คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : The world of odd dog#10
10
“ในที่สุดเราก็เดินทางมาได้2ใน4ของเส้นทางแล้ว ฮ่าฮ่า ช่างง่ายดายอะไรอย่างนี้”
“เงียบๆหน่อยอายคนอื่นบ้าง มูส”
“ผมว่าคนที่ควรจะอายน่าจะเป็นพี่คาร์ลนะครับ พี่แต่งตัวเป็นผู้หญิงทำไมเนี่ย!??”ปอลจิถาม
พวกเรามารวมตัวกันที่ประตูทางเข้าเมืองหลวงแล้ว ข้างหน้าพวกเราเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองผู้คนต่อแถวเข้าคิวกันเป็นระเบียบรอตรวจชื่อประชากรเข้าเมืองพวกเราก็กำลังต่อแถวอยู่เหมือนกัน และ..ตอนนี้ผมกำลังอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีชมพูหวานหยดบานพริ้วไปตามแรงลมและสภาพอากาศจะเป็นใจกับรองเท้าส้นสูงสีชมพูที่มีส้นซึ่งสามารถเอาไปเป็นตะเกียบได้หากเกิดเหตุการณ์ขาดแคลน ส่วนเหตุผลที่ผมแต่งตัวแบบนี้ก็..
ย้อนกลับไปที่ตลาด
“โอ๊ะโหร้านเสื้อผ้าร้านนี้สีสันฉูดฉาดชะมัด”ผมอยู่ในร้านเสื้อผ้าแห่งใหญ่แห่งหนึ่งในตลาด และด้วยความที่ผมดูเหมือนเด็กไม่เคยเห็นโลกภายนอกผมก็ออกปากชมร้านนี้ไม่ขาดปาก ผมชมตั้งแต่ประตูทางเข้าร้านยันไม้หนีบผ้าในร้านแน่นอนผมยังชมว่าเสื้อผ้าที่นี่ดูทันสมัยมีการออกแบบที่หรูหรา อลังการผมก็แค่พูดไปอย่างนั้นไม่ได้คิดอะไรจริงจัง ผมพึ่งมาประเทศนี้จะไปรู้ได้ยังไงว่าแบบไหนคือทันสมัยและแบบไหนคือล้าสมัยของประเทศนี้ ผมไม่รู้ตัวเลยว่ายัยป้าโรคจิตเจ้าของร้านนั่นจ้องผมตั้งแต่ผมก้าวเท้าเข้าร้าน แต่ยัยป้านั่นดันเป็นพวกบ้ายอ หลังจากฟังผมชมอย่างออกรส ถึงการเทิดทูนสไตล์การออกแบบของร้านนี้ที่ดูมีเอกลักษณ์และคำยกยออีกเป็นชุดในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ยัยป้านี่ก็ดีใจยังกับว่าผมเป็นลูกค้าคนแรกในรอบศตวรรษที่มาเข้าร้าน หล่อนลากผมเข้าห้องลองชุด ยัดชุดผู้หญิงใส่มือผมแทบทุกชุดที่มีในร้านและสั่งให้ผมเปลี่ยนให้ดู ถึงจะเถียงว่าผมเป็นผู้ชาย คุณเธอก็ไม่ฟังผมได้แต่ใส่ให้เธอดูอย่างจนปัญญาและจนทางออก แล้วทำไมผมถึงไม่ยอมหนีนะเหรอเธอไม่ใช่ป้าธรรมดานะสิ แต่เป็นคุณป้าขนาดยักษ์ที่มีกล้ามเป็นมัดๆกับหน้าตาโหดอัมหิต ผมทำได้แต่เปลี่ยนชุดไปเรื่อยให้หล่อนพอใจสุดท้ายหล่อนก็ปลื้มชุดเดรสสีชมพูอ่อนแขนกุดเป็นชุดเรียบๆที่ไม่มีอะไรตกแต่ง ตามความคิดของผมมันไม่เห็นจะมีตรงส่วนไหนที่ดูดีหรือเข้ากับผมที่กำลังใส่อยู่ด้วยใบหน้าสะอิดสะเอียนนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ยัยป้าจิตตกนั่นยกมันให้กับผมและเสื้อผ้าอีกครึ่งโหลได้ แต่จะดีกว่านี้ถ้าเธอไม่ยึดชุดเก่าผมไปถึงผมจะรู้สึกโล่งแปลกๆตรงช่วงล่าง แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรใส่เข้าเมืองหลวงผมคงต้องซื้อชุดใหม่ โดยเอาชุดที่ได้มานี้ไปขายทิ้งซะ
“อย่าให้เล่าเลย เรื่องมันยาว..”ผมปิดหัวข้อสนทนาแสนอาภัพนั่นทิ้งแค่นึกผมก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว แม้ปอลจิยังทำหน้าสงสัยแต่ผมก็ทำเป็นไม่เห็นมัน
“น่าๆ นายก็อย่าสงสัยมากเลยปอลจี้ รสนิยมส่วนตัวของคนอื่นเราก็อย่าไปยุ่งสิ ฮ่ะๆ”ความคิดของมูสมัน ห่วยแตกเสมอไม่ว่าเมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ต้องการยั่วโมโหผมหมอนั่นแค่พูดเพราะอารมณ์ดี หลังจากแยกกันมันไปทำอะไรมาอารมณ์ดีเกินเหตุไปหรือเปล่า
“ครับๆ ผมไม่สงสัยแล้วก็ได้แต่ว่าผมว่าพี่ควรจะระวังหนุ่มๆข้างหลังที่กำลังเล็งพี่อยู่นะครับ”ปอลจิพูดทิ้งท้ายให้ผมสงสัยอีกครั้ง ผมรีบหันไปมองข้างหลัง ด้านหลังผมเป็นผู้ชายท่าทางบึกบึนสี่คนกำลังมองผมด้วยสายตาที่น่าขนลุกเป็นที่สุดมันเป็นสายตาแปลกๆที่ดูจะคิดอะไรลึกซึ้งเกินกว่าเหตุซึ่งดูจากพละกำลังของแต่ละคนแล้ว จะให้ผมต่อกรกับพวกนี้คงไม่ไหวเพราะแค่ความอัปลักษณ์ของหน้าตาพวกนั้นก็ชนะขาดแล้ว ผมเดินเข้าไปใกล้มูสกับปอลจิอีกหน่อยหวังว่าสองคนนี้จะช่วยผมได้ อ๊ะ.. ในที่สุดก็ถึงด่านตรวจซะทีที่นี่ทำงานเร็วดีแหะ
“เอาละชื่อของพวกนายสามคนคือ...”นายทหารนายหนึ่งพูด
“นาย!! สูง”เสียงเด็ดขาดของนายทหารพร้อมชี้นิ้วไปทางมูส
“เธอ!! กลาง”สรรพนามแปลกๆนั่น พร้อมนิ้วที่ชี้มาทางผม
“เด็ก!! เตี้ย” และครั้งสุดท้ายชี้ไปทางปอลจิ
ทั้งสองคนพยักหน้าเข้าใจผมตั้งใจจะเถียงแต่ก็ถูกปอลจิกับมูสปิดปากและลากเข้าเมืองไป จนเลยเขตด่านตรวจมาไกลพอสมควรผมรีบสะบัดมือมูสทิ้งและสะบัดปอลจิที่เกาะตัวผมอยู่เช่นกัน
“นั่นมันอะไรกัน นั่นเรียกว่าชื่อไม่ได้ด้วยซ้ำแล้วมันเอาตาตุ่มดูเหรอว่าคนอย่างผมใช้สรรพนามว่า ’เธอ’”ผมรีบพูดก่อนที่จะโดนปิดปากอีกครั้ง
“ฮ่าๆ ใจเย็นๆน่าคาร์ลไม่ได้จะเอาชื่อจริงๆหรอก ที่ตรวจคนเข้าเมืองก็แค่ทำตามธรรมเนียมไม่ได้ใส่ใจแล้วอีกอย่างไม่มีใครสนใจหรอกว่านายจะตายหรืออยู่ถ้าอยู่ในเมืองนี้ ตายไปก็ไม่มาดูชื่อแล้วแจ้งให้ครอบครัวนายรู้หรอกคนฝังศพให้ยังไม่มีด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นพยายามอย่าตายในเมืองนี้ละกันนะถ้ายังอยากมีหลุมศพเป็นของตัวเอง”มูสตอบให้และส่งสายตาให้ปอลจิต่อคำพูดของตน ปอลจิพยักหน้าตอบแล้วพูดเสริมให้มูส นี่เจอกันไม่กี่วันมันสนิทกันขนาดส่งสายตาแล้วรู้ใจกันแล้วเหรอเนี่ย!?
“ขนาดอาวุธยังไม่ตรวจเลยที่นี่เหมือนเมืองสำหรับต่อสู้ท้าประลองครับถ้าพูดให้ถูกก็เหมือนเอาไว้สำหรับทดสอบพลังความสามารถ และพี่จะฆ่าใครที่นี่ก็ไม่ผิดหรอก อยากฆ่าตัวตายก็ไม่มีใครมาห้ามหรือว่าอยากจะเอาคนมาขายเป็นทาส ขายชิ้นส่วนมนุษย์พี่ก็ทำได้สบายๆ แล้วอีกอย่างนายทหารคนนั้นก็คงไม่ได้ใช้ตาตุ่มมองหรอกครับถึงยังไงตอนนี้พี่ก็ดูเหมือนผู้หญิงมาก ส่วนเมืองนี้ก็อันตรายอย่างที่ผมและพี่มูสบอกไป เพราะฉะนั้น...อืมมม อ้อ!! ‘ท่านหญิงคาร์ล’ ก็ระวังตัวหน่อยนะครับ ท่าทางท่านหญิงดูบอบบางมากเลยละ”ปอลจิและมูสหัวเราะไม่หยุดกับคำว่า ‘ท่านหญิงคาร์ล’ ที่ปอลจิมันคิด เจ้าพวกบ้าเอ้ยเห็นๆอยู่ว่าฉันนะชายแท้เฟ้ย เมืองนี้ก็อีกไม่มีแบบแผนเลยตรวจตามธรรมเนียมไปงั้นๆเหรอ เพราะงี้ถึงได้ตรวจคนเข้าเมืองเร็วสินะ แล้วยังถูกมองเป็นผู้หญิงอีกนี่ถ้าไม่เห็นว่าชุดพวกนี้เอาไปขายเป็นเงินได้ ผมคงฆ่ายัยป้านั่นไปแล้ว
“อ่า..ท่านหญิงของเราปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วรู้สึกแปลกๆเนอะ ปอลจี้”
“นั่นสิครับ เป็นผู้หญิงดีๆก็สวยแล้วแท้ๆ เห้อออ”
มูสและปอลจิล้อเลียนผมตลอดเวลาจนตอนนี้ผมรู้สึกด้านไปแล้ว เพราะตั้งแต่เดินเข้าเมืองพวกนั้นก็ทำตัวเป็นองครักษ์ใครเข้าใกล้ผมหน่อยก็ทำท่าจะหาเรื่อง และตอนผมจะทิ้งชุดเจ้าพวกนี้ก็ห้ามกันอย่างกับผมจะเผาเมืองนี้ทิ้ง พอผมเอาชุดไปขายพวกมันก็ทำหน้าเสียดายบอกว่าชุดพวกนั้นท่านหญิงชอบมากไม่ใช่เหรอ ร้านที่ผมเอาชุดไปขายก็ดูเหมือนจะคิดว่าผมเป็นท่านหญิงจากแดนไกลบ้าบอตามที่มูสและปอลจิพูด กว่าจะขายเสร็จก็เสียเวลาไปพักใหญ่พอผมไปซื้อชุดผู้ชายมาใส่เจ้าพวกนี้ก็โอดครวญหาว่าผมปลอมตัวเป็นผู้ชายทำไม มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว คนในเมืองเริ่มเข้าใจผมผิดกันไปหมดเพราะทุกครั้งที่เรียกผมว่า ท่านหญิงบ้านั่น เจ้าพวกนี้จะพูดเสียงดังให้คนรอบข้างได้ยินกันถ้วนหน้า แล้วเจ้าปอลจิยังซื้อชุดผู้หญิงมาเก็บอีกชุดหนึ่ง มันเอาชุดบ้านั่นใส่กระเป๋าตัวเองเอาไว้อธิบายหน้าตาเฉยว่าพวกมันปลอมตัวเป็นสัตว์ได้เวลาเกิดปัญหาในเมืองแต่ผมทำไม่ได้ถ้าทุกคนรู้จักผมในฐานะผู้หญิงจะได้หนีออกไปได้ง่ายๆเวลามีปัญหา แต่ถึงเหตุผลนั่นจะเป็นเรื่องจริงผมว่ามันก็แค่เหตุผลรอง เหตุผลจริงๆของเจ้าพวกนี้มันก็แค่ หาเรื่องสนุกทำกันฆ่าเวลาเท่านั้นละว่ะ!!
“นายสองคนว่ามีคนในเมืองนี้กำลังจ้องพวกเราอยู่บ้างไหม”ผมถามหลังจากเห็นสายตาคนหลายคนจ้องมา
“ถ้าตานายยังมองเห็นได้ดีอยู่ ดูก็รู้ว่าโดนจ้องอยู่ เพราะอย่างนี้ไงตอนเข้าเหมือนฉันถึงบอกว่า มันง่ายดายเกินไป ท่าทางวันนี้จะไม่ได้นอนกันแล้ว”นายไม่หาเรื่องฉันมันจะตายไหมไอ้คุณมูส แต่ผมไม่เข้าใจที่มูสพูดเท่าไหร่เลย
“อะไรง่ายเหรอครับ พี่มูส”ปอลจิถามคำถามที่ผมก็สงสัย
“ก็ตลอดทางที่พวกเราเดินทางมานี่มันเกิดเรื่องน้อยมากจนฉันนึกว่าเราเป็นเด็กทารกที่กินแล้วนอน ตื่นแล้วกินซะอีก แทบจะไม่มีอะไรทำเลยด้วยซ้ำ”มูสตอบ
“มันก็ใช่ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันก็ดีนี่นา อีกอย่างแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องไม่ได้นอนเนี่ย”ผมถามบ้าง
“โถ่เอ้ย พวกนายไม่เคยได้ยินหรือไงว่าอะไรที่โชคดีเกินไป มันจะกลายเป็นซวยสุดๆนะ”มูสอธิบายไม่เข้าใจเหมือนเดิม ผมจึงคิดจะหันไปถามปอลจิ แต่ดูเหมือนปอลจิจะหันมาถามผมเหมือนกันสุดท้ายปอลจิก็ถอนหายใจหันมาตอบผมเบาๆ ไม่ให้มูสได้ยิน
“อาจจะเป็น..ลางสังหรณ์ของหมานะครับ”
เป็นจริงดังมูสว่า ทันทีที่พวกเราถึงโรงแรมก็มีพวกนักเลงดักซุ่มอยู่ ดูอายุแต่ละคนน่าจะเป็นชายวัยกลางคน และอีกคนที่ท่าทางน่าจะเป็นหัวหน้านั่น นั่งซะอลังการเก้าอี้ระดับราชากับโต๊ะน้ำชานั่นมันอะไร คิดว่าตัวเองเป็นพระราชาเหรอ นี่ถ้าไม่เห็นว่าอายุน่าจะคราวปู่และมีหลานอีกโขยงแล้วคงด่าให้เจ็บแสบสักคำสองคำไปแล้ว กลัวทนฟังไม่ได้ขาดใจตายตายก่อนได้เห็นเหลนหรอกเลยปล่อยไปนะ ฮึ่ม! เจ้าพวกนั้นมีกันหกคนรวมคุณปู่นั่นด้วย แต่ละคนท่าทางบึกบึนมีแผลเป็นที่หน้า แขนและขา หน้าตาโหดเหี้ยมคงผ่านศึกมาเยอะ สงสัยฆ่าเกินร้อยศพแล้วมั้ง พวกนั้นคิดจะมาหาเรื่องพวกเราด้วยสาเหตุใดผมก็ไม่ทราบ พวกมันคนหนึ่งในนั้นพยายามที่จะเข้ามาจับตัวผม ผมต่อสู้ขัดขืนได้ครู่เดียวก็ถูกจับอย่างง่ายดาย เออ! ยอมรับความจริงก็ได้ว่าผมกระจอกขนาดต่อยเด็กยังแพ้ ผมเป็นแค่ขู่คนกับโมโหอย่างบ้าเลือดเท่านั้น ทั้งๆที่ผมไม่สู้คน(เหรอ?) แต่เจ้ามูสกับปอลจิดันเอาแต่ยืนมอง ไม่ช่วยผมเลยสักนิดพวกคนที่จับผมก็ดูจะสงสัยการกระทำของมูสและปอลจิที่อ้างตัวว่าเป็นองครักษ์ของผม แต่เจ้าพวกนั้นกลับไม่ทุกข์ร้อนแม้แต่นิดเดียว นี่มันไม่คิดจะช่วยผมกันเลยใช่ไหม ผมถูกมัดและถูกพาตัวไปไกลจากพวกนั้นขึ้นทุกทีสองคนนั้นก็ยังคงเฉยได้อยู่ ความกังวลเริ่มมากขึ้นผมไม่รู้จะทำยังไงถึงจะรอดไปได้อ๊า ไอ้พวกสัตว์สี่ขาพวกนายจะทิ้งฉันง่ายๆอย่างนี้เหรอ นึกสิต้องนึกให้ออกทำยังไงพวกมันถึงจะช่วย ผมนึกจนหัวแทบระเบิด ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าสองคนนี้มันไม่เคยช่วยใครฟรีๆ ไอ้พวกแล้งน้ำใจ!! วิธีง่ายๆแค่นี้ผมนึกนานให้เสียเวลาทำไมเนี่ย
“กลับไปฉันจะเพิ่มไก่ทอดให้อีกถัง!!!~” ผมตะโกนขอความช่วยเหลือด้วยประโยคที่ไม่มีความใกล้เคียงกับประโยคพื้นฐานที่คนธรรมดาเค้าใช้กันเวลาต้องการความช่วยเหลือ แต่อย่างน้อยมันก็ได้ผล มูสดูจะเข้าใจความหมาย มันรีบวิ่งเข้ามาจะชิงตัวผมคืนแต่ก็ถูกคนที่อยู่ในโรงแรมหยุดไว้ ไอ้ลุงคนที่แบกผมอยู่เห็นแบบนั้น ก็เดินกลับมาที่โรงแรมอีกครั้ง จับผมมัดกับเก้าอี้ข้างๆไอ้ปู่ เข้าไปช่วยเพื่อนอีกสี่คนสู้กับมูสดูมันจะตื่นเต้นเหมือนกับได้เจอสปีชีส์ใหม่ของโลกท่าทางกระหายการต่อสู้มากแหะอุตส่าห์ลงทุนแบกผมกลับมาเพื่อสู้อาการหนักจริงๆคนเมืองนี้ และการต่อสู้ของมูสกับคนห้าคนก็กำลังจะเริ่มขึ้น ปอลจิท่าทางสนุกสนาน ยืนรอดูอย่างตื่นเต้นสักพักมันก็มานั่งข้างๆผมที่ถูดมัด สั่งน้ำผลไม้มานั่งจิบระหว่างดูการต่อสู้ด้วย เอ็งจะสบายไปไหนฟ่ะ!! เห็นฉันที่กำลังถูกมัดอยู่ไหม ผมจ้องปอลจิอย่างกินเลือดกินเนื้อ มันก็ยังคงด้านได้อยู่
เพล้ง!! เสียงขวดแก้วที่ถูกปาเฉียดหน้าผมไปนิดเดียวกระเด็นเลยไปชนกับพนังด้านหลัง เฮ้ย!!สู้กันก็อย่ามาเกินถิ่นผู้ชมดิเฟ้ย และผมก็พบผู้ต้องสงสัยแล้ว ดูเหมือนมูสมันจะเป็นคนปาของอันตรายนั่นมา
“ฉันสู้อยู่นะ สนใจกันบ้างสิ แกด้วยปอลจิอย่าจ้องพ่อครัวฉันมาก”มูสพูดอย่างเดือดดาลและหึงหวง มันหงุดหงิดอะไรของมัน หลังจากพูดจบมูสก็วิ่งเข้าหาลุงที่ตัวใหญ่ที่สุดแล้วอัดหมัดแรกเข้าที่คาง ตามด้วยอัดเข่าใส่ท้องอีกที ผมแอบเห็นมันทำท่าเจ็บเข่าด้วย คุณลุงคนนั้นดูไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ ยังยืนมองมูสอยู่เฉยๆ
“แกล้งเจ็บจะเป็นไรไปลุง ฉันอุตส่าห์โชว์อย่างเท่เพื่อเรียกคะแนนความสนใจ เผื่อจะได้ไก่ทอดเพิ่ม แต่ลุงเล่นทำท่าเฉยอย่างนี้ก็อดอะดิ”มูสดูท่าจะเศร้าที่ลุงคนนั้นไม่เจ็บอย่างที่เขาต้องการ ผมเข้าใจถึงสาเหตุที่มันเรียกให้ดูแล้ว จะเอาไก่ทอดเพิ่มนี่เอง มันคิดว่าผมเป็นสาวน้อยที่รักการตอบแทนบุญคุณเวลาเจอฮีโร่เหรอ ฝันไปใหญ่แล้ว แต่ทำไมต้องหวงไม่ให้ปอลจิจ้องผมละเนี่ย
“นี่... จากนิสัยที่มองคนเก่งไม่เป็นของนายนะคาร์ลอย่ามาคิดว่าฉันจะแพ้นะ ห้ามส่งปอลจิมาช่วยนะเฟ้ย เพราะไก่ทอดของฉันไม่แบ่งให้ใครหรอก!!”นี่สินะคำตอบ มันหวงอะไรนัก ไก่ทอดเนี่ย??
มูสเริ่มต่อสู้อีกครั้งเขาหันไปจ้องคนที่ดูอ่อนแอที่สุดในกลุ่มคุณลุง เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เพราะอยู่ดีๆมูสก็ไปอยู่ด้านหลังของคุณลุงคนนั้นฟาดฝ่ามืออย่างแรงจนลุงคนนั้นสลบไป ยิ้มอย่างตัวโกงหลังจากกำจัดคนที่หนึ่งได้ ก็พุ่งเข้าหาคนที่สองรัวหมัดเข้าที่ท้องไม่หยุด แต่ก็โดนปัดได้ทั้งหมดแถมยังโดนสวนหมัดกลับไปหลายที ดูท่าลุงคนนี้จะไม่ได้กระจอกเขาเริ่มตอบโต้กลับพลัดกันรุกพลัดกันรับกับมูส แต่ฝีมือชั้นเชิงของมูสคงสู้ไม่ไหว เขาโดนสวนหมัดเข้าที่หน้าและลุงอีกคนก็เข้ามาเตะขามูสจนมูสล้มลงไป ดูเหมือนมูสจะสู้ไม่ไหวผมควรจะขอให้ปอลจิไปช่วย แต่มูสกลับจ้องมาหาผม เขาคงโกรธแน่ๆถ้าทำแบบนั้น มูสเริ่มลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทำท่ายอมแพ้
“อ๊า ผมคงสู้พวกคุณไม่ไหว ผม..คงต้องขอ...ยอมแพ้.... อ๊ะนั่นอะไรนะ!!!”มูสทำท่าทางอิดโรย แต่อยู่ดีๆก็ทำท่าตกใจหวาดกลัวถึงขีดสุดชี้ไปด้านหลังของคุณลุงทั้งสอง ทั้งสองคนรีบหันไปทางที่มูสชี้และล้มลงไปที่พื้นอย่างง่ายดาย
มูส!! ไอ้หมอนั่น มันเอามือฟาดทำให้สองคนนั้นสลบไปอีกแล้ว แถมยังโกงสุดๆด้วยเราเป็นฝ่ายพระเอก เป็นคนดีนะ ผมตาค้างไปเรียบร้อย ส่วนปอลจินั้นสะใจสุดๆ คุณลุงที่เหลืออีกสองคนดูท่าจะไม่พอใจมาก แต่คุณปู่ข้างๆผมยังเฉยอยู่
“หลอกง่ายจริงแหะ หึหึ”มูสยังคงสะใจ และภูมิใจในวิธีของตัวเอง ลุงอีกสองคนเริ่มวิ่งเข้าใส่มูสอีกครั้งช่วยกันรุมมูสอย่างสุดกำลังแล้วฝีมืออย่างมูสนะเหรอจะสู้ได้ ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายรับอย่างเดียว หน้าเริ่มบอบช้ำหลังจากถูกต่อยอยู่ฝ่ายเดียว หมอนั่นท่าทางโมโหไม่น้อยถ้าอยู่ในร่างสุนัขมูสอาจจะสู้ได้ดีกว่านี้ แต่มูสบอกว่าถ้าเกิดมีปัญหากับพวกมีอิทธิพลเวลาแปลงร่างเป็นสุนัขจะได้หนีได้ หมอนั่นคงไม่ยอมแน่ๆ
“ปอลจิไปช่วยมูสหน่อย”ผมพูดด้วยความร้อนรนมูสถูกต่อยหนักขึ้นเรื่อยๆแล้ว และท่าทางจะตั้งรับไม่ไหวอีกแล้ว
“บอกว่าอย่ามายุ่งไง”ถึงมันจะเจ็บก็ยังคงตะโกนตอบกลับมาได้
“พี่มูสว่างั้นนะครับ อีกอย่างพี่มูสโดนแบบนี้ผมก็สนุกดีออก”ถึงปอลจิจะพูดเหมือนเด็กซาดิสส์แต่น้ำเสียงของเขาก็กังวลไม่แพ้ผม หน้าตามีแววโกรธแค้นไม่น้อย แต่มูสคงไม่ยอมให้ช่วยแน่ๆ
ปั๊กๆๆ!! หมัดเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆมูสนอนหงายอยู่ที่พื้นในสภาพยับเยิน แต่ลุงพวกนั้นยังคงไม่หยุดเอาเท้ามาถีบซ้ำที่ท้องของมูส ส่วนอีกคนก็เตะเข้าที่แขน มูสไอออกมาเป็นเลือดแล้ว พวกนั้นคงคิดจะฆ่ามูสให้ตายแน่ๆ ผมทนดูไม่ไหวแล้วจริงๆ!!
เพล้งง อ๊ากกกกกก
เสียงแก้วแตกดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกันเสียงโหยหวนที่ดังติดๆกันของ ไอ้ลุงชั่วที่ถีบท้องของมูสหัวเขามีเลือดไหลออกมา
“ขอโทษทีครับ มันหลุดมือ”ปอลจิพูด แต่แววตาของเขาท้าทายต่างจากคำพูด ผมอยากสั่งน้ำผลไม้มาให้ปอลจิอีกสักสี่ห้าแก้วให้ปอลจิปาใส่ให้ตายไปให้หมดเลย มูสดูอิดโรยมากจบศึกคราวนี้ผมคงต้องแถมไก่ให้มัน แต่อย่างน้อยต้องชนะให้ได้ก่อน
“ปอลจิไปช่วยมูสซะ มูส!!ไม่ต้องบ่น แล้วก็ถ้านายไม่ลุกขึ้นมาอัดอีกคนให้มันสลบไปฉันจะไม่ให้ไก่ทอดนาย”ผมพูดออกไปอย่างเดือดดาล ปอลจิเดินเข้าไปร่วมวงต่อสู้มันยิ้มอย่างโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แต่ผมไม่สงสารพวกนั้นหรอกฆ่าให้ตายไปเลยก็ดี แต่ผมเจ็บใจจริงๆที่ช่วยทั้งสองคนไม่ได้เลย ต่อให้ผมไม่ถูกมัดอยู่ผมก็คงไม่เป็นประโยชน์อยู่ดี
ปอลจิเดินเข้าไปหาลุงตัวใหญ่ สายตาไม่มีความเกรงกลัว “อย่ามาเล่นของเล่นของผมนะ คนที่จะฆ่าพี่มูสได้มีผมคนเดียวเท่านั้น!!” ปอลจิตะโกนใส่หน้าลุงคนนั้น เขากางกรงเล็บออกมา ฟันไปที่ขาและแขนของลุงคนนั้น เลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมาเปื้อนปอลจิ ลุงคนนั้นทำได้แต่ตั้งรับ แต่กลับไม่มีสีหน้าหวาดกลัว สักพักก็เริ่มอ่านการเคลื่อนไหวของปอลจิออกจึงเริ่มตอบกลับ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด
ทางด้านมูสนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของคาร์ล ก็ลุกขึ้นมาต่อสู้อีกครั้งเขาเริ่มปล่อยหมัดอีกครั้ง เตะต่อยตั้งรับอย่างสุขุม อีกฝ่ายก็สู้อย่างระมัดระวังเช่นกัน การต่อสู้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งสองฝ่ายต่างอ่อนแรงลง ปอลจิมีรอยช้ำ ตาบวมและสภาพทุลักทุเล แต่ก็ไม่ถึงขั้นมูสที่แทบจะช้ำไปทั้งตัว ส่วนคุณลุงที่สู้กับปอลจิมีรอยถูกของแหลมฟันตามแขนและขาบางจุดเลือดยังไหลไม่หยุด สีหน้าไม่เฉยชาเหมือนเคย ดูอ่อนแรงไม่ต่างจากลุงอีกคนที่โดนหมัดของมูสไปไม่น้อย เขาโซเซ ยืนไม่มั่นคง มูสตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายเขารวบรวมแรงทั้งหมด เตะเข้าที่เข่าขวาของลุงคนนั้น มีเสียงเหมือนกระดูกหักดังขึ้นชายหนุ่มล้มลงไปกับพื้น พยายามที่จะลุกขึ้นยืนแต่ก็ไม่สามารถลุกได้ มูสเองก็เหนื่อยไม่แพ้กันเขาทรุดนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ปอลจิเองก็กำลังคิดว่าเขาควรจะตัดขาชายหนุ่มนั่นทิ้งดีหรือไม่ เพราะเขาคงทำให้กระดูกหักไม่ไหวเพราะถ้าเขาลงมือคงมีแต่ขาขาด จะให้มูสทำก็ท่าทางจะไม่มีแรงเหลือ ปอลจิตัดสินใจเด็ดขาดว่าคงต้องให้พิการกันบ้าง เขากำลังจะลงมือแต่ก็ถูกเสียงหนึ่งขัดขึ้น
แปะๆๆๆๆ
เสียงปรบมือของคุณปู่ข้างๆคาร์ลดังขึ้น เขากล่าวเสียงเรียบ
“ถ้าทำอะไรลูกน้องฉัน คนของพวกแกคอขาดแน่”เสียงเรียบดังขึ้นพร้อมดาบที่จ่ออยู่ที่คอของคาร์ล
ความคิดเห็น