ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าสาวฟันน้ำนม (นิยายจีนโบราณ)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 เจ้าสาวฟันน้ำนม (2)

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ย. 64







    บทที่ 1

    เจ้าสาวฟันน้ำนม (2)


    เพราะเป่ยจ้านจื้อเป็นเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของเมืองต้าเหลียง บ้านของคนผู้นี้จึงโอ่อ่าสมฐานะ แค่กำแพงบ้านก็ยาวเหยียดกว่าทุกกำแพงที่เคยพบเห็นมา เพียงยื่นเทียบเชิญให้บ่าวรับใช้ที่คอยยืนต้อนรับอยู่หน้าบ้าน ทั้งสองพ่อลูกก็ถูกพาไปยังเรือนรับรองซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงาน

    ภายในห้องเป็นทรงแปดเหลี่ยม ประตูและหน้าต่างถูกเปิดออกกว้างเพื่อรับลม รอบ ๆ เรือนรับรองนั้นเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ กลางบึงมีรูปปั้นปลานำโชค นอกจากปลูกดอกบัวเอาไว้ยังมีปลาสีสวยตัวโตแหวกว่าย

    เฉินป๋อหลินที่เพิ่งมาเยือนบ้านสกุลเป่ยเป็นครั้งแรกก็รู้สึกทึ่งไม่น้อย เขาไม่เคยเห็นใบบัวที่ไหนมีขนาดใหญ่ชนิดที่เด็กสามารถลงไปนอนเล่นได้มาก่อน นอกจากนี้อาณาเขตของบ้านสกุลเป่ยก็กว้างขวางเรือนหมู่ก็ล้วนงดงาม มองไปทางไหนก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ และดอกไม้ ดูเจริญหูเจริญตาไปเสียหมด

    “เชิญนายท่านทั้งสองตามสบายเจ้าค่ะ ข้าจะไปเรียนนายท่านให้ทราบ”

    พอบ่าวรับใช้ออกไปแล้ว เฉินป๋อหลินก็หาที่นั่ง รินชาใส่ถ้วยหยกขาวสองถ้วย พร้อมกับยื่นให้บิดาได้ดื่มดับกระหาย

    “บ้านสกุลเป่ยโอ่อ่ายิ่งนัก หากไม่รู้ว่าเป็นพ่อค้า ข้าคงคิดว่าเป็นจวนของขุนนางหรือไม่ก็เป็นที่ประทับของราชวงศ์” คนเป็นลูกออกความเห็นพลางยกถ้วยชาขึ้นสูดกลิ่นหอม ค่อย ๆ จิบชา

    ช่างเป็นชาชั้นเลิศเสียเหลือเกิน...

    “จ้านจื้อกว้างขวางรู้จักคนไปทั่ว เพราะแบบนี้ไงข้าถึงอยากแนะนำเจ้าให้รู้จักสหายผู้นี้ ก็ไม่แน่นะ บางทีเราสองตระกูลอาจได้เป็นดองกัน” เฉินโจวจูกล่าวอย่างเปิดใจ เขามองออกแต่แรก นี่ย่อมไม่ใช่แค่งานเลี้ยงวันเกิด แต่มันคือการพบปะสังสรรค์เพื่อผูกด้ายแดง

    คนเป็นลูกอย่างเฉินป๋อหลินกลับขมวดคิ้วยุ่ง “สกุลเป่ยร่ำรวยถึงเพียงนี้ เขาจะมาดองกับเราหรือ ฐานะบ้านสกุลเฉินแม้จะไม่น้อยหน้าใคร แต่หากเทียบกับสกุลเป่ยนับว่าห่างชั้นอยู่มาก แค่หมอรักษาคนตามชนบท คุณสมบัติไม่น่าจะผ่าน”

    “เรื่องแบบนี้อยู่ที่วาสนาใช่ฐานะ ก็ไม่แน่นะเฒ่าจันทราอาจผูกด้ายแดงที่เจ้ากับคุณหนูเป่ยก็ได้” ท่านหมอเฉินกล่าวกับลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่คนฟังอย่างเฉินป๋อหลินกลับย่นจมูก พวกผู้ใหญ่ก็เป็นเสียแบบนี้ ชอบจับคู่ให้ลูกหลาน

    พอใกล้ถึงเวลางาน แขกเหรื่อต่างก็ทยอยมารวมตัวที่บ้านสกุลเป่ย เฉินป๋อหลินผู้รักสันโดษจำต้องอยู่ข้างบิดาเพื่อรักษามารยาท ดูแล้วงานเลี้ยงวันเกิดคุณชายน้อยบ้านสกุลเป่ยเหมือนงานเลี้ยงสังสรรค์ของสหายเจ้าของบ้านมากกว่า

    เขาเห็นเจ้าของวันเกิดนั้นออกมาคารวะสหายของบิดาได้ประเดี๋ยวก็ขอกลับไปพักผ่อน เพียงเพราะสุขภาพของคุณชายเป่ยนั้นไม่ค่อยแข็งแรง เป็นเช่นนั้นเป่ยจ้าวจื้อจึงต้องรับแขกด้วยตัวเอง รวมทั้งคอยรับของขวัญแทนลูกชาย

    พอตกค่ำแขกเหลือที่มาต่างก็แยกย้ายกันกลับไป แม้แต่สองพ่อลูกบ้านสกุลเฉินก็ตั้งใจกลับไปพักที่โรงเตี๊ยม

    ท่านหมอเฉินและลูกชายกำลังจะกล่าวลาเจ้าของบ้าน ทว่าอยู่ ๆ บ่าวรับใช้ก็วิ่งหน้าตั้งมารายงานประมุขของบ้านว่าคุณชายน้อยไม่สบาย นอกจากคลื่นไส้ อาเจียน ตัวร้อนแล้วคุณชายน้อยยังถ่ายท้อง พอทราบเรื่องเป่ยจ้านจื้อก็ขอร้องท่านหมออย่างเฉินโจวจูให้ช่วยไปตรวจดูอาการป่วยของเป่ยเสี่ยวหลาง

    หลังจากตรวจดูอาการอย่างละเอียด ท่านหมอเฉินก็เขียนใบสั่งยา รวมถึงช่วยเช็ดตัวเพื่อลดความร้อนให้กับคนไข้

    “ลูกข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” คนเป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงกังวล

    “ไข้ยังสูง ดูจากอาการน่าจะติดเชื้อทางเดินอาหาร เจ้ารีบเอาใบสั่งยานี่ไปจัดยามา แล้วต้มให้คุณชายน้อยกิน อาการจะได้ทุเลา”

    “เฮ้อ... ดึกป่านนี้แล้ว ร้านขายยาที่ไหนจะเปิด” เป่ยจ้านจื้อแย้ง

    “ก็ร้านขายสมุนไพรบ้านเจ้าไง ให้คนไปเอามา ลูกเจ้ากินแล้วอาการจะได้ดีขึ้น” ท่านหมอเฉินบอกยืดยาว

    “ช่วงหลังข้าไม่ได้รับสมุนไพรมาขายแล้วสิ เกรงว่าตัวยาที่เจ้าเขียนไว้ในใบสั่งยาจะไม่มี”

    “ก็ลองไปดูก่อน ขาดเหลืออะไรค่อยว่ากัน” ท่านหมอเฉินกล่าวพลางลอบถอนหายใจ

    ดังนั้นเป่ยจ้านจื้อจึงสั่งให้บ่าวรับใช้ชายรีบไปยังร้านขายสมุนไพรบ้านสกุลเป่ย ผ่านไปครู่ใหญ่บ่าวรับใช้ก็นำสมุนไพรที่ต้องการมาให้ ทว่าตัวยาก็ได้มีไม่ครบ

    “ตัวยาสำคัญขาดไป ยาไม่ครบสูตรคงใช้ไม่ได้ผล” ท่านหมอเฉินที่ตรวจดูสมุนไพรเอ่ย

    “จะทำยังไงล่ะทีนี้?” เป่ยจ้านจื้อมองหน้าสหาย

    “ท่านพ่อ ของขวัญวันเกิดของคุณชายเป่ยมีสมุนไพรที่ว่า ข้าเป็นผู้หามาเอง ข้าจำได้” เฉินป๋อหลินที่เป็นผู้ช่วยบิดาเอ่ยขึ้น เขาไม่ใช่หมอแต่ก็พอมีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง ทั้งนี้เพราะเขาคลุกคลีอยู่กับบิดามาตั้งแต่เล็กจนโต

    “จริงด้วย ว่าแต่ห่อของขวัญที่ข้าให้คุณชายเป่ยอยู่ไหนหรือ รีบเอามาเร็ว” ท่านหมอเฉินกล่าวกับท่านพ่อบ้าน ในห้องพักของคนไข้จึงค่อนข้างวุ่นวาย

    “แย่แล้ว! เสี่ยวหลางเป็นอะไร?” เป่ยจ้านจื้อถึงกับหน้าถอดสี ตกใจเมื่อเห็นลูกชายร่างกายชักกระตุกเกร็ง

    “พวกเจ้าที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อน เอาน้ำมาเพิ่ม อาหลินเจ้ารีบช่วยท่านพ่อบ้านจัดการเรื่องยา” มอบหน้าที่ให้ทุกคนแล้วท่านหมอเฉินก็มาดูแลคนไข้ที่เป็นลมชัก

    เขาใช้เวลากว่าครึ่งก้านธูปก็สามารถทำให้คนป่วยสงบและไข้ลดลงได้ ถึงอย่างนั้นอาการของคุณชายน้อยบ้านสกุลเป่ยก็ยังน่าเป็นห่วง อีกทั้งต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด มิเช่นนั้นหากไข้ขึ้นก็อาจจะกลับมาชักได้อีก

    เมื่อได้ยาต้มมาแล้ว ท่านหมอเฉินก็ป้อนยาให้คนไข้ รอดูอาการอีกพักใหญ่คนไข้มีอาการดีขึ้น ท่านหมอเฉินก็หันไปพูดกับทุกคน

    “พวกเจ้าไปพักผ่อนเถอะ คืนนี้ข้าจะดูแลคุณชายเป่ยเอง”

    “เช่นนั้นข้าขอเฝ้าไข้กับท่านพ่อ” เฉินป๋อหลินอาสา

    “เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว แค่เช็ดตัวไม่ให้ไข้ขึ้นกับคอยให้ยาทุกชั่วยามอาการคุณชายน้อยก็น่าจะดีขึ้น”

    “เช่นนั้นเจ้าสองพ่อลูกไปพักผ่อนเถิด ข้าจะให้คนช่วยดูแลเสี่ยวหลางเอง”

    ท่านหมอเฉินมองหน้าลูกชาย แล้วเอ่ยขึ้น “นี่ก็ดึกมาแล้ว โรงเตี๊ยมที่ข้าพักคงปิดแล้ว เห็นทีคืนนี้...”

    “ใครจะใจร้ายให้เจ้าสองพ่อลูกไปพักโรงเตี๊ยมเล่า ข้าสั่งคนจัดห้องพักให้พวกเจ้าแล้ว ไปพักเถิด” เป่ยจ้านจื้อผายมือเชิญ ทั้งยังหันไปสั่งบ่าวรับใช้เสียงเข้ม “พาท่านหมอเฉินไปที่ห้องพัก”

    “เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงคุณชายเป่ยค้อมศีรษะน้อมรับคำสั่ง “เชิญท่านทั้งสองทางนี้เจ้าค่ะ”

    ท่านหมอเฉินตามไป เขาได้พักอยู่ห้องข้าง ๆ ห้องของคุณชายน้อย ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกหากมีเรื่องด่วนจะได้ดูแลคนไข้ได้อย่างใกล้ชิด ส่วนเฉินป๋อหลินนั้นถูกพาไปยังห้องพักซึ่งเป็นเรือนรับรองหลังเล็ก มีไว้สำหรับต้อนรับแขกโดยเฉพาะ

    “ที่นี่คือห้องพักของท่าน หากคุณชายต้องการสิ่งใดก็สามารถเรียกหาข้าได้” ไม่เพียงบอกกล่าว สาวใช้ยังส่งสายตามีความหมายมาให้

    เฉินป๋อหลินแม้จะเห็น แต่เขาก็ไม่สนใจ “เจ้าไปได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน”

    “เจ้าค่ะ” แม้จะเสียดายที่คุณชายรูปงามไม่เล่นด้วย แต่การได้ใกล้ชิดชายรูปงามปานหยกก็นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ดังนั้นนางจึงจากไปโดยดี

    ได้ที่พักและได้รับความเป็นส่วนตัวเฉินป๋อหลินก็รีบเข้าห้อง เขาไม่ได้สำรวจข้าวของใด ๆ ภายในห้อง นอกเสียจากดับเทียนบนโต๊ะแล้วเดินไปที่เตียงนอน จัดการถอดรองเท้าและเสื้อคลุมออกเขาก็ล้มตัวนอน เพียงครู่เดียวเขาก็ดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา

    อาจเป็นเพราะความอ่อนเพลียสะสมที่เกิดจากการเดินทางไกล อีกทั้งตอนงานเลี้ยงเขาได้ดื่มเหล้าเข้าไปจำนวนหนึ่ง พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับสบายทั้งคืน ทว่าเขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงแจ้ว ๆ ของใครบางคนดังอยู่ใกล้หู

    “เจ้าคนเสียมารยาท นี่มันเตียงของข้า เจ้ามานอนเตียงข้าได้อย่างไร?”

    เฉินป๋อหลินยังอยู่ในภาวะสะลึมสะลือเพราะยังตื่นไม่เต็มตา เขาได้ยินแต่เสียงแจ้ว ๆ ไม่ทันเห็นหน้าคนพูด จนกระทั่ง...

    พลั่ก!!

    แรงหนึ่งเล่นงานจากทางด้านหลัง เขาซึ่งนอนตะแคงก็วูบตกจากเตียงเพราะแรงยันนั้นทันที

    “โอ๊ย” ครางออกมาด้วยความเจ็บ เฉินป๋อหลินก็ตื่นเต็มตา

    เขานอนแผ่สองสลึงบนพื้นอย่างหมดสภาพ พอมองไปที่เตียง ดวงตาคู่คมก็เบิ่งกว้างถึงกับอุทานออกมา พร้อมดีดตัวลุกขึ้นนั่งทั้งยังขยับตัวถอยห่างจากเตียง

    “ผี!! ผีเด็ก!!

    “ผีบ้านเจ้าสิ!!” ผีเด็กหน้าตาขาวโพลน รอบเบ้าตาทั้งสองข้างมีรอยแดง ผมเฝ้ายุ่งเหยิงโต้กลับ

    เฉินป๋อหลินชะงัก แสงแดดอ่อนอุ่นยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องก็เห็นว่าร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงนอนทำหน้าขมึงขึงขังนั้นมิได้โปร่งแสง รูปกายที่ปรากฏดูเหมือนคนธรรมดา เพียงแต่เจ้าเด็กคนนี้ดูแปลกประหลาดกว่าเด็กทั่วไปก็ตรงที่นางแต่งหน้า และตอนนี้นางอาจจะกำลังโกรธเขาอยู่ก็เป็นได้ จึงได้ ถีบเขาตกเตียง

    “เจ้าเป็นใคร มานอนเตียงเดียวกับข้าได้อย่างไร?!” น้ำเสียงของเจ้าเด็กผีดูไม่พอใจมากมาย

    เฉินป๋อหลินกะพริบตาพลางชี้ตัวเอง “เจ้าหมายถึงข้าเหรอ?”

    “ก็ใช่น่ะสิ เจ้าไม่รู้เหรอว่าชายหญิงที่ไม่ใช่สามีภรรยาห้ามนอนร่วมเตียงเดียวกัน” นางถูกอบรมสั่งสอนมาเช่นนั้น แต่อยู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้มานอนร่วมเตียงกับนาง เจอแบบนี้มันน่าโมโหนัก

    เฉินป๋อหลินนิ่วหน้า พอจับคำพูดของเด็กน้อยได้ เขาก็หัวเราะขำจนน้ำตาไหล

    “เจ้าคนถ่อย เจ้าขำอะไร?!!

    “ข้าก็ขำเจ้าน่ะสิ ใครจะไปคิดอะไรกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้า อีกอย่างท่านเป่ยอนุญาตให้ข้าพักที่นี่” ชายหนุ่มอธิบาย แล้วหรี่ตามองเด็กน้อยที่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเตียง “ว่าแต่... ผีน้อยอย่างเจ้าเป็นใครกัน?”

    ผู้ที่ถูกเรียกว่า ผีน้อยกรี๊ดลั่นห้อง ทั้งยังลุกขึ้นยืนชี้หน้า

    “บังอาจ!! ข้าไม่ใช่ผีน้อย เจ้าคนเสียมารยาท!!” เจ้าผีน้อยลุกขึ้นยืนเอามือชี้หน้า

    เฉินป๋อหลินเห็นกิริยาของเจ้าเด็กที่วางท่าทางใหญ่โต ทั้งยังชี้หน้าเขาก็นึกสนุกอยากแกล้งเด็กขึ้นมาอีก

    “ดูสภาพเจ้าสิ ตั้งแต่หัวจรดเท้ามีตรงไหนที่เหมือนคน หากไม่เรียกว่าผีน้อย แล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร?” ว่าแล้วเฉินป๋อหลินก็ลุกขึ้นไปหยิบคันฉ่องสำริดตรงโต๊ะแต่งหน้ามายื่นให้เจ้าเด็กจอมแสบได้ดูสารรูปตัวเอง

    “เอ้าดูซะ เจ้าจะได้เห็นตัวเอง”

    พอเขายื่นคันฉ่องให้เท่านั้น เสียงกรี๊ดแสบแก้วหูก็ดังขึ้นลั่นห้อง จนชายหนุ่มต้องเอามือปิดหู รอให้เจ้าผีน้อยกรี๊ดเสร็จถึงได้พูดจากัน

    “เจ้าจะแหกปากทำไม หนวกหูชะมัด”

    “ทำไมหน้าข้าถึงเป็นเช่นนี้ไปได้!

    “เจ้าถามข้า แล้วข้าจะไปถามใครล่ะ?” ชายหนุ่มย้อนถาม ทั้งยังเอานิ้วก้อยแคะหู เพราะเสียงร้องของเจ้าเด็กน้อยแสบหูเสียเหลือเกิน ทว่าเสียงร้องของเจ้าเด็กแสบก็ทำให้บ่าวรับใช้พากันแห่มาที่เรือนรับรอง ประตูห้องถูกเปิดออกโดยไม่มีการเคาะ ซ้ำผู้ที่มาก็มีสีหน้าตื่นตระหนก

    “คุณหนู!! ท่านอยู่ที่นี่เอง พวกเราตามหาคุณหนูแทบแย่”

    พอเจอหน้าพี่เลี้ยง เป่ยซีเจียวก็ร้องไห้จ้า ทั้งยังโผเข้ากอดพี่เลี้ยงราวเด็กน้อยเสียขวัญ

    “อาหยงช่วยข้าด้วย คนผู้นี้รังแกข้า เขาเป็นคนถ่อยนิสัยไม่ดี ฮือ” ชี้นิ้วพร้อมให้ร้ายคนถ่อยที่ถูกถีบตกเตียงแล้ว เป่ยซีเจียวก็บีบน้ำตาร้องไห้ใหญ่โต

    ซวยแล้ว... เฉินป๋อหลินอุทานในใจ เพราะสายตาของบ่าวรับใช้ที่มองมายังเขาล้วนแล้วแต่เป็นสายตาตำหนิกล่าวโทษ

    “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าไม่ได้ทำอะไรนาง เป็นนางต่างหากที่ถีบข้าตกเตียง”

    “เจ้าทำผิดยังไม่สำนึกอีกเหรอ ชายหญิงที่ไม่ใช่สามีภรรยาไม่สมควรร่วมเตียง แต่เจ้ากลับร่วมเตียงกับข้าเมื่อคืน” พูดออกมาแล้ว เป่ยซีเจียวก็แผดเสียงร้องไห้ออกมาอีก แต่พี่เลี้ยงของนางก็เอามือปิดปากนางไว้

    เฉินป๋อหลินได้ฟังคำเจ้าเด็กผีก็ถึงกับเอามือกุมขมับ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเด็กแสบนี่มานอนกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

    “นี่เจ้าเด็ก พูดให้มันดี ๆ หน่อย ข้าไม่เคยคิดร่วมเตียงกับเด็กผีอย่างเจ้าแม้แต่น้อย ที่ข้ามาพักที่นี่เพราะท่านเป่ยจัดที่พักให้ข้าเป็นเรือนรับรองหลังนี้”

    เมื่อคืนตอนเขาเข้ามาในห้องนี้ก็ดึกมากแล้ว มาถึงเขาก็ขึ้นเตียงนอนเลย ไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าในห้องนี้มีใครอยู่ด้วย นอนหลับสบายทั้งคืนแต่ต้องมาสะดุ้งตื่นเพราะเจอ ผีเด็กหวงเตียงเข้า

    “อย่าไปเชื่อเขานะอาหยง คนผู้นี้แก้ตัว ฮือ... ไม่รู้ล่ะ ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อต้องเล่นงานเจ้าแน่!!” เป่ยซีเจียวร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม

    หากแต่บ่าวรับใช้ต่างก็พากันส่ายหน้า เพราะรู้ดีว่าคุณหนูเล็กของบ้านนั้นซุกซนเพียงใด และเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นความซนของนางเอง สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด แต่อยู่ ๆ ก็มีบ่าวรับใช้อีกนางยกน้ำล้างหน้าเข้ามาในห้อง พอเห็นคุณหนูจอมซนและบรรดาพี่เลี้ยงก็นิ่วหน้า

    “พวกเจ้ามาก่อความวุ่นวายอะไรที่นี่ ว่าแต่คุณหนูมาซุกซนที่นี่ได้อย่างไร ว้าย ทำไมหน้าตาคุณหนูถึงเป็นเช่นนี้”

    “เออ...” พวกพี่เลี้ยงคุณหนูต่างก็พูดไม่ออก

    “พวกเจ้ารีบพาคุณหนูไปอาบน้ำแต่งตัวซะขืนนายท่านมาเห็นเข้า พวกเจ้าโดนลงโทษแน่” ไล่พี่เลี้ยงทั้งสามพร้อมกับคุณหนูเล็กของบ้านไปแล้ว บ่าวรับใช้สาวผู้นี้ก็ยกน้ำล้างหน้าพร้อมผ้าเช็ดหน้ามาให้คุณชายเฉิน

    “ต้องขอโทษแทนคุณชายด้วยที่มีเรื่องวุ่นวายแต่เช้า”

    “ไม่เป็นไร ว่าแต่เด็กเมื่อครู่เป็นใครกัน?”

    “นางคือคุณหนูเป่ยซีเจียว ลูกสาวคนเล็กของนายท่านเจ้าค่ะ”

    “อ้อ...” ได้ยินชื่อแซ่ เฉินป๋อหลินก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าเด็กผีไยถึงไม่กลัวเกรงใครเลย หนำซ้ำยังวางอำนาจบาตรใหญ่ถึงเพียงนี้

    “คุณหนูเล็กสูญเสียมารดาตั้งแต่นางยังเล็ก นางจึงขาดความอบอุ่น ขอคุณชายอย่าได้ถือสาเลย”

    “ข้าน่ะไม่ถือสาหาความกับเด็กตัวแค่นี้หรอก แต่คุณหนูของเจ้านี่สิ...” ดูท่าแล้วเรื่องคงไม่จบเท่านี้ เขานี่แหละที่ต้องปวดหัว

    “คุณหนูถูกเลี้ยงดูตามใจมาตลอด ถึงได้เป็นเช่นนี้”

    เฉินป๋อหลินได้แต่รับฟัง แล้วบ่าวรับใช้ก็เปลี่ยนเรื่อง

    “ยังไงเชิญคุณชายไปรับมื้อเช้าที่เรือนหลังใหญ่นะเจ้าคะ นายท่านกับท่านหมอเฉินรออยู่ที่นั่นแล้ว”

    “ได้”

    บ่าวรับใช้ออกไปแล้ว เฉินป๋อหลินก็หันมาจัดการตัวเอง เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังใหญ่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×