ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บางสิ่งที่ขาดหาย ตอนที่ 2.
เธอน่าจะเอาแก้วน้ำยัดปากเขาตั้งแต่เริ่มคำว่านางเงือกแล้ว หรือไม่อย่างงั้น...เอาขวดน้ำนั่นฟาดเลยก็ได้ ก่อนที่ตาบ้านั่นจะพูดสิ่งที่คิดออกมา
อะไรก็ได้ที่จะทำให้ยูเกลรู้สึกหนาวน้อยกว่านี้ซักหน่อยและก็จะได้ไม่ผวาจนอยากจะวิ่งกลับบ้านแบบนี้
เพราะทันทีที่เด็กสาวเดินมาถึงทางออกของอุโมงค์ เสียงเพลงนั่นก็แผ่วลงจนหายไปเฉยๆและเธอก็ได้พบว่าตัวเองได้มายังห้องๆหนึ่งที่มีผนังโค้งจนแทบจะแน่ใจได้เลยว่ามันเป็นทรงกลม ผนังอิฐสีขาวที่สูงขึ้นไปยิ่งทำให้ขนบนแขนลุกชัน
ดูท่าเด็กสาวจะสามารถไขปริศนาทางเข้าของประภาคารสีขาวได้โดยบังเอิญ
ส่วนปริศนาที่สอง...ที่ว่ามี ใคร หรือ อะไร อยู่ในนี้ที่ตัวเธอเองออกจะฉงนนักหนา
...ก็อยู่ตรงหน้าของเธอนี่เอง...
"มีคนโดนสาปเป็นหินอยู่ในนี้จริงๆด้วยเหรอเนี่ย"
ยูเกลเกือบจะร้องกรี๊ดออกมาแล้วที่จู่ๆเธอก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆที่ต้นคอและเสียงกระซิบที่ข้างหู ดูเหมือนว่าเธอจะตกตะลึงไปกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าเสียจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าหรือได้รู้สึกตัวเลยว่าลอเรลมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่
"ตาบ้าเอ๊ย ตกใจหมด" เธอโวยวายด้วยเสียงที่แม้จะพยายามกลั้นแล้วก็ยังสั่นจนรู้สึกได้ "ถ้าถือปืนอยู่ ป่านนี้ฉันยิงนายไส้ไหลไปแล้วนะ" นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยแสดงความโมโหออกมาจนทำให้คนมองนึกถึงแมวที่กำลังตกใจ
เด็กหนุ่มหัวเราะหึๆก่อนจะทำเป็นไม่สนใจคำขู่ที่ไม่สมกับเป็นกุลสตรีของยูเกล เขาเดินผ่านเธอออกมา ดวงตาสีเทาจับจ้องที่ภาพเบื้องหน้า
"สวยจริงๆ" ลอเรลเอ่ย
แม้ว่าจะยังหงุดหงิดและหัวใจก็ยังเต้นรัวอยู่ แต่ยูเกลก็อดที่จะเห็นด้วยกับคำพูดของเขาไม่ได้ เธอสาวเท้าไปยืนข้างๆเขาและจ้องมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
และในพริบตานั้นยูเกลก็รู้สึกเหมือนเธอตกอยู่ในภวังค์
นั่นคือหญิงสาว...หญิงสาวที่ผ่านวัยแรกแย้มไปแล้วและกำลังผลิบานอย่างเต็มที่ ร่างอันสมบูรณ์แบบทั้งส่วนเว้าและส่วนโค้งจนน่าอิจฉาซ่อนกายอยู่ภายใต้ชุดคลุมยาวถึงข้อเท้า ผมที่หนาอย่างพอดีๆไม่มากไปหรือน้อยไปหยักเป็นลอนอย่างสวยงามลงมาถึงเอวคอดๆนั่น ใบหน้าของเธอออกจะกลมแต่ไม่ถึงกับท้วมแลดูน่ารัก ดวงตากลมโตรับกับจมูกและริมฝีปากอิ่มเอมที่คงจะนุ่มนิ่มน่าสัมผัสแน่ๆ
หากว่าเธอไม่ใช้เพียงรูปปั้นหินแกะสลักที่ยืนตระง่านอยู่ตรงหน้าของคนทั้งคู่
"เหมือนกำลังเต้นรำอยู่เลยนะ" ลอเรลแสดงความเห็นออกมาเบาๆเมื่อจ้องมองดูท่าทางของหญิงสาวที่อยู่ในท่าเหมือนจะกำลังร่ายรำอยู่ แขนกลมได้ส่วนยกสูงขึ้นไปบนอากาศปล่อยให้ชายผ้าที่พันกายสะบัดพลิ้วในชั่วขณะหนึ่งแสงแดดรำไรที่ส่องลงมาทำให้เหมือน เธอ กำลังร่ายรำอยู่ตรงหน้าจริงๆ ลอเรลหายใจเข้าลึกๆ เหมือนเด็กหนุ่มจะถูกใจกับรูปสลักนี่ซะเต็มประดา
และนั่นทำให้ยูเกลหมั่นไส้...นิดหน่อย "ไม่ใช่ซักหน่อย" เด็กสาวค้าน "กำลังร้องเพลงอยู่ต่างหากล่ะ" นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่สวยเพ่งมองริมฝีปากของหญิงสาวพลางนึกเทียบกับบรรดานักร้องโอเปร่าที่เธอเคยเห็นเวลาตามน้าจอร์จไปงานคอนเสิร์ต "ปากเขาเผยออยู่นิดๆเหมือนเวลาพูดสระอีแน่ะ" เธอชี้ไปที่ปากของรูปสลัก "ร้องเพลงไปด้วยแล้วก็เต้นไปด้วย"
"อืม ร้องเพลงก็ร้องเพลง" ลอเรลยิ้มและสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ เขาก้มลงพิจารณาฐานของรูปสลัก มันสูงถึงเกือบเมตรและตกแต่งด้วยลายของเกลียวคลื่น แม้จะมีบางส่วนที่กะเทาะไปบ้างแต่ก็ยังจัดว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ "เหมือนตุ๊กตาบนกล่องดนตรีเลย" เด็กหนุ่มเอ่ยและใช้ปลายนิ้วลูบไปบนลายสลักที่ฐาน "อยากรู้จังว่าจะร้องเพลงแบบไหนออกมา"
ยูเกลขมวดคิ้วนิดๆเมื่อลอเรลพูดสิ่งที่เธอกำลังคิดออกมาได้ก่อน เด็กสาวกำลังจะหาคำพูดมาโต้ตอบอยู่พอดี สิ่งที่เธอสงสัยก็ถูกเฉลย...
...คลิก...
นิ้วของเด็กหนุ่มแตะโดนสลักบางอย่างเข้า ท่ามกลางความเงียบในตอนนั้นเสียงของมันจึงดังจนได้ยินทั่ว ในตอนแรกเธอคิดว่าลอเรลเผลอไปกระแทกอะไรบางอย่างจนหักและกำลังจะอ้าปากโวยวาย แต่ว่าในทันใดนั้น...สิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิด...
เพลงที่ล่อยูเกลมาถึงที่นี่ดังขึ้น ตอนแรกก็เพียงแผ่วๆชนิดที่เด็กสาวคิดว่ามีแต่เธอคนเดียวที่ได้ยิน ทว่ามันก็ค่อยๆดังขึ้นทีละนิดๆจนกังวานไปทั่วประภาคาร ยูเกลยืนอย่างตกตะลึง บทเพลงที่จับความไม่ได้และไม่รู้ว่าเป็นภาษาอะไรนั่นมาจากรูปสลักนี้นี่เอง
"เหมือนกล่องดนตรีจริงๆด้วย" ลอเรลถอยออกมาและยืนชื่นชมอยู่ข้างๆเธอ "นี่ถ้าหมุนได้นะ..."
แทนคำตอบ ฐานของรูปสลักเกิดเสียงดังครืด...แล้วเด็กสาวก็แทบลืมวิธีหายใจ เมื่อรูปสลักที่หนักไม่ต่ำกว่าร้อยกิโลนั่นขยับและก็เริ่มหมุน
...เธอกำลังร้องเพลงและร่ายรำไปพร้อมๆกัน...
"ความฝัน" ลอเรลยิ้ม "เหมือนเลยใช่ไหม"
แต่ยูเกลไม่ได้เอ่ยตอบ เด็กหญิงเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ไปแล้ว เด็กหนุ่มมองท่าทางนั้นก่อนริมฝีปากบางจะเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่มีแต่เขาเท่านั้นที่เข้าใจ
***************
ไม่รู้ว่ายูเกลกลับไปที่ห้องเก็บไวน์ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือว่ากลับขึ้นไปทำงานตั้งแต่ตอนไหน เพราะพอรู้สึกตัวอีกทีเธอก็กำลังเดินสะโหลสะเหลอยู่บนทางกลับบ้านพร้อมกับอาการปวดเมื่อยตั้งแต่ต้นคอไปจนถึงข้อเท้า และที่เดินอยู่ข้างๆพร้อมกับกำลังเอาแขนพยุงเธอไว้ก็คือลอเรล
คงเพราะความเหนื่อยและความเมื่อยล้าทำให้ยูเกลไม่ต่อยเขาลงไปนอนนับสิบ
"เหนื่อยจนเบลอเลยรึไงกระหม่อม" เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างขบขันและคลายวงแขนออกทันเวลา นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองใบหน้าของเธอยิ้มๆ "ขอประทานอภัยโทษที่กระหม่อมบังอาจจาบจ้วงวรกายของท่านหญิง แต่หากกระหม่อมไม่ทำแล้ว เกรงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์คาร้านนะกระหม่อม"
"หา" เด็กสาวกระพริบตาปริบๆและเงยหน้าขึ้นมอง คำราชาศัพท์เพี้ยนๆของลอเรลทำเอาสมองเธอตื้อไปหมด
เด็กหนุ่มหัวเราะหึๆ "สงสัยจะเบลอจริงๆใช่ไหมเนี่ย ยูเกรเทล" เขาเอ่ยและตบหัวเธอเบาๆ สายลมที่พัดมาทำให้ผมสีน้ำตาลทองของเขาตกลงมาเคลียใบหน้าและปรกตาเล็กน้อย แต่ลอเรลปล่อยมันไว้อย่างนั้นอย่างไม่ใส่ใจ "คนแห่กันมาที่ร้านขนาดนั้นก็เพราะคุณนางเงือกของเธอนั่นแหล่ะ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะอยู่มานานขนาดนั้นโดยไม่มีใครเข้าไปเจอ"
"คุณนางเงือก" ยูเกลทวนคำอย่างงงๆ เธอต้องใช้เวลาอีกประมาณห้าวินาทีกว่าจะเข้าใจว่าลอเรลหมายถึงรูปสลัก
"ว่าแต่เธอไม่คิดจะบอกใครเรื่องนั้นเหรอ"
"หา" นัยน์ตาสีน้ำเงินแสดงประกายของความงงออกมาอย่างชัดเจนจนเด็กหนุ่มขำ เขามองหน้าเพื่อนร่างเล็กกว่าด้วยสายตาอ่อนโยนเหมือนกำลังมองน้องสาวของตัวเองขณะที่ปากพร่ำอธิบายให้เธอเข้าใจ
"ก็...เห็นเธอไม่พูดอะไรซักคำ แถมยังทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรงั้นล่ะ อยากปิดเป็นความลับรึไง" เด็กหนุ่มถาม แต่เมื่อเห็นว่าคนฟังยังทำหน้าเหมือนกับว่าเขาพึ่งพูดกับเธอด้วยภาษาต่างดาว ลอเรลจึงไม่คิดจะรอคำตอบ "เอาเถอะ แต่ฉันว่าที่เธอไม่บอกใครเรื่องรูปสลักนั่นก็ดีแล้วแหล่ะ คนจะได้ไม่เข้าไปวุ่นวาย" เขาพูดพลางบิดขี้เกียจ "ปวดแขนเลยแฮะ เพราะพวกชาวบ้านกับท่องเที่ยวแห่กันไปที่ประภาคารแท้ๆ ร้านเราถึงได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หวังว่าคุณจีนจะให้โบนัสนะ ในฐานะที่พวกเราเป็น-ตัว-นำ-โชค" เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไปยืนบนรั้วที่สร้างไว้ไม่ให้พวกคนขับใจร้อนพุ่งลงจากผาไปดับอารมณ์ของตัวเองในทะเลและเริ่มกระโดดขาเดียวราวกับว่ารั้วนั้นเป็นสนามเด็กเล่น เด็กสาวมองกิริยานั้นอย่างทึ่งๆก่อนจะยกมือขึ้นลองตบหน้าตัวเองดูเบาๆ
ฝัน?
ไม่ใช่...ความรู้สึกเจ็บนิดๆตอบมาว่าไม่ใช่ฝันแน่นอน เธอเปลี่ยนมากระพริบตาหลายๆครั้งราวกับจะพิสูจน์ว่าสิ่งตรงหน้าคือความจริงรึเปล่า
แต่ไม่ว่ามันจะเป็นภาพลวงตาหรืออะไรก็ตามการกระพริบตาหลายๆครั้งก็ทำให้สมองเบลออยู่แล้วยิ่งหมุนติ้วหนักกว่าเดิม เด็กสาวเริ่มเดินเซจนลอเรลสังเกตเห็น เขาหมุนตัวอย่างคล่องแคล่วราวกับนักแสดงกายกรรมและกระโดดลงมายืนที่พื้น
"ทำอะไรน่ะ ยูเกล"
ยูเกลกำลังจะเถียงไปว่าคำถามนั่นน่าจะมาจากฝ่ายเธอมากกว่าแต่ฉับพลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมอง
"ลอเรล" เด็กสาวรีบเอ่ยมันออกมาราวกับกลัวว่าจะลืมไปซะก่อน "เรื่องรูปสลักน่ะ"
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจและขยับเข้ามาใกล้ "ว่ามาสิ" เขาเอ่ยเสียงนุ่ม "ฉันให้เป็นสิทธิของเธอ จะบอกคนอื่นหรือว่าเก็บไว้แบบนั้นก็ได้ แต่จริงๆแล้ว...ก็เสียดายนิดหน่อยที่จะไม่ได้ฟังเพลงนั้นอีกนะ" ลอเรลยิ้มนิดๆแต่รอยยิ้มนั่นกลับมองดูเศร้าๆมากกว่าจะเป็นรอยยิ้มด้วยความร่าเริง
ยูเกลนิ่งไปชั่วครู่ ทำไมลอเรลมักจะเอ่ยสิ่งที่เธอคิดออกมาได้ก่อนเป็นประจำ เด็กสาวหลับตาลงและ คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆหากว่าเธอบอกเรื่องของรูปสลักกับคนอื่นอยู่นั้น แต่ว่ายิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้เธอเกิดความรู้สึกอยากจะเก็บ 'หล่อน' ไว้เป็นความลับ ...แต่ว่าอีกใจหนึ่งยูเกลก็อยากที่จะแบ่งปันบทเพลงนั้นให้กับผู้อื่นเช่นกัน
"ลอเรล" ยูเกลกระซิบ "นายเก็บความลับได้ใช่ไหม"
เด็กหนุ่มยิ้มออกมา นัยน์ตาสีเทาฉายแววอ่อนโยน ก่อนที่นิ้วเรียวยาวของเขาจะดีดเข้าที่หน้าผากของเธอ เร็วเกินกว่าที่เด็กสาวจะทันตั้งตัว "หักสิบแต้มโทษฐานประเมินฉันต่ำไป" ลอเรลพูดเสียงดุ ทำหน้าบึ้งขึ้นมาทันที เขาหมุนตัวกลับและเดินจากไป
แต่ยูเกลรู้ดีว่าลอเรลแค่จะแกล้งเธอเท่านั้น เธอยิ้มพลางรีบวิ่งตามไปและฟาดป้าบเข้าที่ไหล่เมื่อตามทัน
"ใครถึงก่อน พรุ่งนี้จะได้เป็นคนหมุนรูปสลักนะ"
เด็กสาวตะโกนขณะที่เร่งฝีเท้ามุ่งไปยังบ้านที่เห็นได้ลางๆจากแสงจันทร์บนฟ้า
บางทีการหนีออกจากบ้านก็คงไม่เลวร้ายละมั้ง?
***************
กรุณาอ่านอย่างมีวิจารณญาณ คนเขียนไม่ได้สนับสนุนการหนีออกจากบ้านนะ! (ถึงจะอยากลองก็เหอะ...)
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น