คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1
Chapter 1
กรุ๊ง~กริ๊ง~
เสียงของใสๆที่คล้ายเสียงของกระดิ่งหรืออะไรสักอย่างเรียกให้ร่างที่หลับตาอยู่ปรือขึ้นมา เด็กลืมตาขึ้นมาสิ่งที่เขาพบคือเขาอยู่ในที่ที่มีแต่สีขาวและแสงสว่างที่ส่องไปทั่วทำให้แสบตาในตอนแรก แต่พอดวงตาปรับเข้ากับแสงได้เขาก็เริ่มสำรวจรอบตัวต่ออีกครั้ง เขานอนอยู่บนแท่นที่ยกสูงขึ้นมาจากพื้น ชุดที่สวมอยู่ก็เป็นสีขาวทั้งตัว เสียงกระดิ่งที่เขาได้ยินในตอนแรกคงมาจากกระดิ่งเงินที่ลอยอยู่ข้างๆแท่นนั้น และยังมีกระจกที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเขา นอกนั้นแล้วที่นี้เรียกได้เลยว่าว่างเปล่า
เขาหลับตารวบรวมความคิดพยายามนึกให้ออกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่สิ่งที่พบกับมีเพียงความว่างเปล่าสมองของเขาไม่ประมวลผลอะไรเลย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขารู้คือเขาต้องกลับไป แม้จะไม่รู้ว่าจะต้องกลับไปที่ไหนก็ตาม
เมื่อจนปัญญาจะนึกเขาก็ลุกขึ้นจากแท่น เดินเข้าไปหากระจกบานใหญ่ เงาบนกระจกสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินสิบหกปี เรือนผมเป็นสีดำสนิทดุจรัตติกาล ดวงตาสีเดียวกันตัดกับสีผิวที่ขาวซีดเหมือนไร้เลือดไหลเวียนอยู่ภายใต้ผิวหนังนั้น
ภาพที่เห็นทำให้สมองที่ว่างเปล่าเริ่มทำการประมวลผลอีกครั้ง ชื่อหนึ่งลอยเข้ามาในหัวของเขา เขารับรู้ได้ทันทีว่าคือชื่อของเขา ‘ฮิบาริ เคียวยะ’
‘เคียวยะ’
เสียงหนึ่งลอยเข้ามาในความคิดของเขา ตามมาด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววเป็นกังวล ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบต้อนผู้มเรือนผมสีทองอร่ามกับตาสีอำพัน
ใครน่ะ ใครกัน
ฮิบาริที่พยายามนึกชื่อเจ้าของใบหน้าที่โผล่มาในความคิดของเขาให้ออก แต่ยิ่งนึกก็เหมือนมีกำแพงที่ขวางเขาอยู่ กำแพงสีขาวที่เหมือนกับห้องนี้
!
ฉับพลันความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาในหัว เหมือนกับมีค้อนมาทุบอยู่ในหัวของเขา ความเจ็บปวดทวีคูณขึ้นเรื่อยๆอย่างกับหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เขาต้องหยุดความคิดทั้งหมดไปโดยปริยาย แล้วความเจ็บปวดนั้นก็จางหายไป
แล้วเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่พยายามนึกอะไรอีก ขาทั้งสองพาเจ้าของร่างเดินสำรวจรอบๆพื้นที่สีขาวที่รายล้อมเขาอยู่ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้ช่างใหล้เคียงคำว่าว่างเปล่ามากเหลือเกิน
“เจ้าคือฮิบาริ เคียวยะสินะ”
เสียงแหลมของผู้หญิงเรียกให้คนที่กำลังพยายามสำรวจพื้นที่ต้องหันกลับไปทางต้นเสียง เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาวอายุประมาณสิบเจ็ดปี ผมสีน้ำตาลอ่อนที่รวบไว้สองข้างหยักเป็นลอนๆตามธรรมชาติ ดวงตาของเธอเป็นสีเขียวมรกตทอดมองมายังคนเบื้องหน้า อาภรณ์ที่สวมอยู่เป็นสีเดียวกันพื้นที่นี้จนบางครั้งดูเหมือนเธอจะกลืนไปกับอากาศรอบๆด้วยซ้ำ
“ข้าคือผู้นำทาง” เด็กสาวแนะนำตัว
“ผู้นำทาง?” เด็กหนุ่มทวน
“ใช่ ข้ามาเพื่อตัดสินและนำทางเจ้า” เด็กสาวอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นแววงุนงงจากดวงตาสีนิลของเด็กหนุ่ม “ที่นี่คือจุดแบ่งแห่งการตัดสิน ที่พักดวงวิญญาณของคนตาย เพื่อรอการตัดสินและนำทางไปยังสวรรค์หรือนรก”
“หมายความว่าผมตายแล้วเหรอ”
“ยังหรอกแต่ก็ใกล้เต็มที ผู้นำทางจะตัดสินคนผู้นั้นเมื่อการตัดสินจบชีวิตของคนผู้นั้นก็จะดับลง ที่นี้ถึงเวลาที่ข้าจะตัดสินเจ้าแล้วว่าควรไปยังที่ใด”
“ไม่ ไม่ได้” เด็กหนุ่มประท้วง “ไม่ว่ายังไงผมก็ยังตายไม่ได้ ผมต้องกลับไป...”
“ที่ไหนเล่า เจ้านึกออกอย่างนั้นหรือ?” ผู้นำทางถาม
เด็กหนุ่มมีสีหน้าสลดลงทันที เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะกลับไปที่ไหน เขารู้เพียงแต่ต้องกลับไป ใช่แล้ว มีคนรอให้เขากลับไปอยู่ ผู้ชายผมสีทองคนนั้น
อึก
แล้วความรู้สึกเจ็บปวดก็กลับมาเล่นงานหัวของเขาอีกครั้ง คราวนี้มันยิ่งทวีคูณมากกว่าครั้งแรก หัวเขาพร้อมจะระเบิดได้ในวินาทีถัดมาเลย
“เจ้าอย่าพยายามนึกสิ่งใดดีกว่า” ผู้นำทางมองอาการของคนตรงหน้าแล้วจึงรีบเข้าไปประคองร่างนั้นไว้ ส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างระอา “ยิ่งนึกเจ้าก็จะยิ่งเจ็บปวด ผู้ที่ตายแล้วบางทีแม้ตึความทรงจำเขายังนำไปด้วยไม่ได้เลย”
“ทำไมกัน ผมยังนึกชื่อของตัวเองออกเลย”
“เจ้าคงมองกระจกนั่นสินะ” เธอเหลือบไปยังกระจกบานใหญ่ที่ลอยคว้างอยู่ “นั่นคือกระจกแห่งความทรงจำของเจ้า กระจกนั่นจะเก็บความทรงจำของเจ้าเอาไว้ทั้งหมด และจะสะท้อนความทรงจำต่างๆของเจ้าออกมาเป็นบางครั้ง”
เธอยิ้นอย่างเอ็นดูประหนึ่งว่าตรงหน้าเป็นเพียงเด็กเล็กๆและเธอคือผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า ซึ่งในความจริงก็เป็นเช่นนั้น เธอคือผู้นำทาง เป็นผู้ครองความเป็นอมตะภายใต้การนำทางและพิพากษาคนตาย
“เอาล่ะ ที่นี้เจ้าช่วยอยู่นิ่งๆจนกว่าข้าจะต้ดสินเจ้าเสร็จด้วย” เธอปล่อยมือที่ประครองคนตรงหน้าออก ย่างกายไปยังกระจกบานใหญ่
“ไม่ได้” เสียงประท้วงของเด็กหนุ่มทำให้ร่างบางต้องหันกลับมามองเจ้าของเสียง “ผมต้องกลับไป ผมยังตายไม่ได้เด็ดขาด”
“เจ้าเองยังนึกไม่ออกเลยไม่ใช่หรือว่าควรกับไปยังที่ใด” เธอถามกลับ “แต่หากเจ้ายังยืนกรานเช่นนั้น ข้าก็จะให้เจ้าได้ไป”
เด็กหนุ่มแปลกใจ เขาไม่คิดว่าจะมีคนรอดจากความตายไปได้ง่ายเช่นนี้
“ทางฝั่งนู่นก็มีคนที่เรียกหาเจ้าอยู่เช่นกัน สิ่งที่ทำให้ข้ายอมให้เจ้าไปเพราะแววตาของเจ้า แววตาที่เหมือนกับเขาคนนั้น” หลังพูดคนสุดท้ายเธอก็ก้มหน้าลง แววตาฉายแววหม่นหมอง แต่แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างจริงจัง “แต่หากเจ้ากลับไป เจ้าจะไม่หลงเหลือความทรงจำอีก!”
“!” เด็กหนุ่มชะงัก
“เจ้าเป็นผู้ที่สมควรตายไปแล้ว ความทรงจำของเจ้าก็อยู่ในกระจกนี้แล้ว ข้าไม่อาจทำสิ่งใดเพื่อดึงความทรงจำออกมาจากกระจกได้”
เด็กหนุ่มมีสีหน้าเข้าใจ จริงๆเขาควรตายไปแล้วด้วยซ้ำ การได้โอกาสนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่สุดยอดแล้ว เขารู้ตัวว่าคงเรียกร้องมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ขอบคุณท่านมาก”
“อย่าขอบคุณข้าเลย” เธอยิ้มเศร้าๆ “เมื่อถึงเวลาเจ้าจะรู้ว่าไม่ควรขอบคุณข้าเลยจริงๆ”
เธอกล่าวเสียงเบา ก่อนจะสะบัดมือหนึ่งที ภาพที่สะท้อนในกระจกก็ไม่ใช่พื้นที่สีขาวที่เขายืนอยู่อีกต่อไป มันกลายเป็นหมอกสีเทาที่หมุนวนไปมา
“กระจกจะเชื่อมต่อกับร่างของบุคคลนั้นด้วย”
ฮิบาริเดินไปหน้ากระจก มือเรียวเอื้อนไปแตะบนพื้นผิวของกระจก และจมหายไปเหมือนกับสิ่งที่เขาสัมผัสอยู่นั้นคือน้ำที่ไร้ตัวตนแน่นอน เขาชักมือกลับมาก่อนจะก้าวขาอย่างมุ่งมั่นเข้าไปยังกระจกตรงหน้า
เมื่อร่างของเด็กหนุ่มผ่านกระจกไปทั้งตัว ภาพในกระจกก็กลับมาเป็นภาพพื้นที่สีขาวนี้อีกครั้ง
“โชคชะตาน่ะ มันโหดร้ายกว่าที่เจ้าคิดไว้มากนัก” เด็กสาวกล่าว ร่างของธอค่อยๆเลือนหายกลืนไปกับอากาศโดยรอบ
ฝั่งดีโน่
หลังจากที่ฮิบาริ เคียวยะนิ่งไปเขาก็รีบพาร่างในอ้อมไปยังโรงพยายาบาลที่ใกล้ที่สุด เรียกหมอที่ดีที่สุดในแฟมิลี่มาโดยเฉพาะ แม้แต่ชามาลเขาก็ไม่ลังเลที่จะบุกไปลากตัวหมอนั่นมาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เปล่าประโยชน์หมอทุกคนลงความเห็นว่าไม่รักษาให้ได้ ทำได้เพียงตึงอาการให้คงที่ยื้อชีวิตของฮิบาริออกไปได้แต่ก็ริบหรี่เต็มที่
หลังจากพยายามรักษาให้ดีที่สุด ฮิบาริก็ไม่ตายแต่ก็ไม่ฝืนขึ้นมาได้ยินอย่างนั้นตอนแรกดีโน่ก็ใจแทบสลายแค่คิดว่าเคียวยะจะไม่ลุกขึ้นมายิ้มให้เขา ไม่ขึ้นมาเรียกเขาว่าม้าโง่ แล้วเอาทอนฟาไล่ฟาดเขาอีกแล้วเขาก็แทบเป็นลม แต่ก็มาคิดได้ว่าก็ดีแล้ว ยังไงเคียวยะก็ยังไม่ตายสักวันเคียวยะจะต้องตื่นขึ้นมาแน่ เขาเชื่ออย่างนั้น
“เคียวยะ นายต้องกลับมานะ”
ชายหนุ่มผมสีทองที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยห้องวีไอพีกล่าวกับร่างที่นอนหลับตาไม่ได้สติอยู่บนเตียงมือหนาเอื้อมไปเคี่ยกลุ่มผมสีดำที่ปกหน้าคนที่นอนอยู่ออก มือหนาไล้ไปตามพวงแก้มเนื้ออย่างพยายามปลอบโยน แต่คนตรงหน้าก็ไม่มีปฏิกริยาใดๆตอบกลับมา
“ชั้นเชื่อว่านายต้องกลับมา”
เขากล่าวอีกครั้งด้วยแววตาอ่อนโยน ใบหน้าซุบผอมลงไปมาก ขอบตาก็คล้ำบ่งบอกว่าเขาขาดการพักผ่อนมาพอสมควรแต่นั่นกลับไม่ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาน่าดูน้อยลงเลย
บอสแห่งคาบัคโรเน่เฝ้าคนบนเตียงมาได้เกือบอาทิตย์แล้ว เขาไม่กล้ากลับไปพักผ่อนเพราะอยากให้คนแรกที่เคียวยะลืมตาขึ้นมาเห็นคือเขา ถ้าไม่มีลูกน้องที่เป็นห่วงว่าเขาจะทรุดลงไปอีกคนคอยหาน้ำและอาหารมาให้ครบทุกมื้อน่ากลัวว่าเขาจะไม่ได้กินอาหารด้วย
ตามกำหนดที่ลูกน้องยื่นคำขาดให้กับเขาวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้เฝ้าเคียวยะ เพราะพรุ่งนี้เขาต้องกลับไปทำงานที่อิตาลีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็กะจะบินกลับมาญี่ปุ่นทุกวันเพิ่มเยี่ยมคนบนเตียง ใจจริงเขาอยากพาเคียวยะไปอิตาลีด้วย แต่เพราะชามาลกลัวว่าอาจทำให้เคียวยะทรุดหนักลงอีกเขาเลยไม่กล้า
“แล้วชั้นจะมาเยี่ยมนายทุกวันนะ”
ร่างสูงค่อยๆเลื่อนริมฝีปากได้รูปไปประทับลงบนหน้าผากของร่างที่นอนอยู่
สัมผัสแผ่วเบานั่นทำให้ร่างที่ควรหลับปรือตาขึ้นมา เขาตะลึงกลับสัมผัสบริเวณหน้าผากแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน
ร่างสูงที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าร่างที่ถูกเขาจูบหน้าผากลืมตาขึ้นมาก็ผละออก รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ เขาดีใจมากจนขอบเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ ในที่สุดเคียวยะก็ฟื้นแล้ว
“เคียวยะในที่สุดนายก็ฟื้น”
“นาย... เป็นใครน่ะ”
แต่เสียงต่อมาที่เอ่ยออกจากคนตรงหน้าทำให้บอสหนุ่มชะงักไปในทันที
“นะ นายล้อเล่นใช่มั้ย”
แต่ร่างตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย เขาทำท่าเหมือนพยายามนึกบางอย่างแต่สุดท้ายก็ยกมือขึ้นกุมหัวของตัวเอง ใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างเหลือคนานัก แล้วร่างของเขาก็ร่วงลงบนเตียงหมดสติไป
ดีโน่ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเมื่อตั้งสติได้เขาก็รีบกดสัญญาณเรียกหมอเข้ามาทันที
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนเริ่มสงสัยแล้วว่าทำยังไงเรื่องที่ตั้งใจให้ฮาๆรั่วๆ มันถึงเป็นไปได้ขนาดนี้
อยากบอกว่า... ไม่รู้เหมือนกันค่ะT.T //วิ่งหลบของที่ขว้างมา
ความคิดเห็น