คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ผู้บุกรุกยามวิกาล ตอนที่ 3.
อัพครั้งที่ 22 ต้องขอบคุณอ๊อบนะเนี่ย ไม่งั้นคงไม่อัพเร็วอย่างงี้...
อัพครั้งที่ 23 จบตอนเร็วมาก! เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย!
**********************************
สำหรับเมืองชนบทที่ห่างไกลจากแสงสีสังเคราะห์ของหลอดไฟฟ้าและป้ายโฆษณาอย่างเบลสซาแล้ว คืนที่จันทร์เต็มดวงเป็นเหมือนคืนพิเศษที่เมืองติดทะเลนี้จะเปลี่ยนเป็นดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน ด้วยมนตร์จากแสงจันทร์ที่สุกสกาวอยู่บนฟ้าทำให้สามารถมองเห็นทางได้เหมือนกับเวลากลางวัน แต่แสงจันทร์ที่อยู่ทุกหนทุกแห่งแบบนี้ทำให้เขาไม่ชอบเลย
เมื่อมันทำให้เด็กหนุ่มต้องค่อยๆเดินไปตามถนนอย่างระมัดระวังไม่ให้ใครสังเกตเห็นภายใต้แสงจันทร์ที่เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง เหมือนกับมดที่พยายามจะเดินหลบหยดน้ำฝนในเวลาที่พายุเข้า จริงอยู่ที่ต่อให้ถูกใครเห็นเข้าจริงๆเขาก็คงไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนั้น แต่ว่าในตอนนี้แม้แต่เวลาแค่เสี้ยววินาทีก็มีค่ามาก
เมื่อคุณเหลือเวลาอีกไม่มากนัก
ลอเรลหอบหายใจ เด็กหนุ่มอ้าปากกว้างเพื่อสูดอากาศเข้าไปราวกับมันไม่ได้รายล้อมอยู่รอบตัวหรืออีกนัยหนึ่ง
ราวกับเขากำลังเริ่มหายใจไม่ออก
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าแขนและขาเริ่มที่จะอ่อนแรงลง เขากัดฟันกรอด มือเริ่มไขว่ขว้าหาสิ่งที่พอจะพยุงตัวได้ ลอเรลหยุดทั้งๆที่ไม่อยากจะหยุดเลยซักนิดเพื่อใช้ดวงตาที่เขารู้ว่าอีกเดี๋ยวก็จะพร่ามัวแล้วเพ่งไปข้างหน้า เขาต้องจดจำเส้นทางให้ได้ก่อนที่ตัวเองจะมองไม่เห็น ซึ่งเด็กหนุ่มก็รู้ว่ามันคงอีกไม่นานนัก และถึงจะเสียประสาทการมองเห็นหรือการได้ยินไปก่อนก็ตาม ยังไงเขาก็ต้องไปให้ถึงที่นั่นให้ได้
ขอความช่วยเหลือ...เพื่อตัวเขาเองและเพื่อคนๆนั้น
ลอเรลสำลักซึ่งนั่นทำให้อากาศในปอดหายออกไปมากกว่าครึ่ง เขาอ้าปากสูดอากาศเข้าไปอย่างหิวกระหายซึ่งมันก็ยอมเข้าไปน้อยเหลือเกิน
เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ มันไหลลงสู่กระเพาะอย่างเชื่องช้าและเหมือนเขาจะไม่ได้คิดไปเองว่ามันขมและข้นอย่างกับเมือกอะไรซักอย่าง แปลกที่สิ่งที่เข้าไปในตัวเขาจะพร้อมใจกันติดขัดไปซะหมด ผิดกับน้ำตาที่ไหลพรากออกมาเหมือนกับต่อมน้ำตาจะเชื่อมมิติกับเขื่อนแวนคูเวอร์
ลอเรลปาดมันออกและก้าวขาเดินต่อไป
จะต้องไปถึงให้ได้
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มเริ่มมองเห็นภาพของหอประภาคารเลือนลาง เหลือเป็นเพียงแสงสีขาวมัวๆ
ต้องไปถึงให้ได้เพื่อนายและเพื่อตัวฉันเอง
เอาใจช่วยฉันหน่อยเถอะนะ
อลาม...
*****************
"ขอนั่งข้างๆได้ไหมครับ" เสียงนุ่มๆที่เจือไปด้วยความขบขันดังแว่วเข้าสู่โสตประสาท ทำให้ยูเกลหลุดจากภวังค์ กระเป๋าใบย่อมในมือร่วงผล็อยลงจากตัก เด็กสาวคว้ามันไว้ได้ทันก่อนที่จะหล่นลงพื้น แต่มันกลับทำให้นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นเบิกกว้างอย่างประหลาดใจ
กระเป๋านี่มาจากไหนวะ
ความคิดที่ทำให้คนคิดปล่อยกระเป๋านั่นตกพื้นไปจริงๆ กระเป๋าสีเขียวแก่ๆค่อยๆโผสู่อากาศอันว่างเปล่าและส่งเสียงตุบเบาๆเมื่อมันกระทบกับพื้นโลหะของรถไฟ
เฮ้ย แล้วรถไฟมาจากไหนเนี่ย!
ทันทีที่คิดแบบนั้นเสียงหวูดของรถไฟก็ดังมาเข้าหูพร้อมๆกับกลิ่นของน้ำมันเครื่องและโลหะ ยูเกลกระพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าความหงุดงงจะวิ่งเข้ามาทุบหัวเธออย่างจัง
ที่นี่ที่ไหน แล้ว...แล้วเรามาอยู่นี่ได้ไงกัน
"ขอนั่งข้างๆได้ไหมครับ" เสียงนุ่มๆเสียงเดิมดังเข้ามา ทำให้ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วของเด็กสาวยิ่งเหลือกถลนเข้าไปใหญ่ เสียงอันคุ้นเคย เสียงที่กรอกหูเธอมาตลอด4ปีที่อยู่ด้วยกัน
"นาย" ยูเกลเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงอย่างรวดเร็วพอๆกับความเร็วของงูฉกเหยื่อเพื่อที่จะสบตากับเด็กหนุ่มที่มีนัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้าสีเทา
เธออ้าปากแต่ก็ต้องหุบลงอย่างนึกอะไรไม่ออก ได้แต่ใช้ดวงตาสีน้ำเงินของตนมองใบหน้าขาวนวลน่าหลงใหลไล้ไปถึงผมสีน้ำตาลนุ่มนิ่มน่าสัมผัส...
แล้วไอ้บ้านี่มาอยู่บนรถไฟได้ยังไงกัน
"ไม่ได้สินะครับ" เขายิ้มอย่างสุภาพพลางทำท่าจะจากไปเมื่อเห็นว่าจู่ๆเด็กสาวก็สั่นศีรษะอย่างแรง
"เดี๋ยว" มือเล็กๆผอมบางของเธอคว้าเอาแขนของเด็กหนุ่มพลางจับไว้แน่น แก้มขาวนวลแดงเรื่อ เหงื่อเม็ดเล็กๆไหลซึมขึ้นที่แนวไรผมยุ่งๆ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนสั่นระริกเมื่อมันเอื้อนเอ่ยคำพูดที่สาบานได้ว่าไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองจากสมองมาก่อน "ฉันแค่ไล่ความคิดบ้าๆ ไม่ได้ไล่นายซักหน่อย"
ลอเรลหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มที่แตกต่างออกไปจากปกตินิดหน่อย นัยน์ตาสีเทาของเขากวาดไปทั่วใบหน้าของยูเกลราวกับจะพิจารณาอะไรบางอย่าง ซึ่งนั่นทำให้เธอขมวดคิ้วแต่ก่อนที่เด็กสาวจะทันเอ่ยถามออกไป เขากลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน "เวลาแบบนี้ก็น่ารักดีนี่"
"หา" เด็กสาวปล่อยมือออกจากแขนของเด็กหนุ่มพร้อมๆกับความร้อนที่แล่นปราดขึ้นจับจองพื้นที่บนแก้มใสทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้มุมปากของลอเรลกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มมากขึ้นกว่าเดิม...รอยยิ้มแบบแปลกๆที่เธอไม่คุ้นเคย
"น่าเสียดายชะมัดที่นิสัยเป็นแบบนั้น" เขาเอ่ยพลางยกมือขึ้นแตะแก้มของยูเกลเบาๆ ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอโดนลอเรลแตะแก้มแต่ครั้งนี้เด็กสาวกลับรู้สึกถึงขนที่พร้อมใจกันลุกเกรียวขึ้นมาจากปลายนิ้วจนถึงไปถึงกระดูกซี่โครง
"นิสัยอะไรนะ" เธอฝืนเอ่ยถามออกไป แปลกมากๆที่จู่ๆลอเรลก็ล้อเล่นกันแบบนี้ ปกติแล้วทั้งคู่จะใช้บทพูดบ้าๆนี่ก็ต่อเมื่อจะไล่ใครไปไกลๆเท่านั้น "เมื่อกี้นายบอกว่าน่าเสียดายอะไรนะ"
นัยน์ตาสีเทาคู่นั้นหรี่ลงอย่างซุกซนก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน "น่าเสียดายที่นิสัยดุยังกับเสือนะสิ เวลาปลุกขึ้นมาแล้วไม่น่ารักซะเลยนะ คุณหนู"
แล้วมือที่จับแก้มของยูเกลอยู่ก็ตบเธอเข้าเต็มแรง
**********************************
ความเจ็บแล่นปราดขึ้นจับจองพื้นที่บนใบหน้าในชั่วพริบตาก่อนจะหายไปและแทนที่ด้วยอาการชาที่ทำให้ยูเกลรู้สึกเหมือนสูญเสียประสาทการควบคุมกล้ามเนื้อของแก้มซีกซ้ายไปทั้งแถบ
แต่คงไม่ใช่แค่ประสาทการควบคุมกล้ามเนื้อเท่านั้นที่เธอสูญเสียไป เมื่อภาพของรถไฟต่างก็หายวับไปเช่นกัน
เสียงฉึกฉักของรถไฟรุ่นโบราณนั่นเงียบลงและถูกแทนที่ด้วยเสียงคลื่นที่ถาโถมเข้าหาฝั่งอันคุ้นหู กลิ่นฉุนๆของน้ำมันเครื่องและโลหะถูกแทนที่ด้วยกลิ่นของเกลือจากทะเล ทั้งสองอย่างนี่เรียกสติของยูเกลกลับคืนมา เธอไม่ได้นอนอยู่ในป่าสนแล้ว แต่กำลังนอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
แต่จะใช้คำว่านอนอยู่บนก็คงจะไม่ถูกนัก เมื่อสาวน้อยของเราได้พาตัวเองมานอนอยู่บนพื้นเรียบร้อย...
ยูเกลลุกขึ้นนั่งพลางนวดแก้มซ้ายของตัวเอง อาการมึนงงที่ทำให้เห็นอะไรระยิบระยับลอยไปลอยมายังไม่จางหายไป นี่ท่าทางว่าเธอคงจะ"ร่อน"ลงมาแรงไม่ใช่เล่น
แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยมีปัญหาเรื่องการนอนมาก่อน อาจจะเพราะติดสอยห้อยตามน้าจอร์จไปดูคอนเสิร์ตดึกๆบ่อยๆ ดังนั้นยูเกลเลยเรียนรู้ที่จะหามุมงีบได้ ไม่ว่าตรงนั้นจะเป็นในกล่องเก็บเสื้อผ้านักแสดงที่มักจะมีเสื้อนุ่มๆให้หนุนแทนหมอน หรือว่าจะเป็นซอกสงบๆท่ามกลางความวุ่นวายของหลังเวทีคอนเสิร์ต
ซึ่งถ้าไม่นับตอน6ขวบที่ถูกลืมไว้ในกล่องเก็บเสื้อผ้าจนกระทั่งพนักงานซักรีดมาเจอเข้าแล้ว ยูเกลก็ไม่เคยเสียประวัติได้อย่างน่าอับอายแบบนี้มาก่อน
เหลือเชื่อ คนอย่างเราเนี่ยนะนอนตกเตียง "ร่วงลงมาได้ยังไงเนี่ย" เด็กสาวพึมพำกับตัวเองพลางนวดหางตาที่ยังชาไม่หายไปด้วย
แต่ทันใดนั้นคำตอบของข้อสงสัยก็ลอยมากระทบหูอย่างจังชนิดที่ทำเอาคนได้ยินถึงกับสะดุ้งสุดตัว
"ผมคงปลุกแรงไปหน่อยน่ะครับ"
เสียงที่แฝงไว้ด้วยความขบขันค่อยๆทำให้อาการชาจากแก้มซ้ายแพร่ไปทั่วร่าง มีชายสองคนยืนอยู่ข้างหลังโซฟา หนึ่งในนั้นระบายยิ้มให้แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
สมองที่ปั่นป่วนหยุดชะงักไปเล็กน้อยเพื่อเรียบเรียงความจำ
ชายคนแรกมีสวมชุดสูทสีดำที่ไม่เหมาะกับอากาศชายทะเลอย่างแรง เสียงกริ๊งเบาๆดังขึ้นเมื่อเขาขยับหัว มันมาจากกระพรวนที่ห้อยอยู่ที่คอ...ส่วนคนที่สองเป็นชายวัยกลางคนในชุดช่างไฟฟ้าสีส้มแปร๊ด
ภาพในความทรงจำย้อนกลับเข้ามา
...แล้วร่างบางก็ออกสตาร์ทสี่คูณร้อยเมตร
******************
บ้า บ้า บ้า ความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองไม่มีคำอื่นนอกจากคำว่าบ้าอีกแล้ว ทั้งๆที่เมื่อครู่เธอยังหัวเราะเยาะตัวเองอยู่เลยที่ฝันบ้าบอยาวเหยียดแล้วยังคิดเป็นตุเป็นตะมากมาย
แต่ตอนนี้ หากทำให้ผู้บุกรุกตรงหน้ากลายเป็นเพียงฝันได้ ยูเกลสาบานว่าจะไม่พูดคำว่าบ้าไปตลอดชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายผมยาวเจ้าของมือใหญ่ที่พึ่งเหวี่ยงเธอกระแทกผนังอย่างไม่ปราณีปราสัย
มือใหญ่...ที่กำลังบีบคอขาวๆของเด็กสาวจนจะช้ำแดง
"คุณหนูอย่าคิดหนีไปมากกว่านี้เลยดีกว่านะครับ ไม่งั้นผมคงต้องบีบคอสวยๆนี่ให้หักเล่นทีสองทีแล้วนะ" ใบหน้าเข้มยิ้มอย่างอารมณ์ดี ทั้งที่คำพูดที่พูดออกมาไม่ช่วยทำให้อารมณ์คนฟังดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้ไม่ขยับคอฉันก็จะขาดเป็นสองท่อนอยู่แล้วล่ะย่ะ ยูเกลอยากจะสวนกลับออกไปอย่างนั้น เพียงแต่แรงบีบที่ลำคอทำให้เธอพูดไม่ออก เด็กสาวอ้าปากแต่ก็มีเพียงเสียงค่อกแค่กออกมา
หายใจไม่ออก
"กะแรงให้มันดีๆหน่อย ดีแลน นั่นคอผู้หญิง...เดี๋ยวหล่อนก็ตายก่อนกันพอดี" ชายผมทองที่ดูมีอายุมากที่สุดในบรรดาสามคนนี้เอ่ยปรามขณะที่เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ "อย่าทำให้เสียเรื่องน่ะ" เขาเอ่ยย้ำ "นี่มันก็สายไปหลายนาทีแล้วนะ แกคงไม่อยากพลาดอีกใช่ไหม"
นัยน์ตาสีม่วงฉายแววตกใจขึ้นมาก่อนจะปล่อยให้ร่างบางทรุดลงไปสำลักอยู่กับพื้น เขารีบประคองเธอทันที
"ไม่เป็นอะไรนะครับ คุณหนู" นัยน์ตาสีม่วงนั่นฉายแววเป็นห่วงออกมาอย่างกับว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำให้ยูเกลเกือบขาดอากาศหายใจตายเมื่อครู่นี้กับมือ "ปกติผมเคยแต่บีบคอผู้ชายตัวใหญ่ๆจนชิน...เลยกะแรงไม่ถูกน่ะครับ"
ผู้ชายตัวใหญ่ๆเหรอ ยูเกลคิด สองคนนี้เป็นพวกมาเฟียรึไงนะ แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาหรืออีกในหนึ่งเด็กสาวยังไม่สามารถหยุดอาการสำลักของตัวเองได้ เด็กสาวกัดฟันกรอด
หวังว่าคงจะไม่เกี่ยวอะไรกับการลักพาตัว เพราะเธอคงได้กลายเป็นศพไปก่อนที่น้าจอร์จที่ตอนนี้อยู่ไหนก็ไม่รู้จะทันรู้ว่าหลานสาวโดนจับตัวไป
"ในที่สุดก็ยอมมาคุยกันดีๆแล้วสินะ" ชายในชุดสีส้มยิ้มเมื่อยูเกลทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาด้านตรงข้าม
"พวกแกต้องการอะไร" เด็กสาวเอ่ยเสียงเข้ม ไม่รู้ว่าเพราะเธอกำลังโกรธจนตัวสั่นหรือเพราะหลอดลมเล็กๆนั่นคงจะช้ำไปแล้ว
"ตรงประเด็นดี" ชายผมยาวเอ่ยยิ้มๆพลางทรุดตัวลงนั่งข้างๆเธอ "ถ้าได้อย่างงี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเล่นไล่จับกันให้วุ่นวายนะครับ"
ไล่จับงั้นเหรอ? เล่นไล่จับที่ไหนเขามีทั้งปืน ทั้งแผลถลอก ข้อเท้าแพลงแล้วยังการบีบคอยะ
ความคิดที่คนคิดอยากจะสวนกลับไป แต่ยูเกลรู้ว่าตอนนี้เธอไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อปากต่อคำอะไรได้ เด็กสาวจึงแค่ส่งยิ้มบิดเบี้ยวไปให้
ทว่ารอยยิ้มของเด็กสาวกลับพลันหายไปทันทีเมื่อชายชุดส้มหยิบอะไรบางอย่างออกมาวางบนโต๊ะระหว่างคนทั้งคู่ เปล่าค่ะ ไม่ใช่วัตถุอันตรายอย่างปืนหรืออะไรหรอก แล้วยูเกลก็ไม่ขวัญอ่อนพอที่จะตกใจกับกระดาษแผ่นเล็กๆด้วย เพียงแต่ไอ้สิ่งที่ใช้หยิบกระดาษนั่นออกมาต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกผิดปกติ
มือที่ควรจะช้ำเลือดช้ำหนองเพราะฝีมือเธอกลับหายเป็นปกติราวกับไม่เคยโดนประตูหนีบอย่างแรงมาก่อน
"หนักพอดูเลยล่ะ" นัยน์ตาสีเขียวคู่นั้นเป็นประกายอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเด็กสาวกำลังตกตะลึง "ตั้งห้านาทีกว่าแผลจะหาย"
ตั้งห้านาทีงั้นเหรอ ยูเกลขมวดคิ้วพลางระงับความประหลาดใจไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้าไปมากกว่านี้ ห้านาทีเนี่ยนะ เด็กสาวพ่นลมออกจากปากพรืดใหญ่และก่อนที่จะทันห้ามความคิด เธอก็พลั้งปากออกมา
"ปีศาจชัดๆ"
มุมปากของชายตรงหน้ากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มทันที "ฉลาดดีนี่ สาวน้อย" เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ริมฝีปากที่เผยอขึ้นทำให้เธอสังเกตเห็นเขี้ยวซี่เล็กๆที่ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าเขี้ยวของคนปกติ
แต่สัญชาตญาณของเธอบอกว่ามันไม่ใช่ของคนปกติอย่างแน่นอน แล้วก่อนที่จะทันยั้งตัวเองไว้ เด็กสาวก็พลั้งปากออกไป
"จะดูดเลือดฉันรึไง"
"เปล่า" นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายระริก "ฉันไม่ใช่พวกแวมไพร์ คนข้างๆเธอก็ไม่ใช่ด้วย แล้วเราก็ไม่ได้จะมาล่าเหยื่อ" ชายหนุ่มเสริมด้วยเสียงขบขัน "แค่จะมาหาคน"
"ที่นี่ไม่มีคนที่พวกนายต้องการหรอก"
"สวนกลับเร็วจริง" เขาหัวเราะออกมาอีก "วัยรุ่นนี่ใจร้อนชะมัด ยังไม่ทันจะรู้เลยนะว่าพวกเรามาหาใคร"
ยูเกลเงียบ นัยน์ตาสีน้ำเงินของเธอจ้องชายตรงหน้านิ่ง ก่อนที่มือขาวจะเอื้อมไปหยิบรูปตรงหน้าขึ้นมาดู
เด็กสาวรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระตุกวูบหนึ่ง ก่อนที่ความรู้สึกโล่งใจจะเข้าครอบงำไว้ ยูเกลยักไหล่และเอ่ยอย่างผู้ชนะ "ไม่เห็นรู้จัก"
ทว่าก่อนที่เธอจะโยนรูปลงบนโต๊ะและยิ้มเยาะผู้บุกรุกเหล่านี้ เสียงนิ่มๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ประตู
"แน่ใจแล้วเหรอครับ"
เสียงที่ทำให้ขนตั้งแต่กลางหลังไปจนถึงต้นคอลุกพรึบพร้อมกัน เมื่อยูเกลหันไปมอง เธอก็พบว่าเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่พบในป่ายืนอยู่ตรงนั้น เมื่อได้มาเห็นในที่ๆมีแสงไฟเธอจึงเห็นว่าเขามีผมสีดำสนิทและดวงตาสีฟ้าใสราวกับท้องฟ้าในวันที่อากาศดี
สวย...จนเธอนึกถึงใครบางคนขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นนิดๆและเอ่ยถามอีกครั้ง "แน่ใจแล้วเหรอว่าไม่รู้จักคนในรูปน่ะครับ"
"ไม่ ฉันไม่เห็นรู้จักคนในรูปเลย"
"ยังไม่ทันจะมองใหม่เลยนะครับ" เขาเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ "มองอีกครั้งคงไม่เสียเวลาซักเท่าไหร่หรอกมั้ง”
คนถูกค่อนแคะเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย และละสายตาจากใบหน้าของเด็กหนุ่มมาที่รูปในมือ
มันเป็นรูปของเด็กผู้หญิงที่น่าจะมีอายุพอๆกับเธอ แต่ยูเกลสาบานได้ว่าไม่เคยเห็นผมสีบลอนด์ที่จางจนดูเป็นสีเงินกับดวงตาสีเหลืองทองแบบนี้ที่ไหน
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้จัก" เธอขึ้นเสียงเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาสีน้ำเงินกวาดไปรอบๆรูปราวกับจะจับผิด
ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้ "คนที่เราหาอยู่...ไม่ใช่คนในรูป แต่หน้าตาเหมือนคนในรูป แตกต่างแค่สีผมกับสีตา" เขาพิงกรอบประตูด้วยท่าทางสบายๆ "และผมคิดว่าตอนนี้เขาน่าจะตัดผม ย้อม แล้วก็ใส่คอนแทคเลนส์ด้วยนะ"
"เขางั้นเหรอ" ยูเกลทวนคำ "นายเอารูปผู้หญิงมาตามหาผู้ชายเนี่ยนะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก แต่ว่าเพียงสองวินาทีต่อมา คนทั้งห้องก็ระเบิดเสียงหัวเราะ
"รูปผู้หญิง ฮ่าๆๆๆ" นายผมยาวเป็นคนที่หัวเราะเสียงดังที่สุด เขาแทบกลิ้งไปมาบนโซฟาเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็น่าหมั่นไส้มากๆ "บอกแล้วใช่ไหมให้เอารูปตอนเด็กมาแทนน่ะ"
"หุบปากน่ะ ดีแลน" ชายในชุดส้มปราม แม้ว่าจะมีรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้าของเขาก็ตาม "ถ้าอลามได้ยินนายหัวเราะแบบนี้ คงไม่แคล้วคลาดโดนเข้าซักตุบสองตุบนะน่ะ"
ยูเกลนั่งนิ่ง ใบหน้าแดงก่ำ แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจสิ่งที่คนเหล่านี้พูดแม้แต่น้อย แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กสาวรู้ได้ทันทีก็คือ
ไอ้คนในรูปนี่ มันต้องเป็นผู้ชายอย่างแน่นอน
เหอะ...เธอมองใบหน้าสวยๆนั่นอย่างหงุดหงิด อย่างกับว่าโลกนี้มันผู้หญิงล้นโลกแล้วไม่พองั้นล่ะ ยูเกลคิดในใจแต่ว่าในวินาทีต่อมาคิ้วที่ขมวดเป็นปมของเธอก็ต้องคลายออกอย่างรวดเร็ว
คนที่เหมือนกับคนในรูปนี่...
เด็กสาวไล้สายตาไปตามใบหน้าหวานๆนั่น เป็นไปไม่ได้ แค่หน้าหวานเหมือนกันแค่นั้นเองละมั้ง
แต่ก่อนที่จะทันห้ามตัวเอง ยูเกลก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาน้ำเย็นมาราดหัวและทำให้เลือดก็ค่อยๆหายไปจากใบหน้าทีละน้อย
เด็กสาวคว่ำรูปลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้จัก เลิกหัวเราะกันได้แล้ว" ยูเกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้มันฟังดูเหมือนหมดความอดทนมากที่สุด "พวกนายไปตามหาคนหน้าตาแบบนี้ที่อื่นเถอะ" เธอตวัดสายตาขึ้นจ้องมองเด็กหนุ่มตรงๆและพยายามใส่ความจริงใจไปให้มากที่สุด
นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นโตขึ้นเลิกน้อย ก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า เด็กหนุ่มสาวเท้าเข้ามาใกล้ และเอื้อมมือไปหยิบรูปที่เด็กสาวคว่ำไว้ขึ้น
"รู้ไหมครับ...คนที่โกหกน่ะ มักจะไม่อยากมองหลักฐานที่มันตำตาอยู่" เขาหมุนภาพนั้นด้วยนิ้วเรียวยาว "และคนที่โกหกก็มักจะคิดว่าการสบตาตรงๆจะได้ผล" ทันใดนั้นนิ้วเรียวๆนั่นก็ขยำรูปนั่นทันที
"เฮ้ย ทำอะไรวะ ธีโอ" ชายผมยาวโวยวายขึ้นมาทันที แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ใส่ใจ นัยน์ตาสีฟ้ายังคงจับจ้องที่ใบหน้าของคนที่บัดนี้ชักหนาวๆร้อนๆ
"รูปนี่ไม่จำเป็นแล้วล่ะครับ" เขาเอ่ยเรียบๆ ดวงตาเป็นประกาย "เราไม่ต้องหาแล้ว พี่เอเลียตอยู่ที่นี่ใช่ไหมละครับ"
ความคิดเห็น