คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : The world of odd dog#7
7
“ออบอุนอี้เอี้ยงอาอาน อั่กๆ”งั่มๆๆ มูสกำลังเคี้ยวอาหารและพยายามที่จะพูดขอบคุณปอลจิไม่หยุดปาก แต่ถึงจะพูดอยู่ร่างกายก็ยังไม่หยุดยัดอาหารใส่ปากทั้งๆที่แทบจะล้นปากออกมาแล้ว คาร์ลรู้สึกขยะแขยงจนกินอาหารไม่ลง มันทำให้เขารู้สึกอยากอาเจียนอาหารที่กินเข้าไป ปริมาณอาหารที่มูสกินน่ากลัวว่าต่อให้เพิ่มคาร์ลไปอีกสองคนก็คงไม่หมด แต่ที่น่ากังวลกว่าคือปอลจิที่อายุแค่ 10 ขวบมันมีปัญญาจ่ายค่าอาหารปริมาณเยอะขนาดนี้ได้ยังไง ตัดสินใจได้ดังนั้นคาร์ลจึงบอกให้มูสหยุดสั่งอาหารได้แล้ว แม้มูสจะส่งสายตามาอย่างโกรธแค้นแต่คาร์ลก็จ้องกลับอย่างไม่วางตา
“พี่คาร์ลไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถึงพี่มูสจะสั่งอาหารให้คนทั้งร้านเงินของผมก็ยังไม่หมดหรอก”ปอลจิช่วยสงบศึกให้ มูสได้ยินดังนั้นก็กินต่ออย่างไม่แยแสแถมยังส่งสายตายิ้มเยาะให้คาร์ล คาร์ลได้แต่จ้องปอลจิอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นายทำงานอะไรเนี่ย!! อายุแค่นี้มีเงินเยอะขนาดนั้นเชียว”
“ผมเป็นคนขายข่าวสารครับ พวกความลับที่คนต้องการรู้ทำนองนั้น”ปอลจิตอบอย่างไม่สนใจ
คาร์ลเลิกสนใจปอลจิแต่สนใจอาหารตรงหน้านี้แทน อืม..ไก่ทอดของที่นี่รสชาติก็ไม่ค่อยต่างจากโลกเราเท่าไหร่แหะเกือบเหมือนเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมมูสต้องถ่อไปกินตั้งไกล..
เดี๋ยวนะ!! มีอะไรบางอย่างแปลกๆ ไปตั้งไกล.....??
.......
.......
เฮ้ยยยยยยย หมอนั่นไปโลกมนุษย์ได้ไงก็ไหนบอกว่าต้องใช้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไง
“เห้ยมูส ฉันมีอะไรจะถาม ทำไมนายถึงไปที่โลกฉันได้ แถมยังพาฉันมาที่นี่ได้อีกแต่กลับพากลับไม่ได้ ตอบมาดิ”คาร์ลถามเสียงต่ำพยายามข่มความโกรธเอาไว้ มูสหยุดกินหลังจากได้ยินคำถามหากสังเกตดีๆจะเห็นว่าเหงื่อของมูสไหลไม่หยุดแล้ว
“แหม คนฉลาดอย่างเจ้ารู้ตัวช้าจัง อย่าไปใส่ใจเลยนะกินต่อไปเถอะ”มูสยิ้มตอบประจบพลางยื่นไก่ของตนเองให้พยายามกลบเกลื่อนความผิด
“ตอบมา..”
ปัง!!ผวะ คาร์ลพูดอีกครั้งสายตาอาฆาตถูกส่งไปทางมูสพร้อมกับการทุบโต๊ะและปัดถังไก่ทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี ถึงแม้มูสจะแอบชำเลืองอย่างเสียงดาย แต่เจ้าตัวก็เริ่มบีบน้ำตาอย่างเสแสร้งอีกครั้ง ไอค่อกแค่กไม่หยุดเริ่มเกาะตัวปอลจิเหมือนปลิงที่ต้องการที่พึ่งพิงให้ตัวเองได้พักดูดเลือด
“ปอลจี้ดูสิ ฮึกๆ แค่กๆ คาร์ลทำให้ข้าตกใจไก่ที่กินไปก็ติดคอ แค่กๆ แล้วยังทุบโต๊ะเสียงดังอีก เจ้าไม่ชอบคนไม่มีมารยาทไม่ใช่เหรอ ปอลจี้จัดการคาร์ลให้ข้าทีสิ ฮือๆ”มูสยังคงแสดงบทนางเอกเจ้าน้ำตา แสดงท่าทางน่าสงสารไม่หยุดแต่ทั้งคาร์ลและปอลจิต่างลงข้อสรุปว่ามันน่าโดนต่อย(หรือถีบ)มากกว่า ดูเหมือนปอลจิจะสนุกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงช่วยเล่นตามน้ำไป ปอลจิปลอบมูสที่ตัวใหญ่กว่าเกือบเท่าตัว แถมยังลูบหลังให้ยังกับพ่อปลอบลูกไม่มีผิด หันพูดดุๆใส่คาร์ลว่า ‘พี่คาร์ลอย่าแกล้งพี่มูสสิครับ’ หลังจากได้ยินประโยคนั้นคาร์ลก็ตาค้างทันที
นี่!! ผมกำลังโดนเด็กสั่งสอนงั้นเหรอ แล้วยังท่าทางที่สรุปได้อย่างเดียวของไอ้เจ้าหมาบ้านั่น แกมัน......ไอ้ตอแหล
เอ้ย!! บางทีผมคงต้องใช้วิธีสุดท้าย..
“ไหนๆก็กินไก่ทอดที่นี่แล้ว ถึงบ้านผมก็ไม่ต้องกินอีกหรอก ใช่ไหมคุณมูส”คาร์ลพูดอย่างสุภาพได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่คำพูดนั้นดูเหมือนจะทำร้ายจิตใจมูสเป็นอย่างมาก จากการร้องไห้อย่างตอแหลเริ่มเป็นความจริงซะแล้ว น้ำตาไหลเป็นสายมองคาร์ลเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ต่ำต้อยที่กำลังรอเทพเจ้าอย่างคาร์ลมาโปรดสัตว์
‘ชาติก่อนนายสาบานจะอยู่กับไก่ทอดไปชั่วชีวิตหรือไง กับอีแค่ไม่ได้กินนายจะหลงใหลมากไปหน่อยไหม‘คาร์ลได้แต่คิด และคงไม่มีใครที่เข้าใจความรู้สึกของมูสได้ มูสเริ่มปล่อยตัวปอลจิและเข้ามาเกาะแกะคาร์ลแทน
“อย่าเพิ่งโกรธสิ ข้าจะบอกก็ได้จริงๆแล้วข้าเป็นคนเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองมิติ มีหน้าที่ไปรับคนจากอีกโลกให้มาเที่ยวโลกนี้นะ”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉัน อ๊ะ..อีกอย่างทำไมต้องใช้จูบตอนจะมาที่นี่ห๊ะ!!”ตอนแรกคาร์ลแค่สงสัย แต่ดูเหมือนคำถามหลังจะเป็นการตะคอกด้วยความโกรธ มูสสะดุ้งเสียงตะคอกของคาร์ลน่ากลัวกว่าจอมปีศาจซะอีก รีบตอบจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“ก็ๆๆๆ ข้าเห็นคนที่โลกเจ้ากินไก่ทอดกันเลยอยากรู้รสชาติมันเป็นไง แล้วๆๆทีนี้ระหว่างเดินไปเรื่อยๆก็เห็นคนเอาปากสัมผัสกัน แล้วพวกเค้าก็จะดีใจแถมยิ้มจนแก้มปริอีก ที่แท้มันเรียกว่าการจูบนี่เอง เอ่อ...ข้าคิดว่ามันเป็นวิธีขอบคุณอย่างหนึ่ง พอเจอนายทำไก่ทอดให้กิน ข้าก็เลยพาเจ้ามาที่นี่ด้วยวิธีนั้น จริงๆแค่แตะตัวเจ้าก็ได้ แต่ข้าอุตส่าห์แสดงความจริงใจว่าข้าซึ้งบุญคุณเจ้าขนาดไหน มันไม่ใช่การขอบคุณเหรอ เอ๊ะหรือข้าทำอะไรผิดวิธี ข้าจะต้องแก้ตัวหรือเปล่า??”มูสพูดรัว แล้วยังกลัวว่าจะทำให้คาร์ลไม่พอใจเลยเสริมว่าจะแก้ตัวให้
“ไม่ต้อง!!! จูบนั่นมันเป็นวิธีที่คนสองคนทำให้กันด้วยความรักเฟ้ย แล้ว..ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยด้วย”คาร์ลพูดพลางทำใจให้สงบ เพราะขืนเขาทำตัวโมโหเจ้าหมาบ้านี่มันต้องแก้ตัวทำใหม่อีกรอบแน่
“อ๋า อย่างนี้นี่เอง ตอนนั้นข้าอยู่ในร่างสุนัขเจ้าเลยไม่ชอบสินะ แต่ความรักที่ข้าให้เจ้า มั่นใจว่ามีแน่นอน!!”มูสเน้นประโยคหลังอย่างมั่นอกมั่นใจ คาร์ลถึงกับตาค้างหน้าแดงจัด จ้องเจ้าบ้าที่พูดจาหลายแง่นั่น ส่วนปอลจิก็ได้แต่อึ้งค้างมองมาทางคาร์ลและมูสอย่างระวังภัยเหมือนเจอสัตว์ร้ายที่น่ากลัว
“พูดบ้าอะไรของนาย”คาร์ลถามหน้าแดงจัด
“นี่ไม่เชื่อข้าเหรอ คาร์ลนะเป็นพ่อครัวของข้านะ ข้ารักคนใช้ของข้าทุกคนนั่นแหละ!!”คำพูดเด็ดเดี่ยวของมูสดังขึ้นอีกครั้ง คาร์ลคิดว่าเขาควรจะหยุดเถียงกับเจ้าบ้าที่มีสมองเท่ามดหรือาจเล็กกว่านั้น
“แล้วทำไมพี่มูสถึงพาพี่คาร์ลกลับไม่ได้ละครับ”ปอลจิวกกลับเข้าเรื่องให้
“อ่อ หน้าที่ของข้าก็เหมือนกับคนต้อนรับในบ้านนั่นแหละ ส่วนคาร์ลก็เป็นเหมือนแขก ถ้าข้าไม่อนุญาตให้เข้าคาร์ลก็เข้ามาไม่ได้ใช่ไหมละ แต่ข้าไปเปิดประตูรับถึงที่ก็เลยเข้ามาได้ ส่วนตอนจะออกนั้นถ้าเจ้าบ้านไม่อนุญาตก็ไม่มีสิทธิ์ออกหรอก”มูสได้รับสายตาไม่เข้าใจจากคาร์ลจึงอธิบายเพิ่มว่า ”ก็เหมือนกับว่าเจ้าต้องทำตามกฎของบ้านหากจะออกไปก็ต้องหาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้เจอ ข้าเป็นเพียงคนต้อนรับไม่ใช้เจ้าบ้าน ข้าจะมีสิทธิ์ไล่แขกของเจ้านายได้ไง ข้าอธิบายให้พวกเจ้าได้เท่านี้ละคิดไม่ออก อธิบายไม่ถูก สมองข้ามันเล็กนิดเดียว พวกเจ้าจะกดดันให้ข้าคิดจนสมองระเบิดรึไง แต่อย่างน้อยข้าก็เป็นคนนำเที่ยวรอบๆบ้านที่ดีของพวกเจ้านะ”จบการอธิบายมูสก็ยิ้มโปรยเสน่ห์ตามสไตล์ไกด์สาวสุดสวยมาให้ ถึงแม้มันจะเป็นผู้ชายก็เถอะ
“เฮ้อ สุดท้ายก็ไม่มีอะไรก้าวหน้าขึ้น ยังไงก็ต้องหาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้เจอสินะ โอ้ยย แค่กลับบ้านทำไมมันยากลำบากแบบนี้”คาร์ลได้แต่บ่นกับตัวเอง
เมื่อจ่ายเงินค่าอาหารเรียบร้อยพวกเขาก็เดินทางต่อการเดินทางราบรื่นดีจะมีก็แต่
‘โอ๊ย!! เจ้าขัดขาข้าทำไมเนี่ยปอลจี้’ เสียงบ่นของมูสดังขึ้นหลังจากหน้ากระแทกพื้นจากการกระทำของปอลจิ
‘เอ๋ ก็ผมไม่มีอะไรทำนี่นา’ ตอบหน้าตาเฉยตามสไตล์ปอลจิ
‘เจ้าจะบ้าเรอะ ไม่มีอะไรทำเลยมาขัดขาพี่ใหญ่อย่างข้าเล่นเนี่ยนะ’ มูสบ่น
‘อ้าว ผมยังไม่ได้บอกพี่ชายสองคนเหรอว่าผมเป็นพวกมีความสุขเวลาเห็นคนอื่นเป็นทุกข์’
ปอลจิเอามือปิดปาก ทำเสียง อ้าาา เบาๆ แล้วพูดประโยคที่แสนเลวร้ายสำหรับทั้งมูสและคาร์ลออกมา
ดูเหมือนปอลจิจะพอใจกับสีหน้าทึ่งๆของคาร์ลและมูส จึงเดินนำหน้าทั้งสองคนลอบหัวเราะอย่างมีความสุข คาร์ลได้แต่เดินตามอย่างจนใจ มูสเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของปอลจิในเร็วๆนี้ ได้แต่บ่นพึมพำไปคนเดียว สมองของมูสเริ่มประมวลผลและตั้งคำถามปัญญาอ่อนขึ้นอีกครั้ง รีบตะโกนถามปอลจิว่า
“เด็ก 10 ขวบมีงานอดิเรกอย่างนี้กันทุกคนสินะปอลจี้??”
***********************************
อัพซะทีฮ่าๆ หลังจากจบวันหยุดก็เอามาลง
ข้าพเจ้าขอบคุณทุกเม้นที่เม้นให้ดีใจขึ้นทุกวัน ยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า=o=
ด้านภาษาถ้าตรงไหนที่ผิดก็ขอโทษ เดี๋ยวจะพยายามแก้ไข
แล้วก็ทางด้านสำนวนโดยส่วนตัวชอบ(กระแต)พูด แต่ผิดๆถูกๆ ตรงไหนผิดก็บอกด้วยนะเน้อ
ขอบคุณทุกท่านจริงๆ อ่านให้สนุกนะ เดี๋ยวจะมาอัพใหม่เร็วๆนี้ TBC.<<จุดประสงแค่อยากพิมพ์ภาษาอังกฤษ หุหุ
ความคิดเห็น