คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บางสิ่งที่ขาดหาย ตอนที่ 1.
******************
"ห้องน้ำ" ยูเกลทวนคำด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความคลางแคลงใจสุดๆ "นายหายหัวไปเป็นชั่วโมงเพราะหาห้องน้ำไม่เจอเนี่ยนะ" นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ
ใช่ เธอกำลังรู้สึกไม่ไว้ใจเขาอย่างสุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้นัยน์ตาสีเทาเป็นประกายแปลกๆนั่นอีก ตาที่ไม่ตกใจหรือลนลานเลยแม้แต่น้อยเมื่อเด็กสาวซักไซ้ว่าเขาหายหัวไปไหนระหว่างทำงานจนพนักงานเสิร์ฟคนอื่นๆต้องหัวหมุนกันไปหมด
"น่า" ลอเรลเอ่ยพลางส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เธอ "ฉันมีธุระนิดหน่อย"
ยูเกลหรี่ตาลง "ธุระงั้นเหรอ ไหนบอกว่าพึ่งเคยมาถึงที่นี่เหมือนกันไง จะไปมีธุระที่ไหนได้อีก"
"บังเอิญไปเจอญาติของคนรู้จักน่ะ" เขาตอบเรียบๆ แม้คำตอบนั้นจะฟังดูมีพิรุธ แต่ยูเกลก็ยังไม่รู้สึกเลยว่าน้ำเสียงของเขาปิดบังอะไรอยู่ ตั้งแต่เกิดมาได้สิบสี่ปี เด็กสาวยังไม่เคยเจอใครที่พูดความจริงหรือไม่ก็อย่างน้อยก็โกหกได้แนบเนียนกับเธอขนาดนี้มาก่อน
"ฉันจะบอกเธอทุกเรื่องที่บอกได้ ส่วนเรื่องที่บอกไม่ได้ก็จะไม่โกหกนะ" นั่นเป็นสิ่งที่เขาพูดกับเธอเป็นสิ่งแรกเมื่อลงจากรถไฟ สำหรับยูเกลที่กำลัง...ที่ถ้านับดีๆก็เหมือนจะเมื่อสาม-สี่วันก่อนนี่เองละนะ...
แล้วทั้งๆที่พึ่งมาถึงเบลสซาไม่นาน แต่เธอกับลอเรลก็สามารถหาที่อยู่ได้รวดเร็ว (ลอเรลหาห้องเช่าใกล้ๆสถานีขณะที่ยูเกลใช้เวลาไม่นานนักก็เจอบ้านเก่าของแม่ในวันนั้นเอง) และหลังจากที่เด็กหนุ่มพบว่าเธอตั้งใจจะดำรงชีวิตด้วยเงินในบัตรเครดิต ลอเรลก็ใช้เวลาอีกหนึ่งวันเต็มๆชักแม่น้ำทั้งห้ามาหว่านล้อมให้เธอมาทำงานในร้านอาหาร ("ไม่อยากอยู่ด้วยตัวเองได้จริงๆรึไง") ซึ่งถ้านับดีๆวันนี้เธอก็พึ่งมาทำงานเป็นวันแรก
แล้วทั้งๆที่มันเป็นวันแรก ตาบ้านี่ยังหาเรื่องอู้ได้อีกนะ
ยูเกลปรายตามองเขาอย่างหงุดหงิด ปากก็ยังคงบ่นไม่หยุด ("ไหนนายบอกว่าเราต้องอยู่ด้วยตัวเอง แล้วที่ทำตัวเสี่ยงต่อการไม่ได้อยู่ด้วยตัวเองล่ะ") ทั้งที่เมื่อก่อนเธอก็ไม่ใช่คนพูดมาก คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาห้อมล้อมเด็กหญิงก็มักจะเข้ามาเพราะชื่อและความเชื่อที่ว่าเธอน่าจะมีพรสวรรค์เหมือนแม่เท่านั้นเอง พวกเขาไม่ได้อยากเข้ามาฟังคำพูดจากเด็กหญิงตัวเล็กๆอย่างหนูยูเกลอยู่แล้ว ส่วนพวกเพื่อนที่โรงเรียนเธอก็ไม่มีใครที่สนิทด้วยเป็นพิเศษ ในที่สุดเด็กหญิงก็เลยมักจะอยู่ตัวคนเดียวและก็กลายเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด
แต่บางทียูเกลอาจจะไม่ได้เป็นคนไม่ค่อยพูดอย่างที่แสดงออกให้คนอื่นเห็นหรอกนะคะ เธออาจจะแค่เก็บคำพูดที่คิดเอาไว้ในหัว แล้วพอเก็บมากๆมันก็จะกลายเป็นความเก็บกด แล้วมันก็จะกลายเป็นเหมือนระเบิดเวลาเคลื่อนที่ แต่ก็ยังดีที่ยูเกลไม่เคยระเบิดกับใครเลยซักครั้ง (นอกจากครูประจำชั้นในโรงเรียนดนตรีในวันประชุมผู้ปกครอง) แต่เพราะอย่างนั้นความเครียดของเด็กหญิงก็เลยถูกเก็บเอาไว้เหมือนลูกโป่งที่ถูกเป่าลมจนพอง
และท่าทางอะไรบางอย่างในตัวลอเรลจะเป็นคนกระตุ้นให้เธอปล่อยลมออกจากลูกโป่งแห่งความเก็บกดนั้น ความอัดอั้นหลายปีเลยพรั่งพรูออกมา
ตอนนี้แม้แต่ตัวยูเกลเองยังคิดเลยว่าสามวันที่ผ่านมานี้เธอได้พูดสิ่งที่คิดออกมามากกว่าช่วงเวลาทั้งหมดในชีวิตเลยทีเดียว
"บ่นเสร็จรึยัง" ลอเรลยิ้ม "ถ้าเสร็จแล้วก็รีบไปกันเถอะ ฉันก็ไม่อยากให้โดนหักเงินไปมากกว่านี้หรอกนะ" เขาเดินนำหน้าเธอเข้าประตูไป แต่ในตอนนั้นเองที่ยูเกลสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มแอบปัดหยากไย่ออกจากชุดเครื่องแบบ เธอเลื่อนสายตาลงมองที่รองเท้าของเขา คราบเขียวๆอะไรบางอย่างเหมือนมอสหรือตะไคร่น้ำปรากฏให้เห็น
เด็กสาวเกือบจะเอ่ยปากถามแล้วว่านายไปเจอญาติของคนรู้จักที่ไหน แต่ก็รู้ได้ทันทีว่าลอเรลคงไม่ตอบคำถามนี้อย่างแน่นอน
"ยูเกล" เสียงเรียกของเขากระชากเธอออกจากภวังค์
"หืม" เด็กสาวเผลอเลิกคิ้วสูง "มีอะไร"
ลอเรลนิ่งไปครู่หนึ่งโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา นัยน์ตาสีเทาของเขาแสดงอารมณ์แปลกๆออกมาที่เด็กสาวไม่เข้าใจ เธอไม่ชอบการแปลความหมายจากดวงตานัก แม้ว่าจะถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ แต่พอยูเกลเริ่มเชี่ยวชาญการแปลความหมายจากดวงตาแล้ว เธอกลับพบว่าคนรอบข้างมีแต่ความเสแสร้งและหลอกลวง หลังจากนั้นเด็กหญิงก็ไม่อยากที่จะสบตาใครอีก
"ไวน์ขาว" ในที่สุดลอเรลก็เอ่ยปาก "ไปเอามาให้หน่อยได้ไหม" เด็กหนุ่มชี้ไปที่ประตูห้องเก็บไวน์ที่อยู่ข้างๆห้องครัว
"ไวน์ขาว?" ยูเกลทวนคำอย่างงงๆ
"ลูกค้าโต๊ะ 2 สั่งไวน์ชาบลีส ปี 1878 ลงไปเอามาให้หน่อยได้ไหม"
"อ่า..." เด็กสาวกำลังจะเอ่ยปากค้านว่าเธอยังไม่เคยลงไปที่ห้องเก็บไวน์มาก่อนแต่ก็ช้าไปซะแล้วเมื่อเด็กหนุ่มหายลับไปยังหน้าร้านเรียบร้อย
บ้าจริง แล้วชาบลีสปี 1878 มันอยู่ส่วนไหนของห้องเก็บไวน์ล่ะเนี่ย ยูเกลคิดก้าวลงบันไดไปยังห้องใต้ดินที่ใช้เป็นที่เก็บไวน์ เธอได้ยินมาจากรุ่นพี่ที่ชื่อซีนวาว่าบริเวณหน้าผานี้เคยเป็นคฤหาสน์เก่ามาก่อน แต่เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นทำให้ตัวคฤหาสน์วอดวายไปทั้งหลัง เหลือก็แต่ห้องเก็บไวน์นี้ที่ยังรอดปลอดภัยอยู่ซึ่งมันก็แปรสภาพมาเป็นห้องเก็บไวน์ของร้านอาหารประภาคารขาวนี้นั่นเอง
ยูเกลกำลังคิดอยู่พอดีว่าห้องใต้ดินนี้อายุเท่าไหร่เมื่อเธอได้ยินเสียงร้องเพลงเบาๆมากระทบหู เสียงร้องเพลงที่ทำให้ขนตั้งแต่ปลายนิ้วไปจนถึงกระดูกซี่โครงของเด็กสาวลุกชันขึ้นมาทันที
ในตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่เมื่อฟังดูดีๆแล้วเสียงอันไพเราะที่ได้ยินนั้นคงไม่ใช่เสียงลมแน่ๆ ยูเกลรู้สึกว่าต้นเสียงนั้นเหมือนจะดังมาจากที่ไกลๆ แต่ในห้องเก็บไวน์นี้ไม่มีทั้งหน้าต่างหรือว่าช่องลมและเพลงนี่ก็ไม่ได้ดังลงมาจากชั้นบนด้วย เด็กสาวขมวดคิ้วแล้วก็เริ่มเดินสำรวจไปรอบๆห้อง จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าชั้นเก็บไวน์ที่อีกด้านของห้อง เสียงเพลงที่เธอได้ยินเหมือนจะมีที่มาจากด้านหลังของชั้นเก็บไวน์นี่เอง
ใยแมงมุมหนาเตอะที่ถักทอไว้บ่งบอกว่าไวน์ในชั้นนี้จะไม่ได้รับการแตะต้องบ่อยนัก เมื่อเทียบกับชั้นอื่นๆในห้อง ยูเกลพยายามสำรวจชั้นวางแต่แสงสลัวๆจากหลอดไฟก็ไม่ได้ทำให้มองเห็นอะไรได้มาก
เด็กสาวรู้สึกถึงเหงื่อชื้นๆที่ฝ่ามือ แม้ว่าอากาศในห้องเก็บไวน์จะค่อนข้างเย็นก็ตาม เธอเช็ดมือกับกางเกงและก็ลองดันชั้นวางดู แต่ก็ตระหนักได้ในภายหลังว่ามันเป็นความคิดที่โง่มาก เพราะแรงของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆไม่มีทางเขยื้อนชั้นวางที่มีขวดไวน์เรียงเป็นตับแบบนี้ได้แน่ๆ
ยูเกลถอนหายใจแรงๆ เธอรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรไร้สาระและก็รู้ด้วยว่าเมื่อตะกี้เธอพึ่งบ่นลอเรลเรื่องอู้งานแต่เด็กสาวก็ยังอยากจะรู้ที่มาของบทเพลงปริศนานี้ให้ได้อยู่ดี เหมือนกับเธอจะหลงใหลมันเข้าซะแล้ว บทเพลงที่เธอไม่รู้ว่ามาจากภาษาอะไรแล้วก็ไม่เข้าใจความหมายนอกจากความรู้สึกเศร้าๆ
ความรู้สึกที่แค่ฟังก็อยากจะร้องไห้ออกมาทีเดียว
เด็กสาวก้าวถอยหลังและพิจารณาชั้นวางอย่างรวดเร็ว หัวใจของเธอค่อยๆเต้นเร็วขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวว่าเจ้าของเสียงเพลงจะร้องเพลงจบก่อนหรือเพราะกำลังตื่นเต้นที่ตัวเองกำลังทำเหมือนนักสำรวจ
แล้วนักสำรวจรุ่นเยาว์ของเราก็มองเห็นสิ่งผิดปกติของชั้นวางจนได้ เมื่อเธอก้มลงไปมองที่ชั้นวางชั้นสุดท้ายจนแน่ใจแล้วรอยยิ้มบางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ถึงมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ แต่ที่ไวน์ขวดเดียวในชั้นไม่มีหยากไย่จับอยู่เลยทั้งๆที่รอบๆถูกปล่อยให้กลายเป็นถิ่นที่อยู่ของแมงมุมไปแล้วนี่ก็ออกจะแปลกไปหน่อย เด็กหญิงหยิบขวดไวน์นั่นขึ้นมาแล้วนัยน์ตาสีน้ำเงินของเธอก็ต้องเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจ เมื่อตัวหนังสือสีทองที่พิมพ์อยู่บนกระดาษสีขาวนวลนั่นคือคำว่า
ชาบลีส 1878
เรื่องบังเอิญ?
ครืน...
ทันใดนั้นชั้นวางไวน์ทั้งชั้นก็ส่งเสียงออกมา ยูเกลก้าวถอยหลังอย่างตกใจ ตาที่โตอยู่แล้วของเธอแทบถลนออกจากเบ้าเมื่อชั้นวางไวน์ที่แรงเด็กผู้หญิงอย่างเธอไม่มีทางขยับได้กลับขยับตัวมันเองและเลื่อนไปข้างๆเผยให้เห็นทางเดินที่ดูเหมือนอุโมงค์ในถ้ำไม่มีผิด
ลมเย็นๆชื้นๆพัดมาต้องหน้าเบาๆ ทำให้เด็กหญิงกระพริบตาและดึงสติกลับมาสู่ตัว
ทางเดินลับใต้ดิน!
เสียงเพลงลึกลับนั่นมาจากด้านหลังชั้นวางนี่เอง ยูเกลมองไปรอบๆและสังเกตเห็นรอยตะไคร้น้ำตามผนัง และที่บนเพดานห่างออกไปจากปากทางเข้าเล็กน้อยคือพื้นไม้ระแนงที่มีแสงสว่างลอดลงมา เสียงตะหลิวกระทบกระทะเป็นระยะทำให้เด็กสาวรู้ว่าเหนือขึ้นไปคือครัวของร้าน
ยูเกลกลืนน้ำลายและวางขวดไวน์ลงที่พื้น เธอหันกลับไปมองที่บันได ดูท่าทุกคนจะยังยุ่งกันเกินกว่าจะสังเกตว่าเธอหายไป เสียงเพลงที่ดังมาจากอีกด้านของอุโมงค์ยิ่งทำให้เด็กหญิงตัดสินใจได้เร็วขึ้น เธอเดินอย่างระมัดระวังด้วยความกลัวว่าจะลื่นล้มและเพราะอย่างนั้นเองเธอจึงเห็นรอยเท้าของใครบางคนบนพื้น
เด็กสาวหรี่ตา หลังจากการผจญภัยครั้งนี้ลอเรลคงจะต้องตอบคำถามของเธอแล้ว ว่าญาติของคนรู้จักประเภทไหนที่มาซ่อนตัวอยู่ในทางเดินลับใต้ดินแบบนี้
หรือว่าตานั่นจะซุกซ่อนนักโทษหลบหนีมากันนะ? ...ความคิดพิเรนทร์ๆเริ่มผุดขึ้นมาตามก้าวแต่ละก้าวที่ยูเกลก้าวไป หรือว่าจะพาผู้หญิงที่ไหนหนีตามกันมาแล้วแอบเอามาซ่อนไว้ที่นี่
บ้าน่ะ เด็กสาวดุตัวเอง คิดอะไรไร้สาระ เธอปาดเหงื่อบนใบหน้าออกและเริ่มเดินต่อไป
โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเดินไปสู่ความไร้สาระบ้าบอที่จะติดตัวเธอไปจนอีก4ปีให้หลังเลย
เพราะที่สุดปลายทางอุโมงค์นั่น...
***************************************
"นายคิดว่าจะมีอะไรอยู่ในหอคอยนั่นไหม ลอเรล"
คำถามที่ทำให้คนถูกถามเอนหลังลงพิงพนักโซฟาและถอนหายใจยาว นัยน์ตาสีเทาเหม่อมองไปที่ประภาคารสีขาวตัดกับสีฟ้าใสของเที่ยงวัน เขากำลังคิดว่าการได้นั่งพักดื่มน้ำเปล่าเย็นๆซักแก้วหลังจากต่อล้อต่อเถียงกับคุณหนูผู้เอาแต่ใจตัวเองให้ยอมลดความยาวของสันหลังตัวเองไปหางานพิเศษทำครั้งแรกในชีวิตเป็นการพักผ่อนที่วิเศษ แต่ช่วงเวลาวิเศษมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน และสำหรับลอเรลมันก็จบลงทันทีที่ยูเกลนั่งลงตรงหน้าแล้วเริ่มบทสนทนาใหม่
ทั้งๆที่เธอทั้งเถียงทั้งโวยวายมาตลอดหนึ่งชั่วโมงเต็ม สาวน้อยคนนี้ยังคิดจะพูดอะไรได้อีกเหรอเนี่ย
"เขาเรียกว่าประภาคาร ไม่ใช่หอคอยซักหน่อย"
"เอาน่า ฉันถามนายว่ามีอะไรอยู่ในนั้น ไม่ได้ถามว่ามันเรียกว่าอะไรนะ" เธอเอ่ย มือขาวคว้าขวดน้ำที่ควรจะวางไว้เพื่อคนสองคนขึ้นมาแล้วก็ดื่มน้ำที่ควรจะทีใส่แก้วก่อนอักๆอย่างกระหายราวกับตายอดตายอยากมาจากไหนก่อนจะจบพิธีด้วยการเอาหลังมือขาวๆนั่นเช็ดปากลวกๆ เด็กหนุ่มเหลือบมองกิริยานั้นและหันหน้าไปมองทางอื่นเพื่อซ่อนรอยยิ้ม
ช่างเป็นคนที่จริงใจซะจนน่าตะลึงจริงๆ
"อืม...ขอคิดดูหน่อยนะ" เขาทำท่าคิดเพื่อถ่วงเวลาให้ตัวเองได้ตีหน้าเขร่งขรึม "ฉันว่านะ...ก็คงมี...
...นางเงือกโดนสาปเป็นหินถูกขังไว้ในหอคอยรอให้เจ้าชายไปช่วยละมั้ง?"
ยูเกลจำได้ว่าตัวเองขว้างหมอนบนโซฟานั่นใส่ลอเรลโทษฐานที่เอาเทพนิยายคลาสสิคมาล้อซะป่นปี้หมด แต่ถ้าเพียงแค่เขาพูดช้ากว่านั้นเพียงวันเดียว...
แค่วันเดียวเท่านั้น...
แค่วันเดียว...ของที่เธอจะขว้างอาจเปลี่ยนมาเป็นขวดน้ำพร้อมถาดแทนก็ได้
-ฉันจะบอกเธอทุกเรื่องที่บอกได้ ส่วนเรื่องที่บอกไม่ได้ก็จะไม่โกหก-
**************************************
ความคิดเห็น