ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่2 -- เพราะสถานการณ์บีบบังคับ
“ว่าไงนะ! ตำหนักแฮร์ริ่งโบลล์ถูกลอบโจมตีกลางดึกงั้นรึ ฝีมือใคร!”
พระสุรเสียงตวาดลั่นท้องพระโรง ผู้รายงานยืนสงบนิ่งถวายคำรายงานต่อไปด้วยเสียงเรียบ นุ่ม
“ไม่ทราบเกล้าพระเจ้าค่ะ เพราะฝ่ายนั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวล้วนมีผ้าสีดำคลุมหน้าทุกคน พวกมันระมัดระวังกันมาก การสั่งการใช้เป็นสัญญาณมือแทนคำพูด จึงไม่สามารถจับสำเนียงได้ ทางฝ่ายเราจับพวกมันได้คนหนึ่ง แต่มันชิงฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วพระเจ้าค่ะ”
“พบหลักฐานอะไรในตัวบ้าง”
“มีแค่ดาบหนึ่งเล่มและพลุไฟเท่านั้นพระเจ้าค่ะ นอกนั้นไม่พบอะไรที่สามารถบอกแหล่งที่มาได้เลยพระเจ้าค่ะ”
ปังงงงงง!!!!!!!
พระหัตถ์ใหญ่ตบโต๊ะดังสนั่น แต่ฝ่ายรายงานยังคงสงบนิ่ง พระสุรเสียงที่เอ่ยต่อจึงเริ่มสงบลง
“สรุปเหตุการณ์มาซิ”
“พวกมันตาย1 ส่วนฝ่ายเราตาย6 คนได้รับบาดเจ็บ12 คนพระเจ้าค่ะ...ส่วนใหญ่เป็นทหาร เจ้าหญิงแองเจลล่าทรงปลอดภัยดีและยังไม่ทรงทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเนื่องจากเพิ่งฟื้นเมื่อตอนย่ำรุ่งพระเจ้าค่ะ ที่แปลกคือยังไม่ทันที่พวกมันจะบุกลึกเข้าไปในตำหนักชั้นใน พวกมันก็ถอยร่นออกไปทันทีที่หิมะแรกตกพระเจ้าค่ะ”
...ยูการ์?...
ทรงเบือนพระพักตร์หันไปสั่งมหาดเล็กข้างที่ “ไปตามเสนาบดีกลาโหมมา”
“ไม่ต้องพระเจ้าค่ะ กระหม่อมทราบเรื่องแล้วถึงได้รีบรุดเข้ามาเฝ้า”
เสียงนุ่มบ่งบอกถึงวัยดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวสาวเท้าเข้ามาอย่างเร่งรีบ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะถวายคำนับ
“รู้แล้วรึ?”
“พระเจ้าค่ะ”
“การข่าวของมาร์กไวไม่ใช่เล่น เห็นทีนายคนนี้คงจะไม่ต้องอยู่รายงานซ้ำสอง”
ผู้ได้รับคำชมแย้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนหันไปพยักหน้าให้ผู้รายงานทีหนึ่ง อันทำให้ฝ่ายนั้นต้องถวายบังคมลาออกไปพร้อมๆกับบรรดานางกำนัลและมหาดเล็ก ที่ต่างรู้หน้าที่ตนเองว่าไม่ควรก้าวก่ายสิ่งใด
“ยูการ์งั้นหรือพระเจ้าค่ะ”
“น่าจะใช่...ถอนตัวพร้อมๆกับหิมะแรก ตามธรรมเนียมโบราณของยูการ์ คือไม่รบพร้อมหิมะ เพราะพวกนั้นมีความเชื่อว่า หิมะเป็นตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ จึงไม่อยากให้มีการหลั่งเลือดยามหิมะตก ยกเว้นแต่มีใครไปรบกับเขาในตอนนั้น แต่ก็คงถึงคราวจบสิ้นไปทุกๆรายเพราะเวลานั้นใครๆก็รู้เป็นเวลาที่ชาวยูการ์ถนัดมากที่สุดที่จะรบ แต่ถ้าเช่นนั้น...ยูการ์ร่วมมือกับกบฏ?”
“กระหม่อมได้ข่าวที่ยืนยันได้แน่นอนแล้วว่าเครเนเยฟร่วมมือกับกบฏพระเจ้าค่ะ ถ้ายูการ์ปองร้ายเจ้าหญิง แสดงว่ายูการ์ร่วมมือกับเครเนเยฟ!”
พระพักตร์ขาวฉายรอยกังวล อ่อนล้าพระทัย อันมีแต่สหายสนิทเท่านั้นที่เคยเห็น เนื่องจากความไว้วางพระทัยในสหายคู่ใจที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ‘จะขอเป็นข้ารองบาทชั่วชีวิต หากแม้นมีสิ่งใดมากล้ำกลายความปลอดภัยของพระองค์ ต่อให้ใช้แม้ชีวิตเพื่อยับยั้ง...กระหม่อมก็ยินดีที่จะทำ’
“มาร์กช่วยเรียกประชุมคณะเสนาบดีที แล้วก็สั่งการลงไปด้วยว่าอย่าให้เจ้าหญิงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”
“พระเจ้าค่ะ”
“เสวยมากๆสิเพคะ พระอาการจะได้ดีขึ้นไวๆ ดูซิ เสวยนี้ดดด...เดียวเอง”
“นม...กินมากๆเดี่ยวหญิงก็เป็นหมูพอดีน่ะสิ ถ้าหญิงเป็นหมู นมจะยอมเป็นแม่หมูให้ไหม” ตรัสขณะมองสำรวจตรวจตราพระนม “หุ่นก็ให้ด้วยนี่”
“ต๊าย! นมไม่อ้วนถึงขนาดนั้นนะเพคะ”
“จ๊ะๆ ไม่อ้วนจ้า ไม่อ้วน” หลังจากนั้นก็ทรงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้น “เด็จพ่อทรงทำอะไรอยู่นะ นมไม่ได้ให้คนไปบอกรึไงว่าหญิงรู้สึกตัวแล้ว”
พระสุรเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ ทำให้ผู้เฝ้าพระอาการอยู่ตลอดอดเป็นห่วงไม่ได้
“เมื่อครู่นี้นมให้นางข้าหลวงไปทูลแล้ว เดี่ยวคงเสด็จมา อย่าทรงตรัสต่อมากเลยเพคะเดี่ยวจะเหนื่อยเอา บรรทมรอก่อนนะเพคะทูนหัวของนม”
“ไม่นง ไม่นอนมันแล้ว เมื่อวานก็สลบไปตั้งแต่บ่าย แถมเมื่อคืนก็นอนทั้งคืน นมอยากให้หญิงเป็นโรคน.จ.ต. หรือไง”
“โรคอะไรกันเพคะ น.จ.ต. นมไม่เห็นเคยได้ยิน เอ๊ะ! หรือเป็นโรคใหม่ที่เพิ่งค้นพบเพคะ” พระนมทำท่าครุ่นคิด ซึ่งเป็นท่าที่หาชมได้ยากยิ่งนัก
“โรคน.จ.ต. เก๊าะ นอนจนตายไงจ๊ะนมจ๋า โรคนี้ฉันคิดค้นขึ้นมาเลยนะเนี่ย แค่นี้ก็ไม่รู้”
“แหม ดูรับสั่งเข้า ใช่ซี่...นมมันก็เป็นนางข้าหลวงแก่ๆ จะไปทันอะไร้เพคะ”
เสียงแม่หมูงอนทำให้ทรงสรวลขึ้นเบาๆก่อนหยุดลงเมื่อบานทวารถูกเคาะ
“เข้ามาได้”
นางข้าหลวงยอบตัวลงถอนสายบัวครั้งหนึ่งก่อนถวายรายงาน
“พระราชาประชุมคณะเสนาบดีอยู่เพคะ”
“เอ๊ะ! ประชุมอะไรกันเร่งด่วนเสียแต่เช้า หรือจะมีเรื่อง?”
“ไม่ทราบเกล้าเพคะ”
พระพักตร์ใสพยักให้ออกไป ก่อนเบือนมาหาพระนม ผู้ตระเตรียมคำตอบของคำถามนั้นไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว
“คงเป็นเรื่องโดนลอบทำร้ายในเมืองกระมังเพคะ อาจมีการเปลี่ยนแปลงด้านองครักษ์เพคะ”
“เซเรสทำงานดี แต่เราสิไม่ระวังตัวเองต่างหาก”
“ทรงรู้พระองค์ก็ดีแล้วเพคะ ดังนั้นก็ควรระวังองค์เสียแต่ตอนนี้ เสวยมากๆแล้วบรรทมเพคะ” พระนมได้ทีรีบพูดโดยอาศัยความรู้สึกผิดของผู้
เป็นนายเป็นเครื่องมือ เจ้าหญิงพยักพระพักตร์เล็กน้อย
“ถ้างั้นนมทูลลาเพคะ”
ทันทีที่พระนมปิดประตูลง เสียงกระซิบเรียกเบาจากนางข้าหลวงคนเมื่อครู่ก็ดังขึ้น
“เดี่ยวก่อนๆ มาทางนี้” เสียงที่พูดตอบก็เป็นเสียงกระซิบไม่ต่างกัน
ร่างกลมเดินนำร่างบางไปยังเฉลียงกว้าง อันประดับประดาด้วยไม้ดอกนานาชนิด แต่ที่มีมากที่สุดและหอมคลุ้งที่สุดหนีไม่พ้นดอกกุหลาบสีสันสดใส ซึ่งดอกใหญ่และงามจนบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของผู้เป็นเจ้าของ ร่างกลมมองซ้ายมองขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นร่างกลมจึงเอ่ยขึ้น
“ว่าไง?”
“เขาลือกันว่าเรียกประชุมด่วนเรื่องกบฏและการรุกรานจากประเทศอื่นค่ะ”
“ต๊าย! อะไรกัน สงครามงั้นรึ”
“ประมาณนั้นแหละค่ะ”
“ประเทศอะไร?”
พระนมน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่ฝ่ายตอบยิ่งลดเสียงลงยิ่งขึ้นขณะเอนหน้าเข้ามาใกล้
“เขาว่ากันว่ายูการ์ร่วมมือกับเครเนเยฟค่ะ”
“ยูการ์เนี่ยน่ะ ไม่มีทางหรอก พระราชินีทรงเป็นคนยูการ์ เจ้าหญิงก็มีสายเลือดยูการ์ ทางโน้นเขาไม่เห็นแก่เลือดของประเทศเขาเลยรึ”
“แต่เขาบอกว่าแน่นะคะพระนม”
“เขาของหล่อนเนี่ยใครกันย่ะ”
“มหาดเล็กหลวงที่คุมบานประตูค่ะ เขาเป็นแฟนหม่อมฉันเอง”
น้ำเสียงคนพูดบ่งบอกถึงความภูมิใจ พระนมส่ายหัวเบาๆ
ความลับ...มักจะไม่เป็นความลับเสมอ ขนาดนางข้าหลวงยังรู้ถึงเพียงนี้ แล้วฝ่ายตรงข้ามเล่า จักรู้ถึงเพียงใด
“เด็จพ่อ! เมื่อวานทำไมไม่มาพบหญิงล่ะคะ”
“เมื่อวานพ่อมีงานด่วน ต้องเรียกประชุม” สีพระพักตร์แสดงให้เห็นชัดว่ามิได้บรรทมตลอดทั้งคืน พระโอษฐ์แย้มบางๆอย่างอ่อนโยนรักใคร่
“เรื่องอะไรหรือคะ เห็นนมว่าเรื่ององครักษ์”
พระสุรเสียงของพระธิดาระรื่น พระพักตร์แต้มไปด้วยรอยสลวล ภาพที่พระราชาทอดพระเนตรเห็นทำให้เจ็บปวดลึกในพระทัย
“ลูกหญิง ”
“คะ”
พระขนงพระธิดาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เนื่องจากพระบิดาทรงเงียบไปนาน
“ถ้า...ลูกต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อประเทศ ลูกพร้อมที่จะทำไหม”
“ถามทำไมคะ” รับสั่งขณะทอดพระเนตรนกน้อยนอกพระบัญชร
“พ่ออยากรู้”
เจ้าหญิงแองเจลล่าหันพระพักตร์กลับมา พระเนตรสีเขียวเข้มฉายประกาย
“หญิงพร้อมจะทำค่ะ ไม่ว่าจะหนักหนาเพียงใด เพื่อ ฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ หญิงพร้อมเสมอค่ะ”
พระพักตร์พระราชาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“ลูกหญิงจำเจ้าชายริเดียนได้ไหม”
“จำได้ค่ะ เสด็จพี่ริเดียนที่เคยพบกันตอนไปเยือนเกรแฮมเบลล์”
“ลูกคิดว่าเขาเป็นไงบ้าง”
พระพักตร์ใสชมพูระเรื่อ ดวงเนตรสีเขียวหลุบลงต่ำด้วยความเขินอาย
“ก็...ก็ เป็นคนนิสัยดี เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยน...”
“ปากหวาน เอาใจเก่งด้วยใช่ไหมล่ะ หืม”
พระราชาชิงแทรกพระดำรัสเสียก่อน ทำให้พระพักตร์ที่เริ่มแดงยิ่งแดงเข้าไปใหญ่
“แหม เด็จพ่อ ทราบได้ไงเพคะ”
“อ่ะๆ พ่อบอกแล้วว่าเวลาอยู่ด้วยกันสองคน ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์” ทรงเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นตอนแรก
“ถ้าพ่อให้‘เษก’ กับเจ้าชายริเดียนหญิงจะ‘เษก’ไหม”
“เจ้าชายยังมิได้‘ขอ’หญิงเลยนะคะ” พระพักตร์แดงจัด เถียงระงับความเขินอาย
“แล้วถ้าเขาขอล่ะ หญิงจะยอมไหม”
“แหม ก็............ก็..........เอ่อ..........”
“เอ้าๆ ตอบมาเร็วๆ”
พระเนตรแลสบขึ้นก่อนหลุบลงต่ำอีกครั้ง พระสุรเสียงที่เปล่งออกมาเบาราวกับกระซิบ
“ก็คงยอมเพคะ” 
“เห็นหญิงชอบเขาพ่อก็โล่งใจ เพราะถึงยังไงต่อให้หญิงไม่ชอบ หญิงก็ต้อง‘เษก’ เพราะเราเป็นประเทศเล็กๆ หญิงก็คงพอจะรู้สถานการณ์ตอนนี้ เราไม่มีทางเลือกนอกจากหาความช่วยเหลือจากประเทศที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงอย่างจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์”
“งั้นหมายความว่า ไม่ใช่พระราชประสงค์ของเจ้าชายน่ะสิคะ แต่มันเป็นเพราะเกมการเมืองต่างหาก ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แสดงว่าเจ้าชายริเดียนไม่โปรดหญิง” พระธิดาทรงตัดพ้อ
“เกมการเมืองก็มีส่วน แต่ถ้าไม่มีการ‘ขอ’มา ทางเราก็คงไม่กล้าเสนอไป เพราะเกรแฮมเบลล์เป็นจักรวรรดิ จะทำอะไรก็ต้องเข้าลงมติจากสภาให้คะแนนเสียงเป็นมติเอกฉันท์เสียก่อน ถ้าเขา‘ขอ’ ก็แสดงว่ามติผ่านแล้ว และในเมื่อคะแนนส่วนใหญ่ในสภาเป็นของเจ้าชายริเดียน ทำไมถึงผ่านถ้าเจ้าชายไม่โปรด”
พระราชาช้อนพระทนุพระธิดาขึ้นมาสบพระเนตร
“แองเจลล่า...พ่อไม่อยากให้เจ้าไปเลย ตอนนี้เจ้าเปรียบเสมือนเพื่อนคนเดียวของพ่อ ตั้งแต่เสด็จแม่ของลูกสิ้นใจ แต่เพื่อประเทศของเรานะลูก และลูกเองก็...รักเขา พ่อเข้าใจว่าพ่อไม่สามารถเหนี่ยวรั้งให้ลูกอยู่กับพ่อคนเดียวได้ตลอด เราจะส่งลูกไปอาทิตย์หน้า...โดยทางเรือ เพราะเป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะเดินทางเฉียดชายแดนเครเนเยฟ ระหว่างนี้เตรียมตัวให้เรียบร้อย ลูกเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่งแล้ว สภาพอากาศที่นั่นไม่ต่างกับที่นี่เท่าไรนัก ถ้ามีอะไรอยากได้ติดตัวไปด้วย...บอกพ่อ...พ่อจะพยายามหาให้ลูกทุกอย่าง”
น้ำพระเนตรของเจ้าหญิงแองเจลล่าเอ่อล้นออกมาด้วยความโศกจากห้วงพระหฤทัย สองพ่อลูกกอดกันในความเงียบ...แสนนาน
ตำหนักแฮร์ริ่งโบลล์ขณะนี้วุ่นวายไปเสียหมดทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรักษาพระองค์ที่ต้องทำ
หน้าที่มากขึ้นกว่าเดิมเป็น 2 เท่า หรือฝ่ายในที่เต็มไปด้วยเสียงของพระนมดังลั่นแบบนี้...
“นี่หล่อนๆน่ะ เร็วๆกันหน่อยสิย่ะ เดี่ยวก็ไม่ทันหรอก ทูลหม่อมน่ะ อีก4วันจะเสด็จฯแล้วนะยะ”
แบบนี้...
“ใครสักคนไปตามเจ้าหญิงแองเจลล่ามาหน่อยสิยะ จะต้องถามว่าโปรดสีเขียวอ่อนหรือเขียวแก่มากกว่ากัน”
หรือไม่ก็แบบนี้...
“จะให้ฉันเป็นโรคประสาทตายรึไงบอกกี่ครั้งแล้วววว...ว่า...ให้...ใช้...เลื่อมสีขาวไม่ใช่สีครีม โอ้ย! ปวดเศียร”
เหล่านางข้าหลวงต่างมือพันกันเป็นระวิงเมื่อพระนมมอบหมายงานให้เกินกำลัง จึงเริ่มพากันโวย
“นี่พระนมเจ้าขา...พวกเราแทบไม่ได้นอนมา3คืนแล้วนะคะ งานที่พระนมมอบหมายให้ถ้าจะให้ดีเลิศไร้ที่ตินะเจ้าคะ ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเชียวนะคะ ทั้งเย็บทั้งปัก พวกเราเป็นคนนะคะ ไม่ใช่เครื่องจักร”
“พวกเธอเป็นถึงนางข้าหลวงของเจ้าหญิงแองเจลล่า เป็นถึงคนที่ถูกคัดมาเป็นพิเศษว่ามีฝีมือเป็นเลิศในงานบ้านงานเรือนทุกประเภท ฉันถึงได้ไว้วางใจให้พวกเธอทำงานนี้ เพราะฉันคิดว่า...ฉันดูคนไม่ผิด เพราะเท่าที่ฉันเห็น พวกเธอแต่ละคนเป็นช่างฝีมือชั้นเยี่ยมที่สุดของประเทศเรา ดังนั้นช่วยแสดงให้ฉันเห็นหน่อยสิว่า พวกเธอดีจริงดังที่ฉันคิดไว้หรือเปล่า ”
เท่านั้นแหละ เหล่านางข้าหลวงต่างหน้า‘บาน’ไปตามๆกัน ทุกคนลงมือทำงานกันอย่างเต็มที่สุดความสามารถโดยไม่มีเสียงบ่นผสมนินทาอีกเลย นี่แหละหนาความสามารถอีกข้อหนึ่งของผู้เป็นพระนมนอกจากการด่า...
   
“มีผู้ถือสาสน์จากจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์มาพระเจ้าค่ะ”
“ให้เข้ามาได้”
ผู้มาใหม่น้อมตัวถวายคำนับอย่างต่ำ ก่อนเอ่ยถวายรายงานและทูลเกล้าฯถวายสาสน์แก่พระราชา
ขอถวายบังคมเสด็จอาที่เคารพ
    ทันทีที่สาสน์แจ้งความตกลงของน้องหญิงมาถึง ขอบอกตามตรงว่ากระหม่อมดีใจมาก กระหม่อมได้จัดการเตรียมกระบวนเรือเพื่อไปรับน้องหญิงจากชายน่านน้ำแล้ว ขอให้เสด็จอาไม่ต้องทรงกังวลพระทัย ประเทศเครเนเยฟและยูการ์ไม่มีวันกล้ารุกล้ำมาโจมตีเด็ดขาด ด้วยแสนยานุภาพด้านกองทัพเรือของเราทั้งสองประเทศซึ่งถือว่ามิมีใครทัดเทียมได้
    กระหม่อมใคร่ขอให้เจ้าหญิงมิต้องเตรียมฉลองพระองค์มามาก เนื่องจากทางเราได้จัดไว้ถวายแล้วทั้งตามแบบพื้นเมืองเกรแฮมเบลล์และแบบพื้นเมืองของฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ พิธีพระราชอภิเษกสมรสจะมีขึ้นหลังจากเจ้าหญิงเสด็จถึงเมืองโยเน็ดการ์-เมืองหลวงแห่งเกรเฮมเบลล์ และจะมีงานเฉลิมฉลองเป็นเวลานาน 5 วัน 5 คืน เพื่อสมพระเกียรติยศเจ้าหญิงสองอาณาจักร อนึ่งกระหม่อมได้ส่งแบบศิราภรณ์มาให้เจ้าหญิงทรงเลือก 15 แบบ และขอให้ทรงส่งแบบศิราภรณ์ที่ทรงเลือกกลับมาในเร็ววันเพื่อให้ช่างเร่งทำเสร็จทันพระราชพิธี 
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงกรุณา
เจ้าชาย ริเดียน เดอซ์ เบลารุส
พระโลมาตั้งชันหลังจากอ่านสาสน์จบและดูแบบศิราภรณ์เรียบร้อยแล้ว ‘ลูกหญิงของพ่อ ช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน พ่อรู้สึกราวกับว่าวันที่เจ้ายังเป็นเจ้าหญิงน้อยๆคอยเดินสะกดรอยตามนางข้าหลวงคือเมื่อวานยังไงยังงั้น’ พระเนตรไหวระยับก่อนกลับเป็นปกติ ขณะที่ทรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“กระบวนเรือทั้งหมดที่เกรแฮมเบลล์จัดไว้มีกี่ลำหรือ” 
“ทางเราจัดไว้ 5 ลำ พระเจ้าค่ะ เป็นเรือรบแบบปืนใหญ่44 กระบอก 4 ลำ และเรือพระที่นั่ง 1 ลำ พระเจ้าค่ะ” คนเดินสาสน์ตอบด้วยท่วงท่าสงบไม่แสดงอาการประหม่าแต่อย่างใด
“อืม งั้นช่วยไปทูลเจ้าชายริเรียนด้วยว่าทางเราจะส่งเรือรบไปร่วมด้วย 2ลำ จะคุ้มครองเจ้าหญิงถึงแค่เขตน่านน้ำฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์”
“พระเจ้าค่ะ”
“ไม่มีอะไรแล้ว ออกไปพักเสียเถอะ”
“ขอบพระทัย กระหม่อมทูลลา”
ผู้ถือสาสน์จากไป พร้อมด้วยอาการมั่นคงในพระราชหฤทัย
‘ลูกหญิง........พ่อจะคิดถึงเจ้าเพียงใดกันนะ’
   
พระสุรเสียงตวาดลั่นท้องพระโรง ผู้รายงานยืนสงบนิ่งถวายคำรายงานต่อไปด้วยเสียงเรียบ นุ่ม
“ไม่ทราบเกล้าพระเจ้าค่ะ เพราะฝ่ายนั้นแต่งกายด้วยชุดสีขาวล้วนมีผ้าสีดำคลุมหน้าทุกคน พวกมันระมัดระวังกันมาก การสั่งการใช้เป็นสัญญาณมือแทนคำพูด จึงไม่สามารถจับสำเนียงได้ ทางฝ่ายเราจับพวกมันได้คนหนึ่ง แต่มันชิงฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วพระเจ้าค่ะ”
“พบหลักฐานอะไรในตัวบ้าง”
“มีแค่ดาบหนึ่งเล่มและพลุไฟเท่านั้นพระเจ้าค่ะ นอกนั้นไม่พบอะไรที่สามารถบอกแหล่งที่มาได้เลยพระเจ้าค่ะ”
ปังงงงงง!!!!!!!
พระหัตถ์ใหญ่ตบโต๊ะดังสนั่น แต่ฝ่ายรายงานยังคงสงบนิ่ง พระสุรเสียงที่เอ่ยต่อจึงเริ่มสงบลง
“สรุปเหตุการณ์มาซิ”
“พวกมันตาย1 ส่วนฝ่ายเราตาย6 คนได้รับบาดเจ็บ12 คนพระเจ้าค่ะ...ส่วนใหญ่เป็นทหาร เจ้าหญิงแองเจลล่าทรงปลอดภัยดีและยังไม่ทรงทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเนื่องจากเพิ่งฟื้นเมื่อตอนย่ำรุ่งพระเจ้าค่ะ ที่แปลกคือยังไม่ทันที่พวกมันจะบุกลึกเข้าไปในตำหนักชั้นใน พวกมันก็ถอยร่นออกไปทันทีที่หิมะแรกตกพระเจ้าค่ะ”
...ยูการ์?...
ทรงเบือนพระพักตร์หันไปสั่งมหาดเล็กข้างที่ “ไปตามเสนาบดีกลาโหมมา”
“ไม่ต้องพระเจ้าค่ะ กระหม่อมทราบเรื่องแล้วถึงได้รีบรุดเข้ามาเฝ้า”
เสียงนุ่มบ่งบอกถึงวัยดังขึ้น ขณะที่เจ้าตัวสาวเท้าเข้ามาอย่างเร่งรีบ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะถวายคำนับ
“รู้แล้วรึ?”
“พระเจ้าค่ะ”
“การข่าวของมาร์กไวไม่ใช่เล่น เห็นทีนายคนนี้คงจะไม่ต้องอยู่รายงานซ้ำสอง”
ผู้ได้รับคำชมแย้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนหันไปพยักหน้าให้ผู้รายงานทีหนึ่ง อันทำให้ฝ่ายนั้นต้องถวายบังคมลาออกไปพร้อมๆกับบรรดานางกำนัลและมหาดเล็ก ที่ต่างรู้หน้าที่ตนเองว่าไม่ควรก้าวก่ายสิ่งใด
“ยูการ์งั้นหรือพระเจ้าค่ะ”
“น่าจะใช่...ถอนตัวพร้อมๆกับหิมะแรก ตามธรรมเนียมโบราณของยูการ์ คือไม่รบพร้อมหิมะ เพราะพวกนั้นมีความเชื่อว่า หิมะเป็นตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ จึงไม่อยากให้มีการหลั่งเลือดยามหิมะตก ยกเว้นแต่มีใครไปรบกับเขาในตอนนั้น แต่ก็คงถึงคราวจบสิ้นไปทุกๆรายเพราะเวลานั้นใครๆก็รู้เป็นเวลาที่ชาวยูการ์ถนัดมากที่สุดที่จะรบ แต่ถ้าเช่นนั้น...ยูการ์ร่วมมือกับกบฏ?”
“กระหม่อมได้ข่าวที่ยืนยันได้แน่นอนแล้วว่าเครเนเยฟร่วมมือกับกบฏพระเจ้าค่ะ ถ้ายูการ์ปองร้ายเจ้าหญิง แสดงว่ายูการ์ร่วมมือกับเครเนเยฟ!”
พระพักตร์ขาวฉายรอยกังวล อ่อนล้าพระทัย อันมีแต่สหายสนิทเท่านั้นที่เคยเห็น เนื่องจากความไว้วางพระทัยในสหายคู่ใจที่เคยถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ‘จะขอเป็นข้ารองบาทชั่วชีวิต หากแม้นมีสิ่งใดมากล้ำกลายความปลอดภัยของพระองค์ ต่อให้ใช้แม้ชีวิตเพื่อยับยั้ง...กระหม่อมก็ยินดีที่จะทำ’
“มาร์กช่วยเรียกประชุมคณะเสนาบดีที แล้วก็สั่งการลงไปด้วยว่าอย่าให้เจ้าหญิงรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด”
“พระเจ้าค่ะ”
“เสวยมากๆสิเพคะ พระอาการจะได้ดีขึ้นไวๆ ดูซิ เสวยนี้ดดด...เดียวเอง”
“นม...กินมากๆเดี่ยวหญิงก็เป็นหมูพอดีน่ะสิ ถ้าหญิงเป็นหมู นมจะยอมเป็นแม่หมูให้ไหม” ตรัสขณะมองสำรวจตรวจตราพระนม “หุ่นก็ให้ด้วยนี่”
“ต๊าย! นมไม่อ้วนถึงขนาดนั้นนะเพคะ”
“จ๊ะๆ ไม่อ้วนจ้า ไม่อ้วน” หลังจากนั้นก็ทรงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยขึ้น “เด็จพ่อทรงทำอะไรอยู่นะ นมไม่ได้ให้คนไปบอกรึไงว่าหญิงรู้สึกตัวแล้ว”
พระสุรเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ ทำให้ผู้เฝ้าพระอาการอยู่ตลอดอดเป็นห่วงไม่ได้
“เมื่อครู่นี้นมให้นางข้าหลวงไปทูลแล้ว เดี่ยวคงเสด็จมา อย่าทรงตรัสต่อมากเลยเพคะเดี่ยวจะเหนื่อยเอา บรรทมรอก่อนนะเพคะทูนหัวของนม”
“ไม่นง ไม่นอนมันแล้ว เมื่อวานก็สลบไปตั้งแต่บ่าย แถมเมื่อคืนก็นอนทั้งคืน นมอยากให้หญิงเป็นโรคน.จ.ต. หรือไง”
“โรคอะไรกันเพคะ น.จ.ต. นมไม่เห็นเคยได้ยิน เอ๊ะ! หรือเป็นโรคใหม่ที่เพิ่งค้นพบเพคะ” พระนมทำท่าครุ่นคิด ซึ่งเป็นท่าที่หาชมได้ยากยิ่งนัก
“โรคน.จ.ต. เก๊าะ นอนจนตายไงจ๊ะนมจ๋า โรคนี้ฉันคิดค้นขึ้นมาเลยนะเนี่ย แค่นี้ก็ไม่รู้”
“แหม ดูรับสั่งเข้า ใช่ซี่...นมมันก็เป็นนางข้าหลวงแก่ๆ จะไปทันอะไร้เพคะ”
เสียงแม่หมูงอนทำให้ทรงสรวลขึ้นเบาๆก่อนหยุดลงเมื่อบานทวารถูกเคาะ
“เข้ามาได้”
นางข้าหลวงยอบตัวลงถอนสายบัวครั้งหนึ่งก่อนถวายรายงาน
“พระราชาประชุมคณะเสนาบดีอยู่เพคะ”
“เอ๊ะ! ประชุมอะไรกันเร่งด่วนเสียแต่เช้า หรือจะมีเรื่อง?”
“ไม่ทราบเกล้าเพคะ”
พระพักตร์ใสพยักให้ออกไป ก่อนเบือนมาหาพระนม ผู้ตระเตรียมคำตอบของคำถามนั้นไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว
“คงเป็นเรื่องโดนลอบทำร้ายในเมืองกระมังเพคะ อาจมีการเปลี่ยนแปลงด้านองครักษ์เพคะ”
“เซเรสทำงานดี แต่เราสิไม่ระวังตัวเองต่างหาก”
“ทรงรู้พระองค์ก็ดีแล้วเพคะ ดังนั้นก็ควรระวังองค์เสียแต่ตอนนี้ เสวยมากๆแล้วบรรทมเพคะ” พระนมได้ทีรีบพูดโดยอาศัยความรู้สึกผิดของผู้
เป็นนายเป็นเครื่องมือ เจ้าหญิงพยักพระพักตร์เล็กน้อย
“ถ้างั้นนมทูลลาเพคะ”
ทันทีที่พระนมปิดประตูลง เสียงกระซิบเรียกเบาจากนางข้าหลวงคนเมื่อครู่ก็ดังขึ้น
“เดี่ยวก่อนๆ มาทางนี้” เสียงที่พูดตอบก็เป็นเสียงกระซิบไม่ต่างกัน
ร่างกลมเดินนำร่างบางไปยังเฉลียงกว้าง อันประดับประดาด้วยไม้ดอกนานาชนิด แต่ที่มีมากที่สุดและหอมคลุ้งที่สุดหนีไม่พ้นดอกกุหลาบสีสันสดใส ซึ่งดอกใหญ่และงามจนบ่งบอกถึงความเอาใจใส่ของผู้เป็นเจ้าของ ร่างกลมมองซ้ายมองขวา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นร่างกลมจึงเอ่ยขึ้น
“ว่าไง?”
“เขาลือกันว่าเรียกประชุมด่วนเรื่องกบฏและการรุกรานจากประเทศอื่นค่ะ”
“ต๊าย! อะไรกัน สงครามงั้นรึ”
“ประมาณนั้นแหละค่ะ”
“ประเทศอะไร?”
พระนมน้ำเสียงสั่นเครือ ขณะที่ฝ่ายตอบยิ่งลดเสียงลงยิ่งขึ้นขณะเอนหน้าเข้ามาใกล้
“เขาว่ากันว่ายูการ์ร่วมมือกับเครเนเยฟค่ะ”
“ยูการ์เนี่ยน่ะ ไม่มีทางหรอก พระราชินีทรงเป็นคนยูการ์ เจ้าหญิงก็มีสายเลือดยูการ์ ทางโน้นเขาไม่เห็นแก่เลือดของประเทศเขาเลยรึ”
“แต่เขาบอกว่าแน่นะคะพระนม”
“เขาของหล่อนเนี่ยใครกันย่ะ”
“มหาดเล็กหลวงที่คุมบานประตูค่ะ เขาเป็นแฟนหม่อมฉันเอง”
น้ำเสียงคนพูดบ่งบอกถึงความภูมิใจ พระนมส่ายหัวเบาๆ
ความลับ...มักจะไม่เป็นความลับเสมอ ขนาดนางข้าหลวงยังรู้ถึงเพียงนี้ แล้วฝ่ายตรงข้ามเล่า จักรู้ถึงเพียงใด
“เด็จพ่อ! เมื่อวานทำไมไม่มาพบหญิงล่ะคะ”
“เมื่อวานพ่อมีงานด่วน ต้องเรียกประชุม” สีพระพักตร์แสดงให้เห็นชัดว่ามิได้บรรทมตลอดทั้งคืน พระโอษฐ์แย้มบางๆอย่างอ่อนโยนรักใคร่
“เรื่องอะไรหรือคะ เห็นนมว่าเรื่ององครักษ์”
พระสุรเสียงของพระธิดาระรื่น พระพักตร์แต้มไปด้วยรอยสลวล ภาพที่พระราชาทอดพระเนตรเห็นทำให้เจ็บปวดลึกในพระทัย
“ลูกหญิง ”
“คะ”
พระขนงพระธิดาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เนื่องจากพระบิดาทรงเงียบไปนาน
“ถ้า...ลูกต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อประเทศ ลูกพร้อมที่จะทำไหม”
“ถามทำไมคะ” รับสั่งขณะทอดพระเนตรนกน้อยนอกพระบัญชร
“พ่ออยากรู้”
เจ้าหญิงแองเจลล่าหันพระพักตร์กลับมา พระเนตรสีเขียวเข้มฉายประกาย
“หญิงพร้อมจะทำค่ะ ไม่ว่าจะหนักหนาเพียงใด เพื่อ ฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ หญิงพร้อมเสมอค่ะ”
พระพักตร์พระราชาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย
“ลูกหญิงจำเจ้าชายริเดียนได้ไหม”
“จำได้ค่ะ เสด็จพี่ริเดียนที่เคยพบกันตอนไปเยือนเกรแฮมเบลล์”
“ลูกคิดว่าเขาเป็นไงบ้าง”
พระพักตร์ใสชมพูระเรื่อ ดวงเนตรสีเขียวหลุบลงต่ำด้วยความเขินอาย
“ก็...ก็ เป็นคนนิสัยดี เป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยน...”
“ปากหวาน เอาใจเก่งด้วยใช่ไหมล่ะ หืม”
พระราชาชิงแทรกพระดำรัสเสียก่อน ทำให้พระพักตร์ที่เริ่มแดงยิ่งแดงเข้าไปใหญ่
“แหม เด็จพ่อ ทราบได้ไงเพคะ”
“อ่ะๆ พ่อบอกแล้วว่าเวลาอยู่ด้วยกันสองคน ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์” ทรงเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเช่นตอนแรก
“ถ้าพ่อให้‘เษก’ กับเจ้าชายริเดียนหญิงจะ‘เษก’ไหม”
“เจ้าชายยังมิได้‘ขอ’หญิงเลยนะคะ” พระพักตร์แดงจัด เถียงระงับความเขินอาย
“แล้วถ้าเขาขอล่ะ หญิงจะยอมไหม”
“แหม ก็............ก็..........เอ่อ..........”
“เอ้าๆ ตอบมาเร็วๆ”
พระเนตรแลสบขึ้นก่อนหลุบลงต่ำอีกครั้ง พระสุรเสียงที่เปล่งออกมาเบาราวกับกระซิบ
“ก็คงยอมเพคะ” 
“เห็นหญิงชอบเขาพ่อก็โล่งใจ เพราะถึงยังไงต่อให้หญิงไม่ชอบ หญิงก็ต้อง‘เษก’ เพราะเราเป็นประเทศเล็กๆ หญิงก็คงพอจะรู้สถานการณ์ตอนนี้ เราไม่มีทางเลือกนอกจากหาความช่วยเหลือจากประเทศที่ยิ่งใหญ่และมั่นคงอย่างจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์”
“งั้นหมายความว่า ไม่ใช่พระราชประสงค์ของเจ้าชายน่ะสิคะ แต่มันเป็นเพราะเกมการเมืองต่างหาก ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แสดงว่าเจ้าชายริเดียนไม่โปรดหญิง” พระธิดาทรงตัดพ้อ
“เกมการเมืองก็มีส่วน แต่ถ้าไม่มีการ‘ขอ’มา ทางเราก็คงไม่กล้าเสนอไป เพราะเกรแฮมเบลล์เป็นจักรวรรดิ จะทำอะไรก็ต้องเข้าลงมติจากสภาให้คะแนนเสียงเป็นมติเอกฉันท์เสียก่อน ถ้าเขา‘ขอ’ ก็แสดงว่ามติผ่านแล้ว และในเมื่อคะแนนส่วนใหญ่ในสภาเป็นของเจ้าชายริเดียน ทำไมถึงผ่านถ้าเจ้าชายไม่โปรด”
พระราชาช้อนพระทนุพระธิดาขึ้นมาสบพระเนตร
“แองเจลล่า...พ่อไม่อยากให้เจ้าไปเลย ตอนนี้เจ้าเปรียบเสมือนเพื่อนคนเดียวของพ่อ ตั้งแต่เสด็จแม่ของลูกสิ้นใจ แต่เพื่อประเทศของเรานะลูก และลูกเองก็...รักเขา พ่อเข้าใจว่าพ่อไม่สามารถเหนี่ยวรั้งให้ลูกอยู่กับพ่อคนเดียวได้ตลอด เราจะส่งลูกไปอาทิตย์หน้า...โดยทางเรือ เพราะเป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะเดินทางเฉียดชายแดนเครเนเยฟ ระหว่างนี้เตรียมตัวให้เรียบร้อย ลูกเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่งแล้ว สภาพอากาศที่นั่นไม่ต่างกับที่นี่เท่าไรนัก ถ้ามีอะไรอยากได้ติดตัวไปด้วย...บอกพ่อ...พ่อจะพยายามหาให้ลูกทุกอย่าง”
น้ำพระเนตรของเจ้าหญิงแองเจลล่าเอ่อล้นออกมาด้วยความโศกจากห้วงพระหฤทัย สองพ่อลูกกอดกันในความเงียบ...แสนนาน
ตำหนักแฮร์ริ่งโบลล์ขณะนี้วุ่นวายไปเสียหมดทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรักษาพระองค์ที่ต้องทำ
หน้าที่มากขึ้นกว่าเดิมเป็น 2 เท่า หรือฝ่ายในที่เต็มไปด้วยเสียงของพระนมดังลั่นแบบนี้...
“นี่หล่อนๆน่ะ เร็วๆกันหน่อยสิย่ะ เดี่ยวก็ไม่ทันหรอก ทูลหม่อมน่ะ อีก4วันจะเสด็จฯแล้วนะยะ”
แบบนี้...
“ใครสักคนไปตามเจ้าหญิงแองเจลล่ามาหน่อยสิยะ จะต้องถามว่าโปรดสีเขียวอ่อนหรือเขียวแก่มากกว่ากัน”
หรือไม่ก็แบบนี้...
“จะให้ฉันเป็นโรคประสาทตายรึไงบอกกี่ครั้งแล้วววว...ว่า...ให้...ใช้...เลื่อมสีขาวไม่ใช่สีครีม โอ้ย! ปวดเศียร”
เหล่านางข้าหลวงต่างมือพันกันเป็นระวิงเมื่อพระนมมอบหมายงานให้เกินกำลัง จึงเริ่มพากันโวย
“นี่พระนมเจ้าขา...พวกเราแทบไม่ได้นอนมา3คืนแล้วนะคะ งานที่พระนมมอบหมายให้ถ้าจะให้ดีเลิศไร้ที่ตินะเจ้าคะ ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเชียวนะคะ ทั้งเย็บทั้งปัก พวกเราเป็นคนนะคะ ไม่ใช่เครื่องจักร”
“พวกเธอเป็นถึงนางข้าหลวงของเจ้าหญิงแองเจลล่า เป็นถึงคนที่ถูกคัดมาเป็นพิเศษว่ามีฝีมือเป็นเลิศในงานบ้านงานเรือนทุกประเภท ฉันถึงได้ไว้วางใจให้พวกเธอทำงานนี้ เพราะฉันคิดว่า...ฉันดูคนไม่ผิด เพราะเท่าที่ฉันเห็น พวกเธอแต่ละคนเป็นช่างฝีมือชั้นเยี่ยมที่สุดของประเทศเรา ดังนั้นช่วยแสดงให้ฉันเห็นหน่อยสิว่า พวกเธอดีจริงดังที่ฉันคิดไว้หรือเปล่า ”
เท่านั้นแหละ เหล่านางข้าหลวงต่างหน้า‘บาน’ไปตามๆกัน ทุกคนลงมือทำงานกันอย่างเต็มที่สุดความสามารถโดยไม่มีเสียงบ่นผสมนินทาอีกเลย นี่แหละหนาความสามารถอีกข้อหนึ่งของผู้เป็นพระนมนอกจากการด่า...
   
“มีผู้ถือสาสน์จากจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์มาพระเจ้าค่ะ”
“ให้เข้ามาได้”
ผู้มาใหม่น้อมตัวถวายคำนับอย่างต่ำ ก่อนเอ่ยถวายรายงานและทูลเกล้าฯถวายสาสน์แก่พระราชา
ขอถวายบังคมเสด็จอาที่เคารพ
    ทันทีที่สาสน์แจ้งความตกลงของน้องหญิงมาถึง ขอบอกตามตรงว่ากระหม่อมดีใจมาก กระหม่อมได้จัดการเตรียมกระบวนเรือเพื่อไปรับน้องหญิงจากชายน่านน้ำแล้ว ขอให้เสด็จอาไม่ต้องทรงกังวลพระทัย ประเทศเครเนเยฟและยูการ์ไม่มีวันกล้ารุกล้ำมาโจมตีเด็ดขาด ด้วยแสนยานุภาพด้านกองทัพเรือของเราทั้งสองประเทศซึ่งถือว่ามิมีใครทัดเทียมได้
    กระหม่อมใคร่ขอให้เจ้าหญิงมิต้องเตรียมฉลองพระองค์มามาก เนื่องจากทางเราได้จัดไว้ถวายแล้วทั้งตามแบบพื้นเมืองเกรแฮมเบลล์และแบบพื้นเมืองของฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ พิธีพระราชอภิเษกสมรสจะมีขึ้นหลังจากเจ้าหญิงเสด็จถึงเมืองโยเน็ดการ์-เมืองหลวงแห่งเกรเฮมเบลล์ และจะมีงานเฉลิมฉลองเป็นเวลานาน 5 วัน 5 คืน เพื่อสมพระเกียรติยศเจ้าหญิงสองอาณาจักร อนึ่งกระหม่อมได้ส่งแบบศิราภรณ์มาให้เจ้าหญิงทรงเลือก 15 แบบ และขอให้ทรงส่งแบบศิราภรณ์ที่ทรงเลือกกลับมาในเร็ววันเพื่อให้ช่างเร่งทำเสร็จทันพระราชพิธี 
ควรมิควรแล้วแต่จะทรงกรุณา
เจ้าชาย ริเดียน เดอซ์ เบลารุส
พระโลมาตั้งชันหลังจากอ่านสาสน์จบและดูแบบศิราภรณ์เรียบร้อยแล้ว ‘ลูกหญิงของพ่อ ช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน พ่อรู้สึกราวกับว่าวันที่เจ้ายังเป็นเจ้าหญิงน้อยๆคอยเดินสะกดรอยตามนางข้าหลวงคือเมื่อวานยังไงยังงั้น’ พระเนตรไหวระยับก่อนกลับเป็นปกติ ขณะที่ทรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“กระบวนเรือทั้งหมดที่เกรแฮมเบลล์จัดไว้มีกี่ลำหรือ” 
“ทางเราจัดไว้ 5 ลำ พระเจ้าค่ะ เป็นเรือรบแบบปืนใหญ่44 กระบอก 4 ลำ และเรือพระที่นั่ง 1 ลำ พระเจ้าค่ะ” คนเดินสาสน์ตอบด้วยท่วงท่าสงบไม่แสดงอาการประหม่าแต่อย่างใด
“อืม งั้นช่วยไปทูลเจ้าชายริเรียนด้วยว่าทางเราจะส่งเรือรบไปร่วมด้วย 2ลำ จะคุ้มครองเจ้าหญิงถึงแค่เขตน่านน้ำฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์”
“พระเจ้าค่ะ”
“ไม่มีอะไรแล้ว ออกไปพักเสียเถอะ”
“ขอบพระทัย กระหม่อมทูลลา”
ผู้ถือสาสน์จากไป พร้อมด้วยอาการมั่นคงในพระราชหฤทัย
‘ลูกหญิง........พ่อจะคิดถึงเจ้าเพียงใดกันนะ’
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น