุณหนูถูกเลี้ยงดูตามใจมาตลอด ถึงได้เป็นเช่นนี้”
เฉินป๋อหลินได้แต่รับฟัง แล้วบ่าวรับใช้ก็เปลี่ยนเรื่อง
“ยังไงเชิญคุณชายไปรับมื้อเช้าที่เรือนหลังใหญ่นะเจ้าคะ
นายท่านกับท่านหมอเฉินรออยู่ที่นั่นแล้ว”
“ได้”
บ่าวรับใช้ออกไปแล้ว เฉินป๋อหลินก็หันมาจัดการตัวเอง เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่
ความคิดเห็น