คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : The world of odd dog#6
6
“ผมชื่อปอลจิ ปูจิโกะ”เด็กชายหน้าตาน่ารัก ผิวขาวจัด ผมสีดำกับตาสีม่วงที่กำลังจ้องมาทางชายทั้งสองเขม็งที่หลังได้ยินชื่อแล้วพวกเขาทั้งสองก็เอาแต่หัวเราะไม่หยุด และนายคนไม่มีมารยาทหัวสีแดงเน่าๆนั่นก็พูดว่า
“นั่นชื่อคนเหรอนั่น”แถมยังหัวเราะอย่างไม่มีมารยาท แล้วยังคนผมสีขาวนั่นอีกขำอะไรขนาดนั้นจะไปคลุกกับดินทำไม ชื่อผมมันมีอะไรน่าขำนัก พวกนั้นยังคงหัวเราะต่อไปอีกพักใหญ่นั่นทำให้ผมสรุปได้ว่า ’พวกนี้ไม่มีมารยาท อาจถึงขั้นไม่รู้จักคำว่ามารยาทขั้นพื้นฐานเลยก็ได้’ ดูเหมือนคนหัวแดงจะเริ่มรู้สึกตัวเขาหยุดหัวเราะและไปสะกิดไอ้บ้าอีกคนที่ยังคงหัวเราะไม่หยุด
“คาร์ล ข้าว่าชื่อนั่นเหมาะกับเผ่าพันธุ์ข้ามากกว่าอีกนะ อุ๊บส์! ฮ่าฮ่า”มูสกระซิบ สายตาแอบชำเลืองไปทางเด็กผมสีดำอีกครั้ง แต่ก็ทนได้ไม่นานสุดท้ายแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอีกจนได้
“พวกพี่ชายจะหยุดหัวเราะกันได้ หรือยังครับ”ผมเริ่มหมดความอดทนแล้ว
แม้มูสกับคาร์ลจะหยุดหัวเราะกันแล้วแต่แววตาของพวกเขาก็ยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มขบขันที่ปิดไม่มิด นั่นทำให้เด็กชายแน่ใจอีกครั้งว่า ’คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่รู้จักมารยาทแต่ไม่เคยรู้จักการเข้าสังคมเลยตะหาก!!’
“อ่า... ฉันชื่อคาร์ล ส่วนหมอนี่ชื่อมูส แล้วที่นายบอกว่าพวกเราสองคน....เอ่อ...”คนผมแดงที่ชื่อคาร์ลดูเหมือนพยายามจะเอ่ยคำบางคำออกมา ส่วนเจ้าคนไร้มารยาทที่ชื่อมูสนั่นก็จ้องผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ปิดบัง เหมือนเมื่อครู่ไม่มีผิด..... ใช่หมอนี่ยังคงรักษาความไร้มารยาทได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเหมือนเดิม
“โง่”ผมเติมคำของคาร์ลให้
“อ่านั่นละ ทำไมถึงบอกว่าพวกเราเป็นงั้นละ”คาร์ลตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
“ก็เจ้าคนไร้มารยาทนั่น บอกว่าออกจากเขตป่าแล้วจะปลอดภัยใช่ไหมละ??” ปอลจิชี้ไปทางมูส มูสพยักหน้าตอบอย่างงงๆ ปอลจิยิ้มเยาะที่มุมปาก นั่นทำให้ความโมโหของคาร์ลและมูสพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งหมั่นไส้กับท่าทางของเด็กตรงหน้าเกินจะทน มูสตั้งท่าที่จะเถียง แต่กลับถูกปอลจิขัดขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉยราวกับมันเป็นเรื่องที่แม้แต่เด็กอนุบาลยังรู้
“ประมาณหนึ่งเดือนก่อนมนต์ดำของผู้ปกครองมืดแผ่ขยายมากขึ้น ทำให้สถานที่ต่างๆที่โดนมนต์ดำมีอำนาจมากขึ้นมันสามารถออกมาจากเขตที่โดนมนต์ดำในรัศมี 4 เมตรรอบๆได้ และบางทีตอนนี้มนต์ดำของผู้ปกครองนั่นอาจจะมากขึ้น ใครจะไปรู้ตอนนี้มันอาจจะไปได้ไกลถึงหมู่บ้านแล้วก็ได้” มูสได้แต่อ้าปากค้าง ทำหน้าที่บ่งบอกได้ว่า ‘มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ’ ปอลจิมองมูสอย่างผู้เหนือกว่า เขาชำเลืองมาทางคาร์ลอย่างสงสัย เดินไปหาคาร์ลช้า ปอลจิดมๆจ้องๆคาร์ลราวกับเขาเป็นอาหารที่ไม่แน่ใจว่ามียาพิษหรือไม่
“พี่ชายไม่ใช่คนโลกนี้สินะ”ปอลจิถามอย่างมั่นใจว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
“ใช่ฉันมาจากโลกมนุษย์ ทำไมนายรู้ละ”คาร์ลถาม
“พี่ชายมีกลิ่นของโลกอื่นอยู่”ปอลจิพูดพร้อมกับแปลงร่างเป็นลูกสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กสีดำทั้งตัว มันดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว แต่เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีม่วงของมันแล้วก็ดูลึกลับไปอีกแบบหนึ่ง
“นายเป็นสุนัขจิ้งจอกงั้นเหรอ!!”มูสตกใจ รีบแปลงเป็นสุนัขขู่ใส่ปอลจิไม่หยุด
“ทำอะไรของนายเนี่ยมูส”คาร์ลสงสัยการกระทำของมูส
“เดี๋ยวเจ้าจิ้งจอกนี่มันจะมาแย่งไก่ทอดของข้า!!”มูสรีบพูดขึ้น คำตอบนั่นทำให้คาร์ลอยากจะบ้า มูส..นี่นายห่วงแต่เรื่องกินเหรอ?? แล้วยังคิดได้ยังไงว่าสุนัขจิ้งจอกจะต้องชอบไก่ทอดเหมือนนาย?? ในขณะที่ทั้งสองกำลังเถียงกันเรื่องการกระทำอันไร้มารยาทของมูสที่แสดงออกถึงความตะกละอย่างชัดเจน ทางด้านปอลจิ..
ปอลจิมองไปทางมูสสลับกับคาร์ลอย่างสนใจ มันกลับคืนร่างเด็กชายอีกครั้งยิ้มหวานตามสไตล์เด็กใสซื่อ ถ้าไม่ติดว่าตามันชั่วร้ายขนาดนั้น คาร์ลกับมูสอาจจะเคลิ้มไปแล้ว
“พี่ชายจะไปไหนกันเหรอ”ปอลจิถามพลางแกล้งเอียงคออย่างน่ารัก
“พวกเราจะลงใต้ เราเป็นนักเดินทางกำลังตามหาต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์”คาร์ลตอบแทนมูสที่เอาแต่ขู่ไม่หยุด
“ขอผมเดินทางไปด้วยได้ไหม ผมรู้จักเกือบทุกๆอย่างของประเทศนี้ผมต้องเป็นประโยชน์ต่อพี่แน่ๆ”ปอลจิขอร้องพลางแกล้งทำน้ำตาซึม นั่นทำให้คาร์ลสงสารขณะกำลังอ้าปากตอบรับ มูสก็เห่าเสียงดังขวางขึ้นมา
“เจ้าจะมาแย่งไก่ทอดข้างั้นเรอะ!!” มูสยังคงไม่ยอมแพ้
“ผมไม่ชอบกินไก่ครับ”ปอลจิตอบอย่างเด็ดเดี่ยว มูสจ้องจับผิดอย่างเอาเป็นเอาตาย
“แต่ผมรู้จักร้านขายไก่ทอดอร่อยๆอยู่ร้านนะครับ”ความสงสัยในตัวปอลจิจบลงอย่างง่ายดายมูสกลับสู่ร่างคนกอดคอปอลจิอย่างเป็นมิตร แถมรอยยิ้มราวกับโลกนี้เป็นสีชมพูที่มีเพียงปอลจิกับมูสสองคนเท่านั้น
“เจ้าหนูน้อย ไม่สิปอลจี้นายนี่มองไปมองมาก็เป็นเด็กที่หล่อเหลาเอาการดีนะ เข้าไปในเมืองกันเถอะ”พูดจบมูสก็เดินนำเข้าเมือง ปากก็พูดถึงแต่ไก่ทอดไม่หยุด
“อย่าไปสนใจหมอนั่นเลยนะ ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก ไปกันเถอะปอลจิ ฝากตัวด้วยนะ”คาร์ลจูงมือปอลจิพูดอย่างอารมณ์ดี เขาดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนที่มีความรู้เดินทางไปด้วย เขายิ้มให้อย่างอารมณ์ดีและลากปอลจิเดินตามมูสไปกับเขาโดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่า ปอลจิที่กำลังก้มหน้าอยู่นั้นกำลังเผยรอยยิ้มชั่วร้าย และเสียงหัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
“มีอะไรสนุกๆให้ทำอีกแล้วสิ หึหึ”เสียงพึมพำแผ่วเบาที่ทั้งมูสและคาร์ลไม่มีโอกาสได้ยิน
*****************************
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านดีใจและตื้นตันสุดๆTT^TT
จะสู้ต่อไป (อยากเป็นไอ้มดแดงฮ่าๆ)
ขอให้อ่านให้สนุกนะ^^
ความคิดเห็น