คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่3 -- เริ่มต้นการผจญภัย
"เอ้า!!เร็วเข้าจ๊ะหนุ่มๆทั้งหลาย หิบพัตราภรณ์เจ้าหญิงน่ะยังมีอีกเยอะนะจ้าพ่อคู้น ทำอะไรให้มันไวๆหน่อย ต๊าย!!!!!!!!! ระวัง เดี่ยวก็ตกน้ำตกท่ากันพอดี นอกจากอืดอาดยืดยาดแล้วยังซุ่มซ่ามกันอีก"
เสียงพระนมดังแจ๋วๆแต่เช้าตรู่ ทำลายบรรยากาศเช้าที่สดใสไปเสียสิ้น บรรดามหาดเล็กหลวงต่างแบกหิบต่างๆขึ้นเรือพระที่นั่งกันให้วุ่น พระนมเธอก็คุมเข้มเสียทุกอย่าง หลังจากดุด่ามหาดเล็กเสร็จก็หันไปหานางข้าหลวงที่จัดพรมกันอยู่
"นี่ๆพวกหล่อนๆไปดูซิว่าเจ้าหญิงตื่นบรรทมยัง ถ้ายังก็ปลุกได้เลย"
"ค่ะ พระนม"
"ว้ายๆ!!! เดี่ยวๆ หิบนั้นไม่ต้องเอาไปไว้ที่ห้องประทับ เอาไปไว้ที่เคบินท้ายเรือเลย พวกนี้เนี่ยบอกไม่รู้กี่หนไม่ฟัง ฉันไม่ดูแปบเดียว" ระหว่างกำกับดูแลงานยกของ สายตาพระนมก็ยังสอดส่ายไปด้วย "นั่นสองคนนั้นนะไปนั่งทำอะไรอยู่ท้ายเรือทำไมไม่ไปช่วยเขายกของกันยะ"
"โถ่ พระนมคร้าบ พวกเราสองคนทั้งขนทั้งย้ายลงมาจากรถม้าแบกขึ้นเรือตั้งแต่ตี4จนตอนนี้เกือบจะ6โมงเช้าแล้วนะคร้าบขอพักสักเดี่ยวไม่ได้เลยรึไงคร้าบ"
"ไม่ต้องบ่นฉันก็อยู่ที่ท่าเรือนี้มาตั้งแต่ตี4 เหมือนกัน ฉันยังทำต่อได้เลย อย่าอู้...มาทำงานกันได้แล้วยะ"
มหาดเล็กทั้งสองลุกขึ้นช้าๆ ระหว่างเดินก็บ่นงึมงำ
"ก็ใช่อะดี้ พระนมอ๊ะเอาแต่พูดๆๆๆสั่งๆๆๆ ลองมาแบกหิบหนักๆพวกนี้ดูบ้างดิจะรู้ว่าเราเป็นยังไง"
"เออ ข้าว่าสะดุดทีเดียวคงกลิ้งตกน้ำแหงเลยว่ะ"
แม้จะบ่นกันเบาเพียงใดแต่ก็ไม่รอดพ้นหูพิฆาตของพระนม
"นินทาอะไรกันยะ มีงานมีการให้ทำก็ไปทำเอาแต่..."
เสียงพระนมสะดุดอยู่แค่นั้นเพราะเสียงหวานใสดังขัดขึ้นเสียก่อน
"อะไรกันจ๊ะนมจ๋า บ่นแต่เช้าเขาว่าจะทำให้แก่เร็วนะนม"
"อุ้ย ทูนหัวของนมสรงเสร็จแล้วหรอเพคะ"
"จ๊ะ ทานเครื่องเช้าแล้วด้วย"
"แหมวันนี้ตื่นบรรทมเร็ว แล้วมาที่ท่าเรือทำไมตอนนี้เพคะ ไม่เสด็จมาพร้อมกองเกียรติยศ"
"หญิงก็อยากจะมาดูเรือที่จะพรากหญิงไปจากเด็จพ่อและฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ ก่อนยังไงล่ะนม เห็นเขาบอกว่าเป็นเรือรบหรอจ๊ะ"
"เพคะ เป็นเรือรบเก่านำมาดัดแปลงตกแต่งเป็นเรือพระที่นั่งชั่วคราวเพคะ แต่นมว่ามันออกจะไม่ค่อยสะดวกสบายเท่าที่ควรนะสิเพคะ"
"อ่าฮ้า! งั้นก็จริงน่ะสินะที่เขาลือกัน"
พระพักตร์ใสฉายแววตื่นเต้นจนทำให้พระนมอดสงสัยไม่ได้ว่าที่เขาลือกันน่ะมันอะไร
"เขาลืออะไรกันหรอเพคะ"
รู้ทั้งรู้นะว่าไม่ควรอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเจ้านาย ถ้าเจ้านายเขาไม่บอกเอง แต่ด้วยความคุ้นเคยและความสงสัยทำให้หลุดปากถามออกไปยังงั้น
"ก็เรื่องที่ว่าเรือลำนี้มีวิญญาณน่ะสิจ๊ะ วิญญาณหญิงสาวที่ปกป้องสมบัติของชายที่รัก เขาว่าตอนนี้สมบัติชิ้นนั้นก็ยังหาไม่พบว่าเป็นอะไร แต่มีคนเคยเห็นวิญญาณหญิงสาวบ่อยๆบนดาดฟ้าเรือ...ใส่ชุดกระโปรงสีขาวยืนยิ้มไปร้องไห้ไป แค่คิดก็น่ากลัวแล้วใช่ไหมละนม"
"ทรงเชื่อได้ยังไงกันคะ เรื่องแบบนี้ มีจริงซะที่ไหนกัน"
"ไม่เชื่อนมก็คอยดูแล้วกัน" รับสั่งเสร็จก็เดินสาวพระบาทฉับๆขึ้นเรือไป ทิ้งให้พระนมตะโกนไล่หลัง "ทูลกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเวลาใส่ชุดกระโปรงอย่าเสร็จเร็วๆ" แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เหล่ามหาดเล็กและนางข้าหลวงที่โล่งหูไปพักใหญ่ก็กลับมาอยู่ในสภาพเก่า
"เอ้านี่เร็วๆกันหน่อย กำหนดการน่ะ7โมงครึ่งนะยะ ไม่ใช่ทุ่มครึ่ง"
พิธีการส่งเสด็จลงเรือพระที่นั่งเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่ในความคิดของคนส่วนหนึ่งกลับผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนเป็นจำนวนมากมายมหาศาลมาเฝ้าส่งเสด็จเจ้าหญิงอันเป็นที่รักเพื่อเดินทางสู่แดนไกล ประชาชนรับรู้เพียงแต่ว่าเจ้าหญิงของพวกเขาจะเดินทางไปอภิเษกกับเจ้าชายรูปงามแห่งจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์เนื่องจากทั้งสองชอบพอกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมเยือนกันและกัน แต่มีน้อยคนยิ่งนักที่รู้ความจริงว่าการอภิเษกครั้งนี้มีความเป็นมาอย่างไร
เสียงแตรเป่าขึ้นอันเป็นสัญญาณการเสด็จลงเรือพระที่นั่ง ประชาชนโห่ร้องแสดงความยินดีก้องกึกเมื่อเจ้าหญิงแสนงามของเขาประทับบนพระแท่นบนเรือพระที่นั่งเพื่อกล่าวคำอำลาบ้านเกิดเมืองนอนและพสกนิกรอันเป็นที่รัก
"เราขอขอบใจพวกท่านมากที่มาส่งเราในวันนี้" เสียงต่างๆเริ่มเงียบลงเหลือเพียงเสียงเจ้าหญิงแองเจลล่าที่สะท้อนก้องไปตามเวิ้งตรอกซอกซอยและสะท้อนตามมุมตึกอิฐทำให้เสียงใสละมุนนั้นดังไปทั่วโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดช่วยขยายเสียง
"สำหรับเรา ฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ คือบ้าน.........บ้านอันแสนอบอุ่นและสงบสุข เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มีจิตใจงดงามและสว่างสดใส ไม่มีใครที่ไม่รักบ้านของตัวเอง บ้านที่ตนได้กำเนิดและเติบโตขึ้นมา เมื่อเรารักและได้รับรักจากผู้คนมากมาย ทำให้เราซึ้งถึงคุณค่าของบ้านหลังนี้ยิ่งขึ้น สำหรับบ้านหลังนี้ประชาชนทุกคนคือเจ้าของบ้าน เราเป็นเสมือนแม่บ้านที่ดูแลบ้านให้เรียบร้อย โดยมีพระราชาเป็นพ่อบ้านที่คอยดูแลทุกข์สุขของคนในบ้าน เมื่อบ้านมีปัญหาก็เป็นหน้าที่ของทั้งพ่อบ้านและแม่บ้านที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นเพื่อให้ทุกคนในบ้านอยู่กันอย่างสงบสุข ถ้าจะมีใครมาทำให้บ้านเราเดือดร้อน หรือพยายามจะสร้างปัญหาให้แก่บ้านหลังนี้ ขอให้ท่านจำไว้เถิดว่าเรา เจ้าหญิงแองเจลล่า ฟรานซ์ โจเซฟ แมริแอน คนนี้ จะยังคงเป็นแม่บ้านของฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ อย่างภาคภูมิใจ จะเป็นผู้ที่รักและปกป้องบ้านหลังนี้เสมอและตลอดไป"
เสียงประชาชนโห่ร้องควบคู่ไปกับเสียงตบมือทำให้ก้อนอิฐแทบไหวสะท้าน แสดงให้เห็นถึงความจงรักและภักดีอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ในตัวเจ้าหญิงและราชวงศ์ การที่เจ้าหญิงประกาศว่าตนยังเป็น'แม่บ้าน'ของฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ เสมอและตลอดไปนั้น เป็นเครื่องบ่งชัดว่าถึงแม้พระองค์จะไปถือยศเจ้าหญิงเมืองที่ยิ่งใหญ่เพียงใดแต่พระองค์ภาคภูมิใจกับตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ โดยจะไม่ทรงละทิ้งตำแหน่งนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนจะพยายามเข้ามายึดครองก็ตาม
แสงอรุโณทัยเริ่มเจิดจ้าขึ้นเป็นลำดับ กองเรือทั้งขบวนเริ่มส่งสัญญาณกันเป็นทอดๆ เสียงเป่าเขาสัตว์ดังกังวาลไปทั่วบริเวณ เรือรบหลวงสามลำที่ลำหนึ่งดัดแปลงเป็นเรือพระที่นั่งเตรียมตัวออกจากท่า เสียงโซ่สมอถูกเก็บขึ้นดังครืดคราด แต่เสียงอำลาจากใจชาวฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ ดังสะท้านเสียยิ่งกว่า เรือเริ่มเคลื่อนที่ตามแรงฝีพายออกสู่ร่องน้ำลึก พระหัตถ์แห่งเจ้าหญิงโบกลาพสกนิกรจนกระทั่งเรือหมุนตีลำ มุ่งหน้าไปตามร่องน้ำจนออกสู่ปากอ่าว ฝีพายเริ่มราแรงลง ในขณะที่ใบเรือถูกชักขึ้นสูง ลมเริ่มกินใบเรือสีขาวส่งผลให้เรือแล่นช้าๆมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตก
เรือรบหลวงหนึ่งในสองลำเป็นเรือเก่าที่ถูกเก็บมานานปี ส่วนอีกสองลำเป็นเรือที่ถูกต่อขึ้นใหม่ในสงครามเมื่อ 6 ปีก่อน เรือทั้งสองลำเป็นเรือรบรุ่นใหม่ซึ่งมีขนาดปานกลางทำให้มีความคล่องตัวสูง มีปืนใหญ่ลำละ20 กระบอก มีเสากระโดงเรือสองเสาผูกยึดใบเรือทั้งสิ้นสิบใบทั้งหน้าหลัง ทำให้เป็นเรือที่มีความเร็วสูงมากในขณะนั้น ส่วนเรือพระที่นั่งเนื่องจากเป็นเรือรบเก่าทำให้มีขนาดใหญ่และมีช่องปืนมาก หากแต่เมื่อดัดแปลงเป็นเรือพระที่นั่งทำให้ช่องปืนที่สามารถบรรจุปืนใหญ่ได้ถึง 64 กระบอก สามารถบรรจุปืนใหญ่ได้เพียง 32 กระบอกเท่านั้น โดยเคบินท้ายเรือถูกจัดเป็นห้องประทับของเจ้าหญิงและพระราชา รวมทั้งเหล่านางข้าหลวงและมหาดเล็กที่ตามมาดูแล ที่ว่าดูแลก็แค่ดูและแลจริงๆ เพราะทั้งสองพระองค์ปรับพระองค์ให้เข้ากับวิถีชีวิตในเรือได้อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะเจ้าหญิงแองเจลล่าผู้เลื่องชื่อในความเอาแต่ใจ กลับโปรดความเรียบง่ายเมื่ออยู่บนเรือ จนทำให้นางข้าหลวงหลายคนอยากให้พระองค์ประทับบนเรือตลอดไป
"พระองค์ไม่ทรงเรื่องมากแต่เก่า ขอแค่น้ำสรงมีกลิ่นหอมจะเป็นดอกไม้พันธุ์ไหนหรือกลิ่นอะไรก็ได้ แถมน้ำสรงจะเป็นแบบไหนก็ได้อีก ฉันละอยากให้พระองค์เป็นแบบนี้ตลอดเสียจริงจริ๊ง"
"ต๊าย ตาย ฉันนึกว่าจะทรงเปลี่ยนไปแค่เรื่องเสวย ไม่นึกว่าจะทรงเปลี่ยนเรื่องสรงด้วย"
"นั่นสิทรงเปลี่ยนไปมากนี่ยังไม่ถึงสามวันเลยนะ วันนั้นก็เสด็จมาประทับคนเดียวเงียบๆบนดาดฟ้าเรือทอดพระเนตรแต่ทะเล หรือเพราะทรงคิดถึง'บ้าน' " คำว่า'บ้าน'ในที่นี้ใครๆก็รู้ว่าหมายถึง ฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ มิใช่วังหลวง "แล้วเรื่องเสวยทรงเปลี่ยนไปยังไงล่ะ"
"แหมก็ทรงเสวยเรียบง่ายขึ้น ปกติต้องของชั้นดีสดใหม่ปรุงอย่างพิถีพิถัน แต่เดี๋ยวนี้เครื่องเสวยราวกับเครื่องตั้งโต๊ะเสนาบดีก็ไม่ทรงแย้มพระโอษฐ์รับสั่งว่าซักคำ พระนมต่างหากที่บ่นตลอด ทำไมถึงจัดแบบนี้ เจ้าหญิงจะเสวยได้รึ ฉันล่ะอยากเถียงไปซะเลยว่าอยู่บนเรือกลางทะเลได้เท่านี้ก็บุญแล้วค่ะพระนม"
"ก็คงจะมีแต่พระราชาเท่านั้นแหละที่จะทำให้ทรงกลับเป็นเจ้าหญิงแองเจลล่าคนเก่า"
"อะไรกันหรือจ๊ะ มีฉันคนเก่ากับคนใหม่ด้วยหรืออมิเลีย" พระสุรเสียงใสดังมาก่อนพระองค์ นางข้าหลวงทั้งคู่หันขวับ แทบจะถอนสายบัวไม่ทันเมื่อทรงก้าวมาประชิดตัวพวกตนอย่างรวดเร็ว
"พวกหม่อมฉันกำลังคุยกันว่าทรงร่าเริงขึ้นนะเพคะ" เป็นโอฟีเลียที่พูดแก้ต่างขึ้นมาแทน
"งั้นรึ คงเพราะลมและกลิ่นอายทะเลกระมัง พวกเจ้าก็รู้ เราชอบทะเลขนาดไหน"
นางข้าหลวงทั้งสองแทบจะรักษาอาการไม่ทันจนเกือบอ้าปากค้าง ก็จะไม่ให้ทำหน้าเหวอได้ไงกันล่ะ อยู่รับใช้สนองพระโอษฐ์มาเกือบสิบปี ยังไม่เคยได้ยินรับสั่งเรื่องนี้ซักครั้ง แต่รับสั่งต่อมากลับทำให้อ้าปากค้างไปตามๆกันโดยไม่รักษาอาการ
"จุ๊ๆ เรานะมีความฝันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าจะได้ออกเรือเดินทะเลซักครั้ง ไม่ใช่เดินทางธรรมดาแบบนี้นะ หมายถึงเดินเรือผจญภัยไปเรื่อยๆน่ะ"
"แต่...." นางข้าหลวงทั้งสองเอ่ยแทบจะพร้อมกัน
"รู้แล้วๆ ไม่ต้องให้พวกเจ้าบอกเราก็รู้น่ะว่าเราเป็นใคร แต่ทำไมไม่รู้ พออยู่ต่อหน้าทะเลทีไรเหมือนได้กลับมายังบ้านที่แสนคิดถึงยังไงยังงั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่รักฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์หรอกนะ แต่เรารู้สึกไม่เหมือนเดิมเวลาเราอยู่ต่อหน้าห้วงธาราที่แสนกว้างใหญ่และลึกล้ำนี้ มันเหมือนกับว่าเป็นใครซักคนที่พลัดพรากกันไปนานแล้วได้มาเจอกันอีกครั้ง เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ"
นางข้าหลวงทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่ใช่เพราะทรงคิดถึงบ้านหรอก แต่ต้องทรงโดนผีสิงแน่ๆ ผีผู้หญิงที่เฝ้าเรือลำนี้คนนั้น โฮ้ยแค่คิดก็ขนลุกแล้ว ใช่แน่ๆ ก็อยู่ๆมาทรงรับสั่งเรื่องโน้นเรื่องนี้ด้วยเสียยาว ถ้าไม่ใช่ผีเข้าแล้วจะอะไรล่ะ ตายแล้วๆ ต้องบอกพระนม
"เหลวไหล!"
เสียงพระนมตวาดลั่น"ผีเผอที่ไหนกัน ข่าวลือทั้งนั้น พวกหล่อนนี่จริงๆมาหาว่าเจ้าหญิงถูกผีเข้า ทรงมีบุญญาธิการสูงผีที่ไหนจะกล้าเข้า"
"แต่ ทรงเปลี่ยนไปจริงๆนะคะพระนม"
"คงเพราะแปลกที่ แถมไกลบ้านอย่างนี้ โถ ทูนหัวของนม พวกหล่อนว่างนักก็ไปทำงานซะมัวแต่คิดเรื่องไร้สาระ"
"แหมไม่ไร้สาระนะคะพระนม พวกทหารเรือยังบอกกันเลยค่ะ ว่าเคยเห็น" อมิเลียพยายามบอกในสิ่งที่ตนได้ฟังมา โอฟีเลียพยักหน้าเชิงเห็นด้วยอย่างมาก
"อาไร้ นี่ไปคุยกับพวกนั้นมาเรอะ เป็นนางข้าหลวงกลับไปคุยกับผู้ชายใครเห็นละงามหน้านักล่ะ" เท่านั้นแหละหูแดงไปตามๆกัน ฤทธิ์บิดหูพระนมขึ้นชื่อลือชายิ่งนัก
"ไป๊ ไป เตรียมเครื่องเย็นได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะตามไปตรวจ วันนี้เขาจับปลาได้คงจะโปรดให้ตั้งโต๊ะเสวย"
"แล้วพระนมจะไปไหนก่อนหรือคะ"
"ฉันก็จะไปถวายของนางไซเรนสักหน่อยสิ ตั้งแต่ขึ้นเรือมายังไม่ได้ไปถวายเลย" พูดจบพระนมก็ผุดลุกออกไปอย่างงดงาม ทันทีที่คาดว่าพระนมไปไกลแล้วทั้งโอฟีเลียและอมิเลียก็ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น แบบที่ไม่ใช่เฉพาะนางข้าหลวงไม่ควรทำแต่เป็นชนิดที่ผู้หญิงไม่ควรทำเลยล่ะ
"ที่แท้พระนมเองก็กลัวผีสิงเจ้าหญิงเหมือนกันแหละ ไม่งั้นจะไปขอให้นางไซเรนคุ้มครองเจ้าหญิงเรอะ"
เย็นวันที่สี่นับตั้งแต่ออกจากท่าจึงเห็นใบสีขาวของขบวนเรือจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์ เรือของเจ้าหญิงแองเจลล่ามาช้ากว่ากำหนดการเพราะลมมีบ้างไม่มีบ้างทำให้ต้องใช้กำลังฝีพายเป็นช่วงๆ ทำให้เมื่อถึงที่นัดพบก็เป็นโพล้เพล้ แถมเป็นพลบค่ำที่หมอกลงจัดเสียด้วย
พระราชากับเจ้าหญิงทรงดื่มด่ำกับสี่วันสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันบนเรือพระที่นั่งอย่างเต็มที่ เมื่อถึงจุดนัดพบแม้จะพระทัยหายแต่ก็ทรงเตรียมพระทัยไว้เต็มที่แล้วเช่นกัน เสียงเป่าเขาสัตว์ดังขึ้น สักครู่ก็มีเสียงเป่าเขาสัตว์ดังตอบมาฝีพายที่หยุดเรือไว้เมื่อครู่จึงเริ่มพายช้าๆเข้าใกล้กองเรือใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
ขบวนเรือทั้งสองต่างตระเตรียมการต่างๆวุ่นวายในขณะที่เรือพระที่นั่งกำลังพายจะเข้าประชิดกัน หากแต่แล้วเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ไว้ก็เกิดขึ้น เสียงเป่าเขาสัตว์ดังขึ้นอีกครั้งคราวนี้ถี่กระชั้นอันเป็นสัญญาณให้หยุด เรือพระที่นั่งทั้งสองห่างกันเพียง 3 ช่วงเรือ หากไม่สามารถมองเห็นอีกฝ่ายได้ เพราะหมอกลงจัดเหลือเกิน
"เกิดอะไรขึ้น" พระราชารูเพิร์ตตรัสถามพระทัยร้อนรน "ทำไมต้องหยุด"
"ทางโน้นส่งสัญญาณมาพระเจ้าค่ะ คงจะยังไม่ค่อยพร้อม อาจจะยังเตรียมการไม่ทัน" กัปตันมอลเดโดวาซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารเรือกราบทูล
ในขณะเดียวกันที่เรือพระที่นั่งแห่งเจ้าชายริเดียน....
"ทำไมทางโน้นเขาบอกให้เราหยุด" กระแสรับสั่งแห่งเจ้าชายริเดียนมีวี่แววแห่งความสงสัย
"อาจจะฉุกละหุกกันพระเจ้าค่ะ เจ้าหญิงแองเจลล่าอาจจะยังแต่งพระองค์ไม่เรียบร้อย" นายพลเคปเวิร์ดตั้งสันนิษฐาน
"อืมก็อาจจะเป็นเช่นนั้น ผู้หญิงต้องแต่งมากหน่อย" เจ้าชายริเดียนพยักพระพักตร์เห็นด้วย
ทันใดนั้นเองเงาดำเลือนลางก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาระหว่างเรือสองลำช้าๆ เสียงไม้ส่งเสียงเอี้ยดอาดรวมทั้งรูปร่างเงาทำให้รู้แน่ชัดว่าเป็นเรือหากที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่รู้
เรือฝ่ายใด?.....
ธงเรือที่ปลิวสะบัดบนยอดเสานั่นเล่า ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ในหมอกหนาเช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างคิดว่าคงเป็นเรือของอีกฝ่าย เพราะคงไม่มีศัตรูที่ไหนใจกล้าบุกฝ่าเข้ามากลางกองเรือรบหลวงถึง 7 ลำหรอก
แน่หรือ?
ท่ามกลางความเงียบสนิทที่ต่างฝ่ายต่างรอคอยอีกฝ่ายส่งสัญญาณมา ทำให้ท้องทะเลสงบวังเวงอย่างประหลาด อากาศยามค่ำหนาวเย็นไปถึงไขสันหลัง เจ้าหญิงแองเจลล่าเสด็จเข้าใกล้ 'เด็จพ่อ' อีกนิด ใช่แต่เจ้าหญิงนางข้าหลวงต่างเริ่มขยับตัวเข้าหากันเองทีละนิดเผื่อจะช่วยลดอาการขนลุกขนพองได้บ้าง
เสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้ยังคงดังเอื่อยๆ ก่อนจะมีเสียงเป่าเขาสัตว์อีกครั้ง คราวนี้แม้แต่ผู้ชำนาญทางทะเลยังมิสามารถบอกได้ว่าแปลว่าอะไร แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทันถามไถ่กันเรือพระที่นั่งแห่งฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ ก็สะเทือนไหวไปทั้งลำจากการปะทะของเรือไร้สัญชาติลำนั้น ก่อนที่เสียงโห่ร้องจะดังขึ้นตามมาด้วยคนจำนวนมากบุกขึ้นเรือพร้อมๆกับเสียงปืนนัดแรก
เปรี้ยงงง งง ง
ก่อนที่จะตามมาอีกหลายนัด การบุกโจมตีโดยไม่ทันคาดคิดทำให้ฝ่ายฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ ตั้งตัวไม่ทัน ผู้หญิงอันได้แก่นางข้าหลวงที่ตามเสด็จร้องวี้ดว้ายวิ่งหลบกันพัลวัน โอฟีเลียและอมิเลียพากันวิ่งไปหลบหลังถังน้ำก่อนที่อมิเลียจะนึกขึ้นได้
"เจ้าหญิง!!!!!!"
ทั้งคู่วิ่งฝ่าผู้คนที่ประดาบกันอยู่ เสียงปืนยังคงดังต่อเนื่อง และท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้นสิ่งหนึ่งที่แวบมาเข้าสายตาคือชายหนุ่มร่างสูงผมยาวที่กระโดดขึ้นไปยืนบริเวณกราบเรือ ขณะที่รับมือกับทหารถึง 4 คน ดูจากฝีมือดาบ ท่าทาง การแต่งตัว ล้วนบ่งบอกแน่ชัด
......โจรสลัด!!!!......
โจรสลัดที่อหังการบุกปล้นเรือพระที่นั่งท่ามกลางกองเรือรบ กัปตันมอลเดโดวารู้แทบทันทีที่เห็นชายหนุ่มผมยาว สวมเสื้อแขนกุดสีดำ ท่าทางขี้เล่นคนนั้น แม้อายุจะยังน้อยรวมทั้งท่าทางดูมีการศึกษาโดยเฉพาะใบหน้าที่หล่อเหลา ทำให้สลัดผู้นี้โด่งดังเมื่อสามารถหลบหนีกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพได้ทุกครั้งหลังการปล้นที่อุกฉกาจ มันมีเรือที่แล่นเร็วที่สุด มีลูกเรือที่ชำนาญที่สุด ทำให้เรือลำนั้นเหมือนปีศาจร้ายที่สามารถปรากฏตัวและหายตัวได้อย่างว่องไว เมื่อใดที่มันล่าจะไม่เคยพลาด เหยี่อใดก็ตามที่มันเล็งจะต้องสูญสิ้นทุกราย
สลัดแห่งเรือแฟนธ่อม
แล้วคราวนี้เล่ามันหวังสิ่งใด หรือมันหวังแค่สมบัติ ถ้าแค่นั้นจริงๆก็ดี
ฝ่ายเกรแฮมเบลล์ได้ยินเสียงทั้งหมดและรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบพายเรือเข้ามาจะเทียบเรือโจรสลัดเพื่อช่วยขนาบทางซ้าย หากมิสามารถทำได้ดังใจหวังเมื่อข้างเรือแฟนธ่อมเต็มไปด้วยใบมีดโค้งงอแหลมคม ซึ่งสามารถเจาะตัดเรือทุกลำที่เข้ามาใกล้อย่างไม่ยาก
"อ้อมเรือไปด้านโน้น เทียบข้างเรือพระที่นั่งเจ้าหญิง"
เรือพระที่นั่งทั้งสองลำกำลังโดดเดี่ยวเมื่อเรือรบหลวงทิ้งระยะออกมาเพื่อรักษาพระเกียรติ ฉะนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้น แม้จะพายเต็มฝีพายเพียงใดก็ต้องใช้เวลาก่อนจะเข้าถึง และก่อนที่เรือพระที่นั่งแห่งเจ้าชายริเดียนจะเทียบข้างเรือพระที่นั่งแห่งพระราชารูเพิร์ตและเจ้าหญิงแองเจลล่าได้สำเร็จ คำพูดที่ไม่อยากมีใครได้ยินก็ดังขึ้น
"หยุดให้หมด เราจับเจ้าหญิงของพวกเจ้าไว้เป็นตัวประกันแล้ว"
พระราชารูเพิร์ตและเหล่าทหารเรือที่ต่อสู้อย่างถวายหัวหยุดทันที เหล่าโจรสลัดก็หยุดด้วยเช่นกัน เมื่อเรือพระที่นั่งอีกลำเทียบเจ้าชายริเดียนที่ทรงกระโดดข้ามมาเป็นพระองค์แรกจึงจำเป็นต้องหยุดตามไปด้วย ภาพที่ปรากฏในสายพระเนตรคือสตรีผู้เป็นที่รักถูกจับตัวยืนบนกราบเรือบริเวณดาดฟ้ามีปลายมีดโค้งจ่อที่พระกัณฐ์ พระหัตถ์ขวาของเจ้าหญิงทรงกระบี่หากถูกจับไว้อย่างแน่นหนาด้วยมืออีกข้างของสลัดหนุ่ม- -มอร์เซียส เจ้าแห่งสลัด!
ไม่มีใครขยับตัวยกเว้นกลุ่มโจรสลัดที่รื้อทำลายดาดฟ้าเรือเป็นการใหญ่ เพียงชั่วครู่ที่ทุกอย่างนิ่งเงียบก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
"เจอแล้ว" สลัดคนหนึ่งเดินจากดาดฟ้าเรือไปหามอร์เซียสพร้อมกล่องใบเล็กในมือ
"ขอบใจอีออน หมดธุระเราที่นี่แล้ว ลงเรือ" มอร์เซียสสั่งการลูกน้องก่อนหันมาทางพระราชารูเพิร์ต "กระหม่อมขอประทานอภัยที่ทำให้เรือพระองค์เสียหายเล็กน้อย และสร้างความตกตะลึงให้เจ้าหญิงโฉมงามรวมทั้งพระองค์ อ๋อๆเกือบลืม เจ้าชายริเดียนว่าที่พระสวามีด้วย กระหม่อมได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นเพื่อไม่ให้ทรงเสียเวลา ทูลลา"
มอร์เซียสก้มหัวเล็กน้อยก่อนใช้มือที่จับพระหัตถ์ขวาของเจ้าหญิงปัดกระบี่เล่มบางออก และก่อนที่ใครจะทันคิดอะไรมันก็กระโดดลงเรือของมันพร้อมเจ้าหญิงแองเจลล่าที่อยู่ในอ้อมกอด ทหารต่างรีบวิ่งไปยังกราบเรือ แต่สายไปเสียแล้ว เรือแฟนธ่อมกำลังแล่นห่างออกไป มีแต่เซเรสที่ไวกว่าเพื่อนกระโดดตามลงไปเกาะกราบเรือแฟนธ่อมได้ทัน
พระราชารูเพิร์ตฝืนยืนพระองค์นิ่งพระหทัยแทบแหลกสลาย เจ้าชายริเดียนต้องช่วยเตือนพระสติ
"เรารีบตามไปเถิดพระเจ้าอา ยังมีโอกาสตามทัน มันต้องใช้น้องหญิงเป็นตัวประกันคงไม่ทำอันตรายน้องหญิง"
เรือรบหลวงที่เพิ่งเข้ามาประชิดได้รับคำสั่งการเหมือนกันทั้งสองฝ่าย
"กางใบเต็มที่ ฝีพายประจำที่พร้อม พายให้สุดความสามารถ"
ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ลมเริ่มพัดแรงขึ้นหลังจากที่สงบนิ่งเมื่อครู่ ฟ้าเริ่มกระจ่างหมอกหาย หากแต่ลมยิ่งแรงเท่าใด เรือแฟนธ่อมที่นำไปก่อนก็ยิ่งเร็วเท่านั้น เรือรบหลวงทุกลำไล่ตามสุดความสามารถ ฝีพายต่างพายกันสุดกำลังของตน
ความคิดเดียวขณะนี้คือ 'ต้องตามให้ทันให้ได้'
เหล่าสลัดต่างโห่ร้องฉลองแด่ชัยชนะที่พึ่งได้รับ แม้เสียงสัญญาณจากเรือรบหลวงจะยังดังไล่หลัง หากไม่มีสลัดคนใดสนใจเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างหยิ่ง ผยอง ในนายของตน
...ไม่มีใครกังวล...
...ไม่มีใครใส่ใจ...
...เพราะ...
ไม่มีทางตามทันอย่างแน่นอน!
"เปิดเบียร์ทุกถัง ฉลองแด่สายรุ้งของพวกเรา" เสียงขี้เล่นดังขึ้น เหล่าลูกเรือโห่ร้องรับด้วยความสะใจ
ท่ามกลางงานเลี้ยงที่กำลังเริ่มต้น ร่างหนึ่งเคลื่อนไหวช้าๆอยู่ในเงามืดของถังน้ำ ย่องช้าๆกลมกลืนไปกับส่วนต่างๆของเรือก่อนเล็ดลอดเข้าไปยังเคบินท้ายเรือ
แสงสว่างวับแวมจากตะเกียงที่ส่ายไปมาตามแรงคลื่น เผยให้เห็นร่างอิสตรีที่ถูกพันธนาการไว้กับเสาใหญ่กลางห้อง
"เจ้าหญิง! ทรงปลอดภัยไหมพระเจ้าค่ะ พวกมันทำอะไรพระองค์บ้างพระเจ้าค่ะ กระหม่อมมาช้าทรงลงอาญากระหม่อมด้วย" พูดพลางพยายามปลดเปลื้องพันธนาการที่ผูกมัดทั้งวรร่างบางทั้งหัวใจตนออก
"จุ๊ๆๆ ซื่อสัตย์ซะเหลือเกิน"
ร่างของราชองครักษ์กระตุกหันกลับว่องไวตามสัญชาตญาณ และพบว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับมอร์เซียสสลัดหนุ่มผู้มีฝีมือเป็นเลิศที่ยืนพิงประตูด้วยท่าทางสบายๆ 'เงียบเกินไป เงียบจนน่ากลัว เงียบจนเขาจับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่นิด'
"เป็นไงมาไงล่ะท่านราชองครักษ์ มาเยี่ยมเยียนข้าถึงเรือเชียวรึ" พูดไปก็ยิ้มหน้าระรื่นไป หากแต่สายตากลับจับจ้องอยู่ที่ดาบในมือขององครักษ์หนุ่ม 'มาได้ถึงนี่ แถมใจเย็นซะขนาดนั้น ใช่ย่อยเหมือนกันนี่ น่าชื่นชม...น่าชื่นชม' ชั่วเสี้ยวความคิดนั้นเองคมดาบก็ถูกตวัดผ่านใบหน้า หากไม่ใช่เขาล่ะก็คงจะไม่ใช่แค่รอบเฉี่ยวบนใบหน้าเป็นแน่
รอยยิ้มกวนโมโหยังคงปรากฏบนใบหน้าสลัดหนุ่ม 'มันไม่แม้แต่จะหยิบอาวุธ นี่คงดูถูกฝีมือเขาสินะ' ราชองครักษ์กุมดาบในมือแน่นยิ่งขึ้น 'เขาจะให้มันรับรู้ฝีมือ และจะได้เป็นบทเรียนว่ายุ่งของสูงแล้วจะเป็นเช่นไร'
"อ๊ะๆ อย่าทำตามที่ท่านคิดจะดีกว่า อย่าลืมสิว่าตอนนี้ท่านอยู่บนเรือข้า เหล่าโจรสลัดนับร้อยกำลังรอท่านอยู่บนนั้น ถ้าข้าตายไป ใครจะช่วยพวกเจ้าให้รอดเล่า แต่เอาเถอะบาดแผลคือเกียรติยศของโจรสลัด" พูดพลางค่อยๆชักดาบขึ้น " มา! ท่านราชองค์รักษ์ ข้าหวังว่าการประดาบกับท่านคงจะช่วยแก้เซ็งได้บ้างนะ ท่านคงทราบว่าข้าชื่ออะไรอยู่แล้วคงไม่ต้องบอก ท่านช่วยบอกนามท่านมาหน่อยซิ"
"ข้าชื่อเซเรส"
ปลายดาบทั้งสองหันเข้าหากันในลักษณะเตรียมพร้อม รอคอยจังหวะ โอกาส ช่องว่าง ที่จะเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ ต่างฝ่ายต่างจ้องมองซึ่งกันและกัน ความกดดันที่มีอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหญิงแองเจลล่ามองภาพเบื้องหน้าอย่างใจหาย รู้สึกหวั่นใจขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ ชั่ววูบนั้นเองที่ดาบทั้งสองปะทะเข้าด้วยกันอย่างแรงก่อนผละออกจากกันทันควัน และปะทะกันต่อเนื่องอย่างรวดเร็วจนดูแทบไม่ทันถึง 3 ครั้ง เพียงชั่วพริบตาดาบทั้งคู่ก็ปลิวหลุดจากมือ
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า สนุกจริงๆ หยิบดาบขึ้นมาท่านเซเรส การต่อสู้ของเรายังไม่จบ ข้าไม่ได้เจอใครไวขนาดนี้มานานแล้ว" เสียงหัวเราะและหน้าตาของมอร์เซียสล้วนชี้ชัดว่าเขาเป็นผู้รักการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ
ปลายดาบทั้งสองหันเข้าหากันอีกครั้งต่างฝ่ายต่างเดินไปรอบๆ เว้นระยะห่างเท่ากัน คราวนี้เซเรสเป็นฝ่ายบุกเข้าทางขวาก่อน มอร์เซียสยกดาบขึ้นกัน ทันทีที่ดาบปะทะกัน ดาบขององครักษ์หนุ่มก็พลันเบี่ยงไปทางซ้ายทันที แต่เจ้าแห่งโจรสลัดก็ว่องไวพอที่จะเบี่ยงหลบ ก่อนใช้ดาบฟันลงที่แขนซ้ายขององครักษ์หนุ่มผู้หักข้อมือกลับมารับไว้ได้ทันอย่างฉิวเฉียด
สองฝ่ายต่างใช้แรงผลักดันกัน องครักษ์หนุ่มทำท่าจะเสียหลักก่อนใช้แรงเกือบทั้งหมดดันออกไป ชั่วขณะนั้นเองได้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่อันพอที่จะทำให้ชีวิตของเซเรสดับสูญ ดาบของสลัดหนุ่มฟันเข้ามาทางสีข้างด้านขวา แต่เสมือนโชคช่วยเมื่อเรือใหญ่โคลงอย่างแรงพร้อมเสียงปืนใหญ่ที่ดังสนั่น การต่อสู้หยุดชะงักลงทันที มอร์เซียสวิ่งขึ้นไปเบื้องบนอย่างเร่งรีบ เซเรสรีบฉวยโอกาสนี้ปลดเปลื้องพันธนาการแห่งเจ้าหญิง
"ฝ่าบาท ทรงรออยู่ที่นี่ก่อนนะพระเจ้าค่ะ กระหม่อมจะขึ้นไปสังเกตการณ์เบื้องบน ดูท่าฝ่ายเราคงจะตามมาทันแล้ว" พูดจบ เสียงปืนใหญ่ก็ดังขึ้นอีกนัดพร้อมเรือที่โคลงเคลงอย่างแรง
"ไม่! เราจะขึ้นไปกับเจ้า จะให้เราอยู่รอที่นี่โดยไม่สู้เลยไม่ได้หรอก" พระสุรเสียงใสฟังดูเด็ดขาดยิ่งนัก จนแทบจะกลบเสียงแสดงความวุ่นวายที่ดังมาจากเบื้องบนไปหมดสิ้น
"แต่..." พูดได้เพียงเท่านั้นร่างขององครักษ์หนุ่มก็เซ ก่อนทรุดลงกับพื้น
"อะไรกัน! เซเรส! เจ้าเป็นอะไร" ทันทีที่ฝ่าพระหัตถ์สัมผัสกับสีข้างขององครักษ์หนุ่มก็พลันต้องชักกลับทันที เมื่อสัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่น "เลือด! เซเรสเจ้าโดนฟันนี่ แย่แล้วต้องรีบห้ามเลือด"
ชายซับในฉลองพระองค์สีขาวถูกฉีกออกเป็นชิ้นยาวเพื่อพันแผลห้ามเลือด แม้จะเคยทรงเห็นเวลาตรวจเยี่ยมค่ายทหารหากพระองค์มิเคยทำด้วยพระองค์เอง ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปพักใหญ่ องครักษ์หนุ่มยังคงสลบไสล แผลยาวพาดผ่านสีข้างถูกพันด้วยเศษผ้าดูแล้วเละเทะไม่เป็นระเบียบยิ่งนัก หากแต่เลือดที่ไหลราวกับน้ำเมื่อครู่ก็ได้หยุดเรียบร้อยแล้ว
เสียงวุ่นวายสงบไปนานแล้วพร้อมเรือที่แล่นฉิวอย่างสงบไปบนผิวน้ำ เจ้าหญิงแองเจลล่าทรงถอนพระทัยเฮือกใหญ่ ก่อนสดับฟังสิ่งต่างๆรอบพระองค์เพื่อประเมินสถานการณ์ พวกสลัดคงหนีพ้นเรือรบหลวงมาแล้วและพระองค์ก็ยังคงทรงเป็นเชลยต่อไป จะหนีก็ไม่ได้เพราะมีปราการธรรมชาติขัดขวางไว้อยู่ - - มหาสมุทรอันแสนยิ่งใหญ่
เสียงรองเท้าบูทกระแทกแผ่นไม้ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเจ้าตัวตั้งใจจะให้ได้ยินชัดเจน ร่างขององครักษ์หนุ่มที่ยังคงสงบนิ่งอยู่กับพื้นเบื้องหน้าที่ประทับ ทำให้ต้องทรงคว้าดาบมากำไว้เสียแน่น เสียงรองเท้าบูทเงียบไปชั่วครู่ก็ปรากฏใบหน้าของหนุ่มน้อยผู้ดูแสนจะไร้เดียงสาขึ้นที่ขอบประตู
"เจ้าหญิงแองเจลล่าใช่ไหมพระเจ้าค่ะ กระหม่อมชื่อเทลม่า เท็ด มีหน้าที่คอยดูแลพระองค์ตามคำสั่งกัปตันพระเจ้าค่ะ" รอยยิ้มจริงใจปรากฏขึ้นบนดวงหน้าใสซื่อ ที่แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกโจรสลัด "กระหม่อมจะนำทางพระองค์ไปยังที่ประทับพระเจ้าค่ะ เชิญเสด็จตามกระหม่อมมาเลยพระเจ้าค่ะ" สิ้นคำพูดก็มีชายร่างยักษ์สองคนโผล่เข้ามาทำท่าจะอุ้มร่างไร้สติขององค์รักษ์หนุ่ม
"เดี๋ยว! จะทำอะไรน่ะ" พระสุรเสียงแสดงความตกใจยิ่งนัก
เทลมา เท็ด รีบกราบทูลทันที "พวกเขาจะพาไปรักษาพระเจ้าค่ะ ไม่ต้องทรงเป็นห่วงพระเจ้าค่ะ เชิญเสด็จ"
ร่างของเซเรสถูกหามขึ้นไปเบื้องบน ในขณะที่หนุ่มน้อยเดินนำทางอย่างว่องไวเข้าสู่ความมืดของห้องเบื้องล่าง ทันทีที่ถึงห้องที่ถูกจัดไว้เป็นที่ประทับก็ต้องทรงผงะ เมื่อเห็นว่าสภาพในนั้นเป็นเพียงแค่ห้องเก็บของที่กวาดถูและปูผ้าผืนใหญ่ไว้เป็นพระที่เท่านั้นเอง
"อะไรน่ะ! แบบนี้จะนอนได้ยังไงกัน!" เจ้าหญิงแองเจลล่าทรงกริ้วใหญ่
ผ่านไปพักนึงเทลมา เท็ดก็มีทีท่าเข้าใจ "อ๋อ กระหม่อมลืมไป ต้องทรงมีพระเขนยสินะพระเจ้าค่ะ" แล้วก็วิ่งหายไปครู่ใหญ่ก่อนกลับมาพร้อมหมอนใบโต
เจ้าหญิงแองเจลล่าประทับพระองค์ค้างกว่าจะรู้สึกพระองค์ก็เมื่อเทลมา เท็ด ถวายคำนับลาออกไป
ความคิดหนึ่งวาบในพระทัย...
'สกปรกสิ้นดี แบบนี้จะให้นั่งยังนั่งไม่ลงเลย '
******************************************************************************************
ความคิดเห็น