คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ยูเกลกับลอเรล ตอนที่ 2.
บันทึกของการอัพครั้งที่9 28/05/49
ในที่สุดก็ได้ขึ้นตอนสองซักที แต่ว่าตอนนี้คอมโจ้เสียอยู่ เลยพิมพ์ได้ทีละนิดเดียว (ตอนนี้แอบมาเล่นคอมป่ะป๊าค่ะ) ขออภัยผู้อ่านทุกท่านมากๆที่(มีปัญญา)อัพได้แค่นี้นะคะ แต่ไม่ดองนะ! ไม่ดองๆๆๆๆ เรื่องนี้จะไม่ดองเด็ดขาด! จะต้องเขียนจบให้ได้!
บันทึกครั้งที่ 10 04/06/49
ได้อ่านเม้มของหนูอ๊อบแล้วก็ตกใจ ตายแล้ววว เราพิมพ์ได้น่าเกลียดมากๆ ผิดเละเทะ แถมคำว่าลูกศิษย์ยังเขียนผิดอีกต่างหาก อ๊ากกก ตายๆๆๆ นี่เป็นอะไรไปเนี่ย! (สงบสติอารมณ์) อ่า...ตอนนี้โจ้ได้คอมตัวเองคืนมาแล้วพร้อมๆกับห้องใหม่ ยังไงก็คงจะพิมพ์ได้มากกว่าเดิม อัพแต่ละครั้งคงจะยาวขึ้นแล้วนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆที่ยังอุตส่าห์เข้ามาอ่านอะไรที่มันเผามาร้อนๆแบบนี้ จุ๊บๆ(หอมแก้มแทนการขอบคุณ) (ไม่มีใครเขาเอาหรอกย่ะ)
บันทึกครั้งที่ 11 13/06/49
มาอัพช้า...เพราะว่า (ข้อแก้ตัว) 1.โจ้ไม่สบาย...อาหารเป็นพิษ(อีกแล้ว) (น้ำหนักลงอีกแล้ว แอบดีใจ(หัวเราะโทรมๆ)) 2.(คาดว่าจะ) ลืมสมุดเขียนนิยายไว้ที่โรงเรียน เพราะฉะนั้นนับจากความเดิมตอนที่แล้ว...แต่งสด! 3.ท่านแม่ต้องการให้อ่านหนังสือเรียน (เค้าอ่านนะ แต่ท่านแม่ไม่เห็นตอนอ่านอ่ะ)...เฮ้อ...ก็ขอโทษทุกท่านที่มาอัพช้านะคะ แถมอัพน้อยอีกต่างหาก...ขอโทษค่ะ...T^T อ้อ มีแก้ไขอะไรนิดๆหน่อยๆด้วย ลองอ่านทวนดูใหม่นะคะ
อัพครั้งที่ 12 30/06/49
โอย...หัวแล่นมากๆเลย...แต่ไม่มีเวลาพิมพ์ เวลาจะเขียนยังไม่มี...อ๊ากกกกให้โจ้สอบติดก่อนนะเฟร้ยยยยย (โวยวาย)
*******************
"เมื่อกี้เสียงอะไรปึงปังน่ะ" ซีนวา ผู้ร่วมงานรุ่นพี่เอ่ยถามเมื่อยูเกลเดินถือจานเปล่ากลับมาที่ส่วนล้างจาน เมื่อเธอตวัดสายตาขึ้นมองเพราะจับความขบขันผิดปกติที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงได้ก็พบว่าใบหน้าของเขาระบายไปด้วยรอยยิ้มรู้ทันแบบที่เด็กสาวไม่ชอบ
ทว่าก่อนที่ยูเกลจะทันเอ่ยปากตอบโต้ เสียงๆหนึ่งก็ดังขัดขึ้นซะก่อน "คิดอะไรลามกๆอยู่รึไงพี่ซีนวา" ลอเรลทำให้เธอสะดุ้ง ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มมายืนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มั่นใจได้เลยว่าเขาจะต้องได้ยินคำถามเมื่อกี้และก็เข้าใจเหตุผลของคนถามเป็นอย่างดีด้วยแน่นอน
ซีนวาหัวเราะร่วน "ใครจะไปรู้ เธอสองคนไปทำอะไรกันในห้องครัวก่อนเปิดร้านเมื่อกี้นี้ล่ะ" เขายิ้มนิดๆและส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาให้เด็กทั้งสอง "หายไปซะตั้งนาน"
ลอเรลหัวเราะหึๆอย่างไม่สนใจตาเขียวปัดจากยูเกล "แล้วพี่คิดว่าพวกเราไปทำอะไรที่มัน...อืม...น่าสนใจขนาดยอมให้โดนหักเงินตั้งหกดอลลาห์ล่ะครับ" เด็กหนุ่มยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัยก่อนจะเดินออกไปข้างนอกทันที ทิ้งเผือกร้อนๆไว้กับคนที่บัดนี้แดงก่ำไปเรียบร้อย
"อย่ามาหลอกกันดีกว่า ยูเกลหกนาทีมันทำอะไรไม่ได้มากนักหรอกนะ" ซีนวาหันมาเอ่ยกับคู่สนทนาที่บัดนี้มีรอยสีชมพูปรากฏอยู่บนพวงแก้มขาวชัดเจน
ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าเขาคงจะตาฝาดไปที่เห็นยูเกลหน้าแดง เมื่อสาวน้อยตรงหน้ายักไหล่ด้วยท่าทางเฉยๆและเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ก็รู้นี่ว่าหกนาทีมันทำอะไรไม่ได้มาก แล้วจะถามทำไมละคะ"
************************
เพราะนายคนเดียวเลย ตาบ้าเอ๊ย นอกจากจะมาสายจนโดนสงสัยแล้วยังพลอยทำให้ใครๆเข้าใจผิดกันไปอีก ยูเกลกัดฟันกรอด เด็กสาวรู้จักนิสัยของซิลวาดี ตลอดสามปีนับจากวันที่ลอเรลลากเธอมาทำงานที่ร้านนางเงือกนี่ ทั้งคู่ได้รู้สิ่งต่างๆจากนักศึกษามหาวิทยาลัยคนนี้มากมาย ตั้งแต่เรื่องภาษาศาสตร์ที่ชายหนุ่มกำลังเรียนอยู่เรื่อยไปจนถึงชู้คนใหม่ของเจ้าของร้านขนมปังข้างสถานี
ต้องบอกตรงๆว่านับแต่เกิดมา นอกจากพี่ช่างแต่งหน้ากระเทยแล้ว ยูเกลยังไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตเพศชายคนไหนหูไวตาไวเท่าซีนวามาก่อน ขนาดหมาบ้านไหนตายเขายังรู้ เรียกว่าแทบทุกเรื่องในเมืองนี้ส่วนใหญ่มักจะไม่รอดสายตาอันคมกริบของชายหนุ่มคนนี้ได้เลย
และสงสัยว่าภายในพรุ่งนี้ เรื่องล้อเล่นระหว่างเธอกับลอเรลก็คงรู้กันทั่วเมือง
บ้าชะมัด ยูเกลคิดพลางเหล่ตัวต้นเหตุที่เดินห่างออกไปสามโต๊ะอย่างหงุดหงิด ตั้งแต่มาอยู่เมืองที่นี้ใหม่ๆเธอก็ต้องเจอกับเสียงซุบซิบนินทาจากคนในเมืองไม่ใช่น้อย แถมความสนิทสนมของทั้งคู่ก็ยิ่งเป็นเรื่องโปรดของบรรดาชาวบ้านชาวช่องเข้าไปกันใหญ่
ก็จริงอยู่ที่มันน่าคิด เพราะฝ่ายหนึ่งก็เป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีที่ไร้ญาติขาดมิตรไม่ทราบประวัติ ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ออกจะน่ารักน่ามองด้วยซ้ำ แถมยังมีมรดกหลายล้านของมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วพ่วงท้าย ความ"น่าจะเป็น"นั่นก็ยิ่งทวีคูณ
แต่ว่า...ในความเป็นจริงแล้วน่าจะเป็นนั่นมันกลับมีทางเป็นไปได้น้อยซะเหลือเกิน แม้ว่ายูเกลจะเนื้อหอมในหมู่ผู้ชายและเงินที่ใครๆคิดว่ามีอยู่เยอะของเธอก็ยังจะยิ่งเรียกร้อง(หรือหลอกล่อ)ความสนใจได้มากขึ้น แต่สำหรับคนใกล้ตัวแล้วความหอมนั่นมันกลับไม่เตะจมูกสวยๆนั่นเลย
แถมตอนนี้เธอก็เหลือเงินติดกระเป๋าไม่ถึงสามร้อยแล้วด้วย
งานเสิร์ฟอาหารที่ยูเกลทำอยู่มันก็ไม่ได้เงินดีมากมายอะไร แถมเจ้าของร้านก็ยังโหดยิ่งกว่าเสืออีกต่างหาก
เพียงแต่...ทั้งคู่ต่างก็มีเหตุผลพิเศษบางอย่างที่ไม่ว่าจะได้เงินน้อยขนาดไหนก็ต้องทำงานที่นี่ให้จงได้
เด็กสาวมองออกไปภายนอกร้านผ่านหน้าต่างบานน้อย ภาพของประภาคารสีขาวตัดกับความมืดมิดของรัตติกาลทำให้เธอขนลุก ตัวประภาคารที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับว่ามันจะเปล่งแสงเรืองออกมาเย้ยดวงจันทร์บนฟากฟ้าทำให้ยูเกลรู้สึกแปลกๆ
ใช่แล้ว...เธอย้ำกับตัวเอง มันเป็นเหตุผลพิเศษที่ไม่ว่ายังไงก็บอกใครไม่ได้เด็ดขาด
**************************************
"อยากให้ไปส่งรึเปล่า" เสียงเรียบๆเอ่ยถามเมื่อเห็นคนตรงหน้าทำท่าจะเดินแยกออกไป "คืนนี้อากาศมันแปลกๆยังไงก็ไม่รู้" น้ำเสียงนั่นเจือไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยซะจนสังเกตได้ "รู้สึกไม่ดีเลย"
ทว่าคนฟังกลับหัวเราะออกมาเบาๆ "นั่นมันคำพูดของทางนี้ต่างหาก" นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววขบขันออกมาอย่างไม่ปิดบัง "แล้วที่สำคัญ เธอเป็นผู้หญิงคิดจะเดินไปส่งผู้ชายที่ห้องมืดๆค่ำๆรึไง" ลอเรลเหยียดยิ้มและเขกหัวคนไม่เจียมตัวเบาๆ "อย่างเธอน่ะยังเร็วไปสิบปี"
คำพูดประโยคหลังทำให้คนอายุน้อยกว่าฉุน "อย่ามาพูดเหมือนตัวเองแก่นักเลย" ยูเกลเอ่ยและยกกำปั้นเล็กๆสมตัวขึ้นทุบเด็กหนุ่ม "กะอีแค่แก่เดือนกว่าไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลยนะ"
"อะแฮ่ม" เสียงกระแอมอย่างจงใจดังขึ้นขัดบทสนทนาของทั้งคู่อย่างหมั่นไส้ "เห็นใจคนโสดหน่อยสิ ไม่ต้องมาทำสวีตหวานกันต่อหน้าได้ป่ะ" ซีนวาเอ่ยงอนๆ "นี่นึกว่าเดินกระหนุงกระหนิงกันอยู่สองคนรึไง"
"ใครใช้ให้กลับทางเดียวกันละคะ" ยูเกลทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ขณะที่ลอเรลหัวเราะหึๆ
"น่าจะชินได้แล้วนะ"
คำพูดของรุ่นน้องทำให้ความอดทนของผู้สูงวัยกว่าขาดผึ่ง "ทำไมฟ้าไม่ส่งคนดีๆมาให้ฉันมั่งวะ" ซีนวาหันไประบายอารมณ์กับกระป๋องน้ำอัดลมในมือจนมันบุบบู้บี้ "จะได้ไม่ต้องดูพวกแกสองคนจู๋จี๋ดู๋ดี๋กันหลังเลิกงานทุกวันเนี่ย"
ยูเกลหัวเราะในใจ จู๋จี๋งั้นหรอ เด็กสาวหันไปมองหน้าคู่กรณียิ้มๆ พลางคิดว่าหากซีนวาไปเกิดเป็นจิ้งจกที่บ้านของเธอแล้วละก็เขาคงไม่ต้องมาอิจฉาตาร้อนแบบนี้หรอก
ระหว่างเธอกับลอเรลไม่เคยมีอะไรที่เข้าใกล้คำว่าคู่รักเลย
อาจจะบอกว่าเธอเป็นพวกตายด้าน...ก็คงจะได้ ยูเกลอ่านหนังสือต่างๆมาเยอะรวมไปถึงนิยายรักๆใคร่ๆประโลมโลกด้วย ซึ่งเธอก็คิดแล้วว่าตัวเองไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนั้นกับเด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาและความฉลาดเลอเลิศราวกับพระเอกในนิยายคนนี้
สงสัยเราจะตายด้านจริงๆ...ยูเกลคิดในใจ
แต่มันก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับลอเรล เพียงเเต่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ต่อให้โลกแตกก็คงไม่เล่าให้ใครฟังอย่างเด็ดขาด
จะบอกใครได้ว่าอยากให้คนๆนี้มาเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
อาจจะเป็นเพราะว่าเธอไม่มีพ่อเป็นแบบอย่างและก็ไม่คิดที่จะเจริญรอยตามน้าจอร์จ ความฝันในอนาคตของยูเกลจึงทั้งเรียบง่ายและไม่ทะเยอทะยาน
การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวของตัวเอง...หรืออย่างน้อยๆ...
...หากได้อยู่แบบนี้ตลอดไปก็คงดี
เพียงแค่นั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งเรียกได้ว่าความฝันสำหรับเด็กกำพร้าอย่างเธอแล้ว
แต่ว่า...แล้วตานี่มันจะอยู่ในฐานะอะไรในครอบครัวเนี่ยนะสิ
"คิดอะไรอยู่" ลอเรลเอ่ยราวกับจะรู้ว่าคนข้างเคียงกำลังคิดนินทา ถ้าเป็นคนอื่นก็คงตกใจที่เขาถามอย่างกับจะอ่านใจออก แต่เธอก็รู้สึกว่าตัวเองชักจะชินกับความ"รู้มาก"ของตานี่ซะแล้ว
เด็กสาวเลยยักไหล่ "นินทาคนบ้า" นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มฉายแววไม่รู้ไม่ชี้ออกมา "กับตัวเอง"
คนรู้ตัวว่าโดนหลอกด่าหัวเราะหึๆตามนิสัย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้า "นี่" เด็กหนุ่มเอ่ย "ขอไปกินอะไรที่บ้านหน่อยได้ไหม"
คำพูดที่ทำให้คนฟังและคนแอบฟังชะงัก
"จะไปกินอะไร" ซีนวากับยูเกลเอ่ยขึ้นพร้อมๆกันแม้ว่าจะในต่างจุดประสงค์และต่างความหมาย เด็กสาวเหลือบมองรุ่นพี่ด้วยสายตาที่สื่อถึงความหมายแรงๆบางอย่าง
"ก็อยากใช้คำว่าดื่มนะ แต่เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะ" ลอเรลที่เดินนำหน้าไปเล็กน้อยพูดและหมุนตัวกลับมา สุ้มเสียงของเขาฟังดูแหบพร่าจนฟังดูขัดหู
ลอเรลเสียงแตกเหรอ?
แต่ไม่ว่าเขาจะใช้เสียงแบบไหนก็ตามพูดออกมา ตอนนี้มันก็ไม่สามารถหยุดยั้งตาที่โตจนไม่น่าจะโตได้อีกแล้วของยูเกลให้เบิกกว้างจนแทบถลน
ร่างสูงของเด็กหนุ่มยืนอยู่ใต้แสงของไฟถนนพอดี ภาพตรงหน้าดูราวกับเขาเป็นนักเเสดงบนเวทีที่มีสปอตไลท์ฉายอยู่ ผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย นัยน์ตาสีเทาคู่นั้นก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ในวันนี้ลอเรลสวมเสื้อแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนส์ที่ทำให้เขามองดูเหมือนตัวละครในหนังเรื่องหนึ่งที่เธอเคยดู และตัวละครตัวนั้นก็เป็น...
เทวดา...หากเทวดามีจริงก็คงจะเหมือนเด็กหนุ่มผู้นี่ละมั้ง
"ว่าไง" เขาเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กสาวยังยืนเงียบอยู่ "ไปได้รึเปล่า"
"เนื่องในโอกาสอะไรล่ะ" ยูเกลได้ยินตัวเองเอ่ยถามแบบนั้น แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจกลับเป็นน้ำเสียงของตัวเอง
มันกำลังสั่น...แต่เพราะอะไรล่ะ? ดีใจหรือว่าเสียใจหรือว่า...กลัว?
"อืม...ก็เนื่องในโอกาส...เอ..." เขาตีสีหน้าครุ่นคิด "อ๋อ เนื่องในโอกาสที่ทำอะไรไม่ได้มาในครัวไง" ลอเรลเอ่ยอย่างมีเลศนัย แต่เธอรู้ว่าเขาไม่ได้จงใจจะพูดกับเธอ แต่พูดกับคนที่ยืนแอบฟังอยู่ข้างๆนั่นต่างหาก
ถึงอย่างนั้นก็ตาม...เสียงของเขากลับฟังดูแปร่งแปลกหูไปจากปกติมาก เพราะเสียงนั่นเหรอถึงได้ทำให้รู้สึกแปลกๆ ยูเกลคิด ตามปกติเธอคงร่วมวงผสมโรงแกล้งรุ่นพี่ที่ยืนแข็งอยู่ข้างๆไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ว่าวันนี้เธอกลับพูดอะไรไม่ออกได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบรับเมื่อเด็กหนุ่มหันมามอง
"เฮ้ย" ซีนว่าอุทานอย่างตกใจ "นี่จะให้มันไปจริงๆเหรอ" ชายหนุ่มชี้ไปที่ลอเรลด้วยสีหน้าราวกับว่าเขาเป็นแมลงสาบสักตัว ก่อนจะมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เหมือนจะถามว่ายังสติดีอยู่รึเปล่า
คนถูกด่าทางสายตาก้มหน้าหงุดก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่ราวกับจะไตร่ตรองอะไรบางอย่าง ก่อนจะตวัดดวงตาสีน้ำเงินขึ้นมองด้วยใบหน้าเรียบไร้อารมณ์
"อยากให้ไปส่งก่อนรึเปล่าละคะ"
****************************************
"ฉันรู้ว่าพวกเธอรู้จักกันมานาน" ซีนวาเอ่ยด้วยสีหน้าขรึมๆ ก่อนจะก้มลงจ้องหน้าผู้อ่อนวัยกว่า "แต่ทำอะไรต้องนึกถึงพ่อแม่นะ ยูเกล ท่านจะต้องจับตามองเธออยู่บนสวรรค์แน่ๆ และที่สำคัญ" ชายหนุ่มชี้ไปที่ตำแหน่งหัวใจของเด็กสาว "สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจนะ"
คำพูดที่ทำให้เส้นประสาทเเล่นเปรี๊ยะ คนถูกเตือนกระพริบตาปริบๆก่อนจะส่งยิ้มหวานไปให้
"แม่หนูบนสวรรค์เขาจะคิดยังไงที่มีผู้ชายยืนชี้หน้าอกหนูอยู่กลางถนนล่ะคะ" เด็กสาวแยกเขี้ยว "นรกกินหัวแหงๆ"
ซีนวาสะดุ้งและหดมือกลับอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกตัวว่าเขาชี้ที่อยู่ของสวรรค์กับนรกนั่นอย่างเอาจริงเอาจังไปหน่อย
"เฮ้ย" เขาสะดุ้ง "ฉัน...ฉันไม่ได้" ชายหนุ่มตะกุกตะกัก
ยูเกลยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "ช่างมันเถอะค่ะ พี่ซีนวา" เธอยิ้ม...แต่ในสายตาของคนมองยิ้มนั่นดูโหดอำมหิตยังไงชอบกล "จะแตะข้างหน้าหรือข้างหลังมันก็เหมือนกันอยู่แล้ว"
ลอเรลหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินประโยคที่ประกาศตัวเองอย่างเด่นชัดของเด็กสาว แต่นั่นกลับทำให้สายตาคมกริบของซีนวาเลื่อนมาจับที่ใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว
"ไม่ต้องมาหัวเราะเลยนะ นายน่ะ" นิ้วของชายหนุ่มจิ้มใส่แผ่นอกของลอเรลอย่างแรงผิดปกติ "บอกไว้ก่อนว่าฉันเห็นยูเกลเหมือนน้องสาว ถ้ามีอะไรให้เธอต้องร้องไห้ละก็ มีเรื่องแน่" เขาลากนิ้วของตัวเองในท่าตัดคออย่างข่มขู่จนยูเกลต้องก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเอาไว้
"ผมก็เหมือนกันแหล่ะครับ" ลอเรลยิ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำเตือนของรุ่นพี่ จนคนเตือนต้องคว้าหัวของเขามากระซิบใกล้ๆ
"เลี้ยวซ้ายที่หัวมุม มีร้านขายของชำอยู่ ไปซื้ออะไรที่ควรซื้อซะ" ซีนวาพูดด้วยเสียงเฉียบขาดก่อนจะหันมาที่ยูเกล สีหน้าดุๆนั่นแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มขึ้นมาทันที "เอาเถอะพวกเธอส่งแค่นี้แหละ ฉันไม่อยากกวนเวลาแล้ว เจอกันพรุ่งนี้นะ"
"เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ" เด็กสาวหัวเราะ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มหันไปทำท่าตัดคอใส่ลอเรลอีกรอบก่อนจะปิดประตูบ้าน
บ้านของพี่ซีนวาเป็นร้านตัดผมที่มีอยู่ไม่กี่ร้านในเมือง ที่นี่จึงเป็นเสมือนแหล่งชุมนุมของบรรดาแม่บ้านและเรื่องนินทาสารพัด ซึ่งก็น่าจะพอเดาได้ว่าหัวข้อของวันพรุ่งนี้จะเป็นเรื่องอะไร...ร้านตัดผมนี้ไม่เคยขาดสีสันของเรื่องอะไรพรรค์นี้อยู่แล้ว...
ซะจนดูแปลกตามากเมื่อต้องมาเยี่ยมเยียนในยามค่ำคืน
เสียงลมที่พัดหวีดหวิวทำให้ยูเกลรู้สึกตัวว่าตอนนี้ดึกมากขนาดไหนแล้ว ถนนทั้งสายเงียบสงัดไม่ปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากแมวสีดำตัวเขื่องที่กำลังจ้องมองมาด้วยนัยน์ตาที่ทำให้เธอนึกถึงสร้อยสีม่วงเข้มที่ปรากฏในรูปถ่ายของแม่
เจ้าแมวร้องเหมียวๆและเดินลับหายเข้าไปในความมืด
ซึ่งนั่นก็ทำให้ถนนสายนี้มีเพียงเธอกับลอเรลแค่สองคนจริงๆ
...แค่สองคน...ความคิดที่ทำให้อยู่ดีๆก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเสียเฉยๆ
ถนนทั้งสายเงียบสนิทจนยูเกลแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง...ที่บัดนี้กำลังเต้นระรัวจนน่าแปลกใจ
"ไปเถอะ" เสียงของลอเรลทำให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์ เธอหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนห่างออกไปอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าก่อนที่เธอจะได้เอ่ยอะไรออกมา เขาก็พูดเสริมขึ้น"อยากแวะร้านขายของชำเสียหน่อยน่ะ"
คำพูดของซีนวาแล่นปราดขึ้นมาทันที ต้องโทษที่เธอเกิดมาหูดีเกินเหตุเองที่ทำให้ได้ยินทุกคำพูดที่ชายหนุ่มกล่าวกับลอเรล
ซื้ออะไรที่ควรซื้อ
แล้วมันอะไรกันล่ะ!?!
คนเริ่มขวัญบินฝืนเอ่ยถามกลับไป "จะไปซื้ออะไร เงินฉันมีเหลือติดตัวนิดเดียวเอง"
ลอเรลหัวเราะหึๆตามนิสัย "ก็อะไรที่ควรจะซื้อน่ะสิ" เขาตอบพลางก้าวไปทางหัวมุมถนน พระเจ้า! นี่เขาอ่านใจฉันออกได้จริงๆเหรอเนี่ย!
"ก็ที่บ้านเธอไม่มีอะไรเหลือติดตู้เย็นซักอย่าง แล้วจะให้ไปกินอะไรล่ะ"
**************************************
เออ นั่นสิเนอะ...
ความคิดเห็น