ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LOST Name เมืองนี้ไม่มีชื่อ

    ลำดับตอนที่ #9 : The world of odd dog#9

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 53


    9

    เสียงเอะอะของชาวบ้านดังจอแจไปทั่วแต่ก็ไม่สามารถปลุกพวกคนจำพวกที่ไม่เคยสนใจสิ่งรอบข้าง 

    ต่อให้ได้ข่าวว่าไฟกำลังไหม้หน้าห้องนอนก็ตาม ทั้งสามคนที่เหนื่อยอ่อนจากการเดินทางเป็นเวลานาน ยามได้นอนในที่สบายอย่างบนเตียงนุ่มๆหรือพื้นไม้(?)แข็งๆก็ยากที่จะตื่นขึ้นได้

    เวลาล่วงเลยมาเกือบเที่ยง...

    “อ๊า เช้าแล้วเหรอ หือมูสกับคาร์ลยังไม่ตื่นเหรอดีละ ขอสนุกหน่อยนะครับ”ปอลจิที่เพิ่งตื่นเจอการละเล่นใหม่อีกแล้วดูเหมือนเมื่อคืนหลังจากหลับไปมูสจะมาแก้เชือกให้ แต่เขาไม่ใช่คนกตัญญูเท่าไหร่จึงไม่แยแสความเห็นใจของมูสและเริ่มทำการละเล่นที่วางแผนไว้ เขาค่อยๆย่องขึ้นไปบนเตียง แล้วยืนอยู่ข้างตัวคาร์ลที่กำลังนอนหลับสบายบนเตียง เขาหันไปมองมูสอีกที มูสกำลังนอนแผ่บนพื้นอย่างสบายใจโดยหารู้ไม่ว่าภัยกำลังถึงตัว ปอลจิเปลี่ยนเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กกระโดดลงไปบนตัวของคาร์ลแล้วหมุนตัวเหมือนนักเต้นบัลเลย์ที่กำลังแสดงโชว์ครั้งใหญ่กระโดดย่ำเท้าอยู่บนตัวของคาร์ลอีกหน่อยแล้วดีดตัวอย่างหนักหน่วง กระโดดหมุนตัวกลางอากาศลงมาเหยียบบนท้องของมูสอย่างแรง มันกระโดดตีลังกาอีกครั้งลงมาบนพื้นข้างตัวมูส ยืนสองขาและยกขาหน้าขึ้นในท่านักกีฬายิมนาสติก พร้อมกับทำท่าโค้งตัวอย่างกับตัวเองได้รับรางวัลเหรียญทองก็ไม่ปาน

    ปอลจิดูจะพอใจมากหลังจากการกระโดดครั้งแรกได้รับเสียง อั๊ก!!  และเสียงอุ๊บ!!!ในครั้งที่สอง การกระโดดครั้งสุดท้ายก็ได้เห็นสายตาตื่นตกใจของเจ้าของเสียงทั้งสองก็ทำให้ปอลจิยิ้มอย่างพึงพอใจ มันกลับสู่ร่างคนและเดินเข้าห้องน้ำไป ปล่อยคนสองคนให้งงกันตัวเอง

     

     ...............

    ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากทุกคนอาบน้ำแต่งตัวกันเรียบร้อย อยู่ในชุดทะมัดทะแมงเตรียมของเดินทางกันอีกสักพัก พวกเราก็พร้อมออกเดินทางแล้ว!! พวกเราหาร้านอาหารเล็กๆทานอาหารมื้อเช้าในรอบบ่ายกันอย่างไม่รีบร้อน

    นี่ผมอยากกลับบ้านจริงหรือเปล่า?? ทำไมไม่มีความกระตือรือร้นเอาซะเลย.. แต่ก็นะคงคาดหวังอะไรไม่ได้เห้ออ

    ขณะกินอาหารพวกเราก็ได้ยินพวกชาวบ้านคุยกันเสียงดังเอะอะซึ่งดูเหมือนเรื่องนี้ชาวบ้านจะคุยกันตั้งแต่ตอนเช้าจนเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายก็ยังคงเห็นเป็นเรื่องสนุกคุยกันได้ไม่จบ ผมพยายามจะฟังว่าพวกนั้นคุยกันเรื่องอะไรพอจะจับใจความได้หลายอย่าง

    อย่างเช่นบทสนทนาของเหล่าคุณป้ายังสาว(?)ที่โต๊ะทางด้านขวาของพวกเรา

    “นี่ๆเมื่อคือเธอได้ยินเสียงหัวเราะนั่นไหม น่ากลัวจริงๆเลย”

    “ใช่ๆ ฉันก็ได้ยิน หรือจะเป็นเสียงของปีศาจที่จับผู้หญิงไปกิน!!

    “ว๊าย ตายแล้วคนสวยๆอย่างฉันก็โดนเป็นรายแรกนะสิ”

    “อย่างเธอนะไม่โดนหรอกย่ะ”

    และแล้วพวกหล่อนก็ลืมเรื่องปีศาจที่เป็นหัวข้อสนทนาในตอนแรกเปลี่ยนเป็นมาถกเถียงกันเรื่องความงามแทน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครยอมใคร  การเถียงท่าทางจะไม่จบง่ายๆ  พวกเธอยกเรื่องหนุ่มที่มาจีบหล่อนแต่ละคนขึ้นมาคุยแทนและแข่งนับกันว่าใครได้มากกว่าแต่นั่นไม่ใช่ข่าวสารที่ผมอยากรู้...

     

    เมื่อฟังทางฝั่งคุณป้าไม่ได้ความผมจึงเปลี่ยนมาฟังทางฝ่ายของพวกหนุ่มๆลุงๆทางโต๊ะด้านซ้ายแทน....

    “พวกผู้หญิงกลัวกันใหญ่เลย เรื่องเสียงหัวเราะแปลกๆเมื่อคืนน่ะ”

    “อาจจะเป็นเสียงพวกทาสรับใช้ของผู้ปกครองมืดก็ได้”

    “ลองมาสิพ่อจะอัดให้น่วมเลย”

    “เหอะ  กระจอกสิ้นดี เป็นฉันจะเหยียบให้จมดินเลย”

    “ความสามารถอย่างพวกนายเนี่ยนะ”

    “จะหาเรื่องหรือไงฟ่ะ !!!” เมื่อเสียงสุดท้ายจบลงเสียงชกต่อยกันก็ดังตามมาติดๆ

     

    สุดท้ายมันก็เป็นเหมือนเดิมเจ้าคนเมืองนี้!! เอาแน่เอานอนไม่ได้เลยโว้ยให้ความสำคัญกับหัวข้อหลักหน่อยดิเฟ้ย  พวกผู้หญิงเถียงความงาม ผู้ชายเถียงเรื่องพละกำลัง นี่เขาควรจะถามเด็กงั้นเหรอ??

     

    ทันใดนั้นราวกับสวรรค์ตอบรับความคิด  มีเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ใต้โต๊ะของพวกเรา

    “จุ๊ๆเบาๆ สิเดี๋ยวคนอื่นได้ยินเมื่อคืน มีเสียงหัวเราะน่ากลัวมากเลย”

    “จริงเหรอจ๊ะพี่  หนูกลัวจังเลยพี่จ๋า”

    “ไม่ต้องกลัวหรอกนะพี่จะปกป้องน้องเอง”

    “พี่จ๋า~~

    “น้องจ๋า~~

    ให้มันได้อย่างนี้สิ เด็กชายกับเด็กหญิงสองคนมาพลอดรักกันใต้โต๊ะกินข้าวของพวกเรา แถมมันยังน้ำเน่าสุดๆขนาดปอลจิที่ผมว่ามันแก่แดดสุดๆแล้ว  แต่พอเห็นไอ้เด็กสองคนนี่... พวกเอ็งมันแก่แดดสุดๆเลยเฟ้ย!!

    ผมคิดว่าคงหวังพึ่งใครในเมืองนี้ไม่ได้เลยหันไปถามผู้ร่วมทางอีกสองคนที่เข้านอนหลังผม

    “พวกนายได้ยินเสียงแปลกๆเมื่อคืนนี้รึเปล่า”

    ปอลจิส่ายหน้า อย่างไม่รู้เรื่อง นั่นทำให้ผมสงสัยว่ามันเป็นนักขายข่าวแน่เหรอ เมื่อไม่ได้คำตอบจากปอลจิ ก็หันไปจ้องอีกคนที่ทำตาเลิกลั่กตั้งแต่ผมตั้งคำถาม ตาโตเท่าไข่ห่าน แถมลูกตายังกลอกไปมาไม่หยุด เหงื่อก็ไหลออกมามากเกินเหตุทั้งๆที่เมืองนี้อากาศเย็นสบาย มันคิดว่าท่าทางมันปกติมากเหรอ??

    “ไม่รู๊ ไม่ใช่ช๊านน ช๊านไม่ได้หัวเราะอะไรเล๊ยยยย”มูสตอบเสียงสูง แล้วทานข้าวต่ออย่างเฉไฉ

    ไม่ได้หัวเราะเหรอ นายนี่เองเห้อ สารภาพเองเพื่อ?? ผมได้คำตอบที่สงสัยแล้วก็ทานมื้อเช้าต่อโดยไม่ลืมที่จะทิ้งเศษผักเศษอาหารที่ไม่อยากกินลงไปใต้โต๊ะ และแม้จะมีเสียง “อ๊ายพี่จ๋า”  ผมก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินต่อไป พวกเราจ่ายค่าอาหารเรียบร้อย(ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเงินของปอลจิ)

     

     

    “เมืองนี้คนเยอะจริงๆ ชักอยากแปลงเป็นหมาเข้าทางหลืบซะแล้ว”มูสเริ่มบ่นตามประสาคนอยู่เงียบไม่ได้อย่างน้อยต้องได้พูดอะไรออกมาบ้าง

    “ผมว่าอย่าแปลงเลยดีกว่าครับ” ปอลจิพูด แต่สักพักก็ทำตาโต รีบพูดเสริม

    “แต่พี่มูสแปลงร่างก็อาจจะดีนะครับเพราะจะได้เหมือนกับ..รูปปั้นแล้วคนที่ยังมีความแค้นกับพี่อยู่ก็เข้ามาแทงพี่ไง ท่าทางจะทรมานน่าดู”ปอลจิพูดอย่างมีความสุข ส่วนมูสหน้าซีดและผมมั่นใจได้ว่ามูสคงไม่คิดจะแปลงร่างในเมืองนี้อีกแน่ๆ

     

     

    “เฮ้มีตลาดด้วย ไปดูกันไหม นะๆๆๆๆๆๆ”คาร์ลถามอย่างกระตือรือร้น แววตาเป็นประกาย

    “ทำไมนายจะต้องตะโกนเสียงดังขนาดนี้คาร์ล แล้วยังท่าทางดีใจยังกับเด็ก รู้ไหมว่านายเหมือนบ้านนอกเข้าเมืองขนาดไหน??”มูสพูดอย่างรับไม่ได้ ส่งสายตาเอือมระอาให้กับคาร์ล  ส่วนปอลจิก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับมูสมันส่งสายตาเป็นเชิงดูถูกพร้อมกับรอยยิ้มน่าถีบให้กับคาร์ล

    คาร์ลทำหน้าเบ้ไม่พอใจเท่าไหร่แต่ก็ยอมทำตัวตามปกติ แม้สายตาจะแสดงออกถึงความไม่พอใจสุดๆ สุดท้ายพวกเราตัดสินใจแยกกันเดิน  ทางฝั่งมูส...

    ผมเดินอย่างไม่รีบร้อนเท่าไหร่ ร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกของสดอย่างพวกผัก ปลา หมู เห็ด เป็ด ไก่ ที่พวกแม่บ้านชอบมาซื้อกันบางคนก็พาลูกที่อายุน่าจะไม่เกิน10ขวบมาด้วย ซึ่งผมมั่นใจว่าคงไม่มีแม่คนไหนพาลูกอายุเกิน15มาแน่ๆ ผมไม่คิดว่าพวกนั้นจะสนใจตลาดที่เกือบจะมีแต่ของสด และต่อให้ผมเจอพวกนั้นก็คงนิสัยแปลกๆแบบคาร์ลก็เป็นได้ ผมเดินดูร้านของสดบ้างร้านขายของใช้บ้าง เดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษจนเจอเข้ากับร้านๆหนึ่งในหลืบเข้า มันเป็นความชอบส่วนตัวของผมที่จะชอบเดินในมุมมืดแบบนี้มันทำให้ผมดูเป็นคนลึกลับมากขึ้น เพราะปกติท่าทางภายนอกของผมคงดูไร้แก่นสาร ร้านนี้ดึงความสนใจของผมได้ดีทีเดียว มันเป็นร้าน.....ไก่ทอด!! อ่า..ไม่ว่าผมจะดูเป็นคนยังไงผมก็อดหวั่นไหวตอนเห็นไก่ทอดไม่ได้จริงๆ    อ๊า ทานละนะคร้าบบ

     

    ด้านปอลจิ....

    สองคนนั้นคิดอะไรกันเนี่ย ให้เด็กอายุ10ขวบ ที่หน้าตาดีอย่างผมเดินคนเดียวได้ยังไงผมอาจจะได้รับอันตรายก็ได้ อยู่ดีๆทั้งสองคนก็ตัดสินใจแยกกันเดินแล้วนัดเจอกันที่ท้ายตลาดนี้ซึ่งเป็นทางเชื่อมไปทางเข้าเมืองหลวงพอดี แต่ทั้งสองคนกลับผลักไสไล่ส่งผมมาเดินคนเดียว โอ้ยๆๆๆ ถ้าอยู่กับพี่มูสก็ดีหน่อยมีคนให้แกล้งเล่น อยู่กับพี่คาร์ลได้เห็นเวลาพี่คาร์ลหงุดหงิดเมื่อถูกผมด่าว่าโง่ตอนที่เขาไม่รู้เรื่องของที่นี่ อารมณ์ไม่ดีสุดๆเลยโว้ยยย เมื่อไม่มีอะไรทำก็ดูเหมือนปอลจิจะหงุดหงิดไปซะทุกเรื่องพาลไปซะทุกอย่าง  “ปลาอะไรว่ะนะตาใสเชียว น้ำไปขังในตาปลารึไงลุง แล้วหมูนั่นอีกแดงเชียว ผักนั่นก็อีกหนอนมันเจาะจนเป็นรู้แล้วเอามาขายได้ไงเนี่ย” ไม่ว่าเจออะไรก็ดูเหมือนจะทำให้ผมหงุดหงิดได้ทุกอย่าง ความสุภาพของผมเองก็เริ่มน้อยลงด้วย

     

    ปั๊ก!! “โอ้ย แงๆแม่จ๋าเจ็บจัง” สงสัยผมจะชนเด็กเข้าให้แล้วข้างหน้าผมเป็นเด็กชายอายุน่าจะ5ขวบได้ ล้มก้นกระแทกพื้นร้องไห้งอแงไม่หยุด มันจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้รึไงว่ามันร้องไห้เป็น  เสียงดังอะไรขนาดนี้

     

    ทั้งๆที่ผมรีบเดินอยู่แท้ๆไอ้เด็กนี่มายืนให้ผมชนทำไม?? (ชนคนอื่นยังมาโทษอีก) เห็นแล้วรกหูรกตาจริง  “นี่ไอ้หนู!! กลับบ้านไปหาแม่ซะเซ้...ครับ” ผมพูดอย่างรำคาญแล้วก็เติมคำสุภาพให้มันหน่อย แต่เด็กนั่นก็ร้องไห้ไม่หยุด อ่า  คนเริ่มหันมามองแล้วสิ นี่ผมไม่ใช่ตัวละครเด่นนะ เอ๊ะหรือกลายเป็นตัวละครเด่นไปแล้ว  ความจริงผมควรจะมีความสุขที่ทำให้เด็กร้องไห้ได้ แต่ผมเกลียดเด็กที่สุด หนวกหู งี่เง่า ไร้เหตุผล เอาแต่ใจ  ไม่พอใจอะไรก็พาลไปซะทุกอย่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารำคาญชะมัด  ผมชักทนไม่ไหวแล้วคงต้องหาทางทิ้งมันไปไกลๆ

    อ๊ะ!! คุณน้าคนนั้นท่าทางหลอกใช้ง่ายจัง ดูเหมือนจะสงสารเด็กนี่เกินเหตุเอาละ

    “อ๊า ใครก็ได้ช่วยที่คร้าบบบบ  เด็กคนนี้กำลังหลงทางหาคุณแม่ไม่เจอ ช่วยเด็กคนนี้ทีคร้าบ”ถึงผมจะพูดว่าใครช่วยก็ได้แต่สายตาผมจ้องไปทางคุณน้าและทำตาอ้อนสุดๆตามแบบฉบับของผม ดูเหมือนคุณน้าคนนั้นจะติดกับดักของผมซะแล้ว รีบวิ่งเข้ามาหาเจ้าเด็กนี่ทันทีหลอกง่ายจริงๆ ผมคงต้องเพิ่มความจริงใจลงไปให้สมบทบาทสินะ

    “คุณน้านี่เป็นคนดีจริงๆเลยนะครับฮึกๆ ผมละสงสารเจ้าหนูนี่จริงๆ คงกลัวมากสินะ คุณน้าใจดีคนนี้มาช่วยแล้วนะไม่ต้องกลัวหรอก”ผมพูดพลางบีบน้ำตา หลังจากผมทิ้งภาระให้คุณน้าคนนั้นแล้ว ผมก็ควรจะรีบเผ่น ก่อนจากผมยังแสร้งลูบหัวเด็กนั่นอย่างอ่อนโยนโดยไม่ลืมบีบหัวมันแรงๆ พร้อมกับส่งสายตาว่า ถ้าบอกความจริงละก็ หัวแตกเป็นส่วนๆแน่ไอ้หนู!!’ ท่าทางมันอยากจะพูดอะไรสักอย่างผมเลยลูบหน้ามันอีกครั้ง หยิกแก้มเหมือนเอ็นดูมันเสียเต็มประดา แต่แรงที่หยิกคงทำให้มันยิ้มกว้างไม่ได้อีกพักใหญ่ ผมยิ้มให้คุณน้าคนนั้นและรีบเดินออกจากบริเวณนั้นทันที

    “เป็นเด็กดีจริงๆเลยนะ เด็กคนนั้น”หญิงสาวผู้ที่ยังไม่รู้ตัวว่าถูกหลอกจากจอมวายร้าย ยังคงชื่นชมในตัวปอลจิ ส่วนเด็กชายที่หวาดกลัวปอลจิก็ไม่กล้าบอกความจริงกับคุณน้าคนนี้ หญิงสาวเห็นเด็กชายไม่พูดอะไรก็นึกว่ากลัวจนไม่กล้าพูด

    “พี่คนนั้นใจดีไหมจ๊ะ”หญิงสาวยกเรื่องเด็กชายใจดีที่น่าจะทำให้เด็กคนนี้ร่าเริงขึ้น แต่กลับกลายเป็นหน้าซีดกว่าเดิม เขาไม่มั่นใจว่าควรจะตอบว่าอย่างไรดี แต่แล้วเขาก็รู้คำตอบทันที หลังจากรู้สึกว่ามีสายตาเย็นเฉียบกำลังจ้องเขาอยู่ตรงทางที่พี่ชายคนนั้นเดินจากไป ความรู้สึกเหมือนตอนพี่ชายคนนั้นเห็นคุณน้าคนนี้ไม่มีผิด รู้สึกเหมือนเป็นหนูตัวเล็กๆที่จะถูกเหยี่ยวคาบไปเป็นอาหาร

    “....ครับ”เสียงตอบที่ไม่ค่อยจะเต็มเสียงและเต็มใจสักเท่าไหร่

    *************
    แต่งยาวสุดในชีวิตละ(มั้ง)

    ลงสองตอนรวดแม้จะไม่มีใครอ่าน แต่เราก็จะลงเพราะมั่นใจคะ5 555

    (เริ่มโดนคนเกลียดปะหว่า..?)

    เดี๋ยวจะหายไปสักพักนะเน้อออ เนื่องจากจะอ่านการ์ตูน เล่นเกมส์ แบบว่าธุรกิจรัดตัวอะคะ

    แฮ่มๆๆ หมั่นไส้ตัวเอง ก๊ากๆ

    ปล.ตอนนี้คนเล่ามันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คงไม่งงหรอก มั้งนะ= =

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×