ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วุ่นจริง ศึกชิงเจ้าชายปีศาจ

    ลำดับตอนที่ #6 : ผู้บุกรุกยามวิกาล ตอนที่ 2.

    • อัปเดตล่าสุด 30 ก.ค. 50




    อัพครั้งที่ 19 ...แอบอู้อ่านหนังสือสอบมาอัพค่ะ คิดถึงทุกคนจริงๆ สุขสันต์วันคริสมาสต์นะคะ (คิดซะว่านี่คือของขวัญจากซานต้านะ ^ ^") (ยังมีหน้ามาพูดอีก ยังมีใครมาอ่านอีกรึเปล่าก็ไม่รู้!)


    อัพครั้งที่ 20 ฉลองปีใหม่ สวัสดีปีใหม่ทุกๆท่านนะคะ ^ ^


    อัพครั้งที่ 21 โอ๊ย...เรานี่คิดชื่อตอนไม่เก่งจริงๆ (ไม่ใช่แค่ชื่อตอนแล้วแหล่ะ ชื่อเรื่องก็ไม่ได้เข้ากับเนื้อเรื่องเล๊ย) กลับมาจากการสอบแล้วค่ะทุกๆคน (ยังมีใครเข้ามาอ่านอยู่อีกไหมเนี่ย?) เอ้า เชิญอ่านต่อกันเลยค่า~




    **************************************** **********************************

        ยูเกลตัดสินใจวิ่งเข้าไปในป่าสน แม้ว่าพระอาทิตย์จะยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าและป่ายามกลางคืนก็อันตรายมาก แต่มันน่าจะดีกว่าการออกไปเป็นเป้าในที่โล่งอย่างบนถนนหรือเตลิดลงทะเลเหมือนในหนัง เพราะเธอไม่แน่ใจว่าตัวเองจะได้เป็นตัวเอกที่เป็นอมตะตลอดเรื่องไม่ว่าจะวิ่งฝ่าดงกระสุนหรือตกผาหรือว่าจะเป็นได้แค่ตัวประกอบที่ตายตั้งแต่ตอนต้น




        ยูเกลเดินกึ่งกระโดดไปตามรากไม้ ทั้งๆที่มองเห็นได้ไม่ชัดนักแต่เด็กสาวก็สามารถพาตัวเองไปได้เร็วพอสมควร ทว่าเธอไม่ใช่สัตว์หากินกลางคืนและป่านี้ก็ไม่ได้มีแค่รากไม้ตะปุ่มตะป่ำเท่านั้น ในที่สุดยูเกลก็สะดุดเอาหินก้อนใหญ่และล้มลง ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาทันที




        ข้อเท้า...ใบหน้าของเด็กสาวบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ เจ็บฉิบเป้งเลย น้ำตาใสๆค่อยๆซึมขึ้นมาที่ขอบตา




        บ้าชะมัด เธอคิดในใจ ใช่ บ้าชะมัดที่เธอวิ่งเข้ามาในป่าค่ำๆมืดๆแบบนี้




        เพราะไอ้พวกบ้านั่นแท้ๆ ยูเกลกัดฟันกรอด ถึงปากจะบอกว่าไม่ใช่โจรก็เหอะ แต่เธอคงจะไม่แปลกใจเลยถ้าเกิดกลับไปเจอสภาพบ้านที่ว่างเปล่า ข้าวของของแม่มีราคาค่างวดไม่ใช่น้อย หลายอย่างก็เป็นของเก่าแก่ที่ตกทอดมาจากรุ่นคุณตาคุณยาย เด็กสาวค่อยๆลุกขึ้นยืน ใช่...หลายอย่างที่เป็นของสำคัญและยูเกลก็ไม่อยากที่จะเสียมันไปในรุ่นของเธอด้วย




        ทำยังไงดี ทำยังไงดี เด็กสาวคิดอย่างร้อนรนกลางค่ำกลางคืนแถมขาก็ยังเจ็บแบบนี้จะหาคนมาช่วยได้ยังไง




        ลอเรลบ้า เวลาแบบนี้หายหัวไปไหนกัน เด็กสาวกัดฟันและค่อยๆคลำทางต่อไป ความมืด ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าทำให้เธอเริ่มก้าวพลาดและสะดุดล้มลง




        “บ้าเอ๊ย” ยูเกลสบถ ความเครียดและความเพลียเพราะยังไม่ได้หลับซักงีบทำให้เด็กสาวเริ่มรู้สึกปวดหัว




        ไมเกรนรึไง เธอคิดพลางสะบัดหัวเร็วๆ ในเวลาที่ประสาทการมองเห็นไร้ค่าแบบนี้ เธอจำเป็นต้องพึ่งประสาทหูและสมาธิของตนเองในการเดินต่อไป การปวดหัวก็เป็นเหมือนกับคลื่นแทรกที่เข้ามารบกวนการทำงานของสมอง




        ...รวบรวมสมาธิ สมาธิๆๆๆ ยูเกลหลับตาลง ใช้เสียงคลื่นจากหาดทรายเป็นเหมือนเข็มทิศนำทาง อาจเพราะการที่เกี่ยวข้องกับดนตรีซะตั้งแต่เด็กทำให้เด็กสาวสามารถตั้งสติได้ดีกว่าคนอื่น แม้ว่าจะในเวลาที่ข้อศอกถลอกปอกเปิกแถมข้อเท้าก็ยังแพลงแบบนี้ก็ตาม




        เป๊าะ!




        เสียงของกิ่งไม้หักที่ดังมาเข้าหูทำให้เธอทรุดตัวลงทันทีตามสัญชาตญาณ




        ใคร? เด็กสาวพยายามเพ่งมองไปในความมืดแต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นในบริเวณใกล้เคียง ฟ้าที่ยังคงไม่ตื่นจากนิทราทำให้ป่าพลอยหลับใหลไปด้วย ทว่ายูเกลรู้สึกว่าภายใต้เงาของต้นสนเหล่านั้น มีบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ




        เธอหมอบนิ่ง ทว่าเสียงหายใจที่เกิดจากความร้อน ความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าดังขึ้นตลอดเวลา เด็กสาวยกมือซ้ายขึ้นปิดปากเพื่อลดเสียงหอบ ขณะที่มือขวาเริ่มคลำไปตามพื้นรอบๆหาอาวุธอะไรที่พอจะใช้ป้องกันตัวได้ สองหูตั้งใจสดับฟังเสียงรอบกายเหมือนกับสัตว์ป่าที่เห็นในสารคดี




        ราวกับว่าผู้บุกรุกเองก็กำลังหยุดฟังเสียงรอบข้างอยู่เช่นกัน เมื่อทั่วทั้งป่าเงียบสนิทราวกับไร้สิ่งมีชีวิต แต่ว่านั่นกลับเป็นข้อบ่งชี้ได้เป็นอย่างดี




        มันเงียบเกินไป




        ยูเกลพยายามสลัดอาการปวดหัวที่กำลังรบกวนจิตใจของเธอออกไป หลังจากแตะโดนก้อนหิน เศษไม้ และซากของตัวอะไรซักอย่างที่กำลังมดขึ้นเข้า เด็กสาวก็ได้ไม้ท่อนหนึ่งที่มีขนาดเหมาะมือมาราวกับฟ้าส่งมาให้ เธอกำมันในมือแน่น หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอก



        สวบ...สวบ...สวบ...



        ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็ดังมาให้ได้ยิน แม้ว่าจะเป็นเสียงที่เบามากแต่ท่ามกลางความเงียบผิดปกติของป่าทำให้ยูเกลได้ยินมันชัดเจนแถมยังรู้ด้วยว่ามันกำลังก้าวมายังจุดที่เธอกำลังหมอบอยู่อย่างพอดิบพอดี



        เวรเอ๊ย คนขาเจ็บคิดในใจเมื่อรู้ตัวว่าต้องลุกขึ้นหลบ ไม่อย่างงั้นถ้าไม่โดนจับได้ ก็คงจะโดนเหยียบแบนเป็นปุ๋ย ถึงฝ่ายตรงข้ามจะเก่งพอตัวที่จะเดินในป่าอันมืดมิดนี้ได้อย่างคล่องแคล่วแต่เธอก็ไม่แน่ใจนักว่ามันจะตาดีพอที่จะแยกพื้นดินมืดๆกับร่างของใครซักคนที่สวมแค่เสื้อยืดสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงขาสั้นสีดำ



        ยูเกลโขยกเขยกลุกขึ้นและพยายามขยับไปที่ต้นสนที่ใกล้ที่สุดโดยพยายามไม่ทำให้เกิดเสียงดัง มือที่กำท่อนไม้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ



        สวบ...สวบ...สวบ...



        ฟังดูน่าสยองขวัญดีแท้สำหรับคนที่กำลังถูกตามล่า เมื่อเสียงฝีเท้านั่นค่อยๆก้าวช้าๆราวกับจะกวนประสาท แต่ในอีกแง่ก็คงไม่มีใครบ้าพอจะกระโดดเหย็งๆไปมาในป่านี้อยู่แล้ว


        
        เหงื่อที่หยดลงจากปลายจมูกบ่งบอกว่าเวลาผ่านมานานขนาดไหน



        ไอ้บ้านั่นยังเดินมาไม่ถึงอีกเหรอ เด็กสาวคิดในใจ แม้จะรู้ดีว่าระยะทางจะเหลืออีกไม่มากนัก เสียงฝีเท้านั่นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แปลกดีที่มันยังคงรักษาความเร็วไว้ที่ระดับเต่าคลานได้เช่นเดิม



        จะยั่วโมโหกันรึไง ยูเกลกระชับท่อนไม้ในมือขณะที่พยายามระงับสัญชาตญาณตัวเองที่ร่ำร้องให้วิ่งออกไปฟาดหัวเจ้าของฝีเท้านั่นให้พิการไปเลยซักตั้ง



        ไม่ได้ หากวิ่งหรือทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าละก็คนที่จะพิการอาจเป็นเธอเองก็ได้ รออีกนิด...อีกนิดเดียว



        ให้มันมาใกล้ๆแล้วฟาดให้กะโหลกยุบไปเลย



        เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลจากไรผมลงมาที่ข้างแก้มใส แต่ยูเกลก็ไม่คิดที่จะเช็ดมันออก ไม่ใช่ว่าเธอเป็นพวกซกมกขนาดสามารถทนเหงื่อคราบดินและเศษใบไม้ที่กำลังเน่าสลายบนหัวได้ แต่ในเวลานี้สมาธิแทบทั้งหมดของสาวน้อยกำลังจดจ่ออยู่กับเสียงฝีเท้าที่กำลังดังใกล้เข้ามาอย่างสุดขีด แต่อย่างไรก็ตาม...เมื่อกี้นี้เราใช้คำว่า แทบทั้งหมด ไม่ได้ใช้คำว่าทั้งหมดซักหน่อย



        เหนียว...เสียงจากเสี้ยวเล็กๆเสี้ยวหนึ่งของสมองดังขึ้น ซึ่งคงต้องยกความดีความชอบให้เจ้าของเสียงฝีเท้าและสถานการณ์ที่ยูเกลกำลังเป็นอยู่ ซึ่งนั่นทำให้เรื่องๆนี้ไม่ต้องมีคำเซนเซอร์พุ่งกระฉูด



        ก็ถ้าให้สมองทั้งหมดของเธอออกมาประมวลผลสภาพร่างกายที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้วละก็ เรื่องคงไม่จบลงแค่คำว่า เหนียว อย่างเดียวแน่ๆ ในเมื่อตอนนี้ทั้งผมสวยๆที่เคยยาวสยายเปียกเหงื่อและเปรอะเปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรกที่ไม่ควรสาธยายให้ฟังว่าผุพังมาจากอะไรบ้างเป็นอย่างยิ่ง ผมเส้นเล็กละเอียดเกาะกันเป็นสังกะตังแซมด้วยเศษของอะไรหลายๆอย่างติดมาตอนที่สะดุดล้ม เหงื่อที่ซึมแล้วซึมอีกเป็นราวกับกาวชั้นดีสำหรับคราบฝุ่นและแมลง อาการคันยิบๆเริ่มปรากฏขึ้นช้าๆ ไม่น่าเชื่อว่าการวิ่งฝ่าป่ามาไม่กี่นาทีจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ ขนาดที่คนซึ่งไม่ค่อยรักสวยรักงามเท่าไหร่อย่างยูเกลยังแทบจะทนให้ถึงเวลาที่จะได้กลับไปอาบน้ำไม่ไหว



        เธอกัดฟันกรอด ประสาทเครียดเขม็ง จนรู้สึกได้ถึงเส้นเลือดที่กำลังเต้นตุบๆ สองมือบีบไม้ไว้แน่นจนน่ากลัวมันจะหักคามือ  เย็นไว้ ต้องกะระยะให้พอดีก่อน ยูเกลบอกตัวเอง ต้องรอให้ถึงจังหวะที่ให้ผลสำเร็จมากที่สุด



        จริงอยู่ที่แผนนี้เป็นแผนที่ดูเข้าท่าเท่าที่เธอจะคิดได้ตอนที่รู้สึกตัวว่ามีคนตามมา แต่ว่าตอนนี้เด็กสาวชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด



        มือที่กำไม้ไว้แน่นออกแรงบีบ เมื่อเสียงที่ดังมาให้ได้ยินก็ยังบ่งบอกถึงระยะทางที่เธอยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
        


        สวบ...สวบ...



        บุพการีแกมีกระดองรึไงวะ



        ยูเกลคิดในใจ พลางเงื้อไม้ในมือขึ้นในท่าเตรียมพร้อม จากการคาดคะเนด้วยเสียง ท่าทางว่าเจ้าของฝีเท้านั่นจะห่างออกไปนิดเดียว มือที่กำไม้ไว้แน่นออกแรงบีบ จะฟาดออกไปตอนนี้เลยดีไหมนะ...



         "ถ้าคิดจะใช้ไม้นั่นฟาดผมละก็ยังเร็วไปหลายร้อยปีเลยนะครับ"



         เด็กสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆเสียงนุ่มๆที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู เธอเกือบจะหลุดเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจออกมาแล้ว ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามไม่รีบยกมือขึ้นมาปิดปากไว้ซะก่อน



         "อย่าคิดหนีดีกว่านะครับ" เสียงนั้นสั่งแต่นั่นกลับให้ผลตรงกันข้าม เมื่อเสียงเด็กสาวเริ่มดิ้น ไม่รู้ว่าเพื่อจะหลุดจากพันธนาการหรือว่าเพื่อจะสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด



         "ปล่อยนะ" เธอส่งเสียงอู้อี้ลอดนิ้วออกมา มือที่กำลังปิดหน้าเธออยู่มีขนาดใหญ่มากซะจนปิดได้ตั้งแต่ปากไปจนถึงตาเลยทีเดียว แต่ถึงจะมองไม่เห็นอยู่ ยูเกลก็รู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นคนแปลกหน้า น้ำเสียงแปร่งๆแบบนี้ ไม่เคยอยู่ในความทรงจำของเธอมาก่อน



        ซึ่งนั่นทำให้เธอไม่ลังเลเลยที่จะเหวี่ยงไม้ในมือใส่



        แต่ว่า...แทบจะในทันทีที่สมองสั่งการให้เหวี่ยงแขนลง มือที่ปิดปาก จมูก และ นัยน์ตาของเธอจนมิดก็คลายออก



         และภาพตรงหน้าก็ทำให้เด็กสาวชะงักไปในทันที



         ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ป่าทั้งป่ามืดสนิทซะจนมองอะไรแทบไม่เห็นแม้แต่เท้าของตัวเองแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับสว่างราวกับใบไม้ที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นพร้อมใจกันแหวกทางออกให้แสงจันทร์ส่องลงมา ในตอนนี้ยูเกลสามารถมองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบๆได้อย่างชัดเจน

         ชัดเจนซะจนเธอต้องเบิกตากว้าง...



        เธอกำลังยืนประจันหน้าอยู่กับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักคนหนึ่ง อันที่จริง...ถ้าไม่ได้ยินเสียงเขาตั้งแต่แรก ยูเกลคงคิดว่าคนตรงหน้าเป็นเด็กผู้หญิงที่มีผมซอยสั้นไปแล้ว เพราะทั้งดวงตากลมโต ทั้งคิ้วได้รูปรับกับจมูกและปากเล็กๆดูยังไงมันก็สาวน้อยน่ารักแท้ๆ ยิ่งเมื่อใบหน้าสวยๆนั่นยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ยูเกลก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเธอดูหนังที่พากย์ผิดคน  



         “พวกเราไม่ได้มาร้าย วางไม้ลงก่อนดีกว่านะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยพลางยกมือขึ้นระดับอกราวกับจะบอกว่าเขาไม่มีอาวุธ



         คำพูดนั้นทำให้ใจเต้นระรัวขึ้นมาทันที วางให้บ้าสิวะ ยูเกลคิดในใจ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นพวกเดียวกับไอ้สองคนในบ้านนั่นแน่ๆ เด็กสาวกระชับไม้ในมือแน่น พร้อมสำหรับการฟาดหน้าสวยๆนั่นทันที



        “ผมว่าวางไม้ลงคุยกันดีๆดีกว่านะครับ” เขาเอ่ยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ยูเกลกลับรู้สึกว่าเสียงนุ่มๆนั่นฟังดูก้องกังวาลผิดปกติ แล้วทันใดนั้นมือที่กำไม้ไว้แน่นก็คลายออกจนท่อนไม้ร่วงลงจากมือและส่งเสียงดังตุบเบาๆเมื่อสัมผัสพื้น เด็กสาวเบิกตากว้าง สาบานได้ว่าเธอไม่ได้สั่งประสาทส่วนไหนให้ทิ้งไม้เลยด้วยซ้ำ



    เด็กสาวก้าวถอยหลังไปจนชิดต้นสน


     
         นี่มันไม่ใช่เรื่องบ้าๆอย่างโจรปล้นบ้านแล้ว



         ความคิดที่ทำให้คนคิดตัวสั่นจนแทบก้าวขาไม่ออก ยูเกลต้องสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติหนีเลยทีเดียว แต่ว่าในภายหลังเธอมาคิดๆดูแล้วถ้าตอนนั้นมัวแต่สั่นซะจนทำอะไรไม่ได้ไปเลยละก็ มันน่าจะได้ผลดีกว่านี้แน่ๆ



         เมื่อยูเกลขยับตัววิ่งหนีทันที เธอวิ่งเหมือนกับว่าความเจ็บปวดที่ข้อเท้านั้นจะหายไปแล้ว อาจจะเพราะความตกใจและอะดรีนาลีนที่สูบฉีดไปทั่วร่างที่ทำให้สามารถก้าวขาต่อไปได้เพื่อรักษาชีวิตอันมีค่าของตัวเอง



         แต่ว่าคุณคิดเหมือนกันไหมคะว่าถ้าเธอจะสามารถหนีไปได้หวุดหวิดเป็นรอบที่สองแล้วละก็ มันก็คงจะเกินเหตุไปหน่อย ยูเกลก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง แล้วที่สำคัญฝ่ายตรงข้ามนั่นก็ไม่ใช่ธรรมดาๆซะด้วย



         ไม่รู้ว่าเด็กสาวตาฝาดไปเองรึเปล่า แต่เหมือนกับว่าจู่ๆหญ้าที่ขึ้นรกรุงรังจะขมวดปมเข้าหากันเหมือนถูกผูกด้วยมือที่มองไม่เห็น และทัศนียภาพรอบด้านก็เหมือนจะมืดลงกะทันหัน แต่ที่แน่ๆอย่างหนึ่งก็คือถึงยูเกลจะเห็นทัน แต่ขากระเผลกๆของเธอน่ะหลบไม่ทันหรอก



         เด็กสาวสะดุดและล้มหน้ากระแทกพื้นเป็นรอบที่สองสำหรับวันนี้ อะดรีนาลีนที่พลุ่งพลานหายวับไปจากร่างกายทันที พร้อมๆกับความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาแทนที่



        ความเจ็บปวดที่ทำให้น้ำตาคลอเบ้า ยูเกลที่นอนหอบอยู่กับพื้นกัดฟันอย่างเจ็บใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้รวมถึงเสียงหัวเราะเบาๆที่ดังขึ้นเหนือศีรษะ



         "คิดจะวิ่งหนีในป่าแบบนี้ มันก็ยังเร็วไปอีกหลายร้อยปีนะครับ"


     
         เสียงนุ่มนวลที่แฝงไว้ด้วยความขบขันของเด็กหนุ่มทำให้ยูเกลอยากจะเถียงออกไปซักคำสองคำแต่ จู่ๆความง่วง และความมืดก็จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันทำให้เธอโงหัวไม่ขึ้นและก็ไม่คิดอยากจะลุกขึ้นจากพื้นด้วยซ้ำ เด็กสาวสูดหายใจเข้าและพลิกตัวนอนหงาย



         และหลับใหลไปก่อนที่จะได้หายใจออกซะอีก


    *****************************
        อย่าลืมหายใจออกล่ะเจ๊
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×