ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    LOST Name เมืองนี้ไม่มีชื่อ

    ลำดับตอนที่ #8 : The world of odd dog#8

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 53


    8

    “อืมตอนนี้เราอยู่เมืองที่เป็นกึ่งกลางชายแดนระหว่างเมืองทางเหนือกับเมืองหลวงพอดีผ่านเมืองนี้ไปเราก็จะถึงเหมืองหลวงแล้ว”ปอลจิเพ่งแผนที่อย่างพิจารณา

    “ฉันพูดประโยคนั้นไปแล้วปอลจี้ นายไม่ต้องพูดซ้ำหรอก”มูสพูด เขาเปลี่ยนสรรพนามตามคาร์ลหลังจากคาร์ลบ่นว่ามันดูเหมือนกำลังคุยกับคนแก่หัวโบราณที่มีอายุ100ล้านปีได้ ทำให้มูสรีบเปลี่ยนทันทีด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเป็นคนที่ต้องทันต่อยุคสมัยและจะเป็นผู้นำแฟชั่นในอนาคต ถึงจะไม่มีใครเชื่อถือในสิ่งที่มูสพูดก็ตาม

     

    “เพราะพี่มูสเป็นคนพูดไม่ใช่เหรอ พี่คาร์ลถึงได้ไปถามคนในเมืองว่านี่เป็นเส้นทางไปทางใต้หรือเปล่า”ปอลจิพูดอ้อมๆแต่ได้ใจความง่ายๆว่า  เพราะนายเป็นคนพูดนั่นแหละมันถึงไม่น่าเชื่อถือ มูสสะบัดหน้าอย่างไม่พอใจ

    “เฮ้ พวกนาย  แฮ่กๆ”คาร์ลวิ่งมาหาอย่างรีบร้อน ดูเหมือนจะวิ่งมาไกล เขาพักหายใจก่อนพูดนิดหน่อย

    “เมืองนี้มีการเคารพเทพเจ้าด้วย”มูสและปอลจิคิดว่ามันแปลกตรงไหน

    “แต่.... เทพที่พวกเขาบูชาเป็นหมาสีขาวตัวใหญ่เหมือนนายเลย มูส”คาร์ลพูดอย่างไม่แน่ใจพลางมองไปทางมูส

    “ห๊ะ  ฉันเนี่ยนะ”มูสพูดอดทึ่งไม่ได้ คนอย่างเรามีคนบูชาด้วยแหะ

     

     

    ข้างหน้าพวกเขาเป็นรูปปั้นหินแกะสลักอย่างประณีต มันคือรูปปั้นหินสุนัขที่ถูกแกะสลักให้ดูองอาจเหมือนจ่าฝูงของหมาป่า สิ่งที่ทำให้ดูออกว่าเป็นสุนัขเป็นเพราะดวงตาที่ไม่ได้ดูดุร้ายเหมือนกับหมาป่า แต่กลับดูอ่อนโยนดวงตากลมโตของมันถูกประดับด้วยอัญมณีสีฟ้าสดใส ราวกับกำลังทอดมองลงมาเบื้องล่างอย่างอ่อนโยน และสิ่งที่ทำให้รูปปั้นนี้ดูน่าเกรงขามขึ้นคงเป็นเพราะมีคมเขี้ยวอันแหลมคมซึ่งเป็นคมเขี้ยวที่ใช้ต่อสู้เพื่อปกป้องหมูบ้านแห่งนี้ บนหลังสุนัขเป็นเด็กน้อยที่ได้รับบาดเจ็บแววตาของเด็กน้อยไม่มีความหวาดกลัวมันเต็มไปด้วยความไว้วางใจและเชื่ออย่างสนิทใจว่าสุนัขตัวนี้จะสามารถปกป้องเขาได้  พวกคาร์ลพากันนั่งมองอยู่หน้ารูปปั้นเดินวนไปวนมารอบรูปปั้นพวกเขาสำรวจทุกซอกทุกมุมของรูปปั้นนี้เพ่งแล้วเพ่งอีกและท่าทางจะไม่หยุดง่ายๆ จนเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง

    “พวกนายจะดูอะไรนานนักนี่”มูสพูดอย่างเหลืออด

    “ก็ผมไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นมูสนิ ดูยังไงก็.....ดูดีเกินไป!!”คาร์ลตอบอย่างรับไม่ได้ ปอลจิเองก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย มูสจ้องรูปปั้นแล้วเขาเองก็รู้สึกเช่นกันว่า คนอย่างเขาเนี่ยนะจะไปช่วยเด็ก ถ้ามันมีไก่ทอดให้เขาอาจจะพิจารณาอีกที

    “แล้วคาร์ลรู้ได้ไงว่าหมาที่พวกนี้นับถือเป็นสีขาว มันรูปปั้นหินนะนายตาบอดสี มองเป็นสีขาวเรอะไง”มูสสงสัย

    “ถามคนในเมืองเอา”คาร์ลตอบ ในใจก็เริ่มไม่แน่ใจบางทีเขาอาจจะฟังผิดไม่ก็ละเมอคิดไปเอง

    “งั้นเราไปถามกันเถอะ  ฉันไม่ปลื้มเมืองนี้ซะแล้ว”มูสบอกเดินนำไปอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบเลย พวกนี้เอารูปปั้นที่ดู หล่อน้อยกว่าเขามาตั้งไว้กลางเมืองได้ยังไง อีกอย่างมันควรจะดูเท่กว่านี้อีก10เท่าสิ!!

     

     

     

    “เมื่อ2ปีก่อน สุนัขสีขาวตัวใหญ่ได้ช่วยเด็กในเมืองเราเอาไว้ ในตอนที่มนต์มืดที่สิงในต้นไม้ทำร้ายเด็กชายอยู่นั้น ท่านเข้ามาช่วยเด็กคนนั้น ช่างดูสง่างามและมีเมตตามากกว่าอะไรทั้งหมด ภายใต้แสงจันทร์ลำตัวของท่านสะท้อนแสงจันทร์ดูงดงามเปี่ยมไปด้วยพลังเรื่องครั้งนั้นจบลงด้วยดีท่านกลายเป็นเทพของพวกเรา และต่อมาท่านยังคอยช่วยปัญหาเล็กๆน้อยในเมืองของเราเสมอท่านจะปรากฏตัวเฉพาะเวลากลางคืน ผู้คนต่างให้ความเคารพท่านมาก จนกระทั่งเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้เกิดขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้ บ้านหลังหนึ่งเกิดไฟไหม้ มีเด็กทารกอยู่ในนั้น ท่านเข้าไปช่วยไม่ทันแน่นอนว่าเด็กคนนั้นตาย นั่นทำให้ชาวบ้านโกรธแค้น ขับไล่ท่านเทพและไม่เคารพท่านเอาแต่ด่าสาปแช่งราวกับท่านเป็นเศษขยะที่ควรไปให้พ้นจากหมู่บ้าน    2 วันต่อมาท่านปรากฏตัวอีกครั้งแต่กลับถูกทำร้ายจากชาวบ้านบางคนถึงกับเอาเลือดสาดใส่ สบถด่าทออย่างร้ายกาจ ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย หลังจากท่านไปเรื่องร้ายๆในหมู่บ้านก็กลับมาอีก ราวกับเป็นคำสาปแช่งที่ท่านทิ้งไว้ให้กับมนุษย์ต่ำช้าอย่างเรา พวกเรารู้สึกผิดต่อท่านจึงสร้างรูปปั้นเอาไว้ถึงแม้ท่านจะไม่กลับมาอีกแต่พวกเราก็เฝ้าอธิษฐานว่าท่านจะกลับมาอีกครั้ง..ซักวันหนึ่ง” ลุงคนหนึ่งพูดอย่างศรัทธาต่อเทพเจ้า แต่เสียงเขาก็เริ่มเศร้าลงเรื่อยๆตามเนื้อหาที่เจ้าตัวพูดดวงตาดูเหม่อลอยเหมือนรอความหวัง

     

     

    ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในห้องเล็กๆแห่งหนึ่งที่มีเตียงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แต่นอกนั้นในห้องก็ไม่มีอะไรเลย นอกจากห้องน้ำที่อยู่ด้านข้าง พวกเขากำลังปรึกษาถึงเรื่องที่ได้ฟังในวันนี้

    “เป็นคนดีนี่ลำบากจริงๆทำความดีมากมาย แต่พอทำผิดครั้งเดียวก็โดนเกลียดไม่เห็นจะดีตรงไหนเป็นวีรบุรุษเนี่ย”มูสพูดขึ้นมาอย่างติดตลก แล้วทั้งห้องก็เงียบไปอีกพักใหญ่เพราะต่างคนก็จมอยู่ในห้วงคิดของตนเอง จนปอลจิพูดขึ้นมาว่า.....

    “2ปีก่อนเป็นตอนที่ผู้ปกครองมืดปรากฏตัวพอดีเลยนะครับ”ปอลจิเสนอความคิดเห็น

    “มันอาจจะไม่เกี่ยวกันก็ได้”มูสพูดอย่างไม่แยแส

    “จะยังไงก็แล้วแต่ฉันง่วงแล้วพวกนายจะทำอะไรก็ทำไป อ้อพวกนายนอนพื้นไปนะ ราตรีสวัสดิ์”คาร์ลปัดความรับผิดชอบทิ้ง หลับตาไม่สนใจเสียงค้านของคนที่เหลือ

    “ผมเป็นเด็ก ผมไปนอนกับพี่คาร์ลได้...”ปอลจิกระซิบบอกมูส ขืนคนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมาเขาคงโดนทิ้งไว้ที่เมืองนี้แน่ๆ ข้อหาสร้างความรำคาญให้ผู้นำขบวน

    “หึหึ อย่าฝันไปเลยเจ้าหนู พ่อครัวฉันต้องพักผ่อนให้เพียงพอ นายไปนอนด้วยจะรบกวนเปล่าๆ”มูสไม่ยอมให้ปอลจิได้ดีกว่า ลากปอลจิไปนอนพื้นกับตัวเอง ปอลจิพยายามหนีไปนอนบนเตียงหลายครั้งสุดท้ายมูสรำคาญจึงจับปอลจิมัดไว้กับเสาเตียง ปอลจิพยายามดิ้นหนี แต่ในที่สุดก็เหนื่อยจนหลับไป

     

    “สะใจจริงๆ ได้แก้แค้นไอ้หนูนี่ซะที พรุ่งนี้เอาขามันมัดไว้กับโถส้วมดีไหมนะ ข้อหาขัดขาฉัน มูสผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ หึหึ ฮ่าฮ่าๆๆ”เสียงหัวเราะของมูสดังลอดออกไปนอกหน้าต่างดังก้องกังวานราวกับเสียงหัวเราะของจอมมาร พวกชาวบ้านต่างรีบเข้าบ้านของตนปิดประตูและหน้าต่าง ดับเทียนให้บ้านของตนมืดสนิทเพื่อซ่อนตัวรีบเข้านอนให้ฝันร้ายในคืนนี้จบลง แต่เสียงปีศาจนั้นก็ยังคงดังตลอดทั้งคืน


    ************

    ตอนนี้ไม่ได้ดูคำผิดอะไรเลยผิดตรงไหนก็บอกละกันฮ่าๆ

    แบบว่าวันนี้เพิ่งสอบภาษาไทยรู้สึกถึงลางร้ายมีโอกาสตกราวๆ100%

    จึงมาลงไว้อาลัยตัวเองเฉยๆ

    ขอบคุณทุกๆคอมเม้น ดูเหมือนจะมีเจ้าพวกลัทธิวายแทรกซึมเข้ามาอย่าง(โคตรไม่)ลับๆ

    ซึ่งโดยส่วนตัวข้าพเจ้าคลั่งและปลื้มมากเอ้ยๆๆๆ รู้สึกปกติไม่รู้สึกอะไรเลย(หลุดแล้วเจ้)

    เอาเป็นว่าอ่านให้สนุก<<คำพูดรีไซเคิลทุกตอน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×