ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่1 -- เปิดเรื่องแบบเครียดๆ
‘หญิงอยากได้ตุ๊กตาตัวนั้นเพคะ เด็จพ่อ’
‘ไหนจ๊ะ หญิงอยากได้อะไรพ่อให้หมดเลย’
‘หญิงไม่อยากไปเรียน...หญิงอยากอยู่กับเด็จพ่อ’
‘โอ๋ๆ หญิงไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปนะจ๊ะ...ให้ไปตามครูมาสอนที่วังซิ’
‘จำไว้นะจ๊ะหญิง ไม่ว่าอะไรพ่อจะตามใจหญิงทุกอย่างเลย’
   
“องค์หญิงแองเจลล่าน่ะหรอ ต๊าย!...เธอ เอาแต่ใจตัวเองสุดๆเชียวล่ะ มีแต่พระนมเท่านั้นแหละที่ทนไหว”
   
“แหม...เธอนี่ ก็พระองค์น่ะโดนเอาอกเอาใจ ตามใจมาตั้งแต่พระราชินีเสียน่ะซี่ มันถึงได้เป็นขนาดนี้น่ะ”
   
“จุ๊ๆ...นี่พวกเธอไม่กลัวหัวหลุดจากบ่ากันหรอ มานินทาเชื้อพระวงศ์อยู่อย่างเนี่ย ต่อให้ไม่กลัวคนอื่นได้ยินก็หัดกลัวขี้กลากขึ้นปากซะบ้างนะย่ะ”
“อุ๊ย...ได้เวลาตื่นบรรทมแล้ว ไปกันเร็ว ขืนเตรียมน้ำสรงช้าละโดนพระนมบ่นยาว”
“ชั้นต้องไปเตรียมเครื่องเช้าด้วย แย่จริง ไม่รู้ว่าจะทรงโปรดซุปเห็ดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เที่ยวที่แล้วไม่โปรดซุปหัวหอม โดนเอ็ดกันตั้งแต่ห้องเครื่องไปยันคนจ่ายตลาดโน้นแน่ะเธอ”
“นี่พวกเธอนั่นน่ะ อย่าวิ่งกันบนระเบียงซิจ๊ะ...ไม่งาม ยิ่งเขตพระราชฐานด้วยแล้ว ทำตัวให้สมกับเป็นข้าหลวงหน่อยซิจ๊ะ” เสียงพระนมเอ่ยมาจากหน้าห้องบรรทม
“ประทานโทษค่ะพระนม เรากลัวว่าจะมาเตรียมน้ำสรงช้าน่ะค่ะ” นางข้าหลวงสองคนหยุดหอบหายใจขณะพูด
“โถ โถ่ ทูลหม่อมแก้วของนม มีข้าหลวงแย่ๆอย่างนี้มิน่าละถึงทรงบอกว่าไม่ค่อยโปรด” พระนมทำท่าส่ายหน้าน้อยๆก่อนหันมาเจ้ากี้เจ้าการต่อ
“พวกหล่อนๆน่ะ มัวยืนนิ่งกันอยู่ทำไมล่ะจ๊ะ ป่านนี้ทูลหม่อมแก้วคงจะตื่นบรรทมแล้ว เดี่ยวจะทรงรอนานวันนี้พระราชาทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าแต่เช้าเสียด้วยสิ เร็วๆกันหน่อยน่ะ”
“อรุณสวัสดิ์เพคะองค์หญิง”
เสียงนางข้าหลวงทั้งสองกล่าวพร้อมกันขณะยอบตัวถอนสายบัวอย่างงดงามอ่อนช้อยอันเป็นที่โปรดปรานของพระองค์
“หม่อมฉันจะเตรียมน้ำสรงนะเพคะ วันนี้แบบไหนดีเพคะ”
“ขอเป็นแบบไม่มีฟอง ใส่กลีบกุหลาบด้วยนะ”
ขณะยันพระองค์ลุกขึ้นยืนยังไม่วายสั่งต่อ “เอาแบบอุ่นกำลังดีนะจ๊ะ ถ้าร้อนเกินหมอบอกว่าเดี่ยวผิวเสีย”
“เพคะ”
กลิ่นกุหลาบหอมกำจายไปทั่ว ขณะที่นางข้าหลวงทั้งสองกำลังเกล้าพระเกศาสีน้ำตาลทองยาวสลวยให้เป็นก้นหอยคลุมด้วยผ้าลูกไม้สีขาว ก่อนเสียบด้วยดอกกุหลาบขาวแรกแย้มอีก 5ดอก ฉลองพระองค์สีชมพูลูกไม้ขาวทำให้ทรงดูอ่อนหวานเยาว์ชันษา เข้ากับผิวกายชมพูใสผุดผ่อง แม้ว่าจะทรงมีพระอุปนิสัยเอาแต่ใจตนเอง แต่ก็ทรงมีจิตใจงดงาม นางข้าหลวงทุกคนต่างรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนินทาเพื่อสร้างสีสันให้กับชีวิต
“อมิเลีย เดี่ยวช่วยบอกห้องเครื่องด้วยนะจ๊ะ ว่าฉันไม่ทานข้าวเช้า วันนี้จะไปทานกับเด็จพ่อที่วังใหญ่”
“เพคะฝ่าบาท”
“ส่วนโอฟีเลีย ช่วยไปบอกมหาดเล็กทีว่าวันนี้ไม่ต้องเตรียมรถม้า เตรียมแค่ดัชเชสอิซาเบลล่าก็พอ”
“เพคะ”
อิซาเบลล่าเป็นม้าที่ทรงได้รับพระราชทานจากองค์ราชินีในวันประสูติครบรอบ 10 ชันษา ด้วยเป็นของขวัญพระราชทานชิ้นสุดท้ายจากองค์ราชินี ม้าสีขาวสะอาดและอุปนิสัยเรียบร้อยตัวนี้จึงเป็นที่โปรดปรานมากจนได้รับตำแหน่งดัชเชส
“มานี่มาอิซาเบลล่า ต้องใส่อานให้เจ้าเร้ววว”
แต่แล้วม้าสีขาวที่แสนงามสง่าก็ดันเอา กีบเท้ายันไว้กับพื้นยืนนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน
“โอ๊ย! มันไม่ยอมเดินทำไงดีเนี่ย” นางข้าหลวงส่งเสียงโอดครวญ ร้อนถึงมหาดเล็กต้องมาสอนให้
“ก็บอกแล้วว่าจะทำให้เองก็ไม่เชื่อ ดันอยากมาทำเองซะนี่ ดัชเชสอิซาเบลล่าน่ะต้องพูดด้วยให้สมกับยศของท่าน เข้าใจม่ะ”
โอฟิเลียพยักหน้าบ่นงึมงำก่อนเดินไปหาท่านดัชเชสอีกครั้ง
“เชิญทางนี้นะคะดัชเชสอิซาเบลล่า ต้องใส่พระที่ให้องค์หญิงประทับนั่งนะคะท่าน”
ได้ผล...ดัชเชสอิซาเบลล่ายอมก้าวเท้าเดินแต่โดยดี ตลอดเวลาทุกท่วงท่ามีแต่ความ‘เชิด’ และความเรียบร้อยง่ายดายจนเหลือเชื่อ ที่เค้าว่าสัตว์ก็มีความหยิ่งทะนงน่ะชักน่าเชื่อถือขึ้นมาแล้ว
ระยะทางจากตำหนักแฮร์ริ่งโบลล์ถึงวังใหญ่เพียง 6 กิโลเมตรเท่านั้น เนื่องจากว่าพระราชาไม่ต้อง การให้พระธิดาอยู่ห่างเกินไป หากจะให้อยู่ในวังใหญ่ก็ผิดราชประเพณี
ระเบียงยาวติดสวนประดับประดาไปด้วยกุหลาบเลื้อยหลากสี ที่แข่งกันออกดอกส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลิ่นกุหลาบ...กลิ่นที่พระราชินีทรงโปรดมากที่สุด และหลังจากที่สวรรคต กลิ่นนี้ก็กลายเป็นกลิ่นโปรดของพระราชารูเพิร์ต ฟรานซ์ โจเซฟ หลุยซ์ที่ 5 และเจ้าหญิงแองเจลล่า ฟรานซ์ โจเซฟ แมริแอน
ประตูห้องสุดปลายทางระเบียงเปิดแง้มไว้เล็กน้อย มีเพียงมหาดเล็กคนสนิทเท่านั้นที่เฝ้าอยู่หน้าบานทวาร
“เด็จพ่อเรียกหญิงมาเฝ้าแต่เช้า...”
เสียงใสๆดังขึ้นและหยุดกึกลงเมื่อเห็น‘เด็จพ่อ’ กำลังสนทนาอย่างเป็นการเป็นงานอยู่กับนายพล มาร์ก ผู้บัญชาการทหารและเสนาบดีกลาโหมคนปัจจุบัน
“อ้าวหญิง มาพอดีเลย เรากำลังพูดคุยถึงเรื่องของหญิงพอดี”
“เรื่องอะไรหรือเพคะเด็จพ่อ”
เจ้าหญิงองค์น้อยกล่าวขณะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้า ‘เด็จพ่อ’ ก่อนย่อตัวลงถอนสายบัว พร้อมๆกับนายพลมาร์กใช้มือขวาแตะอกน้อมลงถวายคำนับแก่ผู้เป็นเจ้าหญิง
“เรื่องกบฏพระเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ! แล้วเรื่องกบฏมาเกี่ยวอะไรกับเราด้วยงั้นรึท่านนายพล”
“เกี่ยวด้วยอย่างแน่นอนพระเจ้าค่ะ กบฏในครั้งนี้เป็นกลุ่มที่มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และยังเพียบพร้อมด้วยยุทโธปกรณ์มากมาย ทางเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกมันจะบุกมาเมื่อไหร่ เนื่องจากสายของเราถูกกีดกันอยู่แต่วงนอก ไม่สามารถเข้าร่วมในการประชุมใหญ่ๆได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหญิง พระองค์ควรจะทรงลี้ภัยออกนอกประเทศซักพักจนกว่าเหตุการณ์จะสงบพระเจ้าค่ะ”
สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงแองเจลล่าเผือดลงเล็กน้อย “แล้วเสด็จพ่อล่ะ”
“พ่อจะอยู่ที่นี่”
“ไม่เพคะ หญิงจะไม่ไปไหนถ้าเด็จพ่อไม่ไปด้วย เด็จพ่อไปกับหญิงนะเพคะ...นะเพคะ”
“หญิง! อย่าเอาแต่ใจตัวเอง”
พระธิดาสะดุ้งองค์เล็กน้อยเมื่อทรงถูกตวาดเป็นครั้งแรก พระบิดาทรงเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบ
“พ่อเป็นทั้งพ่อและเจ้าแผ่นดินน่ะลูก ถ้าเจ้าแผ่นดินทิ้งแผ่นดินของตนหนีไป แล้วประชาชนและผืนแผ่นดินที่เราปกป้องล่ะลูก จะเป็นยังไง หญิงโตแล้วควรคิดถึงเรื่องนี้นะลูก ทั้งความรู้สึกของประชาชนที่ฝากความหวังไว้กับเราและเทิดทูนเราขึ้นมาเหนือเขา เพื่อดูแลปกป้องเขา อันเป็นหน้าที่ของพ่อในฐานะพระราชา และในฐานะที่พ่อเป็นพ่อ พ่ออยากให้หญิงปลอดภัย เพราะหญิงเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจดวงเดียวของพ่อ แต่พ่อก็ตามหญิงไปไม่ได้ หญิงอยากให้พ่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินขี้ขลาดหรือ?”
“ไม่เพคะ” พระสุรเสียงที่เอ่ยดูหนักแน่น“หญิงรักเด็จพ่อมากที่สุด หญิงเหลือแต่เด็จพ่อคนเดียวตั้งแต่เด็จแม่สิ้นใจ หญิงก็จะอยู่ที่นี่กับเสด็จพ่อเพคะ เสด็จพ่อพูดถูกเพคะ เราไม่ควรทิ้งแผ่นดินเราไป หญิงจะยืนหยัดอยู่ที่นี่เคียงคู่เสด็จพ่อเพคะ”
ผู้เป็นทั้งเสนาบดีกลาโหมและผู้บัญชาการทหารอมยิ้มเล็กน้อยอย่างเอ็นดู
“ท่านนายพล ตอนนี้เหตุการณ์ถึงขั้นไหนแล้ว” เจ้าหญิงแองเจลล่าทรงเบือนพระพักตร์มารับสั่งเอาจริงเอาจัง
“ตอนนี้เหตุการณ์ยังไม่ร้ายแรงมากพระเจ้าค่ะ ทางเรายังไม่ทราบตัวการหลักที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่สายเราได้ข่าวลือมาว่าประเทศเครเนเยฟได้ให้การสนับสนุนเบื้องหลังกบฏกลุ่มนี้ แต่ข่าวลือย่อมเอาแน่เอานอนด้วยไม่ได้พระเจ้าค่ะ แต่ถ้าหากเป็นจริงแล้วเหตุการณ์นี้คงจะวุ่นวายไม่ใช่น้อยพระเจ้าค่ะ”
“การที่จะส่งคนไปปราบกบฏก็ไม่ได้ เพราะกบฏย่อมมีคนเป็นหลัก ถ้าจะปราบก็ต้องปราบตัวหลัก ถ้าไปใช้กำลังกับเหล่าเบี้ยทั้งหลายแล้วล่ะก็ จะมีเบี้ยอีกหลายตัวทีเดียวที่จะเพิ่มขึ้นมาเพราะความไม่พอใจ เพราะเราขาดหลักฐานที่ยืนยันได้แน่นอน แถมตอนนี้เราก็ยังไม่มีหลักฐานจับตัวหลักด้วยเช่นกัน”
ถ้อยดำรัสแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ ทำให้พระราชาสรวลเล็กน้อย
“ไม่เสียแรงที่ให้เรียนการปกครอง”
“นั่นซิพระเจ้าค่ะ”
“หญิง...พ่อรู้ว่าหญิงรักแผ่นดินนี้มากเท่าๆกับตัวเอง และหญิงก็อยากอยู่กับพ่อ ตอนนี้พ่อไม่ว่า แต่ถ้าเกิดอะไรที่ร้ายแรงแล้วหญิงสัญญากับพ่อได้ไหมว่าหญิงจะลี้ภัย”
“เพคะ”  ด้วยความคิดที่ว่าอะไรที่ ‘ร้ายแรง’ นั้นไม่มีวันเกิดขึ้น จึงทำให้องค์หญิงพระองค์น้อยรับคำอย่างง่ายดาย
มหาดเล็กหน้าประตูเคาะบานทวารเล็กน้อย ก่อนคำนับลง
“เครื่องเช้าพร้อมแล้ว จะให้ตั้งโต๊ะเสวยเลยไหมพระเจ้าค่ะ”
พระราชาทรงพยักพระพักตร์ครั้งหนึ่งตามแบบทหาร
“หญิงกินอะไรมารึยังลูก”
“ยังเพคะ”
“ดี งั้นเดี่ยวไปทานเครื่องเช้ากับพ่อ มาร์กทานด้วยกัน”
รับสั่งพลางเบือนพระพักตร์มาทางร่างสูงที่เริ่มมากด้วยวัย ผู้เป็นสหายสนิทซึ่งเคยเข้าฝึกทหารและร่วมรบกันมาหลายสมรภูมิ
“กระหม่อมทานมาแล้วพระเจ้าค่ะ”
“อ้าว!... งั้นไม่เป็นไร ท่านนายพลไปพักผ่อนเถอะ อยู่มาทั้งคืนแล้ว เดี่ยวต้องเหนื่อยอีกทั้งวัน”
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”
ร่างสูงคล้ำในชุดเต็มยศถวายคำนับพระราชาทีหนึ่ง เจ้าหญิงทีหนึ่ง ก่อนเดินตัวตรงอย่างทหารออกไป ทันทีที่เสียงประตูปิดลง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นทันควัน
“ทำไมถึงมีคนก่อกบฏกันนะคะ พ่อดูแลประเทศได้อย่างสงบสุขดีนี่นา หญิงไม่เข้าใจ”
“บางครั้งน่ะหญิง การจะก่อการใดก็ตามมันอยู่ที่คนเป็นตัวการจะพูดให้เป็นอย่างนั้น...อย่างนี้ คนที่ฟังหลายคนก็เชื่อโดยไม่ได้ดูความเป็นจริง คนเราน่ะลูกต้องหัดฟังหูไว้หู จะเชื่ออะไรต้องมีเหตุผล ยิ่งเราเป็นเจ้าคนนายคนด้วยแล้ว เรายิ่งควรที่จะพิจารณาทุกอย่างอย่างรอบคอบถี่ถ้วน เพราะถ้าเราเชื่ออะไรผิดๆแล้วก็ ประเทศชาติอาจจะย่ำแย่ลงได้โดย‘ความเชื่อ’ของเรา” พระสุรเสียงนุ่ม มีแววอ่อนโยน เอื้ออาทรเต็มเปี่ยม
“หญิงจะจำไว้ค่ะ” พระธิดาตอบด้วยความหนักแน่น ลึกซึ้งในพระทัย
“คงหิวแล้วสิ ไป...ไปกินข้าวกับพ่อ”
ยามใดที่สองพ่อลูกอยู่ด้วยกันตามลำพัง ยามนั้นยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายจะถูกลบออกไป...
ทันทีที่สองพระองค์เสด็จประทับยังโต๊ะเสวย เครื่องเช้าอันประกอบด้วย ขนมปังปิ้งโรยผงชินนาม่อนเพิ่มกลิ่นหอม แฮม ไส้กรอก ซุปหัวหอม และนมสดหนึ่งแก้ว ก็ถูกนำขึ้นถวาย
“หญิงไม่ชอบหัวหอม” พระธิดาทำพระพักตร์ไม่พอพระทัย เอ่ยต่อด้วยเสียงขุ่น “ใครทำ...จะจับตัดมือทิ้งเสีย”
ราชารูเพิร์ตสรวลดังลั่นห้องเสวย พระสุรเสียงที่รับสั่งต่อมีแววสรวลเล็กน้อย
“นั่นซี่...ทำให้ลูกหญิงไม่พอใจ น่าจะจับมาตัดมือให้หมดทั้งห้องเครื่อง”
ถ้อยรับสั่งทำให้บรรดามหาดเล็กและข้าหลวงประจำห้องเครื่อง หน้าซีดเผือดราวกับไก่ต้ม หัวใจตกไปถึงตาตุ่ม รีบถวายคำนับขอพระราชทานอภัยโทษกันยกใหญ่...ประโยคถัดมาถึงทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย 
“แต่ถ้าจับมาตัดทิ้งหมดแล้วเก๊าะไม่มีใครทำอะไรให้กินน่ะซี่”
“หญิงไม่สนเพคะ หาใหม่ได้” พระธิดาหายอมความไม่
“อ้าวๆแล้วกัน ถ้าเราไปจับตัดมือหมด ใครจะกล้ามาทำล่ะลูก”
เมื่อเจ้าหญิงทรงเงียบพระราชาจึงเอ่ยคำตัดสิน
“งั้นเอาเป็นว่าคราวนี้ยกโทษให้ แล้วถ้ามีคราวหน้าอีกจะไม่ตัดแค่มือ แต่จะตัดทั้งมือทั้งหัวด้วย...ดีไหมลูก”
เงียบ...
“เอาซุปหัวหอมไปเปลี่ยนมาซิ ขอเป็นซุปเห็ดแทนแล้วกัน”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“งอนได้งอนดี พ่อก็โอ๋ทุกครั้ง เฮ้อ มา...หญิงอยากได้อะไรว่ามาสิลูก”
เท่านั้นแหละสีพระพักตร์ก็เปลี่ยนเป็นแย้มสรวล
“หญิงอยากไปเที่ยวในเมืองเพคะ”
พระราชาส่ายพระพักตร์
“อย่าดีกว่าลูก ระยะนี้เราจะทำอะไรต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ การเข้าไปในเมืองที่คนพลุกพล่าน ไม่รู้ว่าใครเป็นเป็นใคร ย่อมเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีน่ะหญิง”
“หญิงจะปลอมตัวไปเพคะ รับรองไม่มีใครจับได้เด็ดขาด”
“ถ้าอย่างนั้น...ให้เซเรส โอฟีเลีย และอมิเลียไปด้วย”
พระบิดาเอ่ยอย่างอ่อนใจ ดวงพักตร์ขาวใส คม พยักยุกยิกรับคำเป็นมั่นเหมาะ
เมืองลูเวอร์ริช เมืองหลวงแห่งประเทศฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ คึกคักไปด้วยผู้คนเช่นเคย ไม่มีวี่แววของประเทศที่การเมืองสั่นคลอนแม้แต่น้อย สามสาวกับหนึ่งหนุ่ม เดินไปทางโน้นทีทางนี้ทีราวกับจะสำรวจทุกซอกมุมของตลาด หญิงสาวสวยที่เดินนำหน้า ท่าทางตื่นเต้นสนุกสนาน หยิบจับสิ่งของต่างๆไปทั่ว
“ดูนี่ซิ อมิเลียหวีสับอันนี้แปลกจังเลย...สวยดี...เราชอบ”
ได้ยินดังนั้นพ่อค้าอาหรับที่รอท่าอยู่แล้วรีบเอ่ยสมทบขึ้นมาทันที
“ฮัดชาช่า อ้า!...คุณหนูท่านนี้ช่างตาถึงจริงๆขอรับ นี่เป็นหวีสับโบราณที่มีคุณค่า และความงามเหมาะกับคุณหนูมากเลยน่ะขอรับ สนใจไหมขอรับ แค่ 1,500 ดีเซีย เท่านั้นเองน่ะขอรับ”
ที่จริงหวีสับอันนี้มิใช่ของโบราณเลย และราคาต้นทุนก็เพียงแค่ 200 ดีเซียเท่านั้น แต่เมื่อมีโอกาสเหล่าพ่อค้าก็รีบโขกสับ
เจ้าหญิงแองเจลล่า...ที่บัดนี้คือคุณหนูแองเจล หยิบหวีสับอันแสนจะโบราณตามปากพ่อค้าขึ้นมาลอง จากนั้นก็เอ่ยถามคนอื่นเสียงใส
“เป็นไง...เหมาะไหม”
พ่อค้าอาหรับไม่รอช้ารีบเอ่ยขึ้นก่อนคนอื่นจะออกความเห็น
“โอ้!อัลเลาะห์ งามมากขอรับ เหมาะสมจริงๆราวกับมันทำมาเพื่อคุณหนูโดยเฉพาะเชียวขอรับ อย่างนี้แล้วกระผมจะขายมันให้คนอื่นอีกได้ไงขอรับ ในเมื่อมันพบเจ้าของที่เหมาะสมอย่างแท้จริงแล้ว”
“งั้นเชียวรึ เห็นแก่ท่าน เราเอาอันนี้”
รับสั่งเสร็จก็เสด็จนำลิ่วจากไปทิ้งให้ผู้ติดตามจ่ายเงินและรับของ ราชองครักษ์หนุ่มต้องรีบจ้ำเท้าตามไม่ปล่อยให้องค์หญิงพระองค์น้อยคลาดสายตาแม้แต่ชั่วพริบตาเดียว
ฝูงชนเริ่มแน่นขนัดขึ้นเรื่อยๆขณะที่คุณหนูแองเจลเดินฝ่าเข้าไปชมการแสดงกายกรรมและกลจากประเทศจีน แปบเดียวคุณหนูก็ห่างออกไปโดยมีฝูงชนกั้นไว้ ทำให้เซเรสต้องรีบแหวกทางตามติดเข้าไปใกล้ ขณะที่โอฟีเลีย และอมิเลีย ไม่สามารถตามเข้าไปได้จึงรออยู่ข้างนอก
เมื่อคุณหนูมาถึงหน้าเวที...พิธีกรก็กำลังประกาศหาผู้ชมขึ้นมาแสดงเป็นผู้ช่วยจำเป็นพอดี
“เราเป็นเอง”
คำเอ่ยออกมาจากปากก่อนที่ราชองครักษ์ซึ่งพึ่งแหวกฝูงชนมาถึงจะห้ามไว้ได้ทัน
“เอาละครับ คุณหนูสุดสวยท่านนี้จะมาเป็นผู้ช่วยในการแสดงมายากลให้ท่านชม เชิญขึ้นมาบนเวทีเลยครับ จากนั้นหยิบหมวกสีดำให้นักมายากลของเราครับ”
คุณหนูสุดสวยก้าวเท้าขึ้นไปหยิบหมวกยื่นให้นักมายากลตามที่พิธีกรบอก ขณะที่นักมายากลชรากำลังร่ายคาถาใส่หมวกอยู่นั่นเอง พลันก็มีลูกธนูหนึ่งดอกพุ่งมาจากด้านหลังโดยไม่ทันมีใครสังเกตเห็น เสียงเชียร์จากคนจำนวนมากทำให้ราชองครักษ์ไม่ได้ยินเสียงธนูดอกนั้น...จนกระทั่งมันปักเข้าที่ไหล่ซ้ายของคุณหนูแองเจล!
“เจ้าหญิง!”
เลือดสีแดงฉานไหลอาบลงมาเป็นสายตามพระกรเรียว ฝูงชนแตกตื่นกระจัดกระจาย เซเรสรีบกระโดดขึ้นไปบนเวทีพอดีกับที่ธนูอีกดอกพุ่งตรงมายังเป้าหมาย ก่อนถูกฟันขาดเป็นสองเสี่ยงด้วยคมดาบของราชองครักษ์หนุ่ม‘เซเรส’ ชั่วขณะเดียวกับที่วรร่างของเจ้าหญิงล้มลงในอ้อมแขนของนางข้าหลวง
“ไป!...รีบพาเจ้าหญิงขึ้นม้า...กลับวัง เร็ว!”
เซเรสตะโกน สายตาแลกวาดไปทั่วมองหาคนร้าย นางข้าหลวงทั้งสองช่วยกันอุ้มพระวรกายขึ้นทรงม้าอย่างชักช้า เนื่องจากปราศจากแรง ร้อนถึงคนเป็นราชองครักษ์ต้องรีบลงมาทำแทน
เสียงควบม้าดังสนั่น องครักษ์หน้าประตูวังพยายามเพ่งพิศมองฝ่าไปในความสลัวยามอาทิตย์อัสดง เสียงตะโกนดังลั่นมาก่อนที่ม้าจะมาถึงประตูวัง
“เปิดประตูเร็ว! เจ้าหญิงแองเจลล่าถูกธนูยิง”
สิ้นคำสั่ง โดยไม่รอช้า...ประตูราชวังถูกเปิดออกพอดีกับที่อาชาไนยซึ่งควบมาเต็มฝีเท้าผ่านเข้าไป
“เป็นไงบ้างหมอ”
กระแสรับสั่งร้อนรนพระทัย ขณะทอดพระเนตรคณะแพทย์หลวงที่ถูกระดมมาทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือพระธิดา ผ่าลูกธนูออกจนเสร็จ และพันบาดแผลเรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้พระอาการยังทรงตัวอยู่ ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน คาดว่าน่าจะไม่มีปัญหาพระเจ้าค่ะ เพราะบาดแผลอยู่บริเวณที่ไม่เป็นอันตราย...ที่พระองค์สลบอยู่เพราะความทรงตกใจ และเสียเลือดมากเท่านั้นพระเจ้าค่ะ ต้องให้นางข้าหลวงทำความสะอาดบาดแผลทุกวัน และทานยาที่กระหม่อมจัดถวายอย่างต่อเนื่อง พระอาการก็จะฟื้นตัวกลับมาเร็วพระเจ้าค่ะ”
คำรายงานทำให้พระราชาถอนพระทัยอย่างโล่งใจ ถ้าหากว่าลูกธนูดอกนั้นเลื่อนต่ำลงมากว่านั้นเพียงคืบเดียวล่ะก็ ชีวิตน้อยๆที่เปรียบดุจแก้วตาดวงใจของพระองค์คงต้องดับสูญเป็นแน่แท้ ความคิดนั้นทำให้ห้วงคำนึงย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อน ยามที่พระราชินีผู้เป็นที่รักยังคงมีพระชนม์ ยามที่ทั้งครอบครัวมีความสุข ประเทศชาติสงบร่มเย็น ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่อย่างผาสุก จวบจนกระทั่งข่าวร้ายที่มาพร้อมกับม้าเร็วมาถึง
“ขอถวายข่าวด่วนจากชายแดนตะวันตกพระเจ้าค่ะ”
ถ้อยความในสารที่ทำให้ทรงตะลึงงัน แม้จะล่วงเลยมานานถึง 6 ปี แต่ถ้อยคำเหล่านั้นยังจารึกแน่นในพระทัย
‘ขณะนี้ประเทศเครเนเยฟได้ร่วมมือกับจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์ บุกเข้ามาถึงหน้าด่านชายแดนด้านตะวันตกแล้วพระเจ้าค่ะ ขอกำลังเสริมจากทัพหลวงโดยด่วนพระเจ้าค่ะ
และพร้อมๆกันนั้น ข่าวจากทัพเรือที่ประจำการอยู่ทะเลทางใต้ก็ถูกส่งขึ้นมาถวายรายงาน
กองเรือที่ 2 ประจำทัพเรือถูกทำลายยับเยินแล้วพระเจ้าค่ะ เนื่องจากทัพเรือของประเทศเกรแฮมเบลล์บุกแบบสายฟ้าแลบ ทางเราเลยมิทันได้ป้องกันตัว ขอพระบรมราชานุญาติให้ใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรโต้ตอบพระเจ้าค่ะ เนื่องจากขณะนี้กองกำลังทางฝ่ายเราเหลือน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดพระเจ้าค่ะ’
ด้วยมีข้าศึกขนาบทั้งซ้ายและล่าง ทำให้ประเทศที่รักสงบแห่งนี้จำเป็นต้องเข้าสู่ห้วงสงคราม ที่ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล ทั้งต่อประเทศชาติ และตัวพระองค์เอง เมื่อราชินีผู้เป็นที่รักยิ่งต้องลาจากโลกนี้ไป สาเหตุแห่งสงครามมิใช่อื่นใด นอกจากความต้องการในทรัพยากรที่มีอย่างมหาศาลในประเทศนี้ เพชร และถ่านหิน!
“ฝ่าบาทกระหม่อมขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ไปสอบถามพระเจ้าค่ะ”
เสียงจากราชองครักษ์ปลุกให้ทรงตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความทรงจำ
“นำไปรอที่ห้องข้างๆ เดี่ยวฉันถามเอง”
ร่างบางบนเก้าอี้ดูท่าทางหวาดวิตก จนกระทั่งเสด็จเข้าไปร่างนั้นจึงสะดุ้งตัวยืนขึ้นราวกับติดสปริงก่อนย่อตัวถอนสายบัวด้วยอาการเก้ๆกังๆ พระราชาโบกพระหัตถ์ทีหนึ่ง ก่อนประทับบนพระที่นั่ง แต่ร่างบางยังคงยืนด้วยความประหม่าอยู่เช่นเดิม
“นั่งลงเสียเถิด เห็นทีเราคงมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว”
ร่างบางถวายบังคมอีกครั้งก่อนนั่งลง
“ว่ามา” ทรงเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นว่าหญิงสาวสงบสติอารมณ์ตัวเองได้
“คือ...เกล้ากระหม่อมฉันเห็นเพคะ คนที่ยิงลูกธนูใส่เจ้าหญิงแองเจลล่า”
“ใคร!”
หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแบบแม่ค้า“เป็นคนใส่ชุดคลุมยาวเพคะ ยาวจนถึงข้อเท้าเลยเพคะ แถมยังมีฮู้ดหลังปิดบังใบหน้าด้วยเพคะ ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่เกล้ากระหม่อมฉันทราบเพคะว่าเป็นผู้หญิง เพราะร่างของเธอช่างสะโอดสะอง ผิวขาวราวหิมะ ตอนที่เธอวิ่งชนเกล้ากระหม่อมฉัน เกล้ากระหม่อมฉันสังเกตเห็นแขนซ้ายของเธอเพคะ เป็นรูปดอกสโนว์ดร็อปเพคะ”
“ดอกสโนว์ดร็อปงั้นรึ! ไม่น่าเป็นไปได้...เจ้าแน่ใจน่ะ”
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกเพคะ ต่อให้มองเห็นชั่วพริบตาหม่อมฉันก็จำรอยสักนั้นได้ไม่มีวันลืมเพคะ ดอกสโนว์ดร็อปที่บานกลับหัว”
พระราชาทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าเห็นอย่างอื่นอีกไหม หรือว่ามีใครอีกที่น่าสงสัย”
“ไม่มีแล้วน่ะเพคะ หม่อมฉันเห็นผู้หญิงคนนี้แหละเพคะที่น่าสงสัยที่สุด”
“ขอบใจมาก ไปได้”
หญิงสาวมีท่าทีอึกอักลังเลเล็กน้อย ทำให้พระราชาต้องเบือนพระพักตร์กลับมาทอดพระเนตรอีกครั้งหนึ่ง
“มีอะไรที่เจ้ายังไม่ได้บอกงั้นรึ”
“เอ่อ คือข่าวสาร...เอ่อ” น้ำเสียงหญิงสาวตะกุกตะกัก
“อ้อ...เข้าใจล่ะ เรื่องเงินสิน่ะ เดี่ยวไปบอกมหาดเล็กหน้าประตูแล้วกัน”
สีหน้าหญิงสาวเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มยอบตัวถอนสายบัว “ขอบพระทัยมากเพคะ”
และทันทีที่หญิงสาวออกไป พระสุรเสียงแข็งกร้าวก็ดังขึ้น “เซเรส” 
“พระเจ้าค่ะ”
“ให้คนไปตามนายพลมาร์กมา ด่วน!”
ห้องพระอักษรเป็นสีขาวครีมกรุด้วยลวดลายวิจิตรสีทองอร่าม พื้นห้องปูด้วยพรมแดงหนานุ่ม เครื่องเรือนเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำทั้งหมดตัดกับสีผนังห้องได้เป็นอย่างดี ร่างสูงเดินกลับไปกลับมาหน้าโต๊ะพระอักษรซึ่งพระราชากำลังประทับอยู่
“ไม่น่าเป็นไปได้พระเจ้าค่ะ...ไม่น่าเป็นไปได้”
เสียงพึมพำจากร่างสูงดังขึ้น พระราชารูเพิร์ตประสานพระหัตถ์เกยพระทนุอันเป็นพระลักษณะประจำขณะครุ่นคิด
“เราเห็นด้วย แต่หากมีพยานเอ่ยปากถึงก็น่าเชื่อถือไม่ใช่น้อย”
นายพลมาร์กหยุดนิ่งหน้าพระพักตร์ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าใช้ต่อหน้าพระราชา 
“ทรงไว้ใจผู้หญิงคนนั้นหรือพระเจ้าค่ะ สโนว์ดร็อปสัญลักษณ์แห่งราชสำนักยูการ์ ประเทศที่พระราชินีเคยดำรงพระยศเป็นเจ้าหญิงมาก่อน แม้ว่าจะมีพรมแดนทางเหนือติดกับทั้งเครเนเยฟและเรา แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะลงมือสังหารเจ้าหญิงแองเจลล่าผู้มีสายเลือดยูการ์”
“อืม...นั่นสินะ...แต่ทางโน้นเขาจะคิดแบบเรารึเปล่าล่ะ...มาร์ก ในเกมการเมืองไม่มีมิตรแท้หรอก ถ้าคำที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเป็นความจริงแล้วล่ะก็...ปัญหาใหญ่...ปัญหาใหญ่ทีเดียว”
ทรงหยุดไว้เพียงแค่นั้น สีพระพักตร์ครุ่นคิด
“มาร์ก ยังจำข้อเสนอที่ทางจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์ยื่นมาได้ไหม”
“พระเจ้าค่ะ ที่เสนอให้ทางเราส่งเจ้าหญิงแองเจลล่า ไปเป็นพระคู่หมั้นกับเจ้าชาย ริเดียน เดอซ์ เบลารุส”
“ไม่แน่นะ...เราอาจจะต้องทำตามนั้นก็เป็นได้”
“แต่เจ้าหญิงไม่ทรงโปรด” นายพลเอ่ยอย่างผู้รู้ดีราวกับเป็นบิดาคนที่สองแห่งเจ้าหญิงแองเจลล่า ฟรานซ์ โจเซฟ แมริแอน บุคคลที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
   
“ข้ารู้” เสียงของราชารูเพิร์ตแฝงไปด้วยแววเจ็บปวด “แต่...การเสียสละส่วนน้อย เพื่อช่วยเหลือส่วนรวมถือ...เป็นทางที่ดีที่สุด”
   
ทรงเงียบไปชั่วอึดใจ นอกพระบัญชรเมฆขาวขุ่นกระจายไปทั่วท้องฟ้า อย่างที่เป็นเสมอก่อนหิมะจะตก พายุหิมะแรกที่ตั้งเค้าขึ้นพร้อมๆกับพายุการเมือง ทรงถอนพระปัสสาสะ เนิ่นนาน ก่อนเอ่ยเรียบๆราวกับผู้ตัดสินใจแน่แล้ว
   
“ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามสงครามจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าจำเป็น...เราก็ต้องทำ”
ผู้เป็นสหายคนสนิทถวายคำนับ มิใช่เพื่อแสดงความเคารพเยี่ยงทุกครั้ง แต่เป็นการแสดงความนับถือที่บุรุษ พึงกระทำต่อเอกบุรุษ
******************************************************************************************
จบไปแล้วสำหรับตอนแรกที่อาจจะยาวไปซักนิด เพราะยังกะไม่ถูกว่าควรเขียนบทละกี่หน้าของword ดี รุ่นพี่คนไหนทราบก็ช่วยแนะแนวทางให้ด้วยนะค้า ยังไงๆก็ขอแรงใจจากเพื่อนๆนักอ่านนักเขียนทุกคนด้วยนะค้า ขอบคุณค่ะ     
‘ไหนจ๊ะ หญิงอยากได้อะไรพ่อให้หมดเลย’
‘หญิงไม่อยากไปเรียน...หญิงอยากอยู่กับเด็จพ่อ’
‘โอ๋ๆ หญิงไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปนะจ๊ะ...ให้ไปตามครูมาสอนที่วังซิ’
‘จำไว้นะจ๊ะหญิง ไม่ว่าอะไรพ่อจะตามใจหญิงทุกอย่างเลย’
   
“องค์หญิงแองเจลล่าน่ะหรอ ต๊าย!...เธอ เอาแต่ใจตัวเองสุดๆเชียวล่ะ มีแต่พระนมเท่านั้นแหละที่ทนไหว”
   
“แหม...เธอนี่ ก็พระองค์น่ะโดนเอาอกเอาใจ ตามใจมาตั้งแต่พระราชินีเสียน่ะซี่ มันถึงได้เป็นขนาดนี้น่ะ”
   
“จุ๊ๆ...นี่พวกเธอไม่กลัวหัวหลุดจากบ่ากันหรอ มานินทาเชื้อพระวงศ์อยู่อย่างเนี่ย ต่อให้ไม่กลัวคนอื่นได้ยินก็หัดกลัวขี้กลากขึ้นปากซะบ้างนะย่ะ”
“อุ๊ย...ได้เวลาตื่นบรรทมแล้ว ไปกันเร็ว ขืนเตรียมน้ำสรงช้าละโดนพระนมบ่นยาว”
“ชั้นต้องไปเตรียมเครื่องเช้าด้วย แย่จริง ไม่รู้ว่าจะทรงโปรดซุปเห็ดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เที่ยวที่แล้วไม่โปรดซุปหัวหอม โดนเอ็ดกันตั้งแต่ห้องเครื่องไปยันคนจ่ายตลาดโน้นแน่ะเธอ”
“นี่พวกเธอนั่นน่ะ อย่าวิ่งกันบนระเบียงซิจ๊ะ...ไม่งาม ยิ่งเขตพระราชฐานด้วยแล้ว ทำตัวให้สมกับเป็นข้าหลวงหน่อยซิจ๊ะ” เสียงพระนมเอ่ยมาจากหน้าห้องบรรทม
“ประทานโทษค่ะพระนม เรากลัวว่าจะมาเตรียมน้ำสรงช้าน่ะค่ะ” นางข้าหลวงสองคนหยุดหอบหายใจขณะพูด
“โถ โถ่ ทูลหม่อมแก้วของนม มีข้าหลวงแย่ๆอย่างนี้มิน่าละถึงทรงบอกว่าไม่ค่อยโปรด” พระนมทำท่าส่ายหน้าน้อยๆก่อนหันมาเจ้ากี้เจ้าการต่อ
“พวกหล่อนๆน่ะ มัวยืนนิ่งกันอยู่ทำไมล่ะจ๊ะ ป่านนี้ทูลหม่อมแก้วคงจะตื่นบรรทมแล้ว เดี่ยวจะทรงรอนานวันนี้พระราชาทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าแต่เช้าเสียด้วยสิ เร็วๆกันหน่อยน่ะ”
“อรุณสวัสดิ์เพคะองค์หญิง”
เสียงนางข้าหลวงทั้งสองกล่าวพร้อมกันขณะยอบตัวถอนสายบัวอย่างงดงามอ่อนช้อยอันเป็นที่โปรดปรานของพระองค์
“หม่อมฉันจะเตรียมน้ำสรงนะเพคะ วันนี้แบบไหนดีเพคะ”
“ขอเป็นแบบไม่มีฟอง ใส่กลีบกุหลาบด้วยนะ”
ขณะยันพระองค์ลุกขึ้นยืนยังไม่วายสั่งต่อ “เอาแบบอุ่นกำลังดีนะจ๊ะ ถ้าร้อนเกินหมอบอกว่าเดี่ยวผิวเสีย”
“เพคะ”
กลิ่นกุหลาบหอมกำจายไปทั่ว ขณะที่นางข้าหลวงทั้งสองกำลังเกล้าพระเกศาสีน้ำตาลทองยาวสลวยให้เป็นก้นหอยคลุมด้วยผ้าลูกไม้สีขาว ก่อนเสียบด้วยดอกกุหลาบขาวแรกแย้มอีก 5ดอก ฉลองพระองค์สีชมพูลูกไม้ขาวทำให้ทรงดูอ่อนหวานเยาว์ชันษา เข้ากับผิวกายชมพูใสผุดผ่อง แม้ว่าจะทรงมีพระอุปนิสัยเอาแต่ใจตนเอง แต่ก็ทรงมีจิตใจงดงาม นางข้าหลวงทุกคนต่างรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี แต่ก็อดไม่ได้ที่จะนินทาเพื่อสร้างสีสันให้กับชีวิต
“อมิเลีย เดี่ยวช่วยบอกห้องเครื่องด้วยนะจ๊ะ ว่าฉันไม่ทานข้าวเช้า วันนี้จะไปทานกับเด็จพ่อที่วังใหญ่”
“เพคะฝ่าบาท”
“ส่วนโอฟีเลีย ช่วยไปบอกมหาดเล็กทีว่าวันนี้ไม่ต้องเตรียมรถม้า เตรียมแค่ดัชเชสอิซาเบลล่าก็พอ”
“เพคะ”
อิซาเบลล่าเป็นม้าที่ทรงได้รับพระราชทานจากองค์ราชินีในวันประสูติครบรอบ 10 ชันษา ด้วยเป็นของขวัญพระราชทานชิ้นสุดท้ายจากองค์ราชินี ม้าสีขาวสะอาดและอุปนิสัยเรียบร้อยตัวนี้จึงเป็นที่โปรดปรานมากจนได้รับตำแหน่งดัชเชส
“มานี่มาอิซาเบลล่า ต้องใส่อานให้เจ้าเร้ววว”
แต่แล้วม้าสีขาวที่แสนงามสง่าก็ดันเอา กีบเท้ายันไว้กับพื้นยืนนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน
“โอ๊ย! มันไม่ยอมเดินทำไงดีเนี่ย” นางข้าหลวงส่งเสียงโอดครวญ ร้อนถึงมหาดเล็กต้องมาสอนให้
“ก็บอกแล้วว่าจะทำให้เองก็ไม่เชื่อ ดันอยากมาทำเองซะนี่ ดัชเชสอิซาเบลล่าน่ะต้องพูดด้วยให้สมกับยศของท่าน เข้าใจม่ะ”
โอฟิเลียพยักหน้าบ่นงึมงำก่อนเดินไปหาท่านดัชเชสอีกครั้ง
“เชิญทางนี้นะคะดัชเชสอิซาเบลล่า ต้องใส่พระที่ให้องค์หญิงประทับนั่งนะคะท่าน”
ได้ผล...ดัชเชสอิซาเบลล่ายอมก้าวเท้าเดินแต่โดยดี ตลอดเวลาทุกท่วงท่ามีแต่ความ‘เชิด’ และความเรียบร้อยง่ายดายจนเหลือเชื่อ ที่เค้าว่าสัตว์ก็มีความหยิ่งทะนงน่ะชักน่าเชื่อถือขึ้นมาแล้ว
ระยะทางจากตำหนักแฮร์ริ่งโบลล์ถึงวังใหญ่เพียง 6 กิโลเมตรเท่านั้น เนื่องจากว่าพระราชาไม่ต้อง การให้พระธิดาอยู่ห่างเกินไป หากจะให้อยู่ในวังใหญ่ก็ผิดราชประเพณี
ระเบียงยาวติดสวนประดับประดาไปด้วยกุหลาบเลื้อยหลากสี ที่แข่งกันออกดอกส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว กลิ่นกุหลาบ...กลิ่นที่พระราชินีทรงโปรดมากที่สุด และหลังจากที่สวรรคต กลิ่นนี้ก็กลายเป็นกลิ่นโปรดของพระราชารูเพิร์ต ฟรานซ์ โจเซฟ หลุยซ์ที่ 5 และเจ้าหญิงแองเจลล่า ฟรานซ์ โจเซฟ แมริแอน
ประตูห้องสุดปลายทางระเบียงเปิดแง้มไว้เล็กน้อย มีเพียงมหาดเล็กคนสนิทเท่านั้นที่เฝ้าอยู่หน้าบานทวาร
“เด็จพ่อเรียกหญิงมาเฝ้าแต่เช้า...”
เสียงใสๆดังขึ้นและหยุดกึกลงเมื่อเห็น‘เด็จพ่อ’ กำลังสนทนาอย่างเป็นการเป็นงานอยู่กับนายพล มาร์ก ผู้บัญชาการทหารและเสนาบดีกลาโหมคนปัจจุบัน
“อ้าวหญิง มาพอดีเลย เรากำลังพูดคุยถึงเรื่องของหญิงพอดี”
“เรื่องอะไรหรือเพคะเด็จพ่อ”
เจ้าหญิงองค์น้อยกล่าวขณะเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้า ‘เด็จพ่อ’ ก่อนย่อตัวลงถอนสายบัว พร้อมๆกับนายพลมาร์กใช้มือขวาแตะอกน้อมลงถวายคำนับแก่ผู้เป็นเจ้าหญิง
“เรื่องกบฏพระเจ้าค่ะ”
“เอ๊ะ! แล้วเรื่องกบฏมาเกี่ยวอะไรกับเราด้วยงั้นรึท่านนายพล”
“เกี่ยวด้วยอย่างแน่นอนพระเจ้าค่ะ กบฏในครั้งนี้เป็นกลุ่มที่มีคนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และยังเพียบพร้อมด้วยยุทโธปกรณ์มากมาย ทางเรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกมันจะบุกมาเมื่อไหร่ เนื่องจากสายของเราถูกกีดกันอยู่แต่วงนอก ไม่สามารถเข้าร่วมในการประชุมใหญ่ๆได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเจ้าหญิง พระองค์ควรจะทรงลี้ภัยออกนอกประเทศซักพักจนกว่าเหตุการณ์จะสงบพระเจ้าค่ะ”
สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงแองเจลล่าเผือดลงเล็กน้อย “แล้วเสด็จพ่อล่ะ”
“พ่อจะอยู่ที่นี่”
“ไม่เพคะ หญิงจะไม่ไปไหนถ้าเด็จพ่อไม่ไปด้วย เด็จพ่อไปกับหญิงนะเพคะ...นะเพคะ”
“หญิง! อย่าเอาแต่ใจตัวเอง”
พระธิดาสะดุ้งองค์เล็กน้อยเมื่อทรงถูกตวาดเป็นครั้งแรก พระบิดาทรงเอ่ยต่อด้วยเสียงเรียบ
“พ่อเป็นทั้งพ่อและเจ้าแผ่นดินน่ะลูก ถ้าเจ้าแผ่นดินทิ้งแผ่นดินของตนหนีไป แล้วประชาชนและผืนแผ่นดินที่เราปกป้องล่ะลูก จะเป็นยังไง หญิงโตแล้วควรคิดถึงเรื่องนี้นะลูก ทั้งความรู้สึกของประชาชนที่ฝากความหวังไว้กับเราและเทิดทูนเราขึ้นมาเหนือเขา เพื่อดูแลปกป้องเขา อันเป็นหน้าที่ของพ่อในฐานะพระราชา และในฐานะที่พ่อเป็นพ่อ พ่ออยากให้หญิงปลอดภัย เพราะหญิงเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจดวงเดียวของพ่อ แต่พ่อก็ตามหญิงไปไม่ได้ หญิงอยากให้พ่อเป็นพระเจ้าแผ่นดินขี้ขลาดหรือ?”
“ไม่เพคะ” พระสุรเสียงที่เอ่ยดูหนักแน่น“หญิงรักเด็จพ่อมากที่สุด หญิงเหลือแต่เด็จพ่อคนเดียวตั้งแต่เด็จแม่สิ้นใจ หญิงก็จะอยู่ที่นี่กับเสด็จพ่อเพคะ เสด็จพ่อพูดถูกเพคะ เราไม่ควรทิ้งแผ่นดินเราไป หญิงจะยืนหยัดอยู่ที่นี่เคียงคู่เสด็จพ่อเพคะ”
ผู้เป็นทั้งเสนาบดีกลาโหมและผู้บัญชาการทหารอมยิ้มเล็กน้อยอย่างเอ็นดู
“ท่านนายพล ตอนนี้เหตุการณ์ถึงขั้นไหนแล้ว” เจ้าหญิงแองเจลล่าทรงเบือนพระพักตร์มารับสั่งเอาจริงเอาจัง
“ตอนนี้เหตุการณ์ยังไม่ร้ายแรงมากพระเจ้าค่ะ ทางเรายังไม่ทราบตัวการหลักที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่สายเราได้ข่าวลือมาว่าประเทศเครเนเยฟได้ให้การสนับสนุนเบื้องหลังกบฏกลุ่มนี้ แต่ข่าวลือย่อมเอาแน่เอานอนด้วยไม่ได้พระเจ้าค่ะ แต่ถ้าหากเป็นจริงแล้วเหตุการณ์นี้คงจะวุ่นวายไม่ใช่น้อยพระเจ้าค่ะ”
“การที่จะส่งคนไปปราบกบฏก็ไม่ได้ เพราะกบฏย่อมมีคนเป็นหลัก ถ้าจะปราบก็ต้องปราบตัวหลัก ถ้าไปใช้กำลังกับเหล่าเบี้ยทั้งหลายแล้วล่ะก็ จะมีเบี้ยอีกหลายตัวทีเดียวที่จะเพิ่มขึ้นมาเพราะความไม่พอใจ เพราะเราขาดหลักฐานที่ยืนยันได้แน่นอน แถมตอนนี้เราก็ยังไม่มีหลักฐานจับตัวหลักด้วยเช่นกัน”
ถ้อยดำรัสแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถ ทำให้พระราชาสรวลเล็กน้อย
“ไม่เสียแรงที่ให้เรียนการปกครอง”
“นั่นซิพระเจ้าค่ะ”
“หญิง...พ่อรู้ว่าหญิงรักแผ่นดินนี้มากเท่าๆกับตัวเอง และหญิงก็อยากอยู่กับพ่อ ตอนนี้พ่อไม่ว่า แต่ถ้าเกิดอะไรที่ร้ายแรงแล้วหญิงสัญญากับพ่อได้ไหมว่าหญิงจะลี้ภัย”
“เพคะ”  ด้วยความคิดที่ว่าอะไรที่ ‘ร้ายแรง’ นั้นไม่มีวันเกิดขึ้น จึงทำให้องค์หญิงพระองค์น้อยรับคำอย่างง่ายดาย
มหาดเล็กหน้าประตูเคาะบานทวารเล็กน้อย ก่อนคำนับลง
“เครื่องเช้าพร้อมแล้ว จะให้ตั้งโต๊ะเสวยเลยไหมพระเจ้าค่ะ”
พระราชาทรงพยักพระพักตร์ครั้งหนึ่งตามแบบทหาร
“หญิงกินอะไรมารึยังลูก”
“ยังเพคะ”
“ดี งั้นเดี่ยวไปทานเครื่องเช้ากับพ่อ มาร์กทานด้วยกัน”
รับสั่งพลางเบือนพระพักตร์มาทางร่างสูงที่เริ่มมากด้วยวัย ผู้เป็นสหายสนิทซึ่งเคยเข้าฝึกทหารและร่วมรบกันมาหลายสมรภูมิ
“กระหม่อมทานมาแล้วพระเจ้าค่ะ”
“อ้าว!... งั้นไม่เป็นไร ท่านนายพลไปพักผ่อนเถอะ อยู่มาทั้งคืนแล้ว เดี่ยวต้องเหนื่อยอีกทั้งวัน”
“ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”
ร่างสูงคล้ำในชุดเต็มยศถวายคำนับพระราชาทีหนึ่ง เจ้าหญิงทีหนึ่ง ก่อนเดินตัวตรงอย่างทหารออกไป ทันทีที่เสียงประตูปิดลง เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้นทันควัน
“ทำไมถึงมีคนก่อกบฏกันนะคะ พ่อดูแลประเทศได้อย่างสงบสุขดีนี่นา หญิงไม่เข้าใจ”
“บางครั้งน่ะหญิง การจะก่อการใดก็ตามมันอยู่ที่คนเป็นตัวการจะพูดให้เป็นอย่างนั้น...อย่างนี้ คนที่ฟังหลายคนก็เชื่อโดยไม่ได้ดูความเป็นจริง คนเราน่ะลูกต้องหัดฟังหูไว้หู จะเชื่ออะไรต้องมีเหตุผล ยิ่งเราเป็นเจ้าคนนายคนด้วยแล้ว เรายิ่งควรที่จะพิจารณาทุกอย่างอย่างรอบคอบถี่ถ้วน เพราะถ้าเราเชื่ออะไรผิดๆแล้วก็ ประเทศชาติอาจจะย่ำแย่ลงได้โดย‘ความเชื่อ’ของเรา” พระสุรเสียงนุ่ม มีแววอ่อนโยน เอื้ออาทรเต็มเปี่ยม
“หญิงจะจำไว้ค่ะ” พระธิดาตอบด้วยความหนักแน่น ลึกซึ้งในพระทัย
“คงหิวแล้วสิ ไป...ไปกินข้าวกับพ่อ”
ยามใดที่สองพ่อลูกอยู่ด้วยกันตามลำพัง ยามนั้นยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายจะถูกลบออกไป...
ทันทีที่สองพระองค์เสด็จประทับยังโต๊ะเสวย เครื่องเช้าอันประกอบด้วย ขนมปังปิ้งโรยผงชินนาม่อนเพิ่มกลิ่นหอม แฮม ไส้กรอก ซุปหัวหอม และนมสดหนึ่งแก้ว ก็ถูกนำขึ้นถวาย
“หญิงไม่ชอบหัวหอม” พระธิดาทำพระพักตร์ไม่พอพระทัย เอ่ยต่อด้วยเสียงขุ่น “ใครทำ...จะจับตัดมือทิ้งเสีย”
ราชารูเพิร์ตสรวลดังลั่นห้องเสวย พระสุรเสียงที่รับสั่งต่อมีแววสรวลเล็กน้อย
“นั่นซี่...ทำให้ลูกหญิงไม่พอใจ น่าจะจับมาตัดมือให้หมดทั้งห้องเครื่อง”
ถ้อยรับสั่งทำให้บรรดามหาดเล็กและข้าหลวงประจำห้องเครื่อง หน้าซีดเผือดราวกับไก่ต้ม หัวใจตกไปถึงตาตุ่ม รีบถวายคำนับขอพระราชทานอภัยโทษกันยกใหญ่...ประโยคถัดมาถึงทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อย 
“แต่ถ้าจับมาตัดทิ้งหมดแล้วเก๊าะไม่มีใครทำอะไรให้กินน่ะซี่”
“หญิงไม่สนเพคะ หาใหม่ได้” พระธิดาหายอมความไม่
“อ้าวๆแล้วกัน ถ้าเราไปจับตัดมือหมด ใครจะกล้ามาทำล่ะลูก”
เมื่อเจ้าหญิงทรงเงียบพระราชาจึงเอ่ยคำตัดสิน
“งั้นเอาเป็นว่าคราวนี้ยกโทษให้ แล้วถ้ามีคราวหน้าอีกจะไม่ตัดแค่มือ แต่จะตัดทั้งมือทั้งหัวด้วย...ดีไหมลูก”
เงียบ...
“เอาซุปหัวหอมไปเปลี่ยนมาซิ ขอเป็นซุปเห็ดแทนแล้วกัน”
“เพคะ ฝ่าบาท”
“งอนได้งอนดี พ่อก็โอ๋ทุกครั้ง เฮ้อ มา...หญิงอยากได้อะไรว่ามาสิลูก”
เท่านั้นแหละสีพระพักตร์ก็เปลี่ยนเป็นแย้มสรวล
“หญิงอยากไปเที่ยวในเมืองเพคะ”
พระราชาส่ายพระพักตร์
“อย่าดีกว่าลูก ระยะนี้เราจะทำอะไรต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ การเข้าไปในเมืองที่คนพลุกพล่าน ไม่รู้ว่าใครเป็นเป็นใคร ย่อมเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีน่ะหญิง”
“หญิงจะปลอมตัวไปเพคะ รับรองไม่มีใครจับได้เด็ดขาด”
“ถ้าอย่างนั้น...ให้เซเรส โอฟีเลีย และอมิเลียไปด้วย”
พระบิดาเอ่ยอย่างอ่อนใจ ดวงพักตร์ขาวใส คม พยักยุกยิกรับคำเป็นมั่นเหมาะ
เมืองลูเวอร์ริช เมืองหลวงแห่งประเทศฟรานซ์ โจเซฟ แลนด์ คึกคักไปด้วยผู้คนเช่นเคย ไม่มีวี่แววของประเทศที่การเมืองสั่นคลอนแม้แต่น้อย สามสาวกับหนึ่งหนุ่ม เดินไปทางโน้นทีทางนี้ทีราวกับจะสำรวจทุกซอกมุมของตลาด หญิงสาวสวยที่เดินนำหน้า ท่าทางตื่นเต้นสนุกสนาน หยิบจับสิ่งของต่างๆไปทั่ว
“ดูนี่ซิ อมิเลียหวีสับอันนี้แปลกจังเลย...สวยดี...เราชอบ”
ได้ยินดังนั้นพ่อค้าอาหรับที่รอท่าอยู่แล้วรีบเอ่ยสมทบขึ้นมาทันที
“ฮัดชาช่า อ้า!...คุณหนูท่านนี้ช่างตาถึงจริงๆขอรับ นี่เป็นหวีสับโบราณที่มีคุณค่า และความงามเหมาะกับคุณหนูมากเลยน่ะขอรับ สนใจไหมขอรับ แค่ 1,500 ดีเซีย เท่านั้นเองน่ะขอรับ”
ที่จริงหวีสับอันนี้มิใช่ของโบราณเลย และราคาต้นทุนก็เพียงแค่ 200 ดีเซียเท่านั้น แต่เมื่อมีโอกาสเหล่าพ่อค้าก็รีบโขกสับ
เจ้าหญิงแองเจลล่า...ที่บัดนี้คือคุณหนูแองเจล หยิบหวีสับอันแสนจะโบราณตามปากพ่อค้าขึ้นมาลอง จากนั้นก็เอ่ยถามคนอื่นเสียงใส
“เป็นไง...เหมาะไหม”
พ่อค้าอาหรับไม่รอช้ารีบเอ่ยขึ้นก่อนคนอื่นจะออกความเห็น
“โอ้!อัลเลาะห์ งามมากขอรับ เหมาะสมจริงๆราวกับมันทำมาเพื่อคุณหนูโดยเฉพาะเชียวขอรับ อย่างนี้แล้วกระผมจะขายมันให้คนอื่นอีกได้ไงขอรับ ในเมื่อมันพบเจ้าของที่เหมาะสมอย่างแท้จริงแล้ว”
“งั้นเชียวรึ เห็นแก่ท่าน เราเอาอันนี้”
รับสั่งเสร็จก็เสด็จนำลิ่วจากไปทิ้งให้ผู้ติดตามจ่ายเงินและรับของ ราชองครักษ์หนุ่มต้องรีบจ้ำเท้าตามไม่ปล่อยให้องค์หญิงพระองค์น้อยคลาดสายตาแม้แต่ชั่วพริบตาเดียว
ฝูงชนเริ่มแน่นขนัดขึ้นเรื่อยๆขณะที่คุณหนูแองเจลเดินฝ่าเข้าไปชมการแสดงกายกรรมและกลจากประเทศจีน แปบเดียวคุณหนูก็ห่างออกไปโดยมีฝูงชนกั้นไว้ ทำให้เซเรสต้องรีบแหวกทางตามติดเข้าไปใกล้ ขณะที่โอฟีเลีย และอมิเลีย ไม่สามารถตามเข้าไปได้จึงรออยู่ข้างนอก
เมื่อคุณหนูมาถึงหน้าเวที...พิธีกรก็กำลังประกาศหาผู้ชมขึ้นมาแสดงเป็นผู้ช่วยจำเป็นพอดี
“เราเป็นเอง”
คำเอ่ยออกมาจากปากก่อนที่ราชองครักษ์ซึ่งพึ่งแหวกฝูงชนมาถึงจะห้ามไว้ได้ทัน
“เอาละครับ คุณหนูสุดสวยท่านนี้จะมาเป็นผู้ช่วยในการแสดงมายากลให้ท่านชม เชิญขึ้นมาบนเวทีเลยครับ จากนั้นหยิบหมวกสีดำให้นักมายากลของเราครับ”
คุณหนูสุดสวยก้าวเท้าขึ้นไปหยิบหมวกยื่นให้นักมายากลตามที่พิธีกรบอก ขณะที่นักมายากลชรากำลังร่ายคาถาใส่หมวกอยู่นั่นเอง พลันก็มีลูกธนูหนึ่งดอกพุ่งมาจากด้านหลังโดยไม่ทันมีใครสังเกตเห็น เสียงเชียร์จากคนจำนวนมากทำให้ราชองครักษ์ไม่ได้ยินเสียงธนูดอกนั้น...จนกระทั่งมันปักเข้าที่ไหล่ซ้ายของคุณหนูแองเจล!
“เจ้าหญิง!”
เลือดสีแดงฉานไหลอาบลงมาเป็นสายตามพระกรเรียว ฝูงชนแตกตื่นกระจัดกระจาย เซเรสรีบกระโดดขึ้นไปบนเวทีพอดีกับที่ธนูอีกดอกพุ่งตรงมายังเป้าหมาย ก่อนถูกฟันขาดเป็นสองเสี่ยงด้วยคมดาบของราชองครักษ์หนุ่ม‘เซเรส’ ชั่วขณะเดียวกับที่วรร่างของเจ้าหญิงล้มลงในอ้อมแขนของนางข้าหลวง
“ไป!...รีบพาเจ้าหญิงขึ้นม้า...กลับวัง เร็ว!”
เซเรสตะโกน สายตาแลกวาดไปทั่วมองหาคนร้าย นางข้าหลวงทั้งสองช่วยกันอุ้มพระวรกายขึ้นทรงม้าอย่างชักช้า เนื่องจากปราศจากแรง ร้อนถึงคนเป็นราชองครักษ์ต้องรีบลงมาทำแทน
เสียงควบม้าดังสนั่น องครักษ์หน้าประตูวังพยายามเพ่งพิศมองฝ่าไปในความสลัวยามอาทิตย์อัสดง เสียงตะโกนดังลั่นมาก่อนที่ม้าจะมาถึงประตูวัง
“เปิดประตูเร็ว! เจ้าหญิงแองเจลล่าถูกธนูยิง”
สิ้นคำสั่ง โดยไม่รอช้า...ประตูราชวังถูกเปิดออกพอดีกับที่อาชาไนยซึ่งควบมาเต็มฝีเท้าผ่านเข้าไป
“เป็นไงบ้างหมอ”
กระแสรับสั่งร้อนรนพระทัย ขณะทอดพระเนตรคณะแพทย์หลวงที่ถูกระดมมาทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือพระธิดา ผ่าลูกธนูออกจนเสร็จ และพันบาดแผลเรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้พระอาการยังทรงตัวอยู่ ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อน คาดว่าน่าจะไม่มีปัญหาพระเจ้าค่ะ เพราะบาดแผลอยู่บริเวณที่ไม่เป็นอันตราย...ที่พระองค์สลบอยู่เพราะความทรงตกใจ และเสียเลือดมากเท่านั้นพระเจ้าค่ะ ต้องให้นางข้าหลวงทำความสะอาดบาดแผลทุกวัน และทานยาที่กระหม่อมจัดถวายอย่างต่อเนื่อง พระอาการก็จะฟื้นตัวกลับมาเร็วพระเจ้าค่ะ”
คำรายงานทำให้พระราชาถอนพระทัยอย่างโล่งใจ ถ้าหากว่าลูกธนูดอกนั้นเลื่อนต่ำลงมากว่านั้นเพียงคืบเดียวล่ะก็ ชีวิตน้อยๆที่เปรียบดุจแก้วตาดวงใจของพระองค์คงต้องดับสูญเป็นแน่แท้ ความคิดนั้นทำให้ห้วงคำนึงย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อน ยามที่พระราชินีผู้เป็นที่รักยังคงมีพระชนม์ ยามที่ทั้งครอบครัวมีความสุข ประเทศชาติสงบร่มเย็น ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่อย่างผาสุก จวบจนกระทั่งข่าวร้ายที่มาพร้อมกับม้าเร็วมาถึง
“ขอถวายข่าวด่วนจากชายแดนตะวันตกพระเจ้าค่ะ”
ถ้อยความในสารที่ทำให้ทรงตะลึงงัน แม้จะล่วงเลยมานานถึง 6 ปี แต่ถ้อยคำเหล่านั้นยังจารึกแน่นในพระทัย
‘ขณะนี้ประเทศเครเนเยฟได้ร่วมมือกับจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์ บุกเข้ามาถึงหน้าด่านชายแดนด้านตะวันตกแล้วพระเจ้าค่ะ ขอกำลังเสริมจากทัพหลวงโดยด่วนพระเจ้าค่ะ
และพร้อมๆกันนั้น ข่าวจากทัพเรือที่ประจำการอยู่ทะเลทางใต้ก็ถูกส่งขึ้นมาถวายรายงาน
กองเรือที่ 2 ประจำทัพเรือถูกทำลายยับเยินแล้วพระเจ้าค่ะ เนื่องจากทัพเรือของประเทศเกรแฮมเบลล์บุกแบบสายฟ้าแลบ ทางเราเลยมิทันได้ป้องกันตัว ขอพระบรมราชานุญาติให้ใช้ยุทธวิธีแบบกองโจรโต้ตอบพระเจ้าค่ะ เนื่องจากขณะนี้กองกำลังทางฝ่ายเราเหลือน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดพระเจ้าค่ะ’
ด้วยมีข้าศึกขนาบทั้งซ้ายและล่าง ทำให้ประเทศที่รักสงบแห่งนี้จำเป็นต้องเข้าสู่ห้วงสงคราม ที่ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล ทั้งต่อประเทศชาติ และตัวพระองค์เอง เมื่อราชินีผู้เป็นที่รักยิ่งต้องลาจากโลกนี้ไป สาเหตุแห่งสงครามมิใช่อื่นใด นอกจากความต้องการในทรัพยากรที่มีอย่างมหาศาลในประเทศนี้ เพชร และถ่านหิน!
“ฝ่าบาทกระหม่อมขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ไปสอบถามพระเจ้าค่ะ”
เสียงจากราชองครักษ์ปลุกให้ทรงตื่นขึ้นมาจากห้วงแห่งความทรงจำ
“นำไปรอที่ห้องข้างๆ เดี่ยวฉันถามเอง”
ร่างบางบนเก้าอี้ดูท่าทางหวาดวิตก จนกระทั่งเสด็จเข้าไปร่างนั้นจึงสะดุ้งตัวยืนขึ้นราวกับติดสปริงก่อนย่อตัวถอนสายบัวด้วยอาการเก้ๆกังๆ พระราชาโบกพระหัตถ์ทีหนึ่ง ก่อนประทับบนพระที่นั่ง แต่ร่างบางยังคงยืนด้วยความประหม่าอยู่เช่นเดิม
“นั่งลงเสียเถิด เห็นทีเราคงมีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว”
ร่างบางถวายบังคมอีกครั้งก่อนนั่งลง
“ว่ามา” ทรงเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นว่าหญิงสาวสงบสติอารมณ์ตัวเองได้
“คือ...เกล้ากระหม่อมฉันเห็นเพคะ คนที่ยิงลูกธนูใส่เจ้าหญิงแองเจลล่า”
“ใคร!”
หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแบบแม่ค้า“เป็นคนใส่ชุดคลุมยาวเพคะ ยาวจนถึงข้อเท้าเลยเพคะ แถมยังมีฮู้ดหลังปิดบังใบหน้าด้วยเพคะ ถึงแม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่เกล้ากระหม่อมฉันทราบเพคะว่าเป็นผู้หญิง เพราะร่างของเธอช่างสะโอดสะอง ผิวขาวราวหิมะ ตอนที่เธอวิ่งชนเกล้ากระหม่อมฉัน เกล้ากระหม่อมฉันสังเกตเห็นแขนซ้ายของเธอเพคะ เป็นรูปดอกสโนว์ดร็อปเพคะ”
“ดอกสโนว์ดร็อปงั้นรึ! ไม่น่าเป็นไปได้...เจ้าแน่ใจน่ะ”
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่อีกเพคะ ต่อให้มองเห็นชั่วพริบตาหม่อมฉันก็จำรอยสักนั้นได้ไม่มีวันลืมเพคะ ดอกสโนว์ดร็อปที่บานกลับหัว”
พระราชาทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าเห็นอย่างอื่นอีกไหม หรือว่ามีใครอีกที่น่าสงสัย”
“ไม่มีแล้วน่ะเพคะ หม่อมฉันเห็นผู้หญิงคนนี้แหละเพคะที่น่าสงสัยที่สุด”
“ขอบใจมาก ไปได้”
หญิงสาวมีท่าทีอึกอักลังเลเล็กน้อย ทำให้พระราชาต้องเบือนพระพักตร์กลับมาทอดพระเนตรอีกครั้งหนึ่ง
“มีอะไรที่เจ้ายังไม่ได้บอกงั้นรึ”
“เอ่อ คือข่าวสาร...เอ่อ” น้ำเสียงหญิงสาวตะกุกตะกัก
“อ้อ...เข้าใจล่ะ เรื่องเงินสิน่ะ เดี่ยวไปบอกมหาดเล็กหน้าประตูแล้วกัน”
สีหน้าหญิงสาวเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มยอบตัวถอนสายบัว “ขอบพระทัยมากเพคะ”
และทันทีที่หญิงสาวออกไป พระสุรเสียงแข็งกร้าวก็ดังขึ้น “เซเรส” 
“พระเจ้าค่ะ”
“ให้คนไปตามนายพลมาร์กมา ด่วน!”
ห้องพระอักษรเป็นสีขาวครีมกรุด้วยลวดลายวิจิตรสีทองอร่าม พื้นห้องปูด้วยพรมแดงหนานุ่ม เครื่องเรือนเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำทั้งหมดตัดกับสีผนังห้องได้เป็นอย่างดี ร่างสูงเดินกลับไปกลับมาหน้าโต๊ะพระอักษรซึ่งพระราชากำลังประทับอยู่
“ไม่น่าเป็นไปได้พระเจ้าค่ะ...ไม่น่าเป็นไปได้”
เสียงพึมพำจากร่างสูงดังขึ้น พระราชารูเพิร์ตประสานพระหัตถ์เกยพระทนุอันเป็นพระลักษณะประจำขณะครุ่นคิด
“เราเห็นด้วย แต่หากมีพยานเอ่ยปากถึงก็น่าเชื่อถือไม่ใช่น้อย”
นายพลมาร์กหยุดนิ่งหน้าพระพักตร์ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยมีผู้ใดกล้าใช้ต่อหน้าพระราชา 
“ทรงไว้ใจผู้หญิงคนนั้นหรือพระเจ้าค่ะ สโนว์ดร็อปสัญลักษณ์แห่งราชสำนักยูการ์ ประเทศที่พระราชินีเคยดำรงพระยศเป็นเจ้าหญิงมาก่อน แม้ว่าจะมีพรมแดนทางเหนือติดกับทั้งเครเนเยฟและเรา แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะลงมือสังหารเจ้าหญิงแองเจลล่าผู้มีสายเลือดยูการ์”
“อืม...นั่นสินะ...แต่ทางโน้นเขาจะคิดแบบเรารึเปล่าล่ะ...มาร์ก ในเกมการเมืองไม่มีมิตรแท้หรอก ถ้าคำที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเป็นความจริงแล้วล่ะก็...ปัญหาใหญ่...ปัญหาใหญ่ทีเดียว”
ทรงหยุดไว้เพียงแค่นั้น สีพระพักตร์ครุ่นคิด
“มาร์ก ยังจำข้อเสนอที่ทางจักรวรรดิเกรแฮมเบลล์ยื่นมาได้ไหม”
“พระเจ้าค่ะ ที่เสนอให้ทางเราส่งเจ้าหญิงแองเจลล่า ไปเป็นพระคู่หมั้นกับเจ้าชาย ริเดียน เดอซ์ เบลารุส”
“ไม่แน่นะ...เราอาจจะต้องทำตามนั้นก็เป็นได้”
“แต่เจ้าหญิงไม่ทรงโปรด” นายพลเอ่ยอย่างผู้รู้ดีราวกับเป็นบิดาคนที่สองแห่งเจ้าหญิงแองเจลล่า ฟรานซ์ โจเซฟ แมริแอน บุคคลที่เขาเห็นมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
   
“ข้ารู้” เสียงของราชารูเพิร์ตแฝงไปด้วยแววเจ็บปวด “แต่...การเสียสละส่วนน้อย เพื่อช่วยเหลือส่วนรวมถือ...เป็นทางที่ดีที่สุด”
   
ทรงเงียบไปชั่วอึดใจ นอกพระบัญชรเมฆขาวขุ่นกระจายไปทั่วท้องฟ้า อย่างที่เป็นเสมอก่อนหิมะจะตก พายุหิมะแรกที่ตั้งเค้าขึ้นพร้อมๆกับพายุการเมือง ทรงถอนพระปัสสาสะ เนิ่นนาน ก่อนเอ่ยเรียบๆราวกับผู้ตัดสินใจแน่แล้ว
   
“ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามสงครามจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าจำเป็น...เราก็ต้องทำ”
ผู้เป็นสหายคนสนิทถวายคำนับ มิใช่เพื่อแสดงความเคารพเยี่ยงทุกครั้ง แต่เป็นการแสดงความนับถือที่บุรุษ พึงกระทำต่อเอกบุรุษ
******************************************************************************************
จบไปแล้วสำหรับตอนแรกที่อาจจะยาวไปซักนิด เพราะยังกะไม่ถูกว่าควรเขียนบทละกี่หน้าของword ดี รุ่นพี่คนไหนทราบก็ช่วยแนะแนวทางให้ด้วยนะค้า ยังไงๆก็ขอแรงใจจากเพื่อนๆนักอ่านนักเขียนทุกคนด้วยนะค้า ขอบคุณค่ะ     
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น