ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE LAST DYNASTY

    ลำดับตอนที่ #4 : งานวันเกิดที่ริมหน้าผา

    • อัปเดตล่าสุด 1 เม.ย. 48


        ท่ามกลางลมแรงๆของช่วงปลายฤดูฝนอันสดใส่ สองหนุ่มได้ขึ้นมาสูดอากาศยามเช้าพร้อมกับนั่งนับดาวยันพระอาทิตขึ้น ล่าสุดเวลาเจ็ดโมงสิบห้ามันเริ่มจะนับเมฆกันแล้ว

        

                    “ไคร์ อย่าอู้ๆ ช่วยๆกันหน่อย”



        ไซคีพูดเร่ง พร้อมกับใช้มืองัดกระเบื้องที่แตกโยนวืดออกไปจากหลังคา ก่อนจะใช้กระเบื้อที่กองอยู่ข้างตัวใส่ลงไปแทน



        “ขอพักหน่อยซิ..ฉันแบกกระเบื้องขึ้นมาให้แกกี่สิบรอบแล้ว”ไคร์พูดอย่างไม่ใส่ใจ เอาแต่นอนมองฟ้าสูบบุหรี่พรุยอยู่ได้ “ว่าแต่

    แกเหอะ ใส่ชุดไปรเวทเป็นด้วยหรอวะ”เขาถามถึงชุดที่ไซคีใส่อยู่ เพราะมันไม่ได้ใส่ชุดดำฮูดดำน่ารำคาญตาเหมือนเคย แต่ใส่เสื้อคอเต่าสี

    แดงเข้ม คลุมทับด้วยเสื้อโค้ชสีดำตัวใหญ่ ที่ไม่รู้ว่ามันขี้หนาวหรือยังไง เพราะอากาศที่ดูตอนเช้าก็แค่....สิบห้าองศาเอง ไม่หนาวหรอก ส่วน

    ผมที่ยาวถึงกลางหลังก็มัดรวบไว้ต่ำๆเหมือนเคย แต่ที่แปลกก็คือวันนี้มันใส่แว่นกรอบสีเหลี่ยมขึ้นมาด้วย ไม่ยั้กกะรู้ว่ามันสายตาไม่ดี หรือจะ

    ไม่ดีตั้งแต่เรียนหนักที่โคเทียน่าก็ไม่ทราบ แต่ปรกติก็เห็นมันยืนตาใสทั้งวัน



        “คนน่ะ ไม่ใช่ศพได้ใส่อยู่ชุดเดียว”ไซคีพูดเถียงๆ และงัดกระเบื้องขึ้นอีกแผ่นก่อนจะร่อนวืดเฉียดกระบาลไอ้คนนอนสบายอย่าง

    จงใจ “ทำงาน”



        “เออ ทำก็ทำ”ไคร์ลุกขึ้น และเดินเข้าไปช่วยมันงัดกระเบื้อง แต่มันกลับบอกว่า



        “ไป ชิ่วๆ ไปทำที่อื่น”มันไล่



        “อ้าว”



        “ถ้าไม่งั้นก็เลิกสูบซะ ฉันเกลียดบุหรี่”



        “นี่คนหรือหมาเนี่ย ลมแรงขนาดนี้ยังได้กลิ่นบุหรี่อีก”



        “หมาละกัน เลิกสูบ ไม่งั้นก็ไปทำที่อื่น”ไซคีตัดบท ไคร์เลยต้องคีบบุหรี่แล้วดีดมันลงไปจากหลังคา ก่อนจะก้มหน้างัดกระเบื้องให้

    มันเอากระเบื้องแผ่นใหม่ใส่  



        “เพิ่งรู้น่ะว่าหมาบ้านนายมุงหลังคาเก่ง”



        “อย่ากวนๆ เดี๋ยวตีนหมาจะเสยตกไปตีนเขา นี่ๆอยากลองมั้ย”ว่าแล้วหมาก็ดึงกระบาลคนให้ชะเง้อมองลงไปที่ตีนเขา ก่อนจะดึง

    มันกลับมา “เล่นอยู่ได้ หลังคาก็ใหญ่มโหฬารเป็นบ้าเลย แถมยังห้ามใช้เวทซ่อมอีก ชาตินี้จะเสร็จมั้ยเนี่ย”



        “งั้นแกก็ลองทำอีกชาติดิ”



        “งั้นแกจบชีวิตชาตินี้ก่อนเลยละกัน”แล้วหมาก็ยกค้อนขึ้นขู่ “ทำไป”



        “หวัดดีทั้งสองคน”



        “หวัดดี”ทั้งสองหันไปทักทายกับเฟิร์นที่เดินขึ้นมาบนหลังคา พร้อมกับถุงกระดาษใบใหญ่



        “ท่านชาพอชให้เอาอาหารเช้ามาให้แนะ ฟรีด้วยน่ะ”เธอบอก ก่อนจะนั่งลงตั้งวงกับพวกเขา ก่อนจะหยิบกล่องข้าวสองกล่องออก

    มาจากถุงกระดาษ ตามด้วยขนมปังก้อนเท่าฝ่ามือในห่อกระดาษอีกสองก้อน พร้อมทั้งกล่องใส่เนยเล็กๆ และจบด้วยกระติดน้ำชา



        “ท่านชาพอชนี่เป็นผู้นำดีนะ”ไซคีพูดลอยๆ ก่อนจะยกกล่องข้าวขึ้นเปิดดู ผลคือข้างในเป็นข้าวผัดกะข้าวโพด “โธ่ ฉันไม่ชอบข้าว

    ผัดกับข้าวโพด”เขาพูดบ่นๆ ขณะที่ไคร์เปิดกล่องของตัวเองดู



        “เวรละซิ ของฉันเป็นข้าวผัดกับแครอท”เขาพูดเอือมๆ “แลกกันมั้ย”



        “ก็ดี”



        “เดี๋ยวก่อน”เฟิร์นขัดขึ้น “ท่านชาพอชฝากมาบอกด้วยว่าของที่มีอย่างละสองน่ะ อันหนึ่งเป็นอันที่พวกนายชอบ อีกอันพกนาย

    เกลียด เปิดได้อันไหนก็ให้เอาอันนั้น ห้ามเปลี่ยน”



        “ก็เขาไม่รู้นิ ถ้าเธอไม่บอก”ไซคีพูดดักคอ



        “ฉันน่ะไม่บอกหรอก แต่คิดดูเถอะเวลาพวกนายทำอะไรผิดเขาก็โผล่ไปจับพวกนายได้ทันที ทั้งที่ไม่มีใครคาบข่าวไปบอก แล้ว

    คิดว่าเขาจะจับไม่ได้อีกหรอคราวนี้นะ”



        “ขอบคุณที่เตือนสติ”ไซคีพูดนอบน้อมทำนองแหย่ ก่อนใช้ช้อนคนข้าวผัดของตัวเองอย่างเอือมละอา แล้วตักขึ้นมากินทีละปลาย

    ช้อน ปลายช้อน ผิดกับไคร์ที่โซ้ยเอาโซ้ยเอาไม่เข้าใจว่ามันมีลิ้นไว้พูดอย่างเดียวรึเปล่า



        “น่าสงสารจัง”ไซคีพูดถึงสีหน้าซีดๆของไคร์ที่มันไม่รู้ว่าจะซีดได้อีกรึเปล่า ปรกติเขาก็เรียกมันว่าไอ้หน้ากระดาษอยู่แล้ว “อ๋อ

    แล้วโบสยังอยู่ที่ปราสาทยอดเขาใช่มั้ย”



        “ใช่”เฟอร์นตอบ



        “แหมไกลจัง”เขาพูดบ่นๆ ก่อนจะจำใจโซ้ยข้าวให้หมดกล่อง มัวละเมียดละมัยขาดใจตายกันพอดี







        ในที่สุด อาหารก็โดนฟาดจนเกลี้ยง แม้ว่าขนมปังสองก้อนไคร์จะประทานแต่ผู้เดียว ไม่นับกระเบื้องที่ไซคีพระราชทานให้เป็น

    ของหวาน ข้อหาขโมยเนยเจ้าชาย แต่พอท่านเสร็จได้ไม่เท่าไหร่



        “จะแปดโมงแล้วนี่นา”เฟิร์นร้องขึ้น “นี่เรารีบลงกันเถอะ”



        “เออ จริงด้วย”ไคร์กระโดดลุกขึ้น ขณะที่เฟิร์นรีบเก็บกล่องข้าวกับเศษขณะใส่ในถุงกระดาษ



        “เดี๋ยวจัดการให้เอง รีบไปเรียนเถอะ”ไซคีบอก และเฝ้ามองไคร์ใช้เวทเดินตามเฟิร์นลงไป แต่ก่อนที่หัวเขาจะมิดหลังคา “ไคร์

    ตอนสามโมงถึงหกโมงเขาปล่อยเด็กเข้าไปในเมืองได้ใช่มั้ย”



        “ใช่”ไคร์หยุดตอบ



        “อือ ถามแค่นั้นหละ ไม่มีอะไร”ไซคีบอก ก่อนจะทิ้งตัวนอนมองฟ้า แต่ไคร์ยังยืนอยู่ที่เดิม



        “ไคร์!”



        เสียงเฟิร์นเรียกให้เขาต้องลงไปจนได้ ไซคี ถึงจะบอกว่าไม่มีอะไรก็เถอะ แต่ดูก็รู้ว่ามีแน่ๆ



        



        ทันทีที่เสียงระฆังยามสามโมงเย็นตีขึ้นครบสิบสองรอบ นักเรียนของทุกห้องก็พากับฮือของมาจากห้องเรียนเป็นผึ้งแตกรัง แต่ละ

    คนเดินโรยราตามทางเดินเพื่อกลับไปที่หอพัก แต่คงจะมีเพียงกลุ่มเดียวที่จุดหมายของพวกเขาอยู่ที่เมือง



        “จะไม่เอากระเป๋าไปเก็บก่อนหรอ”ยูถามขึ้น แต่ไคร์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ





        “จริงด้วย นายจะรีบไปไหน”โดโลเรสถามต่อ ใช่ปัจจุบันโดโลเรสก็เริ่มไว้ใจพวกเขาขึ้นมามั่งแล้ว หลังจากฮิวเสี่ยงตายขึ้นไปช่วยหล่อนบนหลังคาโรงเรียน ถึงแม้ว่าเธอจะยังไม่ชินกับเพื่อนใหม่อย่างไซคี แต่เธอก็ยืนยันแล้วว่าเธอไม่กลัวมันเท่าไหร่







        เพราะ เมื่อคืนนี้.......



        “โอ้ย ทำไมฉันโชคร้ายขนาดนี้.....แม่น่ะแม่”ไซคีเดินบ่นมาตลอดทาง กว่าจะมาถึงห้องของฮิว ที่ทุกคนลงความเห็นแล้วเหมาะที่

    สุดที่จะสุมหัวคุยกัน ดังนั้นแขกในห้องตอนนี้จึงมีตั้งแต่ไซคี เฟิร์น โดโลเรส และอีกสองหนุ่มเจ้าของห้อง คือฮิวและไคร์



        “บ่นๆ”ไคร์บ่นตามอีกคน ขณะที่ทุกคนพร้อมใจกันนั่งจัดกลุ่มกลางห้อง “เอ้า เข้าเรื่องซะที”



        “เออ ขั้นแรก ฉันต้องชำระความไอ้ฮิวก่อน”ไซคีพูด และกราดสายตาใส่ฮิวที่สะดุ้งสุดตัว “เพราะแกแท้ๆเลย ดันส่งจดหมายไป

    ปรึกษาแม่ฉันเรื่องโดโลเรสถูกอดีตคนในกลุ่มของแม่ตามล่า แม่เลยส่งจดหมายมาว่าให้ฉันเรียนต่อที่นี่ แล้วก็ทำงานดูแลโดโลเรสไปพร้อมๆ

    กัน ถ้าไม่ใช่ว่าแกจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าฉันไม่ทำหรอกน่ะ”



        “เอาน่า”ฮิวพูดปัดๆ เพราะคนทั้งห้องกำลังมองว่าไอ้หมอนี่มันจ้างใครตั้งแต่เมื่อไหร่



        “อะ เรื่องนั้นช่างมันเหอะ ไหนๆยังไงฉันก็ต้องเรียนต่ออยู่แล้ว”ไซคีพูดปัดไปหนึ่งเรื่อง ก่อนจะเริ่มเรื่องที่สอง “ทีนี่โดโลเรส พอจะ

    บอกฉันได้มั้ยว่าเจ้าหญิงเมเรน่าอยู่ที่ไหน”เขาถามขึ้นทันที  แต่โดโลเรสยังอ้ำอึ้งอยู่ ก่อนจะตอบว่า



        “ฉันไม่รู้”เธอตอบ “ฉันจำไม่ได้จริงๆ ฉะ- ฉันเสียความทรงจำของสิบเอ็ดเดือนก่อนทั้งหมดเลย ฉันจำได้แต่ว่าก่อนหน้านั้น...ไม่รู้

    ซิ นานมากแล้ว อาจจะนานมาๆ ประมารฉันอายุซัก...สิบห้า สิบหก เจ้าหญิงเคยบอกฉันว่าซันมาเนียเป็นประเทศเดียวที่ยินดีเปิดบ้านรับเจ้า

    หญิง  แต่ว่า...เรื่องก่อนหน้านั้นฉันจำไม่ได้จริงๆ มีคนบอกว่า...ฉันตกรถม้า หรืออะไรเนี่ยหละ”



        “ตกรถม้า?”



        “เขาบอกว่ารถมันพังเป็นชิ้นๆเลย แล้วพวกชาวบ้านเจอฉันนอนอยู่ใกล้ๆ”โดโลเรสเสริมอย่างร้อนใจ เหมือนกับเธอต้องการจะบอก

    ข้อมูลทั้งหมดเท่าที่ทำได้



        “งั้นฉันขอดูหน่อย”ไซคีลุกขึ้น และเดินลัดวงไปที่โดโดลเรส “ไม่ต้องกลัว แค่นั่งเฉยๆก็พอ”เขาบอก ก่อนจะเตะนิ้วลงบนหน้าผาก

    ของโดโลเรส แล้วไม่นานเขาก็ชักมือออกด้วยสีหน้าที่ปรงสังวร



        “เป็นไงมั่ง”ไคร์ถาม



        “โธ่...ถ้างั้นก็ผิดที่ฉันเองหละ”ไซคีตอบเบาๆ “ถ้าจะเสื่อมก็เสื่อมเพราะฉันเองหละ ฉันเป็นคนโจมตีรถม้าของเธอเอง เมื่อสอง

    เดือนก่อนละมั่ง”



        “เอ๋”



        “เดี๋ยวๆอย่าเพิ่งด่า”เขายกมือขึ้นห้ามสมาชิกที่สุมหัวก่อนที่มันจะอ้าปากด่าเขา “ถ้าพวกแกจะถามว่าทำไมฉันไม่เอาหล่อนกลับมา

    ด้วยละก็ ฟังก่อน คืองี้ ตอนที่ฉันโจมตีรถม้าเนี่ย ฉันกะจะให้แค่รถม้ามันล้มออกไปนอกถนนเท่านั้นเอง แต่ตอนที่มันลมทันกำลังจะชนต้นไม้

    ฉันก็เลยตัดมันเป็นชิ้นๆ เพื่อที่ว่าคนข้างในอย่างมากก็กระแทรกพื้นแค่ทีเดียว แต่ปรากฏว่า ไอ้องครักษ์ที่อารักขารถม้ามา มันเข้าใจว่าโดโล

    เรสที่นอนสลบอยู่ตายแล้ว ฉันก็เลยใช้ลมไล่มันไป แต่พอฉันเข้าไปดูโดโลเรสจริงๆ ปรากฏว่าเธอแค่สลบไป บาดแผลภายนอกก็ไม่มี ฉันก็

    เลยทิ้งเอาไว้ เพราะถ้าเป็นปรกติองครักษ์พวกนั้นมันต้องกลับมาเอาศพ แต่ฉันมารู้ข่าวอีกทีก็ตอนที่รายชื่อของเธอมันมาโผล่ในบัญชีรายชื่อ

    นักเรียนที่นี่ ก็หมายความว่าไอ้องครักษ์สองตัวนั้นมันไม่ได้กลับมาเอาตัวเธอไป แม่ฉันก็เลยให้ฉันมาตามตัวเธอกลับ ไม่งั้นก็เป็นอย่างที่เห็น

    นะหละ มีนักล่าทั่วทุกทิศอยากรู้ว่าเจ้าหญิงเมเรน่าตัวจริงอยู่ที่ไหน มันก็ต้องถามอดีตนกต่ออย่างเธอนะหละ”



        พอเล่าจบ ทุกคนก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จนไซคีเบาใจได้ว่าโอกาสที่เขาจะโดนด่าน้อยลงไปอีกหนึ่ง



        “แล้วจะทำไงต่อ”ฮิวถาม ขณะที่ไซคีเดินกลับไปนั่งที่เดิม



        “ฉันจะส่งจดหมายไปบอกแม่ว่าให้ส่งคนไปสืบที่ซันมาเนีย แล้วก็ให้ปล่อยข่าวด้วยว่าโดโลเรส แอนคาเซีย สารภาพกับฉันแล้วว่า

    เจ้าหญิงเมเรน่าอยู่ที่ซันมาเนีย แล้วถ้ามีนักล่าคนไหนมาอีกฉันจะเจรจาเอง”ไซคีตอบ ก่อนจะหันไปทางโดโลเรส “เอ้า ไหนๆนายจ้างเขาจ้าง

    มาแล้ว แถมยังจ่ายไปตั้งสองแสนพัมมิส ฉันจะดูแลเธอเองละกัน ไอ้บ้าอย่าคิดลึก”เขาหันไปแห้วใส่ฮิวที่ถลึงตามอง



        “แกก็อย่าใช้ศัพท์ให้ตกใจซิวะ”ฮิวบอก ไซคีส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจคน



        “อะ เริ่มตั้งแต่เสื้อผ้า ฉันจะให้แม่ส่งมาให้ละกันเดี๋ยวบอกขนาดมาก็พอ ค่าเทรมคงไม่ต้อง ค่ากินค่าใช้ค่าขนม แม่ก็ส่งมาพร้อม

    กับค่าขนมของฉันแล้ว เดี๋ยวจะให้เดือนละหนึ่งพันพัมมิสละกันน่ะ มีอะไรเพิ่มก็เบิกเอาที่ฉัน ส่วนอุปกรอื่นๆ อย่างผ้าเช็ดหน้าของใช้ส่วนตัวฉัน

    จะให้แม่ส่งมาให้เลยละกัน พรุ่งนี้คงได้ แล้วฉันว่าคงต้องซื้อชุดนักเรียนให้เธอใหม่ด้วย เพราะรอยขาดที่เกิดจากดาบแปดคมมันใช้เวทช่วยไม่

    ได้ พรุ่งนี้จะลงไปดูในเมืองให้ ส่วนดาบ....อืม ฉันให้แม่เลือกให้..ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปดูด้วยกันดีกว่า ตลาดกลางเมืองน่าจะมีที่ดีๆ

    ขาย”แล้วเขาก็นั่งพึมพำอยู่พักหนึ่งก่อนจะสรุปว่า “ทั้งหมดสามหมื่นห้าพันพัมมิส”แล้วก็แบมือไปที่ฮิว “ล้อเล่น สองแสนที่แกจ่ายไปก็เหลือ

    เฟือแล้ว”



        “แต่จะดีหรอ เราไม่รู้จักกันเลยน่ะ”โดโลเรสพูดอย่างแกรงใจ



        “พูดอย่างนี้ทำคนเขาเสียน้ำใจน่ะ”ไซคีพูดขึ้น “จะต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องถึงกับเป็นเพื่อหรอก ถ้าเราเจอนกปีกหักใกล้ตายแล้ว

    ต้องเข้าไปช่วย ช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้จบ เข้าใจรึยังละ เสียก็เสีย อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อเพื่อนละน่า”



        “ขอบใจมากน่ะ”โดโลเรสพูดกับทุกคนที่หัวเราะร่า



        “แล้วอีกอย่าง”ไซคีพูดขึ้น “นี่ก็งานสุดท้ายของฉันแล้วด้วย จบงานนี้ฉันต้องวางมือซะที”



        “อ้าว ทำไมละ”ไคร์ถาม



        “ฉันสัญญากับแม่ไว้แล้ว ว่าถ้าฉันอายุสิบแปดเมื่อไหร่ฉันก็ต้องวางมือ แล้วกลับไปเป็นเจ้าชายเหมือนเดิม”เขาตอบ “เฮ้ย ฮิวเป็น

    เจ้าชายในวังอย่างนายน่าเบื่อรึเปล่า”



        “ก็ลองดูเอาเองซิวะ”



        “เออ ไม่น่าถาม”ไซคีหัวเราะหึ “ช่างเหอะ วันนี้เหนื่อยแล้ว ฉันกลับไปนอนที่ห้องดีกว่า แล้วเตือนไว้ก่อนน่ะ ใครก็ตามห้ามเข้า

    ห้องฉันไม่งั้นจะฆ่าให้หมดทุกคนเลย”เขาพูดแหย่ๆ ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง



        “ไม่ต้องกลัวไอ้หมอนั่นหรอก”ฮิวบอกกับโดโลเรส “มันไม่ใช่คนที่ทำเพื่อนกันเองแล้วสบายใจหรอก มันไม่หักหลังใครง่ายๆ

    หรอก ต่อให้คอขาดบาดตาย สุดท้ายมันก็กลับมาช่วยเราอยู่ดี เชื่อเหอะ”



        “อือ”







        ใช่ นั่นหละเรื่องเมื่อวาน



        และในที่สุด ทุกคนก็ต้องยอมแบกกระเป๋านักเรียนตามไคร์มาเดินเล่นในเมืองจนได้ โดยตัวมันให้เหตุผลว่าถ้าถ่อขึ้นไปเก็บ

    กระเป๋าก็หมดไปตั้งสิบห้านาทีแล้ว แล้วพอสี่โมงเย็นทั้งมันทั้งฮิว เฟิร์นแล้วก็ไซคี(ที่ตอนนี้อยู่ไหนไม่รู้) ต้องไปทำงานใช้ชาติ เพราะงั้นก็ต้อง

    รีบเดินรีบกลับ



        “นี่ๆโดโลเรส ชุดนี้สวยมั้ย”เฟิร์นถามขึ้น และหญิงชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนขึ้นมาจากร้านขายเสื้อข้างทางเดิน



        “อืมสวย แต่ตัวไม่เล็กไปหรอ ถ้าเธอจะใส่น่ะ”โดโลเรสตอบ และเงยหน้าขึ้นมองเฟิร์นที่ตัวเธอสูงแค่ใบหูหล่อนเท่านั้น



        “ใครบอกว่าฉันใส่ ไซคีมันให้เงินฉันมาแล้ว บอกให้เลือกชุดให้เธอด้วย เพราะแม่มันบอกว่าคงหาซื้อ กันยากหน่อย มันเลยให้ฉัน

    หาให้เธอก่อนไง”เฟิร์นบอก ก่อนจะหยิบเสื้ออีกตัวขึ้นมาดู “อยากรู้จังว่าให้ไซคีเลือกมันจะเลือกชุดอะไรมาให้”



        “ก็เลือกชุดผู้หญิงมาให้น่ะซิ”



        “โอ...”เฟิร์นหันไปมองบุคคลที่สาม “จมูกไว หูไว ถ้าปากไวอีกอย่างละครบเลย”



        “หมาน่ะซิ”ไซคีต่อจนจบด้วยอารมณ์ขัน มือทั้งสองข้างของเขาหอบของไว้เต็มมือ



        “มาเดินนานรึยังเนี่ย”ไคร์ถาม ไซคีพยักหน้าหงึก



        “เจ้าชายชาพอชเขาอนุญาตให้ลงมาเดินเล่นก่อนสามโมงได้ เพราะหลังคาซ่อมเสร็จแล้ว”ไซคีตอบ ไคร์ร้องอ๋อก่อนจะร้องว๊าก



        “เสร็จแล้ว! เฮ้ยนี่นายคนหรือผี ทำได้ไง ซ่อมหลังคาคนเดียวเสร็จ”เขาถามอย่างตกใจ



        “ก็แค่งัดของเก่าออกแล้วเอาของใหม่ใส่มันยากอะไร”ไซคีตอบออย่างรำคาญใจ ก่อนจะก้มลงเลือกถุงกระดาษสองสามใบส่งให้โดโลเรส “อะนี่ ชุดนักเรียนใหม่ฉันซื้อให้แล้วน่ะ แล้วก็รองเท้ากับกระเป๋าใบใหม่ด้วย หนังสือบางเล่มที่ขาดฉันก็ซื้อให้แล้วน่ะ ถ้าไม่ครบก็บอกละกัน”เขาบอก ก่อนจะส่งห่อกระดาษบางๆยาวๆให้อีกอัน “ส่วนนี่ดาบที่ฉันยืมคนในบ้านมาให้ ฉันดูให้มันคล้ายกับดาบเล่มเก่าของเธอนะน่ะ ก็ใช้ไปพลางๆก่อน เพราะพวกพ่อค้าบอกว่าวันเสาร์จะมีดาบดีมาลงเยอะแยะ ก็เลยกะว่ามาดูอีกทีดีกว่า”



        “ขอบใจมากจ้ะ”โดโลเรสรับของทั้งหมดมา จนพอดูดีๆแล้ว ของของไซคีมีแค่ถุงใบเดียว กับช่อดอกไม้สวยๆอีกสองช่อเท่านั้น

    เอง



        “จะว่าไป แกไปยืมดาบมาได้ยังไงวะ”ฮิวถามอย่างใครรู้



        “บ้านฉันกับแคนโดร่าขี่ม้าแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว”ไซคีตอบ ที่แท้มันก็เด็กในพื้นที่นี่เอง



         “แล้วดอกไม้นั่น จะเอาไปให้สาวที่ไหนน่ะเจ้าชาย”ยูพูดอย่างล้อเลียน เพราะอันที่จริงไซคีมันเคยเรียนที่โซราเนียตอนปีสาม แต่

    ก็ลาออกในเวลาต่อมา



        “เดาเก่งนะเนี่ย”ไซคีหัวเราะคิก “ฉันไปก่อนละกัน นัดสาวไว้”เขาทิ้งท้าย ก่อนจะเดินจากไป แต่เมื่อมันลับตา



        “นิๆ ตามไปดูกันมั้ย”เฟิร์นพูดอย่างนึกสนุก ที่เพื่อนๆทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ว่าพวกเขาพร้อมที่จะนำความซวยมาสู่ตัวเอง

    ถ้าไซคีมันจับได้



        แต่ก็ไป



        ว่าแล้ว ห้าคนก็เดินตามไซคีไปห่างๆ กระทั่งไอ้หมอนั่นเดินกลับเข้าไปในโรงเรียน แต่เมื่อถึงห้องประชุมกลาง มันก็เลี้ยวออกไป

    ทางประตูสวนพฤกษา และเดินไปตามทางเดินในป่า ที่ลึกเข้าไปเรื่อยๆ แต่พวกเขาก็ยังตามกันได้อย่างเหนียวแน่น โดยที่ไซคีไม่ได้รู้ตัวเลย

    ว่ามีจิตอาฆาตห้าดวงกำลังลอยตามหลังอยู่ห่างๆ



        “โห นัดกันลึกขนาดนี้เขียว ต้องไปที่ทุ่งดอกไม้แน่ๆเลย”เฟิร์นพูดอย่างมั่นใจ แต่ไซคีกลับเดินไปที่ประตูของหอทางเดินโดยตรง

    ที่จะขึ้นไปที่ปราสาททิศตะวันออก แล้วมันก็เดินขึ้นไปตามโถงทางเดินที่ชันขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมีบันไดเป็นครั้งคราว จนยูต้องร้องเสียงหลงเมื่อ

    มองออกไปพบความสูงเสียดฟ้าของระดับภูเขาที่พวกเขาอยู่กัน แต่ไซคีก็ยังไม่หยุดเดินจนกระทั่งทางเดินสุดที่ประตูบานใหญ่ ที่เกาะสลักไว้

    อย่างสวยงาม



        “โบส...โบสนิ”ฮิวพูดเบาๆ ขณะที่ไซคีเปิดเข้าไปในโบสโดยไม่สนใจใคร



        “ไม่ได้ๆ”ไคร์บอกห้าม “ไปทางนี้ดีกว่า”เขาชี้ไปที่ทางแยกทางซ้ายมือ ที่เป็นทางไปสู่ประตูเล็ก



        ไม่ต้องให้ใครรอโหวดเสียง ทุกคนรีบเดินตามผู้นำทางไปที่ประตูข้างๆทันที และเข้าไปสู่ห้องรับแขกเล็กๆ  



        ไคร์เดินนำไปที่ประตูฝั่งตรงข้าม และแง้มมันเปิดออก เพื่อแอบดูความเป็นไปในห้องโถงใหญ่ในโบส ที่เป็นสีขาวทั้งห้อง และที่

    หน้าประรำพิธี ไซคีกำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้าบาทหลวงท่านหนึ่ง



        “สารภาพบาปจริงๆด้วย”ไคร์พูดขึ้นให้พอได้ยิน ถึงไซคีมันจะไม่สวดมนตร์ทุกวันศุกร์ต้นเดือน แต่มันก็สารภาพบาปสามสิบครั้ง

    ต่อปีละวะ



        แต่ไม่นานนัก การสารภาพบาปก็จบลง และไซคีวางดอกไม้ช่อหนึ่งลงที่เท้าของรูปปั้นหลังประรำพิธี แต่มันกลับถือดอกไม้อีก

    ช่อ ตรงไปที่ด้านหนึ่งของห้อง แล้วผลักบานหน้าต่างเปิดออก ก่อนจะปีนออกไป



        ทุกคนหันหน้ามามองกันอย่างพูดไม่ออก แต่ตัดสินใจได้ พวกเขาพากันเดินจ้ำอ้าวตรงไปที่หน้าต่างบานนั้น แล้วชะเง้อมองออก

    ไปเห็นหลังของไซคีแวบๆ ขณะที่มันกำลังเดินขาถี่ๆลงไปตามไหล่เขาที่ชันลงจนแทบจะตั้งฉาก



        “ไปก็ไปวะ ไม่ใช่ว่ามันจะฆ่าตัวตายน่ะ”ไคร์พูดกับตัวเอง ก่อนจะปีนหน้าต่างตามมันออกไปอีกคน ก่อนจะเซถลาเพราะลมที่แรง

    จัด ทำให้พวกที่เหลือต้องจำใจบ้าตามๆกันไป



        พวกเขาแอบไถลงไปตามไหล่เขา ที่มองไม่เห็นไซคีแล้วสู่พื้นที่นอนราบอีกครั้ง แม้วว่าจะอยู่สูงสุดๆ จนยูที่เป็นโรคกลัวความสูงอ่อนๆถึงกับหลับตาเดิน เพราะพื้นที่นอนราบที่ว่ามันเป็นพื้นที่ยาวที่กว้างแค่สิบกว่าเมตรเท่านั้นเอง แต่ความยาวของมันสุดที่ไหนก็ไม่แน่ เพราะต้นไม้น้อยใหญ่บังไว้จนมองข้างหน้าแทบไม่เห็น



        “นั่นไง”ฮิวชี้ไปที่แผ่นหลังที่เห็นอยู่ไกลๆของไซคี ไคร์จึงเดินนำทุกคนลุยป่าตามไปเงียบๆ และช้าๆ



        “เร็วๆซิ จะตามไม่ทันแล้วน่ะ”ยูบอกเร่งไคร์ผู้นำทาง ที่ตัดสินใจพากลุ่มหยุดที่หลังต้นไม้ใหญ่ เพราะต่อจากตรงนี้คือลานโล้ง

    เล็กๆ ที่เป็นปลายสุดของหน้าผาที่ดิ่งลงสู่พื้นเบื่อล่างสูงจนต้นไม้บนพื้นข้างล่างนั่นดูเลกยิ่งกว่าจมูกข้าว เสริมความโรเมนติกด้วยบ่อน้ำเล็กๆที่

    มีดอกบัวสีขาวขึ้นอยู่เต็มบ่อ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าไอ้มุมที่ลับตาคนมันจะมีของแบบนี้อยู่ด้วย



        ไซคีเดินช้าๆไปที่ป้ายศิลาขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ห่างจากจุดที่พวกถ้ำมองทั้งห้าอยู่ประมารเจ็ดเมตร และอยู่ห่างจากปลายหน้าผาแค่

    สองเมตรกว่า มันเป็นป้ายที่ดูเก่าเพราะตะไคร่น้ำจับเกือบทั้งชิ้น และยังมีช่อดอกไม้เหยี่ยวๆแห้งๆที่วางอยู่ตรงหน้าป้ายศิลา



        เขาถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับก้มลงหยิบช่อดอกไม้เอาเก่าออก ก่อนจะวางช่อดอกไม้ช่อใหม่ลงไป และยกมือขึ้นปาดตะไคร่น้ำ

    ที่ป้ายศิลาออก เผยให้เห็นรอยจารึกรางๆว่า



        แด่ เจ้าหญิง ควอเรีย แฟร์คอนเวอร์    



    “ใครหรอ”โดโลเรสกระซิบถามเฟิร์น



        “คือ... จริงๆแล้ว ไซเคอรันมีน้องสาวฝาแฝดอีกคน ชื่อควอเรียน แฟร์คอนเวอร์ แต่เพราะแต่ก่อนไซเคอรันเป็นเจ้าชายอันดับ

    หนึ่ง ทั้งที่เจ้าหญิงเทลล่าแม่ของไซคีเป็นเจ้าหญิงจากโคเทียน่า ทำให้ไซคีโดนรอบโจมตีบ่อยๆ กระทั่งหกปีก่อน คนร้ายก็ลงมือฆ่าไซเคอรัน

    แต่พ่อของไซคีเข้าปกป้อง แต่ก็โดนฆ่า แล้วคนร้ายก็ยังฆ่า ควอเรีย น้องสาวฝาแฝดของเขาไปด้วย โดยที่ตัวไซคีทำอะไรไม่ได้เลย หลังจาก

    นั้นไซคีก็สละราชสมบัติ ขอเป็นแค่เจ้าชายอันดับสี่ แล้วก็เดินทางไปเรียนเวทมนตร์กับคำสาปร้ายแรงที่โคเทียน่าในหลักสูตรรวบรัด ที่เรียน

    เร็วและหนัก แล้วก็กลับมาเป็นนักล่าตอนอายุสิบห้าปี เพราะเขาเชื่อว่าซักวันทางสายนี้จะช่วยเขาแก้แค้นให้พ่อกับน้องได้”เฟิร์นเล่าด้วยเสียง

    ที่แผ่วเบา “จริงๆแล้ว ฉันนึกว่าหลุมของเจ้าหญิงจะได้ฝังพร้อมกับพ่อของไซคีซะอีก ไม่นึกว่าต้องถูกย้ายมาที่นี่”



        “ทำไมหรอ”โดโลเรสถามต่อ



        “เพราะตอนที่ฝังไปทีแรกไปได้ไม่กี่วัน... หลุมก็ถูกขุดเพื่อเอาศพไปต่อรองให้ไซคีสละราชสมบัติ แต่คนร้ายยังขุดไปไม่ถึงพวก

    ทหารก็มาพบเข้าก่อน หลังจากนั้นก็มีข่าวว่าหลุมศพของเจ้าหญิงต้องถูกย้าย แต่ก็ไม่เห็นมีอะไร ที่แท้ก็เรื่องจริง”ฮิวตอบด้วยน้ำเสียงที่เศร้า

    สร้อย



        ขณะที่ทุกคนเฝ้ามองไซคีกระซิบพึมพำอะไรกับหลุมศพ แล้วจึงเปิดถุงกระดาษออก และหยิบเอาถังน้ำใบเล็กๆกับแปลงขัดขึ้น

    มา ก่อนจะหิ้วมันไปตักน้ำที่บ่อน้ำข้างๆกลับมาที่ป้ายศิลา และใช้แปลงขัดตะไคร่ออกด้วยมือ ไม่ใช้เวทเลย แต่พอขัดไปได้ไม่นาน ไซคีก็

    ต้องถอดแว่นออกเพื่อปาดน้ำตาของตัวเอง แล้วเก็บแว่นลงก่อนจะลงมือขัดต่อ แต่ในที่สุด เขาก็ยกมือขึ้นปิดปากและก้มหน้าร้องไห้ แม้ว่าจะ

    ยังขัดป้ายต่อด้วยมือที่ยังสั่นข้างที่เหลือ



        



    “ฉันว่า...เราปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวเถอะ”



        ทุกคนสะดุ้งสุดตัว เมื่อสัญชาติญาณบอกว่าโทนเสียงระดับนี้ไม่มีในกลุ่มของพวกเขา แต่เป็นของ



        เจ้าชายชาพอชเจ้าเดิมอีกแล้ว....มาไม่เคยให้ซุ่มให้เสียง ซักวันได้หัวใจวายตายกันขึ้นมาจริงๆ



        ทุกคนพยักหน้าถี่ๆ ก่อนจะค่อยๆถอยออกจากที่เกิดเหตุ ตามเจ้าชายรุ่นพี่ออกไปอย่างช้าๆ



         “คราวนี่พี่จะตั้งข้อหาถ้ำมองผมอีกกระทงมั้ยเนี่ย”ไคร์ถามขึ้น ทันทีที่ทั้งหมดกลับมาเดินในโถงทางเดินหลังจากออกจากโบสมาแล้ว



        “จะเอามั้ยละ”



        “ผมล้อเล่น....”ไคร์รีบเสริม ก่อนจะมองไปที่ดอกไม้ในมือของเจ้าชายคนเก่ง “พี่ก็จะไปเยี่ยมหลุมศพเหมือนกันหรอ”



        “ใช่”เจ้าชายชาพอชตอบ “จริงๆเรื่องนี้หลุมศพของจริงอยู่ที่นี่รู้กันแค่วงในเท่านั้น เผอิญฉันเป็นคนที่เจอไซคีคนแรก ตอนที่เจ้าล

    หญิงควอเรียถูกฆ่า”เขาบอก “เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของไซคีกับควอเรีย”



        “จริงซิ วันนี้วันที่20พฤษภาฯนิ”ฮิวพูดขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้



        “งั้นวันนี้มันก็อายุสิบแปดแล้วซิ”ไคร์พูดลอยๆ มิน่าละ มันถึงได้บอกว่างานนี้เป็นงานสุดท้าย เพราะมันอายุสิบแปดในวันรุ่งขึ้นนี่

    เอง



        เจ้าชายชาพอชถึงกันถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าซึมกะทือของน้องๆทั้งห้าคน



        “เห็นว่าวันนี้มีคนเศร้าก็แล้วกัน งานเช็ดกระจกกับเปลี่ยนน้ำในแจกันเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้ละกัน”



        “ขอบคุณครับเฮีย!”ไคร์โผล่งขึ้นเป็นคนแรก ขณะที่คนอื่นๆแค่ยิ้มระรื่น



        “เรียกซะแกเลย”เจ้าชายพูดอย่างหัวเสีย “ยังไงเรื่องไซคีก็เอาไปล้อเล่นไม่ได้ อย่าไปบอกใครละกัน”



        “ครับ/คะ”ทุกคน...ขานรับ



        

        ในที่สุด เมื่อพระอาทิตตกดิน ไซคีก็เดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นด้วยกริยาท่าทางที่ปรกติ ราวกับวันนี้เป็นเหมือนเมื่อวาน



        “ไปไหนมาวะ หายไปทั้งเย็นเลย”ฮิวแกล้งถามได้อย่างแนบเนียน ทันทีที่ไซคีทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟารับแขกตัวที่เหลือ



        “ก็บอกแล้วไงว่าไปนัดสาวมา”เขาตอบอย่างรำคาญใจ ก่อนจะมองที่โต๊ะอันว่างเปล่า “ไม่มีใครชงชาเลยหรอ”



        “อยากกินก็ชงเอาดิ”ไคร์บอก ไซคีเลยต้องลุกเดินออกไปจากวง ตรงไปที่เค้าเตอร์ชงเครื่องดื่ม เป็นโอกาสให้สมาชิกกลุ่มสุ่มหัว

    ได้นินทา



        “ดูเขาก็ปรกติดีนะ”เฟิร์นพูดขึ้นด้วยท่าทางที่เหมือนกับพูดเรื่องอื่นอยู่



        “นักล่าต้องปลอมตัว แสดงละครนะของตาย”ฮิวบอก “แต่ถ้ามันจับได้ว่าเรารู้เรื่องที่มันไม่ทำอะไรมาละก็ แกเอ้ย”



                    “ตาย”ไคร์ต่อให้จบ ก่อนจะปิดบทนินทา เพราะไซคีเดินยกชุดน้ำชากับขนมนมเนยกลับมาที่โต๊ะแล้ว



        “ฉันละเบื่อพวกเด็กต่างห้องจริงๆ”ไซคีพูดบ่น ก่อนจะยกกาขึ้นแถลงในถ้วยให้ครบจำนวนคน ที่ต่างคนต่างคว้าไปคนละแก้ว



        “เออ วันนี้ชาพอชบอกว่าไม่ต้องทำงานน่ะ”ไคร์บอก ก่อนจะจิบน้ำชา เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพราะชาอุ่นกำลังดี



        “อ๋อ สงสัยต้องยกของไปเสิร์ฟขอบคุณ”ไซคีบอก ก่อนจะจัดชุดขนมกับน้ำชาอีกชุด ก่อนจะยกตรงไปที่ประตูของพี่ประธานสภา

    ที่รัก แล้วไม่นานเขาก็เดินกลับออกมานั่งที่เดิม ขณะที่ยูเอื้อมมือไปหยิบขนมปัง แต่ไซคีตีมือเพียะเข้าให้ “เดี๋ยวก่อน มาแข่งกันกินดีมั้ย”



        “อ้าว แข่งกินก็สวยซิ”ฮิวพูดตาเป็นประกาย



        “เอามั้ยละ”เฟิร์นรับคำท้าอีกคน ขณะที่ยูและโดโลเรสมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจ

        “เอาหน่อยน่า นานๆจะเล่นอะไรปัญญาอ่อนกันที”ไคร์พูดกัด และผลักจานขนมปังไปให้ทุกคนคนเตรียมพร้อม



        “ถ้าชนะฉันได้ให้ล้านนึงเลย”ไซคีพูดอย่างท้าทาย และหยิบขนมปังขึ้นเตรียมพร้อม



        “เตรียมเงินไว้รึยังละ”ไคร์พูดสวน ก่อนจะหันขวับเพราะมีเสียงร้องแปลกๆดังมาจากห้องของประธานสภา



        “เริ่มเลยดีกว่า”ไซคีตัดบท ก่อนจะให้สัญญาณ  “หนึ่ง สอง สาม!”



        ทุกคนกัดขนมปังเข้าเต็มคำ ก่อนจะต้องมารยาททรามคายออกซะตรงนั้นเพราะมัน



        “เผ็ด! เผ็ดมากเลย!”ยูร้องลั่น เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่น้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง ยกเว้นไซคีที่กัดเอากัดเอาอย่างเอร็ดอร่อย “น้ำ! น้ำ! ชาก็เผ็ดอะ!”แล้วยูก็ต้องพลาดเพราะชาก็เผ็ดอีกเหมือนกัน ขณะที่ไคร์ยกชาขึ้นซดแล้วก็พ่นพรืด เพราะมันทั้งร้อนทั้งเผ็ดจัด จนเขาต้องวิ่งไปโต๊ะ

    ของทาคิแล้วคว้าน้ำขึ้นดื่ม แต่



        “โอ้ย! นี่ก็เผ็ด!”เขาร้อง ทั้งที่น้ำที่ทาคิเพิ่งดื่มไปมันดันเผ็ดสำหรับเขา ส่วนทางด้านฮิวก็ต้องร้องจ๊ากเมื่อน้ำของโต๊ะรุ่นน้องก็คงจะ

    เผ็ดเหมือนกัน  ขณะเฟิร์นวิ่งไปขอความช่วยเหลื่อที่ห้องประธานสภา แต่เมื่อเธอเปิดประตูออก



        “พี่ชาพอช! ช่วย!”



        “หาน้ำให้พี่หน่อยเฟิร์น...ไอ้ไซคีมันเล่นพี่แล้ว”เจ้าชายชาพอชก็ฟุบโต๊ะเพราะน้ำชากับขนมปังพิฆาตที่ถูกกินไปอย่างละครึ่ง

    เหมือนกัน จนในที่สุดทุกคนก็ต้องนั่งอมน้ำตาอยู่กับโต๊ะเพราะไม่สามารถหาอะไรมาดับเผ็ดได้ ขณะที่ไซคีนั่งหัวเราะแทบน้ำตาไหล



        “นี่...แกทำอะไรกับพวกฉัน”เฟิร์นถามหอบๆ



        “ฉันก็แค่ใส่คำสาปเผ็ดๆลงไปในชาที่พวกนายกินไง แล้วหลังจากชาเตะลิ้น พวกนายก็จะติดคำสาป ทีนี้กินอะไรเข้าไปต่อให้เป็น

    น้ำตาลก็เผ็ด”ไซคีตอบอย่างครื้นเครงใจ



        “จะเล่นแรงไปรึเปล่า แก...”ไคร์พูดว่า แต่ไซคีโคลงหัวไปมา



        “อย่าทำเป็นไม่รู้ดีกว่า เผอิญขากลับหลวงพ่อที่โบสเขาฟ้องมาว่าพวกแกแอบดูฉันเยี่ยมหลุมศพน้องน่ะ”ไซคี ตอบ “ฉันก็เลย

    สำเร็จโทษพวกแกซะเลยไงละ”



        อ๋อ มิน่า เจ้าชายชาพอชถึงโดนด้วย



        “เดี๋ยวก็หายเผ็ดแล้ว แต่กว่าคำสาปจะหมดก็อีกสี่ชั่วโมงนะน่ะ ฉันว่าฉันไปอ่านหนังสือที่ห้องดีกว่า ไปล่ะน่ะ”แล้วมันก็ลุกเดินออก

    ไป โดยไม่สนใจเสียงด่าที่ตามหลังแต่อย่างใด แล้วไคร์ก็ส่งท้ายไล่หลังว่า



        “ฟากไว้ก่อนเถอะแก!”





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×