ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ยูเกลกับลอเรล ตอนที่ 3.
"นี่ไม่ได้กวาดบ้านมากี่วันแล้วเนี่ย"
คำพูดที่ทำให้เจ้าของบ้านตะโกนด่าออกมาจากในครัว "บ้าเหรอ" เธอโวยวายขณะเทน้ำร้อนใส่ถ้วยบะหมี่สำเร็จรูป "ฉันกวาดทุกวันย่ะ"
"แล้วทำไมไม่เปลี่ยนปฎิทิน" เกิดเสียงต๊อกๆเมื่อลอเรลเคาะที่ปฏิทินติดผนังดังมาเข้าหู
แต่เด็กสาวไม่ตอบ มือขาวๆทำทีเป็นง่วนอยู่กับการเปิดดูบะหมี่ในถ้วย...นี่ก็อีกเรื่องที่เธอไม่มีทางบอกใครเด็ดขาด...และคราวนี้ก็ไม่ใช่ฟอร์มบ้าๆแบบเรื่องอื่นๆด้วย
ปฏิทินรูปวิวทิวทัศน์ต่างๆที่น้าจอร์จส่งมาให้เป็นของฝากหลังจากการไปทัวร์คอนเสิร์ตนั่นไม่เคยถูกฉีก มันค้างไว้อยู่อย่างนั้นมาหลายเดือนแล้ว และก็คงจะค้างอยู่อย่างนั้นจนกว่าเธอหรือใครสักคนโยนมันทิ้งไป
ยูเกลไม่อยากทิ้งของขวัญจากน้าจอร์จ แต่เธอก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าตอนนี้เป็นวันที่เท่าไหร่หรือว่าเดือนอะไร
การรับรู้วันคืนเป็นเหมือนสัญญาเตือนว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่จีรัง เราไม่สามารถย้อนวันที่10 สิงหาของปีที่แล้วหรือว่าปีอื่นๆกลับมาได้ เหมือนกับที่เราไม่สามารถห้ามวันพรุ่งนี้ไม่ให้มาถึงได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งหากเป็นแบบนั้น เธอรู้ว่าวันหนึ่งสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้จะต้องสิ้นสุดลง
"มิน่าถึงไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร" ลอเรลเอ่ยอย่างไม่สนใจอาการเงียบของคู่สนทนา
ยูเกลเดินถือบะหมี่สำเร็จรูปออกมาจากในครัว กลิ่นหอมๆลอยฟุ้งไปทั่ว นัยน์ตาสีน้ำเงินเหลือบมองร่างที่ยังยืนอยู่หน้าปฏิทินแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่ออย่างไม่สนใจ "ไม่เห็นอยากรู้เลย เอา รีบๆกินซะ จะได้รีบกลับไปนอน"
"วันนี้ไงล่ะ" เด็กหนุ่มฉีกเดือนเก่าออกและจิ้มไปที่วันๆหนึ่ง "อ๊ะ มีรูปที่นี่ด้วยแฮะ"
เด็กสาวเผลอตวัดสายตาขึ้นมองอย่างลืมตัวแล้วก็รู้สึกใจหายวาบขึ้นมาทันที ลอเรลไม่ได้โกหก รูปของประภาคารขาวเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเกลียวคลื่นนั่นแลดูสวยมาก แต่ว่าเลขบอกเดือนที่โชว์หราอยู่ทำให้ใบหน้าขาวๆพลันเปลี่ยนสี แค่ดูเดือนก็รู้แล้วว่าวันที่เขาชี้คือวันอะไร
...ไม่เอานะ...
นัยน์ตาสีเท่ามองใบหน้าที่ซีดลงเรื่อยๆอย่างอ่อนโยน เขาเขยิบเข้ามาใกล้พลางคิดในใจว่าหากเจ้าตัวได้เห็นหน้าของตัวเองตอนนี้จะรู้สึกยังไง
เมื่อมันซีดยิ่งกว่าหน้ากระดาษเสียอีก
"มานี่สิ ยูเกล"
เด็กสาวถอยหลังโดยอัตโนมัติ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมีแววหวาดผวาจนคนมองรู้สึกกลัวแทน เธอส่ายหัวพลางก้าวถอยหลังอีกก้าว "ไม่เอานะ"
"ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอกน่ะ" เด็กหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน บางสิ่งบางอย่างกำลังทำให้เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกยูเกลมองด้วยสายตาแบบนั้นหรือเพราะว่าเห็นปฎิกิริยาของเธอกันแน่
"ไม่" เด็กสาวเหลือบมองประตูก่อนจะรีบเผ่นหนี แต่มือของเขากลับคว้าข้อศอกของเธอไว้ได้ ขยับเพียงครั้งเดียวร่างเล็กก็สะดุดเข้ามายืนใกล้ๆอย่างง่ายดาย
ยูเกลหลับตาปี๋เมื่อเขาค่อยๆลากเธอให้เดินตามไป ไม่บอกก็รู้ว่าเด็กหนุ่มจะพาเธอไปไหน
(ขอตบซักทีสำหรับใครที่คิดอะไรแบบ "เตียง" หรือว่า "โซฟา"ค่ะ)
"ลืมตาสิ" เสียงแหบพร่านั่นกระซิบ แต่เธอส่ายหัวและยกสองมือขึ้นปิดหู
"ไม่"
"ยูเกล" ลอเรลเรียกชื่อของเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
"ฉันไม่อยากรู้"
"ลืมตา ยูเกล"
"ไม่เอา ปล่อยนะ"
ฉับพลันฝ่ามือที่เกาะกุมแน่นราวกับคีมที่ข้อศอกของเธอก็คลายออก ก่อนจะแทนที่ด้วยอ้อมกอดอันอบอุ่น มันกระชับแน่นราวกับจะปกป้องจนยูเกลรู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจอีกดวงที่แผ่นหลังของเธอ แรงสั่นที่เต้นเป็นจังหวะค่อยๆปลอบประโลมจิตใจของเธอให้สงบลง
ทั้งคู่ยืนอยู่อย่างนั้น...ราวกับจะลืมวันเวลาไปจนหมด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแต่เด็กสาวก็ยังคงยืนนิ่ง ดวงตาปิดสนิท ทว่าในใจกลับสับสนวุ่นวาย เธอภาวนาให้คนตรงหน้าล้มเลิกความตั้งใจอยู่เงียบๆ
"แล้วเมื่อไหร่จะอยู่ได้ตัวเองจริงๆล่ะ ในเมื่อเธอไม่กล้าที่จะยอมรับความเป็นจริง" ลอเรลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแปร่งราวกับเป็นคนอื่น เขายังคงกอดร่างในอ้อมแขนแน่น มันไม่ได้ไร้ผลซะทีเดียว เมื่อร่างเล็กๆที่สั่นเทาเริ่มจะสงบลง บ่งบอกว่าเขาใกล้จะทำสำเร็จ
ลืมตาเถอะ นี่เป็นของขวัญพิเศษของเธอ...ของขวัญที่จะต้องให้ก่อนที่...
เสียงสูดหายใจเข้าลึกๆของยูเกลทำให้ความคิดของเด็กหนุ่มหยุดชะงัก
แล้วในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้น
"เก่งมาก" ลอเรลเอ่ย เมื่อเด็กสาวลดมือที่ปิดหูไว้ลง ถึงแม้ว่าเธอจะยืนตัวแข็งไปแล้วก็ตาม "วันนี้เมื่อสี่ปีก่อน จำได้รึเปล่า" เขากระซิบ "พวกเราเจอกันมาสี่ปีแล้วนะ ยูเกล"
นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นจับจ้องไปที่วันบนปฏิทิน เสียงของลอเรลดังก้องอยู่ในหู พวกเราเจอกันมาสี่ปีแล้ว สี่ปี่...วันนี้...
"สุขสันต์วันเกิดนะ ยูเกล"
วันที่สี่ เดือนเมษายน...
เธอรู้สึกถึงความเย็นที่เข้าเกาะกุมร่างกายช้าๆ เลขสี่เป็นเลขที่เธอเกลียดที่สุด ถึงมันจะเป็นวันเกิดของเธอ แต่มันก็เป็นวันที่มัจจุราชพรากผู้หญิงคนหนึ่งไปจากโลกใบนี้
ผู้หญิงที่เป็นที่รักของผู้คนมากมาย ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของเธอเอง
ใช่...มันเป็นวันที่เธอเกิด แต่ก็เป็นวันที่แม่ตาย
สำหรับยูเกลแล้ว...เลขสี่หมายถึงความตาย และการพลัดพราก
เธอพรากผู้หญิงที่วิเดรก้าไป...วิเดรก้าที่วิเศษกว่าเธอนับร้อยเท่า
"รู้จักกันมาสี่ปีแล้วนะ" ลอเรลกระซิบ แต่เสียงนั้นกลับทำให้เด็กสาวอยากร้องไห้ ทุกๆวันเกิดของเธอ จะมีคนมาที่บ้าน...นำดอกไม้ไว้อาลัยมาให้แม่
...ทุกคนเศร้ากับการจากไปของแม่...แต่ไม่มีใครยินดีกับเธอ...
เด็กสาวหลับตาลงและปล่อยให้ความทรงจำที่ตกตะกอนลอยฟุ้งขึ้นมา
วันนั้นก็เป็นวันที่อากาศอบอ้าวเหมือนวันนี้ เธอได้แต่นั่งขดตัวอยู่ริมหน้าต่างและคอยฟังเสียงฉึกฉักของรถไฟ แล้วจู่ๆยูเกลในตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกจ้องมอง เธอละสายตาจากภาพทุ่งหญ้านอกหน้าต่างและหันกลับมา
เพื่อที่จะสบตากับเด็กหนุ่มที่มีนัยน์ตาเป็นประกายเจิดจ้า
นั่นคือการพบกันครั้งแรก...วันนี้...เมื่อสี่ปีก่อน...
การรับรู้ช่วงเวลาเป็นเหมือนสิ่งสะท้อนจุดสิ้นสุด
เลขสี่หมายถึงการลาจาก...
"ไม่นะ" ยูเกลร้องออกมาและเริ่มสะบัดตัวออกจากการวงแขนของลอเรล หัวใจของเธอรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง มีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น "ปล่อยนะ"
แต่ว่าแขนของเขากลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยต่อแรงทุบของเด็กสาว
ลอเรลโตขึ้น...และกำลังเปลี่ยนแปลง
"ยูเกล" เสียงของเขาแหบพร่าและแปลกหูเมื่อเรียกชื่อของเธอ "ฟังก่อน"
"ปล่อยฉัน...ฉันไม่รู้...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น" เด็กสาวยกมือขึ้นปิดหูและเริ่มสะอึกสะอื้น เสียงที่ออกจากปากสั่นเครือ "อย่ามายุ่งกับฉัน"
"ยูเกลฟังก่อนสิ เธอจะมีชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวแบบนี้ไม่ได้ เราต้องเดินหน้าต่อไป"
คำพูดที่ทำให้คนฟังใจหายวาบ เธอหยุดดิ้นในทันที เดินหน้าต่อไป...เดินหน้าต่อไป...เดินหน้า...แล้วก็จากกันไป...
"เลขสี่ของเธอไม่ใช่ความตาย" ลอเรลเอ่ยเสียงเข้ม "ไม่ใช่การลาจาก"
"ไม่ใช่ แม่ตายในวันนี้ ฉันหนีออกจากบ้านมาในวันนี้"
"แต่เราก็ได้เจอกันในวันนี้"
เด็กหนุ่มคลายแรงบีบที่มือลงเมื่อเห็นว่าเธอยืนนิ่ง ดวงตาเบิกกว้าง
"จำไว้" เขาย้ำ "เลขสี่สำหรับเธอหมายถึงจุดเริ่มต้น...จุดเริ่มต้นและการเปลี่ยนแปลง"
จุดเริ่มต้น...คำพูดนั้นทวนซ้ำในสมองของยูเกล จุดเริ่มต้น...
ไม่ใช่การพลัดพราก...และไม่ใช่ความตาย...
"ลอเรล" เธอเรียกชื่อของเขา...ด้วยน้ำเสียง...ที่นุ่มนวลขึ้นกว่าเดิม ขอบตาของเธอร้อนผ่าว น้ำตา...กำลังจะไหลออกมา
ไม่ใช่การลาจาก...ไม่ใช่ความตาย...
...ไม่ใช่ความผิดของเธอ...
"ลอเรล...ฉัน"
พรึ่บ!
ทันใดนั้นจู่ๆยูเกลก็มองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ เธอสะดุดขาตัวเองด้วยความตกใจ ร่างของเด็กสาวเซไปชนผนัง เสียงตึงดังขึ้นเมื่อเธอเผลอปัดโดนตุ๊กตาบนชั้นโชว์ล้มลง
ไฟดับ...บ้าชะมัด
ยูเกลพยายามมองไปรอบๆห้องที่มืดสนิท เพราะสายตาของเธอยังไม่ชินกับความมืด ตอนนี้เด็กสาวจึงมองเห็นอะไรได้ไม่ต่างไปจากคนตาบอด
หน้าต่าง ต้องเปิดม่าน
เธอคิดแล้วก็เริ่มขยับไปทางทิศที่หน้าต่างควรจะอยู่
"ลอเรล ไปหาไฟฉายมาหน่อย" เด็กสาวตะโกน "อยู่บนตู้เย็นที่ห้องครัวน่ะ" ยูเกลคลำไปตามผนัง "ระวังอย่าเดินชนโต๊ะนะ"
แต่ความเงียบไร้ซึ่งเสียงกระแทกก็บอกเธอว่าลอเรลคงเดินผ่านโต๊ะไม้ออกไปได้
เด็กสาวคลำไปเรื่อยๆผ่านกรอบรูปหลายกรอบ หนึ่ง สอง สาม สี่ เธอนับไปด้วย น่าจะถึงหน้าต่างได้แล้วนะ
ในที่สุดมือของยูเกลก็แตะโดนสัมผัสนิ่มๆของผ้าม่าน เธอถอนหายใจและกระชากให้มันเปิดออก คืนนี้เป็นคืนวันเพ็ญ แสงจันทร์บนฟ้าจึงสว่างกว่าคืนอื่นๆ โชคดีจริงๆที่วันนี้พระจันทร์เต็มดวง เด็กสาวคิดในใจ
"ช้าไปแล้วตาบื้อ" เธอหมุนตัวกลับมาและตะโกนด้วยเสียงเยาะเย้ย
...เงียบ...ไม่มีเสียงตอบจากคนที่ควรจะสวนกลับอย่างรวดเร็ว
รอยยิ้มบนใบหน้าของยูเกลจางหายไปเล็กน้อย โธ่เอ๊ย ออกไปไม่ให้สุ้มให้เสียง
"ลอเรล" เธอตะโกนเรียก "อยู่ไหนน่ะ"
เงียบ...
"ลอเรล" เธอเดินไปที่ดูที่หลังโซฟาเผื่อว่าเด็กหนุ่มไปซ่อนเพื่อจะหลอกให้เธอตกใจ "ไม่ตลกเลยนะ" ในตอนนี้สายตาของยูเกลเริ่มจะชินกับความมืดมากขึ้น เด็กสาวเดินไปรอบๆห้องพลางตะโกน "ลอเรล ออกมาได้แล้วน่า"
เงียบ...
"นี่นาย...
กุ๊กกู่ กุ๊กกู่ กุ๊กกู่ กุ๊กกู่
ยูเกลสะดุ้งเฮือกเมื่อนกคักคูในนาฬิกาติดผนังโผล่พรวดออกมาส่งเสียงบอกเวลา เธอเกือบจะร้องกรี๊ดออกมาแล้ว แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่มันก็บ้านเธอ ลอเรลคงจะหัวเราะเยาะเอาแน่ๆถ้าเธอตกใจเสียงนาฬิกาบ้านตัวเอง
แต่ว่าจริงๆแล้วความตกใจนั่นก็ส่งผลให้หัวใจของเด็กสาวเต้นรัว ความหวาดกลัวที่ซ่อนไว้เริ่มที่จะปรากฏตัวขึ้นมาทีละน้อย
"อย่ามาเล่นบ้าๆนะ" ยูเกลตวาด ทว่าเสียงของเธอกำลังสั่นจนสัมผัสได้ ไม่ว่าจะพยายามทำให้ฟังดูโมโหขนาดไหนก็ตาม มันก็บ่งบอกถึงอารมณ์ของผู้เปล่งมันออกมาได้เป็นอย่างดี
สั่น...ซะจนไม่ต้องมีหูวิเศษก็ยังได้ยิน
กริ๊ง....
เสียงกระพรวนเบาๆที่ดังมาสู่โสตประสาททำให้ยูเกลหันขวับไปมองทันที...แม้ว่าเสียงนั้นจะเบามากซะจนคนปกติไม่น่าจะได้ยิน แต่ว่ามันกลับดังขึ้นชัดเจนในหูของเธอ
เสียงมาจากในครัว...ความคิดที่ทำให้หัวใจเต้นช้าลง คนที่กลัวจนจะกลายเป็นผวาเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว เธอรีบสาวเท้าไปยังต้นเสียงทันที
"ก็รู้อยู่ว่าหูดี อย่ามาเล่นซ่อนแอบให้เปลืองเวลาเลยน่ะ" ยูเกลเอ่ยปากบ่นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยชัยชนะ "จะแกล้งฉันน่ะมันยังเร็วไป...
แล้วทันใดนั้นเสียงของคนที่คิดว่าตัวเองชนะก็ขาดหายไป เมื่อพบว่าคนที่คิดว่าอยู่ในห้องครัวกลับไม่อยู่ในนั้น
ห้องทั้งห้องโล่ง...ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต
...แต่เมื่อกี้...เราได้ยินเสียงจริงๆนี่นา...ความคิดที่ทำให้ยูเกลก้าวถอยหลัง หัวใจที่เต้นช้าลงกลับเร่งความเร็วขึ้น มันเต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกจากอก เด็กสาวที่บัดนี้ตัวสั่นระริกค่อยๆเดินออกจากห้องครัวช้าๆ
ทั้งๆที่มันก็ห้องครัวของเธอ ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งๆที่มันก็ห้องเดียวกันกับที่เธอพึ่งเดินมาต้มบะหมี่เมื่อตะกี้
แต่ตอนนี้ห้องครัวที่เธอใช้มาตลอดสี่ปี...กลับให้บรรยากาศวังเวงและเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
นี่มันบ้านเราเอง นี่มันบ้านเราอีก จะมีอะไรได้ไงเล่า ยูเกลพยายามปลอดตัวเอง หูฝาดน่ะ หูฝาดแน่ๆ
"ลอเรล นี่ไม่ตลกเลยนะ" เธอตะโกนด้วยเสียงสั่นๆและค่อยๆรวบรวมสติ อย่าคิด...ห้ามคิดนะ
แต่ภาพของหนังสยองขวัญสั่นประสาทที่เคยดูบ่อยๆก็ยังปรากฏขึ้นมาในหัว ซึ่งนั่นทำให้คนที่กลัวอยู่แล้วผวามากยิ่งขึ้น เด็กสาวเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับแขนขาที่อ่อนแรง เธอทิ้งตัวลงบนโซฟา ห่อตัวราวกับเด็กทารก
กลัว...
เด็กสาวหลับตาปี๋
แล้วฉับพลันเธอก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเบาๆเหมือนมีใครบางคนกำลังวิ่ง ยูเกลหันขวับ แต่ก็พบแต่ผนังห้องที่ว่างเปล่าซึ่งนั่นทำให้เธอแทบร้องไห้
แต่ยังไม่ทันที่น้ำตาไหลออกมา เด็กสาวก็รู้สึกเหมือนเห็นเงาดำๆของอะไรบางอย่างที่หางตา เธอหันไปมองอย่างตื่นตระหนก แต่มันก็เป็นเพียงประตูห้องที่เปิดทิ้งไว้
ทีนี้ล่ะยูเกลร้องไห้ออกมาจริงๆแล้ว น้ำตาอุ่นๆเอ่อล้นออกมาจากขอบตา ร่างกายของเธอสั่นระริก แรงกดดันที่มองไม่เห็นค่อยๆบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก มือเย็นเฉียบผิดกับหัวใจที่สูบฉีดเลือดอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นหัวใจดวงเดียวกันก็แทบหยุดเต้น เมื่อจู่ๆก็มีน้ำหนักของอะไรบางอย่างเคลื่อนขึ้นมาบนโซฟา ตรงตำแหน่งข้างหลังของเธอพอดี
แม้จะรู้ว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นลอเรล แต่ว่าความกลัวกลับหยุดยั้งไม่ให้ยูเกลหันหลังกลับไปมอง
ถ้าหันไปแล้วไม่ใช่ลอเรลขึ้นมาล่ะ...
ความคิดที่ทำให้คนคิดไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
ยูเกลสะบัดหัวไล่ความคิดนั่นออกไป จะกลัวบ้าอะไร นี่มันบ้านเรา บ้านเราเองนะ เธอปลอบตัวเองและเริ่มรวบรวมความกล้า เด็กสาวค่อยๆหันหน้าไปข้างหลังที่ละนิดๆ พลางค่อยๆวางเท้าลงที่พื้น ถ้าหากว่าภาพที่เธอเห็นบ่งบอกว่าไม่ใช่คนที่เธอคิดแม้แต่นิดเดียวแล้วละก็จะได้พร้อมที่จะพุ่งออกนอกห้องทันที
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะความชักช้าของเธอ หรือเพราะความขี้เกียจรอของอะไรก็ตามที่อยู่ข้างหลัง มันขยับเข้าประชิดตัวทันที
กริ๊ง
แล้วเสียงหวีดร้องก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของยามราตรี
*****************************************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น