ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : นักล่าแห่งราชวงศ์
                วันที่2 มีนาคม ให้หลังสงครามครั้งสุดท้าย 96ปี
                ใต้ผืนฟ้าที่เมฆฝนเข้าบดบัง ทางเดินในป่าสนด้านล่างนั้นมืดสลัวที่แทบจะมืดมิด แสงสว่างเพียงดวงเดียวนั้นมาจากตะเกียงดวงน้อยที่ห้อยอยู่ด้านหน้าของรถม้าสีดำสนิท ที่อารักขาด้วยอัศวินชุดดำทรงม้าขนาบข้าง ถึงสองคน
    “นั่นใช่มั้ย”
    คำถามมาจากเด็กหนุ่มผู้ที่ยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน ที่ปกปิดร่างกายด้วยฮูดสีดำทั้งตัว เช่นเดียวกับผู้ร่วมงาน
    “ไม่ผิดหรอก”หญิงสาวตอบ “งานนี้จับตาย”
    “ฉันละเกลียดงานแบบนี้จริง”เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าไซคีถอนหายใจเฮือกๆ ก่อนจะยกมือขวาขึ้น เผยให้เห็นอัญมณีสีแดงสดบนหลังมือคล้ายเครื่องประดับ โบราณ “เริ่มต้น ล้อเกวียน”
    เสียงไม้ที่ฉีกขาดมาพร้อมกับล้อเกวียนของรถม้าเบื้องล่างแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆครบทั้งสี่ล้อ แรงเหวี่ยงส่งเอารถทั้งคันกลิ้งครูดไปตามทาง
    ไม่มีการเปิดช้องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งตัว คาถาบทที่สองก็ฟันเอารถทั้งคันขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ เหลือเพียงสตรีผู้หนึ่งในรถที่นอนปลอดภัยอยู่เหนือซากรถ
    “บอกว่าจับตาย”หญิงสาวข้างกายพูดอย่างไม่พอใจ แต่ไซคีกลับไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
    “จับเป็นก็ไม่เสียหาย อยากจับตายเจ้าก็เก็บเอาซิ”
    คราวนี้คนถูกเถียงไม่ปล่อยให้เสียงาน รีบชักดาบกระโดดลงจากหน้าผาสูง สู่พื้นที่เบื้องล่าง ก่อนจะวิ่งเข้าปะดาบกับองครักษ์คนหนึ่ง ระหว่างที่อีกคนกำลังก้มดูสตรีที่นอนอยู่
    “เธอตายแล้ว!”
    “ผับฝ่าซิ”เด็กหนุ่มนักล่าสบถเคือง ก่อนจะกระโดดตามลงมา และโบกมือขวาขึ้น “ฟี!ถอยออกมา!”
    หญิงในชุดฮูดตอบรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ดีดตัวถอยออกห่างจากองครักษ์ทั้งสองคน ไปหลบอยู่ด้านหลังของผู้ออกคำสั่ง
“จะเป่าให้กระจายเลย”
                ลมกระโชกแรงตีฝุ่นบนพื้นกระจายเป็นม่านละออง เพียงชั่ววินาทีเสียงแตกเปรี้ยงของต้นไม้รอบข้างก็ตามมาให้ได้ยิน แต่ทันทีที่พายุหมดลง สิ่งที่เหลืออยู่กลับมีแค่ซากรถม้ากับสตรีแปลกหน้าเท่านั้น
                “หนีไปแล้ว!”หญิงสาวร้อง
                \"ให้เขาหนีไป”ฝ่ายเด็กหนุ่มยกมือขึ้นห้าม “นี่แค่นกต่อ ส่งจดหมายไปบอกแม่ว่าเราโดนหลอก ผู้หญิงในรถก็ไม่ใช่เจ้าหญิง”เขาหันบอก พร้อมกับออกเดินไปยังเด็กสาวที่นอนตายอยู่ แต่เมื่อเขายกมือเธอ “แล้วหล่อนก็ยังไม่ตาย ไอ้องครักษ์สองตัวนั่นตามันบอดกันหรือ
ไง”
              “แม่บอกให้จับตายก็จับตายซิ พี่จะมามัวห่วงว่าเหยื่อจะเจ็บทำไม”เด็กสาวเพื่อนร่วมงานพูดอย่างหัวเสีย
                “เรื่องของข้า แล้วจะพาผู้หญิงคนนี้กลับไปด้วยรึเปล่า”
                “ช่างหล่อนเถอะน่ะ แล้วจะเอายังไงกับเจ้าหญิงตัวจริง เราตามข้ามไปฝั่งรูรูนอย ไปตอนนี้อาจจะยังทัน”เด็กสาวถามขึ้น
                “ไม่ต้อง ป่านนี้คงหนีไปถึงซันมาเนียแล้ว ถึงเจอตัวก็ป่วยการ”
              “แล้วเอาไง”
              “กลับไปรายงานแม่ก็พอ ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็ปล่อยไว้ตรงนี้หละ ถ้าเป็นปรกติเดี๋ยวไอ้องครักษ์สองคนนั่นก็คงกลับมาเอาศพ”เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “กลับกันเถอะ งานอื่นยังรออยู่”
              วันที่ 4 มีนาคม ปีเดียวกัน
            โทรีเบอร์ เมืองหลวงทางการทหารที่อยู่ในแถบตอนบนของฮาโมเนีย นครที่ใหญ่ที่สุดในบันดาแปดนครของฮาโมเนีย และขึ้นชื่อเรื่องยุทศาสตร์ในการป้องกันเมืองว่ากันว่าเป็นเมืองที่ถูกตีได้ยากที่สุด เพราะนอกจากตัวเมืองจะตั้งอยู่บนเนินสูงแล้ว สภาพโดยรอบยังมีแม่น้ำขวางหน้าเมือง เรื่อยไปถึงทะเลสาบใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง  อีกทั้งยังเป็นเมืองที่ถูกเรียกฉายาว่านครเงา
            เพราะเมืองทั้งเมือง บ้านทุกหลังล้วนแต่ทาด้วยสีเขียวหรือสีน้ำเงิน และมุงหลังคาด้วยสีดำ เมืองนี้จึงราวกับไม่มีตัวตนในยามค่ำคืน
แม้ว่ายามเย็นของวันนี้ จะมืดครึ้มด้วยเมฆฝน 
            แต่จุดที่สำคัญที่สุดของเมืองคือปราสาทยูเวอร์แคม สถานที่พักขององค์จักรพรรดินี  เกรดิโอรัส แฟคอนเวอร์
            ท่านเป็นหญิงชรา รูปร่างท้วนน่ารัก แม้ว่าอายุเจ็ดสิบแปดของท่านจะไม่แสดงออกทางริ้วรอยแต่อย่างใด ท่านยังดูคล้ายสตรีอายุเพียงห้าสิบเท่านั้น ถึงกระนั้นชุดที่ทานทรงอยู่ก็ไม่ได้ต่างจากชุดหญิงชราชาวบ้านเท่าไรนัก แม้ว่าท่านกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เพื่อทรงงานในแต่ละวัน
            “ออกไปได้แล้ว แล้วข้าจะนัดพบทีหลัง”องค์จักรพรรดินีตรัสสั่งกับพวกข้าราชการที่นั่งเรียงอยู่เต็มห้อง ให้ยืนถวายความเคารพก่อนจะเดินออกไปจากห้องอย่างนอบน้อม แต่เมื่อนางกำนัลจะเข้ามาพยุงเสด็จออก ท่านกลับตรัสว่า “ไม่ต้องๆ ข้ายังเหลืองานอีกชิ้น อ๋อถ้าจะให้ดี ช่วยไปเรียกฮิวหลานข้าเข้ามาด้วยน่ะ บอกเขาว่าเพื่อนเก่าเขาจะมาเยี่ยม”
            “เพคะ”นางกำนัลถอนสายบัว ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้อง และทันทีที่ประตูปิดลง ทหารทุกคนออกไปอยู่ด้านนอกของห้อง
เสียงลมพัดหวนจากบานหน้าต่างด้านบนของห้องโถงก็เริ่มพัดให้ได้ยิน ก่อนที่หน้าต่างบานนั้นจะปิดลง พร้อมกับบุคคลปริศนาในชุดฮูดสีดำสนิทก็กระโดดลงมาทีสุดห้องอย่างนุ่มนวล ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าที่กระแทรกพื้น
            บุคคลปริศนาเงยหน้าขึ้นกราดมองทั่วห้อง ก่อนจะโค้งคำนับองค์จักรพรรดินีตรงหน้า และพูดขึ้นว่า
              “โปรดประธานอภัยโทษด้วยพะยะค่ะ ที่หม่อมฉันปรากฏตัวไม่สุภาพอีกตามเคย”
              “มาทุกครั้ง หลานก็พูดเริ่มกับยายแบบนี้ทุกครั้งจนยายชินซะแล้ว ไซเคอรัน”องค์จักรพรรดินีพูดกึ่งหัวเราะกับหลานชาย ขณะที่หลายชายที่ว่าเดินมาอยู่ด้านหน้าของประรำพิธีก่อนจะลากเก้าอี้มานั่ง “แล้วเป็นไงมั่ง งานสำเร็จมั้ย หน้าแบบนี้คงไม่ต้องให้ยายเดาว่าคงจะพลาดซิน่ะ”
            “ครับ เมื่อสองวันก่อน ผมกับฟีตามรถม้าทรงของเจ้าหญิงเรมีน่าไปจึงถึงเมืองหลวงเก่า จูวีน่า แต่พอผมเริ่มโจมตี รถม้าก็เสียหลักลงข้างทาง ผลคือผู้หญิงที่นั่งมาในรถสลบไป แต่องครักษ์ที่อารักขารถมานึกว่าผู้หญิงตายแล้ว ก็เลยหนีไป แต่พอผมลองไปตรวจดูแล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เจ้าหญิงเรมีน่าแต่คงจะเป็นแค่นกต่อน่ะครับ ผมก็เลยปล่อยไว้อย่างนั้น เพราะเดี๋ยวองครักษ์สองคนนั้นคงกลับมาเอาไปเอง เพราะจากที่ฟีสืบมา หล่อนน่าจะเป็นโดโลเรส แอนคาเซีย พระสหายคนสนิทของเจ้าหญิงที่มีหน้าตาคล้ายกันน่ะครับ ส่วนตัวเจ้าหญิงจริงๆ ผมคิดว่าคงจะหนีเข้าซันทีเมียไปแล้ว”ไซเคอรันตอบ “ผมเลยมารอคำอนุญาตว่าจะให้ผมจัดคนตามไปล่ารึเปล่าน่ะครับ เพราะเท่าที่สายบอกมาก็พอจะรู้ที่อยู่แน่ชัดแล้ว”
            “ไม่ต้องๆ แค่นี้ก็พอแล้ว เจ้าหญิงองค์สุดท้ายนั่นปล่อยเขาไปดีกว่า เพราะเท่าที่ยายรู้มา ดูเหมือนว่าประเทศอื่นเขาก็แอบตั้งค่าหัวเจ้าหญิงไว้เหมือนกัน ถึงรอดการจับกุมของเราไปได้ เขาก็ใช่ว่าจะสบาย”องค์จักรพรรดินีพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ก็...ให้เขาไปเจอชะตากรรเอาเอง”
              “ครับ”ไซเคอรันตอบเสียงแผ่ว นั่นซิ ปล่อยไปยังไงก็ไปตายที่อื่นอยู่ดี “จริงซิครับ แต่พวกองครักษ์ของเจ้าหญิงที่ผมปะทะด้วยเมื่อวันก่อนคิดว่ายังอยู่ในเขตุเราน่ะครับ”
              “โอ้ย ปล่อยเขาไปเถอะ ยังไงก็ทำอะไรเราไม่ได้”ท่านยายตอบกึ่งหัวเราะ “แต่ถ้าจะจับ ยายว่าจับโดโลเรสดีกว่า เพราะใช้หล่อนต่อรองกับเจ้าหญิงได้ จับองครักษ์มาเดี๋ยวๆมันก็ฆ่าตัวตายกันหมด จับคนที่คุมง่ายกว่าดีกว่า”
              “ถ้ายังอยู่ผมจะตามจับให้ก็แล้วกันครับ”หลานชายบอก
              “ถ้าเช่นนั้นงานต่อไป ตามล่าโดโลเรส แอนคาเซีย หากยังอยู่ในเขตุอาณาจักฮาโมเนีย”ท่านยายของเขาออกคำสั่ง “หนังสือว่าจ้างยายจะส่งไปให้ทีหลัง
              “รับด้วยเกล้า... แล้วยังมีงานอื่นอีกรึเปล่าละครับ”ไซเคอรันถือโอกาสถาม แต่ท่านยายกลับทำหน้าแบ้ ก่อนจะกวักมือเรียกให้หลานชายเข้าไปหา และดึงเขาลงมากระซิบแผ่ว ราวกับไม่อยากให้ใครบังเอิญเข้ามาได้ยิน
“ควอ...หลานเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด...จริงๆแล้วหลานน่าจะยังเรียนอยู่เลย ดูอย่างฮิวกับเจ้าหญิงเจ้าชายคนอื่นๆซิ มีแต่หลานคนเดียวที่ยินดีทำงานแบบนี้แล้วทิ้งการเรียนไปน่ะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าหลานกลับไปเรียนปีห้าที่โซราเนียต่อจนจบปีหก หลานยังมีโอกาสเป็นอัศวินน่ะ แล้วอีกอย่างหลานก็ไม่ควรปลอมตัวไปทั้งชีวิตแบบนี้ ลืมแล้วหรอว่าตัวเองเป็นใคร”
“รู้ซิครับ แม่พูดกลอกหูผมทุกวัน แม่ไม่ชอบให้ผมทำแบบนี้เอาการเหมือนกันละครับ”ไซเคอรันกระซิบตอบ
“แหม แต่หลานก็ยังปลอมตัว แบบนี้จะแต่งกับใครเขาได้ละเนี่ย”
“เรื่องนั้นผมยังไม่ได้คิดครับ”ไซเคอรันตอบอย่างหัวเสีย ไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้เลย
“นานๆจะเจอกันที ไหนบอกยายซิว่าแอบชอบใครในกลุ่มนักล่ารึเปล่า”ท่านยายพูดอย่างมีความหวัง ไซเคอรันหัวเราะเสียงฝืดๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ที่นั่นมีแต่พวก“
แต่ยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงประตูกริบเดียว ก็ทำให้ไซเคอรันต้องปลีกตัวออก พร้อมกับตวัดสายตาไปที่ประตูบานเล็กที่ริมห้อง
เด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางที่ตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าบุคคลปริศนาที่อยู่ในห้องยืนอยู่ก่อนแล้ว
คนแรก เขามีผมสีน้ำตาลอ่อน คล้ายสีฟางสดใส นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดูขี้เล่น รูปร่างสูงผอม ทรงชุดอัศวินสีแดงเข้ม ผิวพรรณสุขภาพดีเฉกเช่นคุณหนูผู้ดีของราชวงศ์
เจ้าชายอันดับหนึ่งที่จะได้ครองบันลัง เจ้าชายฮิวมัส ซารัน แฟร์คอนเวอร์
ส่วนอีกคนที่เดินตามหลังเข้ามา เขามีรูปร่างที่สูงและกำยำกว่าฮิวมัสอยู่เล็กน้อย ดูแข็งแรงกว่า แม้ว่าผิวของเขาค้อนข้างจะขาวเผือก แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะใบหน้าของเขาก็ดีอยู่แล้ว เพราะดวงตาสีดำสนิทคมคาย เช่นเดียวกับเรื่องผม  ทรงชุดอัศวินสีน้ำเงินเข้ม
คนนี้ก็ ราชองครักษ์
“สวัสดีครับยาย หวัดดีไซคี ไม่เจอกันนาน”ฮิวยกมือขึ้นทักทายพร้อมกับสาวก้าวเดินเข้ามา เช่นเดียวกับไซเคอรันโบกมือตอบ
“หวัดดี ตัวสูงขึ้นเยอะนี่นา”ไซคีทักกลับ
“ส่วนเจ้าก็ดูไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่”ฮิวหัวเราะหึๆ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหน้าสุด เช่นเดียวกับองครักษ์ของเขา
“งานเป็นไงมั่ง เมื่อไหร่จะเลิกทำ”
“โอโฮ้ ถามทีละคำซิ”ไซคีตอบยิ้มๆ พร้อมกับดึงหมวกฮูดออก
ใบหน้าใต้หมวกฮูดนั้นดูขัดตา เพราะใบหน้าที่ดูหวานละมุนด้วยตาโตสีน้ำตาล และผมที่ยาวสลวยจรดกลางหลังที่มัดรวบไว้อย่างประณีตนั้น มันขัดกันเอง เพราะตาโตคู่สวยดูคมและแข็งกะด่าง ริมฝีปากเรียวบางหมองคล้ำเช่นเดียวกับคิ้วที่หนาโก่ง
เจ้าชายอันดับที่สี่ เจ้าชายไซเคอรัน แฟร์คอนเวอร์
“แล้วนี่จะรีบกลับรึเปล่า”ฮิวเปลี่ยนคำถาม
“ไม่ละ ฉันเดินมาตั้งวันกว่าแล้ว ยังไม่ได้พักเลย”ไซคีตอบ พร้อมกับเดินลงมาจากประรำพิธี
“อา...มาก็ดีแล้ว ฮิว ถ้างั้นหลานนั่งคุยกันไปก่อนน่ะ ยายยังมีงานต้องทำต่อ”ท่านยายพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ครับยาย”เจ้าชายทั้งสองพระองค์หันไปทักกับยายที่โบกมืออย่างร่าเริง ก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องอย่างคล่องตัว
ใช่ ท่านยังแข็งแรงอยู่
“ไงไคร์ เดี๋ยวนี้เลิกสูบบุหรี่รึยัง”ไซคีตบบ่าองค์รักษ์หนุ่มที่นั่งสงบอยู่ข้างฮิว ก่อนจะหมุนเก้าอี้อีกตัว มานั่งตั้งวงกับเพื่อนทั้งสองคน “แต่ดูท่าจะ
ยังใช่มั้ย”
“ยังเลย ก็ยังสูบอยู่”ไคร์ตอบ เขาเคยโดนเกณฑ์ไปฝึกหนักที่ชายแดนตั้งแต่อายุสิบสาม จนถึงอายุสิบห้า ซึ่งระหว่างการฝึกค้อนข้างจะเครียด
มาก จนพ่อของไคร์ต้องให้เขาสูบบุหรี่ เขาก็เลยยังติดมันอยู่จนปัจจุบัน ถึงจะสูบไม่จัดเขาก็สูบมันอย่างน้อยสามม้วนเวลาหลังอาหาร
“ไม่ๆ ฉันไม่ได้หมายถึงหายขาด หมายถึงเลิกสูบวันละสองซองรึยัง”ไซคีเปลี่ยนคำถาม ก่อนจะก้มหลบลูกตบของไคร์ได้อย่างเฉียดปลายผม
“กวนประสาทแต่หัววันนะแก”ไคร์พูดหัวเราะ ก่อนจะเงื่อตบอีกรอบ
“โอ้ย พบๆ ไอ้บ้าเดี๋ยวหัวหลุด”ไซคียกมือขึ้นป้องกันตัวเอง แน่หละ ไอ้ที่ว่าสงบน่ะ ก็แค่ต่อหน้าพวกข้าราชการไม่ก็เจ้าหญิงเจ้าชายเท่านั้น
หละ
ก็ถ้าอยู่นอกวังคงจะไล่เตะกันเหมือนแต่ก่อน เพราะจริงๆแล้วทั้งสามคนก็เพื่อนกันแต่เด็ก เพราะทั้งฮิวทั้งไซคีก็เป็นเจ้าชาย ส่วนไคร์ก็เป็นลูก
ชายแม่ทัพใหญ่ ฮิวถึงได้เลือกไคร์มาเป็นองครักษ์ประจำตัว
“จริงซิ แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอกันที่โบสเลยน่ะ”ฮิวถามขึ้น “วันศุกร์ต้นเดือนอะไรให้ทำนักหนา ถึงได้ไปสวดมนตร์แค่เดือนละครั้งไม่ได้”
“นี่...สวดมนตร์ฉันสวดที่ไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องไปโบสเลย”ไซคีพูดเนิบๆ ก่อนจะโบกมือยิกๆ แล้วในฉับพลัน ชุดน้ำชาอุ่นๆทั้งถาดก็ปรากฏให้
เห็นอยู่ในมือ ก่อนจะประคองมันวางลงบนเก้าอี้ข้างเคียง แล้วจึงยกกาน้ำชาขึ้นรินลงในถ้วยทั้งสามใบ “ฉันมันเป็นเจ้าชายเฉพาะในงานเลี้ยง”
“ใช่ แล้วนายก็ไม่ได้ไปตั้งสองปีซ้อนแล้ว”ไคร์พูดขึ้น ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม
“ทั้งชาทั้งบุหรี่ ปากได้พังกันพอดีไคร์”ไซคีส่ายหัว “เลิกสูบซะทีเหอะ”
“ไว้ไอเป็นเลือดก่อนค่อยเลิก”
“เจริญซะ”ไซคีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะวางชาลง “เฮ้อ.....”
“แกถอนหายใจวันละกี่รอบเนี่ย”ฮิวพูดอย่างหัวเสีย “ไม่เจอกันนาน รู้สึกจะมีแต่เรื่องเครียดๆใช่มั้ย”
“ก็...เหมือนกันหละ”ไซคีตอบ
“งาน?”
“ก็มีส่วน”ไซคีตอบ “จริงๆแล้วเรื่องฟี”
“ฟีไลท์ทำไมหรอ”ฮิวถามต่อ
“ฟีไม่ยอมเข้าวังน่ะซิ เป็นเจ้าหญิงแท้ๆ ไปกระโดกกระเดกไล่จับชาวบ้านเขาอยู่ได้”ไซคีพูดบ่นถึงน้องยาวของเขายาวเป็นพรืด “งานอันตราย
ยังจะอยากไปทำอีก”
น้องสาวของเขาคือเจ้าหญิงฟีไลท์ เจ้าหญิงอันดับที่แปด
“เจ้าชายอย่างนายยังไม่เข้าวังเลย”ไคร์พูด
“ก็ไอ้ฉันมันถอยกลับได้ที่ไหน แต่ฟีเพิ่งจะอายุสิบห้าหน้าตาก็ดี จับเข้าวังซะมั่ง เผื่อจะได้ไปวัดไปวากะเขาหน่อย วันๆอยู่แต่ที่บ้านฟันดาบ
อ่านหนังสือ ฝึกเวท ไม่ก็ต้องขอตามฉันไปทำงานล่านักโทษแหกคุก ไปงานเลี้ยงทีไรก็ชอบเอาหมวกปิดหน้าทุกที แบบนี้ชายใดจะสน เดี๋ยว
พออายุเลยสามสิบเมื่อไหร่จะเศร้า”ไซคีถอนหายใจอีกครั้ง “ถ้าเอามาฟากไว้กับท่านยายอาจจะดีขึ้นหน่อยก็ได้”
“ฟีคงจัดการไม่ยากหรอก”ไคร์บอก “แต่แกหละที่จัดการยาก”เขาหันมาทางไซคีที่สะดุ้งหยงเมื่อถูกเอ่ยถึง ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบา
“นั่นซิ แม่ยังบอกว่ามีลูกคนไหนก็ไม่จัดการยากเท่าฉัน” เขาบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน “หมดเรื่องแล้ว งานก็ไม่มีมาใหม่ขอตัวก่อนละกัน”
“อ้าว ไหนว่าจะอยู่ค้าง”ฮิวร้องถาม
“ใครบอกว่าค้างฮิว”
“แต่นี่เย็นแล้วน่ะ จะนอนบ้านหน่อยไม่ได้หือไง”ไคร์ท้วง ไซคีหัวเราะหึ
“ไม่...ฉันไม่ได้เตรียมชุดมา”เขาตอบ ก่อนจะถึงหมวกฮูดขึ้นคลุมหัว “แต่ก่อนไป คงจะแวะโบสซะหน่อย ไปด้วยกันหน่อยซิ”
ไม่นานนัก ทั้งสามคนก็เดินมาจนถึงโบสใหญ่ประจำพระราชวัง มันคงจะเป็นปราสาทหลังเดียวในเมืองที่เป็นสีขาวปลอดทั้งหลัง ด้านในของโบ
สคือห้องโถงขนาดใหญ่ทรงกลม หน้าต่างบานใหญ่ทุกบานเป็นกระจกขาวุ่น เหล็กดัดดัดเป็นลายหมู่ดาว ทั้งยี่สิบสี่กลุ่มดาว ล้อมห้องโถงไว้
ปล่อยให้แสงที่มีอยู่อ้อยอิงลอดเขามาเผยให้เห็นภายในที่ตีด้วยไม่สีเข้มเงางาม เกาะสลักอย่างประณีต รวมไปถึงเก้าอี้ยาวทุกตัวในโบส
ส่วนกลางห้อง คือแท่นประรำพิธีที่ดอกไม้ถูกจัดเปลี่ยนทุกวัน ซึ่งผู้ที่ยืนอยู่หน้าแท่นประรำพิธี คือบาทหลวงที่กำลังเตะมือลงบนศีรษะของเจ้า
ชายไซเคอรันที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
โดยมี เพื่อนชายอีกสองคนยืนมองอยู่หน้าประตูห้องโถง
“หมอนั่นสารภาพบาปตลอดเลยน่ะ”ฮิวพูดเสียงเบากับไคร์ พลางถอดสายตาไปที่กลางห้อง
“ก็แน่หละ”ไคร์พึมพำ “ยังดีกว่าทำงานแบบนั้นแล้วไม่สารภาพ”
“ฉันซิไม่ได้ทำมาตั้งสามสี่ปีแล้ว”ฮิวหัวเราะหึ
“อย่างนายต้องใช้เวลาเท่าไหร่ละถึงจะสารภาพหมด”ไคร์พูดแหย่ ก่อนจะหุบยิ้มลง
ไซคีเปลี่ยนตัวเองจากเจ้าชายที่สุขสบาย เป็นนักล่าฆ่าคนเสียแทนตั้งแต่หกปีก่อน ถึงงานที่รับทำส่วนใหญ่เป็นงานล่าหัวพวกคนร้ายต้องอาญา
แผ่นดิน เริ่มตั้งแต่ถล่มพวกพ่อค้าของเถื่อน ไปจนถึงลอบฆ่าศัตรูระดับประเทศที่ทางสภาสูงจะจัดจ้าง
เพราะมันคงจะหวัง...อะไรอย่างอื่นอยู่ในใจ
ถึงจะเป็นเจ้าชาย แต่มันก็ทำงานที่ว่ามามากจนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้วละมั่ง
“อ่ะ มาแล้ว”ฮิวทักขึ้น เมื่อไซคีลุกขึ้นจากประรำพิธี และเดินตรงมาทางพวกเขา แต่ทันทีที่มาถึง
“อุ้ย เจ้าชาย”
สตรีในชุดหลุยฟูๆคนหนึ่งทักเสียงหวาน พลางหันหน้าขาวเนียนด้วยแป้งฝุ่นหนาเป็นกิโลนั้นมาทางฮิว จนต่างหูระย้านั้นแทบจะแกว่งตีหน้าไค
ร์เข้าให้ แต่ดูเหมือนว่าสาวรับใช้ของเจ้าหล่อนจะมีระดับความต้องการผู้ชายสูงพอกัน
“สวัสดีเพคะเจ้าชาย”หล่อนถอนสายบัว ก่อนจะหันมาโค้งต่ำจนคอเสื้อกว้างๆนั้นเปิดซะเห็นถึงเนื้อในให้ไคร ที่รีบเบือนหน้าหนี “สวัสดีคะ ท่าน
ไคร์”
“เออ สวัสดี แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ว่าง”ฮิวบอก และหันไปขยิบตากับไซคี
อ๋อ ผู้หญิงคนนี้นี่เอง คุณหนูจูเวล อิคารัน ลูกสาวเจ้าเมืองโฮดเลนที่ฮิวมันเขียนจดหมายมาบ่นให้อ่านบ่อยๆ
“เจ้าชายค่ะ งานเทศกลางเมืองมีแต่ของสวยๆ ช่วยพาข้าไปทีน่ะค่ะ”เจ้าหล่อนคว้าข้อมือของฮิวไว้ได้ ก่อนจะหันมาทางไซคีที่ยืนยิ้ม
เหยาะ “อ้าว นี่พระสหายหรือคะ หน้าตาหล่อน่ะค่ะ ทำไม...แต่งตัวธรรมดาจังละคะ”
พอว่าจบ ไคร์ก็หลุดหัวเราะคิกออกมา เช่นเดียวกับไซคีกลั้นหัวเราะแทบขาดใจ เพราะเขารู้ว่าคำว่า “ธรรมดา”ของหล่อนหมายความ
ว่า “เถื่อน”ในพจนานุกรมฉบับเจ้าหญิงดัดจริต ไว้ถ้าหล่อนรู้ว่าเขาเป็นเจ้าชายคงจะใส่เกีร์ยถอยแทบไม่ทัน
เพราะคำล่ำลือของเจ้าชายไซเคอรันในปัจจุบันนี้คือเจ้าชายนักรบแห่งราชวงแฟร์คอนเวอร์ เพราะกลายเป็นว่าไอ้งานที่เขาทำ คือการสละชีวิต
ส่วนตัวเพื่อปราบคนชั่ว
ซึ่ง มันไม่จำเป็นต้องเอาไปพูดซะเวอร์ขนาดนั้นก็ได้ เพราะมันทำให้เขาหัวเสียเวลาออกงานสังคมประจำปี นี่หละที่ทำให้เขาไม่อยากไปงาน
รื่นเริงที่ไหน มันทำให้เขาเป็นแม่เหล็กดูดสาว ทุกคนคิดว่าการได้ควงเจ้าชายยอดนักรบเป็นเรื่องน่าอวดน่าโชว์
ผู้หญิงพวกนั้น ทุเรศกันจริงๆ เจ้าหญิงของเมืองต่างๆ จะหาที่เรียบร้อยจิตใจงามมันยากจริงๆ นอกนั้นก็ดัดจริตกันทุกคน ไม่รู้ว่ามีอาจารย์คน
เดียวกันรึเปล่า
“ฉันเหนื่อยแล้วฮิว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”ไซคีพูดขึ้น ก่อนจะออกเดินนำเพื่อนชายอีกสองคนให้ตามออกมา
“เดี๋ยวซิคะท่านฮิว!”จูเวลโวยขึ้น แต่เมื่อหล่อนจะออกเดินตามก็ต้องชะงักกึก เมื่อชายกรโปรงงามๆของหล่อนเหมือนกำลังถูกอะไรบางอย่าง
ตรึงไว้กับเสา จนเจ้าหล่อนต้องโวยลั่นโบส แต่สามหนุ่มผู้กระทำยังคงทิ้งเสียงนั้นไว้เบื้องหลัง
“ฉันไปก่อนเลยละกันน่ะ” ไซคีตัดบทขึ้น เมื่อเพื่อนของเขาทั้งสองคนมาส่งเขาที่หน้าเมือง
“จะไม่ไปบอกลาทานยายก่อนหรือไง”ฮิวท้วงขึ้น แต่ไซคีแค่ยิ้มบาง
“งั้นก็ ระวังตัวด้วยละกัน”ไคร์บอก
“ขอบใจ”ไซคีหัวเราะเบาๆ “ไว้เจอกันใหม่ก็แล้วกันน่ะ ถ้าช้าจะยิ่งเดินลำบาก”
“อือ แล้วเจอกัน”ฮิวบอก ก่อนที่ไซคีจะหันหลังเดินออกไป พร้อมกับโบกมือน้อยๆ
“ขอให้โชคดีน่ะ”ไคร์ตะโกนตามหลัง เรียกให้เจ้าชายลำดับสี่เหลียวหลังมามอง ก่อนจะตอบว่า
“แล้วเจอกัน”
สองเดือนต่อมา ต้นเดือนพฤษภาคม โรงเรียนทั่วอาณาจักรก็เริ่มถยอยเปิดเรียนหลังจากปล่อยให้นักเรียนสุขสรรนกับปิดเทรมอันแสนยาวราวสองเดือนเศษ และนั่นหมายถึงการฝ่าฟันบทเรียนในปีการศึกษาต่อไปของพวกเขากำลังจะเริ่มขึ้น
ร่วมทั้งที่นี่ โรงเรียนอัศวินหลวงโซราเนีย ประจำนครแคนโดร่า
เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งของกองทหาร และขึ้นชื่อเรื่องการฝึกอัศวินที่ดีที่สุดในอนาจักร ที่เมืองทั้งเมืองเป็นสีขาสะอาดรวมไปถึงอิฐ
บล็อกที่ปูทางเดินภายในเมือง อีกทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องของหายากทุกชนิดหาได้ที่นี่ เพราะที่ลานกลางเมืองของแคนโดร่าคือตลาดดีๆ ที่พ่อค้า
พเนจรจะนำของของพวกเขามาปูเสื่อขาย จนถูกเรียกว่าตลาดกลางเมือง
ใช่ และมันทำให้ใครบางคนกำลังจะไปโรงเรียนสาย
“ฮิว!เร็วๆหน่อยซิ ถ้าไปช้าเดี๋ยวก็ไม่มีเวลารายงานตัว”ไคร์พูดเร่งไอ้เพื่อนตัวดี ที่มัวแต่ยืนดูของในร้านข้างทาง
“ได้ๆ ไปแล้วๆ”ฮิวละจากร้านพ่อค้าเร และรีบเดินตามไคร์ไปตามทางเดิน ที่จอแจไปด้วยผู้คน และแน่นอน ทั้งสองคนอยู่ในชุดเครื่องแบบนัก
เรียน ที่เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดา สวมทับด้วยเสื้อคลุมหนายาวถึงหัวเข่าสีเขียวแก่ กางเกงขาวยาวสีดำ และติดด้วยเข็มกลัดสีเงินรูปม้ามีธง
ไขว้ และลักชื่อ ‘โรงเรียนอัศวินหลวง โซราเนีย’ ที่สลักชื่อและห้องของพวกเขาทุกคนไว้ด้านหลัง
“ของน่ะมาตอนเที่ยงๆก็ได้ วันแรกอาจารย์เขาปล่อยเที่ยวอยู่แล้วน่า”ไคร์บอกอย่างหัวเสีย ก่อนจะแบกเป้ของตัวเองนำฮิวออกมาจากย่าน
ตลาดกลางเมือง
“อะไรไคร์ นี่เราเพิ่งจะมาถึงเองน่ะ แวะดูหน่อยไม่เป็นไรหรอก”ฮิวพูดเถียงๆ
“เดี๋ยวค่อยมาก็ได้ ถ้าไม่งั้นธรรมไมไม่ให้พวกทหารมาส่งเล่า”ไคร์พูดกึ่งประชด
“ถ้าให้พวกทหารมาส่งไม่มีได้ดูหรอก แค่ต้อนนักเรียนจัดแถวรับเสด็จก็หมดเวลาแล้ว หนีมากันเองแบบนี้สนุกกว่าอีก”ฮิวพูดอย่างขี้เล่น
“นั่นซิ”ไคร์หัวเราะหึๆ เขากับฮิวก็เหมือนไซคีที่ไม่ชอบให้ใครมาล้อมหน้าล้อมหลัง ปัจจุบันนี้ก็มีไม่กี่คนที่รู้ว่าฮิวมันเป็นเจ้าชาย ส่วนเขาเป็น
องครักษ์ประจำตัวมัน แล้วที่มาเดินถอดน่องอยู่นี่ได้ ก็เพราะหนีมาจากขบวนเสด็จสดๆเมื่อสิบนาทีก่อนนี้เอง
ในที่สุด ทั้งคู่ก็เดินมาจนถึงท้ายเมือง ที่ที่ควรจะเป็นกำแพงทั้งด้าน แต่กลับเป็นรั่วเหล็กดัดสูงตลอดแนว ที่กันระหว่างเมือง กับป่ารก ที่พวกนัก
เรียนจะเรียกมันว่า “สวนหน้าบ้าน” เพราะมันคือส่วนหน้าโรงเรียนที่ไม่ได้ตัดมาตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน (ที่คาดว่าตั้งมาแล้วเป็นร้อยปี) ทำให้
ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นกันจนแทบจะเรียกได้ว่าป่าดงดิบ เพราะไอ้ที่ใหญ่ก็มโหฬารไปเลย แถมต้นไม้พวกนี้ยังถูกเรียกอีกชื่อเล่นๆว่า “ไอ้ต้นปาก
สว่าง” เพราะทุกครั้งที่มีนักเรียนคิดจะปีนรั่วหนี มันก็จะแหกปากตะโกนซะลั่นทุ่งว่ามีนักเรียนกำลังจะโดดเรียน
ไคร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่มีป้อมยามที่ตั้งอยู่ข้างประตูเล็กเพื่อนลงชื่อในสมุดรายชื่อหนาปึก เพราะโซราเนียไม่อนุญาตให้คนนอก
เข้าไปในโรงเรียน
“ไคร์ ฟรานทีโล กับฮิวมัส แฟร์คอนเวอร์ ปีห้าห้องก.สายอัศวินครับ”ไคร์บอกชื่อตัวเองกับยามที่พยักหน้าหงึก และก้มหน้าก้มตาเปิดสมุดราย
ชื่อขึ้นดู ก่อนจะติ๊กถูกที่ช้องด้านหลังชื่อของพวกเขาทั้งสองคน
“ดีมาก..เข้าไปได้แล้ว”ยามบอก
ไคร์กับฮิวเดินผ่านเข้าไปในประตู สู่ลานกว้างที่ทอดยาว ก่อนถึงบันไดที่เรียงตัวสูงขึ้นไปตามภูเขาชันสูงประตูเข้าปราสาท ที่ทอดตัวเรื้อยไป
ตามไหล่เขา และชูตัวปราสาทสูงราวกับหอคอยไว้ตามไหล่เขาที่สูงชั้น ราวกับมังกรตัวมหึมาที่เรื้อยกอดภูเขาใหญ่ไว้ทั้งลูก
นั่นแค่ตัวปราสาทก็กินภูเขาไปทั้งลูกแล้ว ยังไม่รวมสนามประลอง สนามม้า กับสวนต่างๆอีกนับสิบ ที่ใช้ในการเรียนการสอน
“ฮิว! ไคร์!”
เสียงหวานเรียกให้ทั้งสองคนต้องหันไปหา หญิงสาวที่อยู่ในชุดนักเรียนเสื้อคลุมสีเขียวแก่และกระโปรงกางเกงยาวคลุมเข่า ที่เรียวขาถูกปิด
ต่อด้วยถุงน่องสีดำ แต่เข็มกลัดของเธอมากกว่านักเรียนหญิงคนอื่นๆ เพราะอันแรกเป็นเข็มกลัดประจำตัวนักเรียน ส่วนอีกอันเป็นรูปใบเฟิร์น
สองใบไขว้กัน เป็นเครื่องหมายว่าเธอคือนักเรียนสายพยาบาลภาคสนาม
“หวัดดียู”ไคร์ทักทาย ขณะที่เพื่อนสาวยัดสมุดปกเขียวให้เขากับฮิวคนละเล่ม
“นี่สมุดกำหนดการสำคัญๆของปีนี้ที่พวกอาจารย์สรุปชัดแล้ว เขาส่งต่อให้พวกเราดำเนินงานต่อ”เธอบอก ขณะที่ไคร์ก้มเปิดดูหนังสือในมือ
“อืม...เหมือนของเดิมนิ ไว้ค่อยดูก็ได้”ไคร์พึมพำ ก่อนจะเก็บมันลง
“ก็แหงละ เราได้กันคนละเล่มนิ”ยูบอก ก่อนจะเอนซ้ายมองผ่านหลังฮิวไปที่กลุ่มนักเรียนหญิงที่สวมชุดนักเรียน สีน้ำเงินกับสีแดงเข้มกลุ่ม
หนึ่งยืนคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าดัดจริตเต็มที่ แล้วจึงเอนตัวกลับมา
“พวกห้องต่างห้องวางแผนชั่วกันอีกแล้วแน่เลย”ยูบ่นพึมพำ
พวกต่างห้อง เป็นศัพท์ที่พวกเขาเรียกกันเฉพาะวงใน เพื่อใช้เรียกนักเรียนห้องข.(เสื้อคลุมสีน้ำเงิน) กับห้องค.(เสื้อคลุมสีแดงเข้ม) ที่มันจะมี
เรื่องทะเลาะวิวาท หาเรื่องสตรีห้องก.ที่มันจะได้เกรดดีเกินหน้าเกินตาพวกหล่อนอยู่บ่อยๆ แต่ที่น่าสงสารกว่าก็คงจะเป็นสตรีสายพยาบาล ที่
มักจะตอบโต้ไม่ได้ถ้าโดนแกล้งก็แย่เอาเหมือนกัน
“เออ จริงซิปีนี้ห้องเรามีนักเรียนใหม่ละ”ยูพูดด้วยสีหน้าปิติยินดี “เห็นเขาว่าอาจารย์ใหญ่ทดสอบด้วยตัวเองเลยน่ะ”
“อ๋อ....แล้วสวยมั้ย”ฮิวถาม แต่ก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อฝ่ามืออหังการตบผัวะเข้าที่ศีรษะเข้าจังๆ
“พูดอยู่เรื่องเดียว”นักเรียนหญิงชุดเขียวรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางมากอำนาจเดินมาจากด้านหลังของเขา ก่อนจะลดมือที่เพิ่งฟาดผัวะลงไปลง
อย่างใจเย็น ถึงตรงนี้ทุกคนสังเกตได้ว่าเข็มกลัดของเจ้าหล่อนเป็นสีทองแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นถึงประธานนักเรียนหญิง “เป็นเจ้าชายที่ขี้เล่น
เกินตัวจริงๆนะนายเนี่ย”
“โธ่ เป็นเจ้าชายแล้วต้องนั่งกอดขาราชินีหรือไงเฟิร์น”ฮิวพูดเถียง กับนักเรียนหญิงที่เกือบจะสูงเท่ากับเขาอยู่มะรอมมะล่อ ทั้งที่ในหมู่ผู้ชาย
กันเอง ฮิวยังจัดว่าสูงอยู่แล้ว แล้วในหมู่ผู้หญิง หล่อนจะสูงขนาดไหนละเนี่ย
“อะ นั่นไงคนนั้นน่ะ”ยูชี้ไปที่นักเรียนหญิงชุดสีเขียวคนหนึ่งที่กำลังเดินลงบันไดมาด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ
เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กบาง ผมยาวสีดำสนิทถักเป็นเปียแล้วม้วนมวยขึ้นไปอย่างเรียบร้อย ใบหน้าและผิวที่ซีดขาวตัดกับเส้นผมที่ดำสนิทเสีย
เหนือเกิน
“อาจารย์มอบให้เราดูแลเธอจากพวกต่างห้อง จนกว่าเธอจะชิน”เฟิร์นบอกอย่างภาคภูมิใจ
“ชื่ออะไร”ฮิวถาม
“โดโลเรส แอนคาเซีย”
   
   
                ใต้ผืนฟ้าที่เมฆฝนเข้าบดบัง ทางเดินในป่าสนด้านล่างนั้นมืดสลัวที่แทบจะมืดมิด แสงสว่างเพียงดวงเดียวนั้นมาจากตะเกียงดวงน้อยที่ห้อยอยู่ด้านหน้าของรถม้าสีดำสนิท ที่อารักขาด้วยอัศวินชุดดำทรงม้าขนาบข้าง ถึงสองคน
    “นั่นใช่มั้ย”
    คำถามมาจากเด็กหนุ่มผู้ที่ยืนอยู่บนหน้าผาสูงชัน ที่ปกปิดร่างกายด้วยฮูดสีดำทั้งตัว เช่นเดียวกับผู้ร่วมงาน
    “ไม่ผิดหรอก”หญิงสาวตอบ “งานนี้จับตาย”
    “ฉันละเกลียดงานแบบนี้จริง”เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าไซคีถอนหายใจเฮือกๆ ก่อนจะยกมือขวาขึ้น เผยให้เห็นอัญมณีสีแดงสดบนหลังมือคล้ายเครื่องประดับ โบราณ “เริ่มต้น ล้อเกวียน”
    เสียงไม้ที่ฉีกขาดมาพร้อมกับล้อเกวียนของรถม้าเบื้องล่างแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆครบทั้งสี่ล้อ แรงเหวี่ยงส่งเอารถทั้งคันกลิ้งครูดไปตามทาง
    ไม่มีการเปิดช้องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามได้ตั้งตัว คาถาบทที่สองก็ฟันเอารถทั้งคันขาดกระจุยเป็นชิ้นๆ เหลือเพียงสตรีผู้หนึ่งในรถที่นอนปลอดภัยอยู่เหนือซากรถ
    “บอกว่าจับตาย”หญิงสาวข้างกายพูดอย่างไม่พอใจ แต่ไซคีกลับไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
    “จับเป็นก็ไม่เสียหาย อยากจับตายเจ้าก็เก็บเอาซิ”
    คราวนี้คนถูกเถียงไม่ปล่อยให้เสียงาน รีบชักดาบกระโดดลงจากหน้าผาสูง สู่พื้นที่เบื้องล่าง ก่อนจะวิ่งเข้าปะดาบกับองครักษ์คนหนึ่ง ระหว่างที่อีกคนกำลังก้มดูสตรีที่นอนอยู่
    “เธอตายแล้ว!”
    “ผับฝ่าซิ”เด็กหนุ่มนักล่าสบถเคือง ก่อนจะกระโดดตามลงมา และโบกมือขวาขึ้น “ฟี!ถอยออกมา!”
    หญิงในชุดฮูดตอบรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ดีดตัวถอยออกห่างจากองครักษ์ทั้งสองคน ไปหลบอยู่ด้านหลังของผู้ออกคำสั่ง
“จะเป่าให้กระจายเลย”
                ลมกระโชกแรงตีฝุ่นบนพื้นกระจายเป็นม่านละออง เพียงชั่ววินาทีเสียงแตกเปรี้ยงของต้นไม้รอบข้างก็ตามมาให้ได้ยิน แต่ทันทีที่พายุหมดลง สิ่งที่เหลืออยู่กลับมีแค่ซากรถม้ากับสตรีแปลกหน้าเท่านั้น
                “หนีไปแล้ว!”หญิงสาวร้อง
                \"ให้เขาหนีไป”ฝ่ายเด็กหนุ่มยกมือขึ้นห้าม “นี่แค่นกต่อ ส่งจดหมายไปบอกแม่ว่าเราโดนหลอก ผู้หญิงในรถก็ไม่ใช่เจ้าหญิง”เขาหันบอก พร้อมกับออกเดินไปยังเด็กสาวที่นอนตายอยู่ แต่เมื่อเขายกมือเธอ “แล้วหล่อนก็ยังไม่ตาย ไอ้องครักษ์สองตัวนั่นตามันบอดกันหรือ
ไง”
              “แม่บอกให้จับตายก็จับตายซิ พี่จะมามัวห่วงว่าเหยื่อจะเจ็บทำไม”เด็กสาวเพื่อนร่วมงานพูดอย่างหัวเสีย
                “เรื่องของข้า แล้วจะพาผู้หญิงคนนี้กลับไปด้วยรึเปล่า”
                “ช่างหล่อนเถอะน่ะ แล้วจะเอายังไงกับเจ้าหญิงตัวจริง เราตามข้ามไปฝั่งรูรูนอย ไปตอนนี้อาจจะยังทัน”เด็กสาวถามขึ้น
                “ไม่ต้อง ป่านนี้คงหนีไปถึงซันมาเนียแล้ว ถึงเจอตัวก็ป่วยการ”
              “แล้วเอาไง”
              “กลับไปรายงานแม่ก็พอ ส่วนผู้หญิงคนนี้ก็ปล่อยไว้ตรงนี้หละ ถ้าเป็นปรกติเดี๋ยวไอ้องครักษ์สองคนนั่นก็คงกลับมาเอาศพ”เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง “กลับกันเถอะ งานอื่นยังรออยู่”
              วันที่ 4 มีนาคม ปีเดียวกัน
            โทรีเบอร์ เมืองหลวงทางการทหารที่อยู่ในแถบตอนบนของฮาโมเนีย นครที่ใหญ่ที่สุดในบันดาแปดนครของฮาโมเนีย และขึ้นชื่อเรื่องยุทศาสตร์ในการป้องกันเมืองว่ากันว่าเป็นเมืองที่ถูกตีได้ยากที่สุด เพราะนอกจากตัวเมืองจะตั้งอยู่บนเนินสูงแล้ว สภาพโดยรอบยังมีแม่น้ำขวางหน้าเมือง เรื่อยไปถึงทะเลสาบใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียง  อีกทั้งยังเป็นเมืองที่ถูกเรียกฉายาว่านครเงา
            เพราะเมืองทั้งเมือง บ้านทุกหลังล้วนแต่ทาด้วยสีเขียวหรือสีน้ำเงิน และมุงหลังคาด้วยสีดำ เมืองนี้จึงราวกับไม่มีตัวตนในยามค่ำคืน
แม้ว่ายามเย็นของวันนี้ จะมืดครึ้มด้วยเมฆฝน 
            แต่จุดที่สำคัญที่สุดของเมืองคือปราสาทยูเวอร์แคม สถานที่พักขององค์จักรพรรดินี  เกรดิโอรัส แฟคอนเวอร์
            ท่านเป็นหญิงชรา รูปร่างท้วนน่ารัก แม้ว่าอายุเจ็ดสิบแปดของท่านจะไม่แสดงออกทางริ้วรอยแต่อย่างใด ท่านยังดูคล้ายสตรีอายุเพียงห้าสิบเท่านั้น ถึงกระนั้นชุดที่ทานทรงอยู่ก็ไม่ได้ต่างจากชุดหญิงชราชาวบ้านเท่าไรนัก แม้ว่าท่านกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เพื่อทรงงานในแต่ละวัน
            “ออกไปได้แล้ว แล้วข้าจะนัดพบทีหลัง”องค์จักรพรรดินีตรัสสั่งกับพวกข้าราชการที่นั่งเรียงอยู่เต็มห้อง ให้ยืนถวายความเคารพก่อนจะเดินออกไปจากห้องอย่างนอบน้อม แต่เมื่อนางกำนัลจะเข้ามาพยุงเสด็จออก ท่านกลับตรัสว่า “ไม่ต้องๆ ข้ายังเหลืองานอีกชิ้น อ๋อถ้าจะให้ดี ช่วยไปเรียกฮิวหลานข้าเข้ามาด้วยน่ะ บอกเขาว่าเพื่อนเก่าเขาจะมาเยี่ยม”
            “เพคะ”นางกำนัลถอนสายบัว ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้อง และทันทีที่ประตูปิดลง ทหารทุกคนออกไปอยู่ด้านนอกของห้อง
เสียงลมพัดหวนจากบานหน้าต่างด้านบนของห้องโถงก็เริ่มพัดให้ได้ยิน ก่อนที่หน้าต่างบานนั้นจะปิดลง พร้อมกับบุคคลปริศนาในชุดฮูดสีดำสนิทก็กระโดดลงมาทีสุดห้องอย่างนุ่มนวล ไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้าที่กระแทรกพื้น
            บุคคลปริศนาเงยหน้าขึ้นกราดมองทั่วห้อง ก่อนจะโค้งคำนับองค์จักรพรรดินีตรงหน้า และพูดขึ้นว่า
              “โปรดประธานอภัยโทษด้วยพะยะค่ะ ที่หม่อมฉันปรากฏตัวไม่สุภาพอีกตามเคย”
              “มาทุกครั้ง หลานก็พูดเริ่มกับยายแบบนี้ทุกครั้งจนยายชินซะแล้ว ไซเคอรัน”องค์จักรพรรดินีพูดกึ่งหัวเราะกับหลานชาย ขณะที่หลายชายที่ว่าเดินมาอยู่ด้านหน้าของประรำพิธีก่อนจะลากเก้าอี้มานั่ง “แล้วเป็นไงมั่ง งานสำเร็จมั้ย หน้าแบบนี้คงไม่ต้องให้ยายเดาว่าคงจะพลาดซิน่ะ”
            “ครับ เมื่อสองวันก่อน ผมกับฟีตามรถม้าทรงของเจ้าหญิงเรมีน่าไปจึงถึงเมืองหลวงเก่า จูวีน่า แต่พอผมเริ่มโจมตี รถม้าก็เสียหลักลงข้างทาง ผลคือผู้หญิงที่นั่งมาในรถสลบไป แต่องครักษ์ที่อารักขารถมานึกว่าผู้หญิงตายแล้ว ก็เลยหนีไป แต่พอผมลองไปตรวจดูแล้ว ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่เจ้าหญิงเรมีน่าแต่คงจะเป็นแค่นกต่อน่ะครับ ผมก็เลยปล่อยไว้อย่างนั้น เพราะเดี๋ยวองครักษ์สองคนนั้นคงกลับมาเอาไปเอง เพราะจากที่ฟีสืบมา หล่อนน่าจะเป็นโดโลเรส แอนคาเซีย พระสหายคนสนิทของเจ้าหญิงที่มีหน้าตาคล้ายกันน่ะครับ ส่วนตัวเจ้าหญิงจริงๆ ผมคิดว่าคงจะหนีเข้าซันทีเมียไปแล้ว”ไซเคอรันตอบ “ผมเลยมารอคำอนุญาตว่าจะให้ผมจัดคนตามไปล่ารึเปล่าน่ะครับ เพราะเท่าที่สายบอกมาก็พอจะรู้ที่อยู่แน่ชัดแล้ว”
            “ไม่ต้องๆ แค่นี้ก็พอแล้ว เจ้าหญิงองค์สุดท้ายนั่นปล่อยเขาไปดีกว่า เพราะเท่าที่ยายรู้มา ดูเหมือนว่าประเทศอื่นเขาก็แอบตั้งค่าหัวเจ้าหญิงไว้เหมือนกัน ถึงรอดการจับกุมของเราไปได้ เขาก็ใช่ว่าจะสบาย”องค์จักรพรรดินีพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ก็...ให้เขาไปเจอชะตากรรเอาเอง”
              “ครับ”ไซเคอรันตอบเสียงแผ่ว นั่นซิ ปล่อยไปยังไงก็ไปตายที่อื่นอยู่ดี “จริงซิครับ แต่พวกองครักษ์ของเจ้าหญิงที่ผมปะทะด้วยเมื่อวันก่อนคิดว่ายังอยู่ในเขตุเราน่ะครับ”
              “โอ้ย ปล่อยเขาไปเถอะ ยังไงก็ทำอะไรเราไม่ได้”ท่านยายตอบกึ่งหัวเราะ “แต่ถ้าจะจับ ยายว่าจับโดโลเรสดีกว่า เพราะใช้หล่อนต่อรองกับเจ้าหญิงได้ จับองครักษ์มาเดี๋ยวๆมันก็ฆ่าตัวตายกันหมด จับคนที่คุมง่ายกว่าดีกว่า”
              “ถ้ายังอยู่ผมจะตามจับให้ก็แล้วกันครับ”หลานชายบอก
              “ถ้าเช่นนั้นงานต่อไป ตามล่าโดโลเรส แอนคาเซีย หากยังอยู่ในเขตุอาณาจักฮาโมเนีย”ท่านยายของเขาออกคำสั่ง “หนังสือว่าจ้างยายจะส่งไปให้ทีหลัง
              “รับด้วยเกล้า... แล้วยังมีงานอื่นอีกรึเปล่าละครับ”ไซเคอรันถือโอกาสถาม แต่ท่านยายกลับทำหน้าแบ้ ก่อนจะกวักมือเรียกให้หลานชายเข้าไปหา และดึงเขาลงมากระซิบแผ่ว ราวกับไม่อยากให้ใครบังเอิญเข้ามาได้ยิน
“ควอ...หลานเพิ่งจะอายุสิบเจ็ด...จริงๆแล้วหลานน่าจะยังเรียนอยู่เลย ดูอย่างฮิวกับเจ้าหญิงเจ้าชายคนอื่นๆซิ มีแต่หลานคนเดียวที่ยินดีทำงานแบบนี้แล้วทิ้งการเรียนไปน่ะ ตอนนี้ยังทัน ถ้าหลานกลับไปเรียนปีห้าที่โซราเนียต่อจนจบปีหก หลานยังมีโอกาสเป็นอัศวินน่ะ แล้วอีกอย่างหลานก็ไม่ควรปลอมตัวไปทั้งชีวิตแบบนี้ ลืมแล้วหรอว่าตัวเองเป็นใคร”
“รู้ซิครับ แม่พูดกลอกหูผมทุกวัน แม่ไม่ชอบให้ผมทำแบบนี้เอาการเหมือนกันละครับ”ไซเคอรันกระซิบตอบ
“แหม แต่หลานก็ยังปลอมตัว แบบนี้จะแต่งกับใครเขาได้ละเนี่ย”
“เรื่องนั้นผมยังไม่ได้คิดครับ”ไซเคอรันตอบอย่างหัวเสีย ไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้เลย
“นานๆจะเจอกันที ไหนบอกยายซิว่าแอบชอบใครในกลุ่มนักล่ารึเปล่า”ท่านยายพูดอย่างมีความหวัง ไซเคอรันหัวเราะเสียงฝืดๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ที่นั่นมีแต่พวก“
แต่ยังไม่ทันจบประโยคดี เสียงประตูกริบเดียว ก็ทำให้ไซเคอรันต้องปลีกตัวออก พร้อมกับตวัดสายตาไปที่ประตูบานเล็กที่ริมห้อง
เด็กหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางที่ตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าบุคคลปริศนาที่อยู่ในห้องยืนอยู่ก่อนแล้ว
คนแรก เขามีผมสีน้ำตาลอ่อน คล้ายสีฟางสดใส นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดูขี้เล่น รูปร่างสูงผอม ทรงชุดอัศวินสีแดงเข้ม ผิวพรรณสุขภาพดีเฉกเช่นคุณหนูผู้ดีของราชวงศ์
เจ้าชายอันดับหนึ่งที่จะได้ครองบันลัง เจ้าชายฮิวมัส ซารัน แฟร์คอนเวอร์
ส่วนอีกคนที่เดินตามหลังเข้ามา เขามีรูปร่างที่สูงและกำยำกว่าฮิวมัสอยู่เล็กน้อย ดูแข็งแรงกว่า แม้ว่าผิวของเขาค้อนข้างจะขาวเผือก แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะใบหน้าของเขาก็ดีอยู่แล้ว เพราะดวงตาสีดำสนิทคมคาย เช่นเดียวกับเรื่องผม  ทรงชุดอัศวินสีน้ำเงินเข้ม
คนนี้ก็ ราชองครักษ์
“สวัสดีครับยาย หวัดดีไซคี ไม่เจอกันนาน”ฮิวยกมือขึ้นทักทายพร้อมกับสาวก้าวเดินเข้ามา เช่นเดียวกับไซเคอรันโบกมือตอบ
“หวัดดี ตัวสูงขึ้นเยอะนี่นา”ไซคีทักกลับ
“ส่วนเจ้าก็ดูไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่”ฮิวหัวเราะหึๆ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหน้าสุด เช่นเดียวกับองครักษ์ของเขา
“งานเป็นไงมั่ง เมื่อไหร่จะเลิกทำ”
“โอโฮ้ ถามทีละคำซิ”ไซคีตอบยิ้มๆ พร้อมกับดึงหมวกฮูดออก
ใบหน้าใต้หมวกฮูดนั้นดูขัดตา เพราะใบหน้าที่ดูหวานละมุนด้วยตาโตสีน้ำตาล และผมที่ยาวสลวยจรดกลางหลังที่มัดรวบไว้อย่างประณีตนั้น มันขัดกันเอง เพราะตาโตคู่สวยดูคมและแข็งกะด่าง ริมฝีปากเรียวบางหมองคล้ำเช่นเดียวกับคิ้วที่หนาโก่ง
เจ้าชายอันดับที่สี่ เจ้าชายไซเคอรัน แฟร์คอนเวอร์
“แล้วนี่จะรีบกลับรึเปล่า”ฮิวเปลี่ยนคำถาม
“ไม่ละ ฉันเดินมาตั้งวันกว่าแล้ว ยังไม่ได้พักเลย”ไซคีตอบ พร้อมกับเดินลงมาจากประรำพิธี
“อา...มาก็ดีแล้ว ฮิว ถ้างั้นหลานนั่งคุยกันไปก่อนน่ะ ยายยังมีงานต้องทำต่อ”ท่านยายพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ครับยาย”เจ้าชายทั้งสองพระองค์หันไปทักกับยายที่โบกมืออย่างร่าเริง ก่อนจะลุกเดินออกไปจากห้องอย่างคล่องตัว
ใช่ ท่านยังแข็งแรงอยู่
“ไงไคร์ เดี๋ยวนี้เลิกสูบบุหรี่รึยัง”ไซคีตบบ่าองค์รักษ์หนุ่มที่นั่งสงบอยู่ข้างฮิว ก่อนจะหมุนเก้าอี้อีกตัว มานั่งตั้งวงกับเพื่อนทั้งสองคน “แต่ดูท่าจะ
ยังใช่มั้ย”
“ยังเลย ก็ยังสูบอยู่”ไคร์ตอบ เขาเคยโดนเกณฑ์ไปฝึกหนักที่ชายแดนตั้งแต่อายุสิบสาม จนถึงอายุสิบห้า ซึ่งระหว่างการฝึกค้อนข้างจะเครียด
มาก จนพ่อของไคร์ต้องให้เขาสูบบุหรี่ เขาก็เลยยังติดมันอยู่จนปัจจุบัน ถึงจะสูบไม่จัดเขาก็สูบมันอย่างน้อยสามม้วนเวลาหลังอาหาร
“ไม่ๆ ฉันไม่ได้หมายถึงหายขาด หมายถึงเลิกสูบวันละสองซองรึยัง”ไซคีเปลี่ยนคำถาม ก่อนจะก้มหลบลูกตบของไคร์ได้อย่างเฉียดปลายผม
“กวนประสาทแต่หัววันนะแก”ไคร์พูดหัวเราะ ก่อนจะเงื่อตบอีกรอบ
“โอ้ย พบๆ ไอ้บ้าเดี๋ยวหัวหลุด”ไซคียกมือขึ้นป้องกันตัวเอง แน่หละ ไอ้ที่ว่าสงบน่ะ ก็แค่ต่อหน้าพวกข้าราชการไม่ก็เจ้าหญิงเจ้าชายเท่านั้น
หละ
ก็ถ้าอยู่นอกวังคงจะไล่เตะกันเหมือนแต่ก่อน เพราะจริงๆแล้วทั้งสามคนก็เพื่อนกันแต่เด็ก เพราะทั้งฮิวทั้งไซคีก็เป็นเจ้าชาย ส่วนไคร์ก็เป็นลูก
ชายแม่ทัพใหญ่ ฮิวถึงได้เลือกไคร์มาเป็นองครักษ์ประจำตัว
“จริงซิ แล้วเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอกันที่โบสเลยน่ะ”ฮิวถามขึ้น “วันศุกร์ต้นเดือนอะไรให้ทำนักหนา ถึงได้ไปสวดมนตร์แค่เดือนละครั้งไม่ได้”
“นี่...สวดมนตร์ฉันสวดที่ไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องไปโบสเลย”ไซคีพูดเนิบๆ ก่อนจะโบกมือยิกๆ แล้วในฉับพลัน ชุดน้ำชาอุ่นๆทั้งถาดก็ปรากฏให้
เห็นอยู่ในมือ ก่อนจะประคองมันวางลงบนเก้าอี้ข้างเคียง แล้วจึงยกกาน้ำชาขึ้นรินลงในถ้วยทั้งสามใบ “ฉันมันเป็นเจ้าชายเฉพาะในงานเลี้ยง”
“ใช่ แล้วนายก็ไม่ได้ไปตั้งสองปีซ้อนแล้ว”ไคร์พูดขึ้น ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นดื่ม
“ทั้งชาทั้งบุหรี่ ปากได้พังกันพอดีไคร์”ไซคีส่ายหัว “เลิกสูบซะทีเหอะ”
“ไว้ไอเป็นเลือดก่อนค่อยเลิก”
“เจริญซะ”ไซคีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะวางชาลง “เฮ้อ.....”
“แกถอนหายใจวันละกี่รอบเนี่ย”ฮิวพูดอย่างหัวเสีย “ไม่เจอกันนาน รู้สึกจะมีแต่เรื่องเครียดๆใช่มั้ย”
“ก็...เหมือนกันหละ”ไซคีตอบ
“งาน?”
“ก็มีส่วน”ไซคีตอบ “จริงๆแล้วเรื่องฟี”
“ฟีไลท์ทำไมหรอ”ฮิวถามต่อ
“ฟีไม่ยอมเข้าวังน่ะซิ เป็นเจ้าหญิงแท้ๆ ไปกระโดกกระเดกไล่จับชาวบ้านเขาอยู่ได้”ไซคีพูดบ่นถึงน้องยาวของเขายาวเป็นพรืด “งานอันตราย
ยังจะอยากไปทำอีก”
น้องสาวของเขาคือเจ้าหญิงฟีไลท์ เจ้าหญิงอันดับที่แปด
“เจ้าชายอย่างนายยังไม่เข้าวังเลย”ไคร์พูด
“ก็ไอ้ฉันมันถอยกลับได้ที่ไหน แต่ฟีเพิ่งจะอายุสิบห้าหน้าตาก็ดี จับเข้าวังซะมั่ง เผื่อจะได้ไปวัดไปวากะเขาหน่อย วันๆอยู่แต่ที่บ้านฟันดาบ
อ่านหนังสือ ฝึกเวท ไม่ก็ต้องขอตามฉันไปทำงานล่านักโทษแหกคุก ไปงานเลี้ยงทีไรก็ชอบเอาหมวกปิดหน้าทุกที แบบนี้ชายใดจะสน เดี๋ยว
พออายุเลยสามสิบเมื่อไหร่จะเศร้า”ไซคีถอนหายใจอีกครั้ง “ถ้าเอามาฟากไว้กับท่านยายอาจจะดีขึ้นหน่อยก็ได้”
“ฟีคงจัดการไม่ยากหรอก”ไคร์บอก “แต่แกหละที่จัดการยาก”เขาหันมาทางไซคีที่สะดุ้งหยงเมื่อถูกเอ่ยถึง ก่อนจะหัวเราะแผ่วเบา
“นั่นซิ แม่ยังบอกว่ามีลูกคนไหนก็ไม่จัดการยากเท่าฉัน” เขาบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน “หมดเรื่องแล้ว งานก็ไม่มีมาใหม่ขอตัวก่อนละกัน”
“อ้าว ไหนว่าจะอยู่ค้าง”ฮิวร้องถาม
“ใครบอกว่าค้างฮิว”
“แต่นี่เย็นแล้วน่ะ จะนอนบ้านหน่อยไม่ได้หือไง”ไคร์ท้วง ไซคีหัวเราะหึ
“ไม่...ฉันไม่ได้เตรียมชุดมา”เขาตอบ ก่อนจะถึงหมวกฮูดขึ้นคลุมหัว “แต่ก่อนไป คงจะแวะโบสซะหน่อย ไปด้วยกันหน่อยซิ”
ไม่นานนัก ทั้งสามคนก็เดินมาจนถึงโบสใหญ่ประจำพระราชวัง มันคงจะเป็นปราสาทหลังเดียวในเมืองที่เป็นสีขาวปลอดทั้งหลัง ด้านในของโบ
สคือห้องโถงขนาดใหญ่ทรงกลม หน้าต่างบานใหญ่ทุกบานเป็นกระจกขาวุ่น เหล็กดัดดัดเป็นลายหมู่ดาว ทั้งยี่สิบสี่กลุ่มดาว ล้อมห้องโถงไว้
ปล่อยให้แสงที่มีอยู่อ้อยอิงลอดเขามาเผยให้เห็นภายในที่ตีด้วยไม่สีเข้มเงางาม เกาะสลักอย่างประณีต รวมไปถึงเก้าอี้ยาวทุกตัวในโบส
ส่วนกลางห้อง คือแท่นประรำพิธีที่ดอกไม้ถูกจัดเปลี่ยนทุกวัน ซึ่งผู้ที่ยืนอยู่หน้าแท่นประรำพิธี คือบาทหลวงที่กำลังเตะมือลงบนศีรษะของเจ้า
ชายไซเคอรันที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
โดยมี เพื่อนชายอีกสองคนยืนมองอยู่หน้าประตูห้องโถง
“หมอนั่นสารภาพบาปตลอดเลยน่ะ”ฮิวพูดเสียงเบากับไคร์ พลางถอดสายตาไปที่กลางห้อง
“ก็แน่หละ”ไคร์พึมพำ “ยังดีกว่าทำงานแบบนั้นแล้วไม่สารภาพ”
“ฉันซิไม่ได้ทำมาตั้งสามสี่ปีแล้ว”ฮิวหัวเราะหึ
“อย่างนายต้องใช้เวลาเท่าไหร่ละถึงจะสารภาพหมด”ไคร์พูดแหย่ ก่อนจะหุบยิ้มลง
ไซคีเปลี่ยนตัวเองจากเจ้าชายที่สุขสบาย เป็นนักล่าฆ่าคนเสียแทนตั้งแต่หกปีก่อน ถึงงานที่รับทำส่วนใหญ่เป็นงานล่าหัวพวกคนร้ายต้องอาญา
แผ่นดิน เริ่มตั้งแต่ถล่มพวกพ่อค้าของเถื่อน ไปจนถึงลอบฆ่าศัตรูระดับประเทศที่ทางสภาสูงจะจัดจ้าง
เพราะมันคงจะหวัง...อะไรอย่างอื่นอยู่ในใจ
ถึงจะเป็นเจ้าชาย แต่มันก็ทำงานที่ว่ามามากจนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้วละมั่ง
“อ่ะ มาแล้ว”ฮิวทักขึ้น เมื่อไซคีลุกขึ้นจากประรำพิธี และเดินตรงมาทางพวกเขา แต่ทันทีที่มาถึง
“อุ้ย เจ้าชาย”
สตรีในชุดหลุยฟูๆคนหนึ่งทักเสียงหวาน พลางหันหน้าขาวเนียนด้วยแป้งฝุ่นหนาเป็นกิโลนั้นมาทางฮิว จนต่างหูระย้านั้นแทบจะแกว่งตีหน้าไค
ร์เข้าให้ แต่ดูเหมือนว่าสาวรับใช้ของเจ้าหล่อนจะมีระดับความต้องการผู้ชายสูงพอกัน
“สวัสดีเพคะเจ้าชาย”หล่อนถอนสายบัว ก่อนจะหันมาโค้งต่ำจนคอเสื้อกว้างๆนั้นเปิดซะเห็นถึงเนื้อในให้ไคร ที่รีบเบือนหน้าหนี “สวัสดีคะ ท่าน
ไคร์”
“เออ สวัสดี แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ว่าง”ฮิวบอก และหันไปขยิบตากับไซคี
อ๋อ ผู้หญิงคนนี้นี่เอง คุณหนูจูเวล อิคารัน ลูกสาวเจ้าเมืองโฮดเลนที่ฮิวมันเขียนจดหมายมาบ่นให้อ่านบ่อยๆ
“เจ้าชายค่ะ งานเทศกลางเมืองมีแต่ของสวยๆ ช่วยพาข้าไปทีน่ะค่ะ”เจ้าหล่อนคว้าข้อมือของฮิวไว้ได้ ก่อนจะหันมาทางไซคีที่ยืนยิ้ม
เหยาะ “อ้าว นี่พระสหายหรือคะ หน้าตาหล่อน่ะค่ะ ทำไม...แต่งตัวธรรมดาจังละคะ”
พอว่าจบ ไคร์ก็หลุดหัวเราะคิกออกมา เช่นเดียวกับไซคีกลั้นหัวเราะแทบขาดใจ เพราะเขารู้ว่าคำว่า “ธรรมดา”ของหล่อนหมายความ
ว่า “เถื่อน”ในพจนานุกรมฉบับเจ้าหญิงดัดจริต ไว้ถ้าหล่อนรู้ว่าเขาเป็นเจ้าชายคงจะใส่เกีร์ยถอยแทบไม่ทัน
เพราะคำล่ำลือของเจ้าชายไซเคอรันในปัจจุบันนี้คือเจ้าชายนักรบแห่งราชวงแฟร์คอนเวอร์ เพราะกลายเป็นว่าไอ้งานที่เขาทำ คือการสละชีวิต
ส่วนตัวเพื่อปราบคนชั่ว
ซึ่ง มันไม่จำเป็นต้องเอาไปพูดซะเวอร์ขนาดนั้นก็ได้ เพราะมันทำให้เขาหัวเสียเวลาออกงานสังคมประจำปี นี่หละที่ทำให้เขาไม่อยากไปงาน
รื่นเริงที่ไหน มันทำให้เขาเป็นแม่เหล็กดูดสาว ทุกคนคิดว่าการได้ควงเจ้าชายยอดนักรบเป็นเรื่องน่าอวดน่าโชว์
ผู้หญิงพวกนั้น ทุเรศกันจริงๆ เจ้าหญิงของเมืองต่างๆ จะหาที่เรียบร้อยจิตใจงามมันยากจริงๆ นอกนั้นก็ดัดจริตกันทุกคน ไม่รู้ว่ามีอาจารย์คน
เดียวกันรึเปล่า
“ฉันเหนื่อยแล้วฮิว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า”ไซคีพูดขึ้น ก่อนจะออกเดินนำเพื่อนชายอีกสองคนให้ตามออกมา
“เดี๋ยวซิคะท่านฮิว!”จูเวลโวยขึ้น แต่เมื่อหล่อนจะออกเดินตามก็ต้องชะงักกึก เมื่อชายกรโปรงงามๆของหล่อนเหมือนกำลังถูกอะไรบางอย่าง
ตรึงไว้กับเสา จนเจ้าหล่อนต้องโวยลั่นโบส แต่สามหนุ่มผู้กระทำยังคงทิ้งเสียงนั้นไว้เบื้องหลัง
“ฉันไปก่อนเลยละกันน่ะ” ไซคีตัดบทขึ้น เมื่อเพื่อนของเขาทั้งสองคนมาส่งเขาที่หน้าเมือง
“จะไม่ไปบอกลาทานยายก่อนหรือไง”ฮิวท้วงขึ้น แต่ไซคีแค่ยิ้มบาง
“งั้นก็ ระวังตัวด้วยละกัน”ไคร์บอก
“ขอบใจ”ไซคีหัวเราะเบาๆ “ไว้เจอกันใหม่ก็แล้วกันน่ะ ถ้าช้าจะยิ่งเดินลำบาก”
“อือ แล้วเจอกัน”ฮิวบอก ก่อนที่ไซคีจะหันหลังเดินออกไป พร้อมกับโบกมือน้อยๆ
“ขอให้โชคดีน่ะ”ไคร์ตะโกนตามหลัง เรียกให้เจ้าชายลำดับสี่เหลียวหลังมามอง ก่อนจะตอบว่า
“แล้วเจอกัน”
สองเดือนต่อมา ต้นเดือนพฤษภาคม โรงเรียนทั่วอาณาจักรก็เริ่มถยอยเปิดเรียนหลังจากปล่อยให้นักเรียนสุขสรรนกับปิดเทรมอันแสนยาวราวสองเดือนเศษ และนั่นหมายถึงการฝ่าฟันบทเรียนในปีการศึกษาต่อไปของพวกเขากำลังจะเริ่มขึ้น
ร่วมทั้งที่นี่ โรงเรียนอัศวินหลวงโซราเนีย ประจำนครแคนโดร่า
เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่งของกองทหาร และขึ้นชื่อเรื่องการฝึกอัศวินที่ดีที่สุดในอนาจักร ที่เมืองทั้งเมืองเป็นสีขาสะอาดรวมไปถึงอิฐ
บล็อกที่ปูทางเดินภายในเมือง อีกทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องของหายากทุกชนิดหาได้ที่นี่ เพราะที่ลานกลางเมืองของแคนโดร่าคือตลาดดีๆ ที่พ่อค้า
พเนจรจะนำของของพวกเขามาปูเสื่อขาย จนถูกเรียกว่าตลาดกลางเมือง
ใช่ และมันทำให้ใครบางคนกำลังจะไปโรงเรียนสาย
“ฮิว!เร็วๆหน่อยซิ ถ้าไปช้าเดี๋ยวก็ไม่มีเวลารายงานตัว”ไคร์พูดเร่งไอ้เพื่อนตัวดี ที่มัวแต่ยืนดูของในร้านข้างทาง
“ได้ๆ ไปแล้วๆ”ฮิวละจากร้านพ่อค้าเร และรีบเดินตามไคร์ไปตามทางเดิน ที่จอแจไปด้วยผู้คน และแน่นอน ทั้งสองคนอยู่ในชุดเครื่องแบบนัก
เรียน ที่เป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดา สวมทับด้วยเสื้อคลุมหนายาวถึงหัวเข่าสีเขียวแก่ กางเกงขาวยาวสีดำ และติดด้วยเข็มกลัดสีเงินรูปม้ามีธง
ไขว้ และลักชื่อ ‘โรงเรียนอัศวินหลวง โซราเนีย’ ที่สลักชื่อและห้องของพวกเขาทุกคนไว้ด้านหลัง
“ของน่ะมาตอนเที่ยงๆก็ได้ วันแรกอาจารย์เขาปล่อยเที่ยวอยู่แล้วน่า”ไคร์บอกอย่างหัวเสีย ก่อนจะแบกเป้ของตัวเองนำฮิวออกมาจากย่าน
ตลาดกลางเมือง
“อะไรไคร์ นี่เราเพิ่งจะมาถึงเองน่ะ แวะดูหน่อยไม่เป็นไรหรอก”ฮิวพูดเถียงๆ
“เดี๋ยวค่อยมาก็ได้ ถ้าไม่งั้นธรรมไมไม่ให้พวกทหารมาส่งเล่า”ไคร์พูดกึ่งประชด
“ถ้าให้พวกทหารมาส่งไม่มีได้ดูหรอก แค่ต้อนนักเรียนจัดแถวรับเสด็จก็หมดเวลาแล้ว หนีมากันเองแบบนี้สนุกกว่าอีก”ฮิวพูดอย่างขี้เล่น
“นั่นซิ”ไคร์หัวเราะหึๆ เขากับฮิวก็เหมือนไซคีที่ไม่ชอบให้ใครมาล้อมหน้าล้อมหลัง ปัจจุบันนี้ก็มีไม่กี่คนที่รู้ว่าฮิวมันเป็นเจ้าชาย ส่วนเขาเป็น
องครักษ์ประจำตัวมัน แล้วที่มาเดินถอดน่องอยู่นี่ได้ ก็เพราะหนีมาจากขบวนเสด็จสดๆเมื่อสิบนาทีก่อนนี้เอง
ในที่สุด ทั้งคู่ก็เดินมาจนถึงท้ายเมือง ที่ที่ควรจะเป็นกำแพงทั้งด้าน แต่กลับเป็นรั่วเหล็กดัดสูงตลอดแนว ที่กันระหว่างเมือง กับป่ารก ที่พวกนัก
เรียนจะเรียกมันว่า “สวนหน้าบ้าน” เพราะมันคือส่วนหน้าโรงเรียนที่ไม่ได้ตัดมาตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียน (ที่คาดว่าตั้งมาแล้วเป็นร้อยปี) ทำให้
ต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นกันจนแทบจะเรียกได้ว่าป่าดงดิบ เพราะไอ้ที่ใหญ่ก็มโหฬารไปเลย แถมต้นไม้พวกนี้ยังถูกเรียกอีกชื่อเล่นๆว่า “ไอ้ต้นปาก
สว่าง” เพราะทุกครั้งที่มีนักเรียนคิดจะปีนรั่วหนี มันก็จะแหกปากตะโกนซะลั่นทุ่งว่ามีนักเรียนกำลังจะโดดเรียน
ไคร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่มีป้อมยามที่ตั้งอยู่ข้างประตูเล็กเพื่อนลงชื่อในสมุดรายชื่อหนาปึก เพราะโซราเนียไม่อนุญาตให้คนนอก
เข้าไปในโรงเรียน
“ไคร์ ฟรานทีโล กับฮิวมัส แฟร์คอนเวอร์ ปีห้าห้องก.สายอัศวินครับ”ไคร์บอกชื่อตัวเองกับยามที่พยักหน้าหงึก และก้มหน้าก้มตาเปิดสมุดราย
ชื่อขึ้นดู ก่อนจะติ๊กถูกที่ช้องด้านหลังชื่อของพวกเขาทั้งสองคน
“ดีมาก..เข้าไปได้แล้ว”ยามบอก
ไคร์กับฮิวเดินผ่านเข้าไปในประตู สู่ลานกว้างที่ทอดยาว ก่อนถึงบันไดที่เรียงตัวสูงขึ้นไปตามภูเขาชันสูงประตูเข้าปราสาท ที่ทอดตัวเรื้อยไป
ตามไหล่เขา และชูตัวปราสาทสูงราวกับหอคอยไว้ตามไหล่เขาที่สูงชั้น ราวกับมังกรตัวมหึมาที่เรื้อยกอดภูเขาใหญ่ไว้ทั้งลูก
นั่นแค่ตัวปราสาทก็กินภูเขาไปทั้งลูกแล้ว ยังไม่รวมสนามประลอง สนามม้า กับสวนต่างๆอีกนับสิบ ที่ใช้ในการเรียนการสอน
“ฮิว! ไคร์!”
เสียงหวานเรียกให้ทั้งสองคนต้องหันไปหา หญิงสาวที่อยู่ในชุดนักเรียนเสื้อคลุมสีเขียวแก่และกระโปรงกางเกงยาวคลุมเข่า ที่เรียวขาถูกปิด
ต่อด้วยถุงน่องสีดำ แต่เข็มกลัดของเธอมากกว่านักเรียนหญิงคนอื่นๆ เพราะอันแรกเป็นเข็มกลัดประจำตัวนักเรียน ส่วนอีกอันเป็นรูปใบเฟิร์น
สองใบไขว้กัน เป็นเครื่องหมายว่าเธอคือนักเรียนสายพยาบาลภาคสนาม
“หวัดดียู”ไคร์ทักทาย ขณะที่เพื่อนสาวยัดสมุดปกเขียวให้เขากับฮิวคนละเล่ม
“นี่สมุดกำหนดการสำคัญๆของปีนี้ที่พวกอาจารย์สรุปชัดแล้ว เขาส่งต่อให้พวกเราดำเนินงานต่อ”เธอบอก ขณะที่ไคร์ก้มเปิดดูหนังสือในมือ
“อืม...เหมือนของเดิมนิ ไว้ค่อยดูก็ได้”ไคร์พึมพำ ก่อนจะเก็บมันลง
“ก็แหงละ เราได้กันคนละเล่มนิ”ยูบอก ก่อนจะเอนซ้ายมองผ่านหลังฮิวไปที่กลุ่มนักเรียนหญิงที่สวมชุดนักเรียน สีน้ำเงินกับสีแดงเข้มกลุ่ม
หนึ่งยืนคุยกันอยู่ด้วยสีหน้าดัดจริตเต็มที่ แล้วจึงเอนตัวกลับมา
“พวกห้องต่างห้องวางแผนชั่วกันอีกแล้วแน่เลย”ยูบ่นพึมพำ
พวกต่างห้อง เป็นศัพท์ที่พวกเขาเรียกกันเฉพาะวงใน เพื่อใช้เรียกนักเรียนห้องข.(เสื้อคลุมสีน้ำเงิน) กับห้องค.(เสื้อคลุมสีแดงเข้ม) ที่มันจะมี
เรื่องทะเลาะวิวาท หาเรื่องสตรีห้องก.ที่มันจะได้เกรดดีเกินหน้าเกินตาพวกหล่อนอยู่บ่อยๆ แต่ที่น่าสงสารกว่าก็คงจะเป็นสตรีสายพยาบาล ที่
มักจะตอบโต้ไม่ได้ถ้าโดนแกล้งก็แย่เอาเหมือนกัน
“เออ จริงซิปีนี้ห้องเรามีนักเรียนใหม่ละ”ยูพูดด้วยสีหน้าปิติยินดี “เห็นเขาว่าอาจารย์ใหญ่ทดสอบด้วยตัวเองเลยน่ะ”
“อ๋อ....แล้วสวยมั้ย”ฮิวถาม แต่ก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อฝ่ามืออหังการตบผัวะเข้าที่ศีรษะเข้าจังๆ
“พูดอยู่เรื่องเดียว”นักเรียนหญิงชุดเขียวรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางมากอำนาจเดินมาจากด้านหลังของเขา ก่อนจะลดมือที่เพิ่งฟาดผัวะลงไปลง
อย่างใจเย็น ถึงตรงนี้ทุกคนสังเกตได้ว่าเข็มกลัดของเจ้าหล่อนเป็นสีทองแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นถึงประธานนักเรียนหญิง “เป็นเจ้าชายที่ขี้เล่น
เกินตัวจริงๆนะนายเนี่ย”
“โธ่ เป็นเจ้าชายแล้วต้องนั่งกอดขาราชินีหรือไงเฟิร์น”ฮิวพูดเถียง กับนักเรียนหญิงที่เกือบจะสูงเท่ากับเขาอยู่มะรอมมะล่อ ทั้งที่ในหมู่ผู้ชาย
กันเอง ฮิวยังจัดว่าสูงอยู่แล้ว แล้วในหมู่ผู้หญิง หล่อนจะสูงขนาดไหนละเนี่ย
“อะ นั่นไงคนนั้นน่ะ”ยูชี้ไปที่นักเรียนหญิงชุดสีเขียวคนหนึ่งที่กำลังเดินลงบันไดมาด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ
เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กบาง ผมยาวสีดำสนิทถักเป็นเปียแล้วม้วนมวยขึ้นไปอย่างเรียบร้อย ใบหน้าและผิวที่ซีดขาวตัดกับเส้นผมที่ดำสนิทเสีย
เหนือเกิน
“อาจารย์มอบให้เราดูแลเธอจากพวกต่างห้อง จนกว่าเธอจะชิน”เฟิร์นบอกอย่างภาคภูมิใจ
“ชื่ออะไร”ฮิวถาม
“โดโลเรส แอนคาเซีย”
   
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น