ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ห้วงเวลา
      เช้าวันต่อมา ยูมิรีบจัดการกับตัวเธอให้เร็วที่สุดก่อนดิ่งลงมาพร้อมกับนมหนึ่งขวด และทันทีที่เธอวิ่งผ่านห้องครัว
                  “หนูไปก่อนนะค้า”เธอบอก และวิ่งเหยาะๆไปตลอดทางที่ไปโรงเรียน
                  “ลินอิเป็นยังไงบ้างน้า...”นั้นแหละสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวเธอ 
                            ตลอดทางยูมิวาดภาพวาดทันทีที่ไปถึงห้องเรียนเธอจะพบลินอินั่งรออยู่ แต่มันไม่ใช่
                    “หวัดดี หวัดดี”ยูมิทักเพื่อนๆในห้องระหว่างที่เดินไปนั่งที่โต๊ะโดยที่ปราศจากลินอินั่งรออย่างที่คิด
          ลินอิก็น่าจะมาโรงเรียนพร้อมกับคาเทียสนี่นา แล้วคาเทียสเป็นครูก็ต้องมาแต่เช้าซิ ทำไมถึงยังไม่มาอีก
                  “เฮ้ย อาเคน มานี้เลยเว้ย!วันนี้มาเช้านี้หว่า”เพื่อนชายของอาเคนส่งเสียงทันทีที่เพื่อนรักเดินเข้ามา
          อาเคนเดินผ่านยูมิไปอย่างไม่ใส่ใจ เข้าไปนั่งคุยกับเพื่อนๆของเขาขณะที่ยูมิตอนนี้ไม่สบอารมณ์กับเจ้าบ้านี่เท่าไร
                  “หัวหน้า... สมุดประวัติศาสตร์น่ะ เอาไปส่งด้วย”รองหัวหน้าห้องตะโกนบอกยูมิกระโดดลุกขึ้น
                  “ฉันไปส่งให้เอง รวมกองมาเลย”เธอเสนอ
          รองหัวหน้าห้องยิ้มอย่างยินดีและก้มลงรวมเอาสมุดกว่าสี่สิบเล่มยกให้ยูมิแบกไปห้องพักครู ทันทีที่ไปถึงสิ่งที่ยูมิมองหาคือ
      ตัวคาเทียสที่เจ้าตัวกำลังนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะของตัวเอง ยูมิเดินแบกกองหนังสือไปวางกระแทรกน้อยๆเพราะความหนักของมัน
        “สวัสดีค่ะคุณครู”ยูมิแสร้งทักทายกับคาเทียสที่เงยหน้าขึ้นมอง “ลินอิเป็นไงบ้าง”เธอถามคาเทียสก้มหน้าอย่างเหนื่อยใจกับคำถาม
        “คือ...เธอหายไปตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับมาเลย”คาเทียสตอบในที่สุดทำเอายูมิหลุดสีหน้าออกมา
        “แล้วจะทำยังไงละ ไม่รู้อะไรเลยหรอ”เธอถาม คาเทียสส่ายหน้า ตัวเขาก็ไม่ได้เย็นใจกว่ายูมิเท่าไร
        “ไม่มีข้อสันนิฐานเลยหรอ”
        “มี แต่ตรงนี้ไม่เหมาะ”คาเทียสตอบ
        “เย็นนี้ค่อยกลับไปคุยกันข้าว่าถึงตอนนั้นเมรินก็น่าจะรู้อะไรบ้างแล้ว”
          ยูมิที่เหมือนโดนตัดบทยอมเดินกลับไปที่ห้องตามเดิมตลอดการเรียนที่ไม่เป็นอันเรียนของยูมิไม่มีอะไรย่ำแย่ไปกว่าอาเคนพยาม 
    คว้างก้อนกระดาษใส่ศีรษะเธอเพราะทุกครั้งเธอมักจะจิตนาการว่าก้อนกระดาษนั้นห่อของต้องสงสัยมาด้วยและยิ่งลินอิไม่ได้นั่งอยู่ข้าง 
    กายทำให้เด็กสาวยิ่งเพิ่มระดับความเสียวสันหลังขึ้นไปอีก แต่ดูเหมือนว่าวิชาประวัติศาสตร์จะเป็นวิชาเดียวที่อาเคนสงบ
          ในที่สุดระฆังสุดท้าย บอกถึงเวลาเลิกเรียนก็ดังขึ้น ยูมิกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงในกระเป๋านักเรียน และ หันไปตะโกนบอกมิโดริที่ยัง
    ไม่ทันลุกไปไหนว่า“ฉันจะไปซื้อของหน่อยนะกลับไปก่อนเลย”แล้วเธอก็วิ่งฝ่ากลุ่มนักเรียนชายหญิงอย่างคล่องแคล้วและเร็วที่สุดเท่าที่ 
      ขาคู่นี้จะทำได้และยังวิ่งข้ามสนามฟุตบอลเพื่อลัดไปที่ลานจอดมอเตอร์ไซให้เร็วที่สุดแต่คาเทียสเร็วกว่า...
          “เอ้า!... รีบไปมีเวลาไม่มาก”เขารีบโยนหมวกให้ยูมิที่กระโดดรับและขึ้นซ้อนท้ายเขาทันทีคาเทียสเองก็ดูจะรีบเหมือนกันแล้วดูจะร้อน
      กว่าด้วยซ้ำยูมิต้องจำใจล็อคเสื้อสูทของเขาเพราะเธอกล้าพนันได้เลยว่าถ้าเขาวิ่งผ่านหน้าจราจรเมื่อไหร่ล่ะเสร็จ
        “โอ้ยนี้ถ้าผมฉันไม่สั้นละก็หัวหลุดแน่ๆ”ยูมิบ่นพึมพำพร้อมกับวิ่งหิ้วกระเป๋านักเรียนตามคาเทียสขึ้นไปบนห้อง
      และทันทีที่ขึ้นไปถึงยูมิก็ต้องอุทานแผ่วห้องที่เคยสดชื้นด้วยต้นไม้นาๆชนิดนั้นตอนนี้กลับเหยี่ยวเฉาอย่างน่าประหลาดเหมือนกับผักสด
      ที่ขาดน้ำ
        “อะไรกันต้นไม้พวกนี้...”ยูมิเดินเข้าไปดูเถาองุ่นที่ห้อยบนกำแพงด้วยสายตาเศร้าสร้อย
       
        “เพราะลินอิหายไปไงละ”คาเทียสบอก
              ยูมิรีบตามเขาเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นที่มีหญิงผมทองนั่งอยู่ก่อนแต่พอยูมินั่งลงหล่อนก็กลับเป็นร่างอาเมทิสตามเดิมแต่สีหน้าของ
        มันก็ไม่ได้ร่าเริงเหมือนเก่าเช่นเดียวกับเมรินที่พรวดออกมาจากห้องข้างๆ
              “มากันแล้วซินะ”เมรินถามทันที ยูมิเพิ่งสังเกตว่าเมรินตอนนี้ใส่ชุดคลุมขาวเหลือบทอง
              “ใช่... ได้เรื่องมั้ย ลินอิก็ไม่ได้ไปที่โรงเรียน”คาเทียสตอบ เมรินนั่งลงอย่างร้อนใจ
              “เดี๋ยวซิ ก่อนจะตกลงอะไรกันช่วยบอกฉันก่อนได้มั้ย”ยูมิถามทุกคนหันมามองอย่างเห็นใจ
              “ลินอิตอนนี้คาดว่าคงไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วละ”อาเมทิสตอบ ยูมิเบิกตาราวกับมีอะไรบางอย่างกระชากหน้าท้องเธอไป
    “โลกที่ว่านะ มันมีหลายโลกนะ”คาเทียสเตือน ยูมิลดอาการลงอย่างใจเย็น
                “ลินอิตอนนี้คงจะอยู่ในที่ๆพลังของกันและกันไปไม่ถึง ไม่แน่ว่าคงจะถูกจับไปแล้ว”
   
                “แล้ว รู้ได้ยังไง ลินอิอาจจะแค่ย้อนเวลาอีกก็ได้”ยูมิออกความเห็นแต่เมรินส่ายหน้า
    “เห็นต้นไม้ในห้องนี้แล้วใช่มั้ย”เธอถาม ยูมิเหลียวมองต้นไม้ที่ห่อเหี่ยวรอบห้อง
                “เจ้าเคยเห็นต้นไม้ที่ไหนงอกงามในที่แบบนี้มั้ยละ”
    “ก็ไม่เคยเจอแบบที่เมื่อวานนี้ เมือวานมันยังงามอยู่เลย”ยูมิตอบ
    “ที่มันงามได้ขนาดนั้นเพราะมีลินอิอยู่ใกล้ๆ”เมรินบอก
                “พลังของพวกเราก็มีหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างของคาเทียส เป็นพลังเทพ”
    “เป็นพลังที่ได้รับมาจากการฝึกใช้เวทขาวระดับสูงนะ”คาเทียสอธิบายเพิ่ม เมรินเล่าต่อไป
    “แต่ในขณะที่ลินอิ มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติที่ได้จากการฝึกฝนทั้งจิตใจและร่างกายให้สมดุลกับธรรมชาติ พวกนี้จะถูกเรียกว่า
                ภูติลินอิเองก็เป็นภูติดินระดับสูง เธอจึงมีผลกับต้นไม้มากไงละ”
   
                “หรอ..”ยูมิเองก็นึกถึงตอนที่ลินอิสร้างเกราะแก้วให้เธอที่ใต้ต้นไม้
   
              “แต่ต่อให้ลินอิไม่ได้เข้ามาในนี้ แต่ต้นไม้ที่เคยได้รับพลังก็จะยังงามอยู่แต่อย่างที่เห็น ต้นไม้ทุกต้นตอนนี้เหี่ยวย่นหมดพวกเราถึง
              ได้รู้ว่าลินอิถูกจับไป”เมรินจบการอธิบายลงอย่างเศร้าซึม
              “เมื่อกี้ข้าก็พยามจับทางดูแล้ว แต่ไม่มีผลเลย เหมือนมีพลังที่กล้าแข็งกว่ากำบังไว้ไม่มีทางทะลุได้เลย”
   
                      ในทางเดินที่มืดสลัวนั้นมีเพียงดวงไฟสีน้ำเงินเท่านั้นส่องแสงอย่างน่ากลัวเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังก้องตามจังหวะเดิน
              ของชายหนุ่มผมแดงชุดนักเรียนสีดำนั้นทำให้เขาดูเหมือนมีแค่ศีรษะเท่านั้น
   
              “กลับมาแล้วหรือ อาเคนเทพธิดาเป็นไงบ้างละ”เสียงเย็นๆของราชันย์ปีศาจเอ่ยถามจากเงามืด
   
              “ปรกติดีครับ เพียงแต่ดูจะเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะองค์รักหายไปทั้งคน”อาเคนตอบ
              “แล้ว ทางนี้เป็นไงบ้างครับ นางบอกอะไรบ้างรึเปล่า”
              “หึ หึ เด็กคนนั้นนะหรอ หัวดื้อกว่าที่คิดเสียอีก ซื้อสัตว์ จงรักพักดีคนแบบนี้หาได้ยากนัก น่าเสียดายที่ไม่อาจให้นางเคารพข้าด้วย
              ใจตนเอง”ราชันย์ปีศาจบอก อาเคนฟังประโยคสุดท้ายอย่างไม่เข้าใจ
              “คงจะไม่เข้าใจซินะ มองไปทางซ้ายซิ อาเคน”
   
                      อาเคนหันไปพบกับภาพที่เหลือเชื่อนัก ภาพเด็กหญิงที่สวมชุดสีดำสนิทและเสื้อคลุมยาวอย่างแม่มดมืดที่น่าแกรงขามยืน
                หน้านิ่งอยู่นะจุดเดิม
   
                        “ข้า...ไม่นึกว่ามันทำสำเร็จ”อาเคนพูดเป็นเชิงค้าน
            “ใช่.... ไม่สำเร็จแน่”ราชันย์ปีศาจบอก
                        “นั้นเป็นแค่ร่างส่วนจิตใจนะข้าดึงมันออกมา”เขายกลูกแก้วสีขาวมุกขึ้นให้อาเคนเห็นชัด
            “ถ้าเช่นนั้น วิญญาณที่อยู่ในร่างนั้นเป็นใคร”อาเคนถาม
            “ก็ไฮยาซิน พี่สาวเจ้าไง”ราชันย์ปีศาจตอบ อาเคนเบิกตาอย่างนึกไม่ถึงขณะที่ตัวลินอิเดินเข้ามาหาเขา
   
                                    “ไง น้องชายข้า ”เธอเอ่ย
                             
                            อาเคนก้มลงมองเด็กหญิงที่สูงเพียงปลายคางของเขาด้วยสายตาที่แน่นิ่งและพูดไม่ออก
    “ส่วนเจ้าของร่าง ข้าให้เจ้าเก็บ”ราชันย์ปีศาจบอก และยื่นลูกแก้วให้อาเคนรับทันทีที่มันเตะมือเขา มันก็หดเหลือเพียงลูกเท่า
                เม็ดถั่วเหลื่องแต่สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นศัตรูนี้กลับให้ความรู้สึกที่อบอุ่นผิดกับสิ่งที่ได้รับจากราชันย์ปีศาจเสียนี่กระไรเหมือนกับเขา
                ได้สำผัสกับแสงอาทิตอันอบอุ่นหลังจากต้องอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานแสนนานจนประเมินมิได้
   
                “หวังว่าเจ้าคงจะเก็บมันอย่างดี เพราะถ้ามันแตกเด็กคนนี้คงจะจัดการยากกว่าเมื่อก่อน”ไฮยาซินในร่างของลินอิพูดอย่างถากถางเรียกสติของอาเคนกลับมาเขาเก็บมันลงในกระเป๋าเสื้อและถอยตัวเองกลับไปยืนข้างไฮยาซิน
   
                “และบัดนี้... ข้าต้องการเห็นเทพธิดาของข้าเหลือเพียงวิญญาณ ”
   
                                “ครับ/คะ!”
   
                          ยูมิ
                        เสียงเรียกแผ่วเบาปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมาสนทนากับหญิงงามที่นั่งมองเธออยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ
                ด้วยใบหน้าหมองเศร้าหญิงงามที่มีผมสีดำขลับคลุมด้วยผ้าบางปักเลื้อม ชุดคลุมสีขาวทอลายรูปพระจันทร์ข้อมือทั้งสองข้างสวม
                กำไลเงินล้ำค่า
                      “เธอ..เหมือนคนในรูปภาพ”ยูมินึกถึงหญิงในรูปภาพที่บ้านของคาเทียสตอนเธออยู่ในโลกอดีต
   
                            “เราก็เวสต้าไง ”หญิงสาวตอบ
   
                      “เวสต้า.... คนที่พวกลินอิค่อยปกป้องหรอ”ยูมิว่า เวสต้าหัวเราะราวกับยูมิพูดอย่างไร้เดียงสา
          “ใช่ เราคนนั้นละ”เธอตอบอย่างอ่อนหวาน
                      “แต่ตอนนี้เจ้าอยากรู้มั้ยว่าลินอิอยู่ไหน”
          “อยากซิ!”ยูมิตอบอย่างมีความหวัง เวสต้ายิ้มอย่างดีใจ
   
                      “ตอนนี้ลินอิไม่ได้อยู่ในร่าง เจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าเข้าใกล้ลินอิเด็จขาดเพราะลินอิไม่ใช่ลินอิอีกแล้ว เพราะวิญญาณ
                จริงๆอยู่กับอาเคน”เวสต้าบอก  ยูมิเลิกคิ้วขึ้น
    “หมายความว่าไง จะบอกว่าลินอิถูกสิ้งหรอ”
    “คล้ายกัน เพียงแต่วิธีช่วย คือ“
          ยูมิสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียง ยูมินั่งทวนความจำอย่างแม่นยำก่อนจะคว้างนาฬิกาปลุกที่ขัดจังหวะสำคัญที่
                สุดในชีวิตเธอ
   
                   
                        ยูมิไปโรงเรียนตามปรกติ เพียงแต่เธอจะพกมีดพับไปด้วยแต่ระหว่างนั้นเองสายตาของเธอก็กลาดไปพบกับหญิงแก่ที่นั่ง
                อยู่บนถังในซอยแคบๆมืดๆบนมือที่เหี่ยวย่นประคองลูกแก้วคริสตัลไว้ และจ้องมองมันอย่างเหม่อลอย
   
                          “เวสต้าเอ้ย....เวสต้า ไม่น่าเลย....”หญิงแก่พึมพัมและลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในเงามืด ยูมิเม้มปากและตัดสินใจจะตามไป
                ให้รู้แน่ในตรอกมืดๆนี้ไม่มีแม้แต่แสงสลัวจนยูมิเกือบจะเปลี่ยนใจหากเธอไม่เห็นแสงที่ปลายทาง
   
                          มันเป็นห้องทรงกลมที่เต็มไปด้วยผ้าผืนใหญ่สีขาวคลุมพาดไปมาจนมองไม่เห็นผนังปูนที่ริมห้องหญิงแก่กำลังนั่งอยู่
                บนเบาะรองนั่งสีแดงเข้มและจ้องลูกแก้วในมือยูมิเดินเข้าไปนั่งที่กลางห้องอย่างไม่แน่ใจ และเธอหวังว่าหญิงแก่จะเงยหน้า
                ขึ้นมองแต่สงสัยถ้าเธอไม่เรียกคงไม่มองแน่
   
                “คุณยายคะ คุณยายได้ยินหนูมั้ยคะ”ยูมิเรียก หญิงแก่เงยหน้าขึ้น
    “ยายไม่ได้หูหนวกนี่หนู”หล่อนตอบ ยูมิเบาใจขึ้นมาบ้างกับคำตอบที่ดี
    “เมื่อกี้หนูได้ยินยายพูดถึงเวสต้า ยายรู้จักเธอหรือคะ”ยูมิถามยายแก่ก้มหน้าถอนหายใจ
   
                              “รู้จัก”
   
                        เย็นยูมิกลับไปคุยกับพักพวกที่แมนชั่น และเล่าทุกอย่างที่เธอฝันถึงเวสต้าให้ฟัง...........
   
                คืนนั้น อาเคนกลับไปนอนที่บ้านของเขามันไม่ใช่หน้าที่ที่เขาต้องกลับไปพบราชันนย์ปีศาจทุกวัน หลังจากการอาบน้ำและสวมชุด
        นอนเขาก็นั่งลงข้างเตียงด้วยสมองที่ว้างเปล่า ก่อนจะเอื้อมมือไปที่โครมไฟข้างเตียงแต่สิ่งที่เขาสะดุดตา คือจี้สร้อยลูกแก้ว
        เขาละมือจากโครมไฟไปหยิบมันขึ้นมาพิจารณาแทน คงจะพูดได้ว่าเขาไม่ค่อยได้สนใจมันขนาดไม่เคยสังเกตว่าในลูกแก้วนี้มีหมอก
        ควันสีมุขที่ดูอ่อนนุ่มและดูส่องประกาย
   
                      “ช่างมันเถอะ”เขาพูดกับตัวเองและวางมันลง ก่อนจะดับไฟและทิ้งตัวลงนอนทันทีที่แสงไฟดับลง แสงจันทร์ก็ส่องผ่านเข้า
        มาแทนอาเคนหันไปมองแสงนั้นด้วยอาการเหมอลอยเขาไม่เคยลืมว่าตัวเองทุ่มเทให้เวสต้ามากแค่ไหนอยากจะได้เธอมาอยู่ข้างกาย
      ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม ต่อให้ต้อง....
   
                “ฆ่าเธอ”
   
                        เสียงอ่อนนุ่มดังขึ้นในจิตใจ อาเคนเงยหน้ามองเพดานและพยามข่มตาหลับแต่เหมือนมีใครบางคนไม่อยากปล่อยให้เขา
                คิดอยู่คนเดียว
   
                        \"แกไม่เคยจะคิดหลับนอนหรือไง”อาเคนพูดขึ้นในที่สุดและลืมตาขึ้นแลเห็นเด็กหญิงในชุดขาวนั่งอยู่ข้างกาย
            “วิญญาณไม่จำเป็นต้องนอน”เธอตอบ “เจ้าทำงานด้านนี้มานาน ไม่รู้รึ”
            “อย่ากวนข้า”อาเคนพูดอย่างออกคำสั่ง ทั้งที่รู้ว่ามันไม่จบง่ายๆ
            “นี่ เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับรักน่ะ”ลินอิถามและมองแสงจันทร์ที่ขอบหน้าต่าง
                        “รู้อะไร กับสิ่งที่ทำอยู่รึเปล่า”อาเคนไม่ตอบ “ความรักที่ข้ามีคือความเสียสละรู้มั้ย”
            “พวกมนุษย์ชอบทำอะไรโง่ๆ”อาเคนเถียง
            “ความดีอยู่กับสิ่งที่เจ้าเรียกว่าโง่เสมอเจ้าเคยตบยุงที่มากัดเจ้ารึเปล่า”ลินอิหันมาถามแต่อาเคนแกล้งหลับ
                        \"ไม่ตอบก็รู้ว่าเคย รู้สึกยังไงล่ะ ไม่ชอบใช่มั้ย ก็เหมือนกันนะแหละไม่มีใครที่คิดจะให้ใครมาเอาเปรียบ เหมือนยุงที่มาเอา
                          เลือดเราฟรีๆ เจ้าคิดยังไงละ”
   
                              ลินอิกำหมัดทุบลงที่ท้องของอาเคนเต็มที่จนเขาลุกขึ้นนั่งจุก
            “อย่าตบตาข้า!” เธอว่า “ข้าอยู่ในฝันของเจ้า คิดจะหลับซ้อนหลับนะไม่ได้หรอกนะ”
            “จะเอาอะไรวะ!”อาเคนตะคอกอย่างสุดทนและเงื่องมือต่อยลินอิที่เหมือนเป็นเพียงเงาลวงตา
            “ก็บอกแล้วไม่ใช่รึไง ว่าต่อยวิญญาณไม่ได้น่ะ”ลินอิกล่าวเตือนอาเคนกลอดตาอย่างหัวเสีย ตัวเขานึกว่าการที่นางเด็กนี่ไร้
                        ร่างแล้วจะควบคุมง่ายแต่เปล่าเลย ให้เขาจับมันมัดตัวเป็นๆยังง่ายซะกว่า
   
                        “โธ่ไอ้เด็กบ้า!!”เขาคว้าผ้าห่มและสะบัดใส่ลินอิที่กระโดดหนีไปข้างหน้าต่าง
   
                        “ก็ได้ๆ ไม่คุยก็ได้ พวกปีศาจนี่อารมณ์เสียง่ายจัง”เธอบอกพร้อมกับก้มหลบหมอน
           
                                  “ตกลงๆไปแล้วๆ”
   
                              อาเคนลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอีกทั้งหมอนของเขายังถูกโยนไปซะไกล
                        อาเคนลุกขึ้นอย่างมีน้ำโหและคว้าสร้อยที่โต๊ะขึ้นและคว้างเต็มแรงใส่ผนังจนมันกระเด็นไปไกลแต่เขาคิดไปเอง
                        รึเปล่าที่เขาได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องโอ๊ยเบาๆด้วย
   
                              เช้ารุ่งขึ้น แสงอาทิตรอดหน้าต่างขึ้นมาปลุกอาเคนที่กำลังหลับสบาย แต่เขาลุกไม่ได้
                        สิ่งที่เขารู้สึกตอนนี้คือความอึดอัดที่หน้าอกเหมือนมีใครสักคนนั่งทับแต่ก็เป็นคนที่ตัวเล็กแล้วก็เบามากด้วย
                        อาเคนพยามเปิดตาขึ้นและเห็นเพียงเลือนๆว่าลินอินั่งคุกเขาอยู่บนหน้าอกเขา
   
                                  “ลุกไป...อ.ออกไป..”เขาพูดในลำคอ แต่ลินอิยังยังคิดจะเล่นผีอำตอนเช้าต่อไปกว่าสิบนาทีที่อาเคนพยาม
                        ดิ้นรนด้วยความโกรธถึงขีดสุดจนกระทั่งเขาเห็นลินอิห้าวและลุกออกไป เขาจึงตื่นได้เต็มตา
   
                                  “นี่แก! ลองดีนักใช่มั้ย!”แต่ไร้ซึ่งการตอบกลับ เขาจึงเดินอารมณ์เสียไปอาบน้ำและเดินออกมาเพื่อใส่เสื้อผ้า
                        แต่ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าลินอิยังอยู่(เพราะออกไปไม่ได้)เขาจึงคว้าเสื้อผ้าของตัวเองกลับเข้าไปใส่ในห้องน้ำอย่างระแวด
                        ระวังขณะที่ลินอินั่งอยู่บนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์กว่ากันเท่าไหร่
   
                                “ถุย ทำยังกับมีให้ดู”เธอพึมพัม คงจะโชคดีที่อาเคนไม่ได้ยิน
          ทันทีที่แต่งตัวเสร็จ อาเคนก็เตรียมตัวออกไปหาอาหารเช้าข้างนอกแต่เขาก็พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ควรลืมเอามันไปด้วย
        “สร้อยหายไปไหน”เขาพึมพัม และก้มลงหาใต้ตู้ใต้เตียงโดยมีลินอิที่ยืนพิงโต๊ะอยู่และใช้เท้าเขี่ยสร้อยให้เข้าไปอยู่ใต้
                      กองอภิมหาหนังสือที่รกรุงรังก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอย่างยิ้มๆ
   
                              “อยู่ไหนๆ เอ๊ะ เมื่อคืนเราคว้างมันมาแถวนี้นี่นา”อาเคนเดินไปดูที่กำแพงข้างตู้แต่มันจะมีได้ยังไงในเมื่อลินอิเพิ่งเขี่ย
                    มันซ้อนเขาใช้เวลามากกว่าสิบห้านาทีในการหามันจนอารมณ์เริ่มจะร้อนขึ้นมาอีกรอบและนั้นเรียกเสียงหัวเราะของลินอิออก
                    มาได้แผ่วๆ
        “ฮิ ฮิ ” อาเคนเงยหน้าขึ้นตามเสียง ลินอิรีบยกมือขึ้นอุดปาก แต่สายไปแล้ว อาเคนเดินเข้ามาที่โต๊ะหนังสือและเริ่มรื้อมัน
                    จนลินอิต้องกระโดดขึ้นไปยืนข้างบนแทนแต่ในที่สุดเขาก็เจอมันที่ใต้กองจนได้
   
                      “เฮ้อ....”เขาถอนหายใจก่อนจะใส่มัน “ยายเด็กนี่มันแสบจริงๆ”
                  “หนูไปก่อนนะค้า”เธอบอก และวิ่งเหยาะๆไปตลอดทางที่ไปโรงเรียน
                  “ลินอิเป็นยังไงบ้างน้า...”นั้นแหละสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวเธอ 
                            ตลอดทางยูมิวาดภาพวาดทันทีที่ไปถึงห้องเรียนเธอจะพบลินอินั่งรออยู่ แต่มันไม่ใช่
                    “หวัดดี หวัดดี”ยูมิทักเพื่อนๆในห้องระหว่างที่เดินไปนั่งที่โต๊ะโดยที่ปราศจากลินอินั่งรออย่างที่คิด
          ลินอิก็น่าจะมาโรงเรียนพร้อมกับคาเทียสนี่นา แล้วคาเทียสเป็นครูก็ต้องมาแต่เช้าซิ ทำไมถึงยังไม่มาอีก
                  “เฮ้ย อาเคน มานี้เลยเว้ย!วันนี้มาเช้านี้หว่า”เพื่อนชายของอาเคนส่งเสียงทันทีที่เพื่อนรักเดินเข้ามา
          อาเคนเดินผ่านยูมิไปอย่างไม่ใส่ใจ เข้าไปนั่งคุยกับเพื่อนๆของเขาขณะที่ยูมิตอนนี้ไม่สบอารมณ์กับเจ้าบ้านี่เท่าไร
                  “หัวหน้า... สมุดประวัติศาสตร์น่ะ เอาไปส่งด้วย”รองหัวหน้าห้องตะโกนบอกยูมิกระโดดลุกขึ้น
                  “ฉันไปส่งให้เอง รวมกองมาเลย”เธอเสนอ
          รองหัวหน้าห้องยิ้มอย่างยินดีและก้มลงรวมเอาสมุดกว่าสี่สิบเล่มยกให้ยูมิแบกไปห้องพักครู ทันทีที่ไปถึงสิ่งที่ยูมิมองหาคือ
      ตัวคาเทียสที่เจ้าตัวกำลังนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะของตัวเอง ยูมิเดินแบกกองหนังสือไปวางกระแทรกน้อยๆเพราะความหนักของมัน
        “สวัสดีค่ะคุณครู”ยูมิแสร้งทักทายกับคาเทียสที่เงยหน้าขึ้นมอง “ลินอิเป็นไงบ้าง”เธอถามคาเทียสก้มหน้าอย่างเหนื่อยใจกับคำถาม
        “คือ...เธอหายไปตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับมาเลย”คาเทียสตอบในที่สุดทำเอายูมิหลุดสีหน้าออกมา
        “แล้วจะทำยังไงละ ไม่รู้อะไรเลยหรอ”เธอถาม คาเทียสส่ายหน้า ตัวเขาก็ไม่ได้เย็นใจกว่ายูมิเท่าไร
        “ไม่มีข้อสันนิฐานเลยหรอ”
        “มี แต่ตรงนี้ไม่เหมาะ”คาเทียสตอบ
        “เย็นนี้ค่อยกลับไปคุยกันข้าว่าถึงตอนนั้นเมรินก็น่าจะรู้อะไรบ้างแล้ว”
          ยูมิที่เหมือนโดนตัดบทยอมเดินกลับไปที่ห้องตามเดิมตลอดการเรียนที่ไม่เป็นอันเรียนของยูมิไม่มีอะไรย่ำแย่ไปกว่าอาเคนพยาม 
    คว้างก้อนกระดาษใส่ศีรษะเธอเพราะทุกครั้งเธอมักจะจิตนาการว่าก้อนกระดาษนั้นห่อของต้องสงสัยมาด้วยและยิ่งลินอิไม่ได้นั่งอยู่ข้าง 
    กายทำให้เด็กสาวยิ่งเพิ่มระดับความเสียวสันหลังขึ้นไปอีก แต่ดูเหมือนว่าวิชาประวัติศาสตร์จะเป็นวิชาเดียวที่อาเคนสงบ
          ในที่สุดระฆังสุดท้าย บอกถึงเวลาเลิกเรียนก็ดังขึ้น ยูมิกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงในกระเป๋านักเรียน และ หันไปตะโกนบอกมิโดริที่ยัง
    ไม่ทันลุกไปไหนว่า“ฉันจะไปซื้อของหน่อยนะกลับไปก่อนเลย”แล้วเธอก็วิ่งฝ่ากลุ่มนักเรียนชายหญิงอย่างคล่องแคล้วและเร็วที่สุดเท่าที่ 
      ขาคู่นี้จะทำได้และยังวิ่งข้ามสนามฟุตบอลเพื่อลัดไปที่ลานจอดมอเตอร์ไซให้เร็วที่สุดแต่คาเทียสเร็วกว่า...
          “เอ้า!... รีบไปมีเวลาไม่มาก”เขารีบโยนหมวกให้ยูมิที่กระโดดรับและขึ้นซ้อนท้ายเขาทันทีคาเทียสเองก็ดูจะรีบเหมือนกันแล้วดูจะร้อน
      กว่าด้วยซ้ำยูมิต้องจำใจล็อคเสื้อสูทของเขาเพราะเธอกล้าพนันได้เลยว่าถ้าเขาวิ่งผ่านหน้าจราจรเมื่อไหร่ล่ะเสร็จ
        “โอ้ยนี้ถ้าผมฉันไม่สั้นละก็หัวหลุดแน่ๆ”ยูมิบ่นพึมพำพร้อมกับวิ่งหิ้วกระเป๋านักเรียนตามคาเทียสขึ้นไปบนห้อง
      และทันทีที่ขึ้นไปถึงยูมิก็ต้องอุทานแผ่วห้องที่เคยสดชื้นด้วยต้นไม้นาๆชนิดนั้นตอนนี้กลับเหยี่ยวเฉาอย่างน่าประหลาดเหมือนกับผักสด
      ที่ขาดน้ำ
        “อะไรกันต้นไม้พวกนี้...”ยูมิเดินเข้าไปดูเถาองุ่นที่ห้อยบนกำแพงด้วยสายตาเศร้าสร้อย
       
        “เพราะลินอิหายไปไงละ”คาเทียสบอก
              ยูมิรีบตามเขาเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นที่มีหญิงผมทองนั่งอยู่ก่อนแต่พอยูมินั่งลงหล่อนก็กลับเป็นร่างอาเมทิสตามเดิมแต่สีหน้าของ
        มันก็ไม่ได้ร่าเริงเหมือนเก่าเช่นเดียวกับเมรินที่พรวดออกมาจากห้องข้างๆ
              “มากันแล้วซินะ”เมรินถามทันที ยูมิเพิ่งสังเกตว่าเมรินตอนนี้ใส่ชุดคลุมขาวเหลือบทอง
              “ใช่... ได้เรื่องมั้ย ลินอิก็ไม่ได้ไปที่โรงเรียน”คาเทียสตอบ เมรินนั่งลงอย่างร้อนใจ
              “เดี๋ยวซิ ก่อนจะตกลงอะไรกันช่วยบอกฉันก่อนได้มั้ย”ยูมิถามทุกคนหันมามองอย่างเห็นใจ
              “ลินอิตอนนี้คาดว่าคงไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วละ”อาเมทิสตอบ ยูมิเบิกตาราวกับมีอะไรบางอย่างกระชากหน้าท้องเธอไป
    “โลกที่ว่านะ มันมีหลายโลกนะ”คาเทียสเตือน ยูมิลดอาการลงอย่างใจเย็น
                “ลินอิตอนนี้คงจะอยู่ในที่ๆพลังของกันและกันไปไม่ถึง ไม่แน่ว่าคงจะถูกจับไปแล้ว”
   
                “แล้ว รู้ได้ยังไง ลินอิอาจจะแค่ย้อนเวลาอีกก็ได้”ยูมิออกความเห็นแต่เมรินส่ายหน้า
    “เห็นต้นไม้ในห้องนี้แล้วใช่มั้ย”เธอถาม ยูมิเหลียวมองต้นไม้ที่ห่อเหี่ยวรอบห้อง
                “เจ้าเคยเห็นต้นไม้ที่ไหนงอกงามในที่แบบนี้มั้ยละ”
    “ก็ไม่เคยเจอแบบที่เมื่อวานนี้ เมือวานมันยังงามอยู่เลย”ยูมิตอบ
    “ที่มันงามได้ขนาดนั้นเพราะมีลินอิอยู่ใกล้ๆ”เมรินบอก
                “พลังของพวกเราก็มีหลากหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างของคาเทียส เป็นพลังเทพ”
    “เป็นพลังที่ได้รับมาจากการฝึกใช้เวทขาวระดับสูงนะ”คาเทียสอธิบายเพิ่ม เมรินเล่าต่อไป
    “แต่ในขณะที่ลินอิ มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติที่ได้จากการฝึกฝนทั้งจิตใจและร่างกายให้สมดุลกับธรรมชาติ พวกนี้จะถูกเรียกว่า
                ภูติลินอิเองก็เป็นภูติดินระดับสูง เธอจึงมีผลกับต้นไม้มากไงละ”
   
                “หรอ..”ยูมิเองก็นึกถึงตอนที่ลินอิสร้างเกราะแก้วให้เธอที่ใต้ต้นไม้
   
              “แต่ต่อให้ลินอิไม่ได้เข้ามาในนี้ แต่ต้นไม้ที่เคยได้รับพลังก็จะยังงามอยู่แต่อย่างที่เห็น ต้นไม้ทุกต้นตอนนี้เหี่ยวย่นหมดพวกเราถึง
              ได้รู้ว่าลินอิถูกจับไป”เมรินจบการอธิบายลงอย่างเศร้าซึม
              “เมื่อกี้ข้าก็พยามจับทางดูแล้ว แต่ไม่มีผลเลย เหมือนมีพลังที่กล้าแข็งกว่ากำบังไว้ไม่มีทางทะลุได้เลย”
   
                      ในทางเดินที่มืดสลัวนั้นมีเพียงดวงไฟสีน้ำเงินเท่านั้นส่องแสงอย่างน่ากลัวเสียงรองเท้ากระทบพื้นดังก้องตามจังหวะเดิน
              ของชายหนุ่มผมแดงชุดนักเรียนสีดำนั้นทำให้เขาดูเหมือนมีแค่ศีรษะเท่านั้น
   
              “กลับมาแล้วหรือ อาเคนเทพธิดาเป็นไงบ้างละ”เสียงเย็นๆของราชันย์ปีศาจเอ่ยถามจากเงามืด
   
              “ปรกติดีครับ เพียงแต่ดูจะเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะองค์รักหายไปทั้งคน”อาเคนตอบ
              “แล้ว ทางนี้เป็นไงบ้างครับ นางบอกอะไรบ้างรึเปล่า”
              “หึ หึ เด็กคนนั้นนะหรอ หัวดื้อกว่าที่คิดเสียอีก ซื้อสัตว์ จงรักพักดีคนแบบนี้หาได้ยากนัก น่าเสียดายที่ไม่อาจให้นางเคารพข้าด้วย
              ใจตนเอง”ราชันย์ปีศาจบอก อาเคนฟังประโยคสุดท้ายอย่างไม่เข้าใจ
              “คงจะไม่เข้าใจซินะ มองไปทางซ้ายซิ อาเคน”
   
                      อาเคนหันไปพบกับภาพที่เหลือเชื่อนัก ภาพเด็กหญิงที่สวมชุดสีดำสนิทและเสื้อคลุมยาวอย่างแม่มดมืดที่น่าแกรงขามยืน
                หน้านิ่งอยู่นะจุดเดิม
   
                        “ข้า...ไม่นึกว่ามันทำสำเร็จ”อาเคนพูดเป็นเชิงค้าน
            “ใช่.... ไม่สำเร็จแน่”ราชันย์ปีศาจบอก
                        “นั้นเป็นแค่ร่างส่วนจิตใจนะข้าดึงมันออกมา”เขายกลูกแก้วสีขาวมุกขึ้นให้อาเคนเห็นชัด
            “ถ้าเช่นนั้น วิญญาณที่อยู่ในร่างนั้นเป็นใคร”อาเคนถาม
            “ก็ไฮยาซิน พี่สาวเจ้าไง”ราชันย์ปีศาจตอบ อาเคนเบิกตาอย่างนึกไม่ถึงขณะที่ตัวลินอิเดินเข้ามาหาเขา
   
                                    “ไง น้องชายข้า ”เธอเอ่ย
                             
                            อาเคนก้มลงมองเด็กหญิงที่สูงเพียงปลายคางของเขาด้วยสายตาที่แน่นิ่งและพูดไม่ออก
    “ส่วนเจ้าของร่าง ข้าให้เจ้าเก็บ”ราชันย์ปีศาจบอก และยื่นลูกแก้วให้อาเคนรับทันทีที่มันเตะมือเขา มันก็หดเหลือเพียงลูกเท่า
                เม็ดถั่วเหลื่องแต่สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นศัตรูนี้กลับให้ความรู้สึกที่อบอุ่นผิดกับสิ่งที่ได้รับจากราชันย์ปีศาจเสียนี่กระไรเหมือนกับเขา
                ได้สำผัสกับแสงอาทิตอันอบอุ่นหลังจากต้องอยู่ใต้ดินเป็นเวลานานแสนนานจนประเมินมิได้
   
                “หวังว่าเจ้าคงจะเก็บมันอย่างดี เพราะถ้ามันแตกเด็กคนนี้คงจะจัดการยากกว่าเมื่อก่อน”ไฮยาซินในร่างของลินอิพูดอย่างถากถางเรียกสติของอาเคนกลับมาเขาเก็บมันลงในกระเป๋าเสื้อและถอยตัวเองกลับไปยืนข้างไฮยาซิน
   
                “และบัดนี้... ข้าต้องการเห็นเทพธิดาของข้าเหลือเพียงวิญญาณ ”
   
                                “ครับ/คะ!”
   
                          ยูมิ
                        เสียงเรียกแผ่วเบาปลุกให้เด็กหญิงตื่นขึ้นมาสนทนากับหญิงงามที่นั่งมองเธออยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ
                ด้วยใบหน้าหมองเศร้าหญิงงามที่มีผมสีดำขลับคลุมด้วยผ้าบางปักเลื้อม ชุดคลุมสีขาวทอลายรูปพระจันทร์ข้อมือทั้งสองข้างสวม
                กำไลเงินล้ำค่า
                      “เธอ..เหมือนคนในรูปภาพ”ยูมินึกถึงหญิงในรูปภาพที่บ้านของคาเทียสตอนเธออยู่ในโลกอดีต
   
                            “เราก็เวสต้าไง ”หญิงสาวตอบ
   
                      “เวสต้า.... คนที่พวกลินอิค่อยปกป้องหรอ”ยูมิว่า เวสต้าหัวเราะราวกับยูมิพูดอย่างไร้เดียงสา
          “ใช่ เราคนนั้นละ”เธอตอบอย่างอ่อนหวาน
                      “แต่ตอนนี้เจ้าอยากรู้มั้ยว่าลินอิอยู่ไหน”
          “อยากซิ!”ยูมิตอบอย่างมีความหวัง เวสต้ายิ้มอย่างดีใจ
   
                      “ตอนนี้ลินอิไม่ได้อยู่ในร่าง เจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าเข้าใกล้ลินอิเด็จขาดเพราะลินอิไม่ใช่ลินอิอีกแล้ว เพราะวิญญาณ
                จริงๆอยู่กับอาเคน”เวสต้าบอก  ยูมิเลิกคิ้วขึ้น
    “หมายความว่าไง จะบอกว่าลินอิถูกสิ้งหรอ”
    “คล้ายกัน เพียงแต่วิธีช่วย คือ“
          ยูมิสะดุ้งตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียง ยูมินั่งทวนความจำอย่างแม่นยำก่อนจะคว้างนาฬิกาปลุกที่ขัดจังหวะสำคัญที่
                สุดในชีวิตเธอ
   
                   
                        ยูมิไปโรงเรียนตามปรกติ เพียงแต่เธอจะพกมีดพับไปด้วยแต่ระหว่างนั้นเองสายตาของเธอก็กลาดไปพบกับหญิงแก่ที่นั่ง
                อยู่บนถังในซอยแคบๆมืดๆบนมือที่เหี่ยวย่นประคองลูกแก้วคริสตัลไว้ และจ้องมองมันอย่างเหม่อลอย
   
                          “เวสต้าเอ้ย....เวสต้า ไม่น่าเลย....”หญิงแก่พึมพัมและลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในเงามืด ยูมิเม้มปากและตัดสินใจจะตามไป
                ให้รู้แน่ในตรอกมืดๆนี้ไม่มีแม้แต่แสงสลัวจนยูมิเกือบจะเปลี่ยนใจหากเธอไม่เห็นแสงที่ปลายทาง
   
                          มันเป็นห้องทรงกลมที่เต็มไปด้วยผ้าผืนใหญ่สีขาวคลุมพาดไปมาจนมองไม่เห็นผนังปูนที่ริมห้องหญิงแก่กำลังนั่งอยู่
                บนเบาะรองนั่งสีแดงเข้มและจ้องลูกแก้วในมือยูมิเดินเข้าไปนั่งที่กลางห้องอย่างไม่แน่ใจ และเธอหวังว่าหญิงแก่จะเงยหน้า
                ขึ้นมองแต่สงสัยถ้าเธอไม่เรียกคงไม่มองแน่
   
                “คุณยายคะ คุณยายได้ยินหนูมั้ยคะ”ยูมิเรียก หญิงแก่เงยหน้าขึ้น
    “ยายไม่ได้หูหนวกนี่หนู”หล่อนตอบ ยูมิเบาใจขึ้นมาบ้างกับคำตอบที่ดี
    “เมื่อกี้หนูได้ยินยายพูดถึงเวสต้า ยายรู้จักเธอหรือคะ”ยูมิถามยายแก่ก้มหน้าถอนหายใจ
   
                              “รู้จัก”
   
                        เย็นยูมิกลับไปคุยกับพักพวกที่แมนชั่น และเล่าทุกอย่างที่เธอฝันถึงเวสต้าให้ฟัง...........
   
                คืนนั้น อาเคนกลับไปนอนที่บ้านของเขามันไม่ใช่หน้าที่ที่เขาต้องกลับไปพบราชันนย์ปีศาจทุกวัน หลังจากการอาบน้ำและสวมชุด
        นอนเขาก็นั่งลงข้างเตียงด้วยสมองที่ว้างเปล่า ก่อนจะเอื้อมมือไปที่โครมไฟข้างเตียงแต่สิ่งที่เขาสะดุดตา คือจี้สร้อยลูกแก้ว
        เขาละมือจากโครมไฟไปหยิบมันขึ้นมาพิจารณาแทน คงจะพูดได้ว่าเขาไม่ค่อยได้สนใจมันขนาดไม่เคยสังเกตว่าในลูกแก้วนี้มีหมอก
        ควันสีมุขที่ดูอ่อนนุ่มและดูส่องประกาย
   
                      “ช่างมันเถอะ”เขาพูดกับตัวเองและวางมันลง ก่อนจะดับไฟและทิ้งตัวลงนอนทันทีที่แสงไฟดับลง แสงจันทร์ก็ส่องผ่านเข้า
        มาแทนอาเคนหันไปมองแสงนั้นด้วยอาการเหมอลอยเขาไม่เคยลืมว่าตัวเองทุ่มเทให้เวสต้ามากแค่ไหนอยากจะได้เธอมาอยู่ข้างกาย
      ไม่ว่าจะต้องทำยังไงก็ตาม ต่อให้ต้อง....
   
                “ฆ่าเธอ”
   
                        เสียงอ่อนนุ่มดังขึ้นในจิตใจ อาเคนเงยหน้ามองเพดานและพยามข่มตาหลับแต่เหมือนมีใครบางคนไม่อยากปล่อยให้เขา
                คิดอยู่คนเดียว
   
                        \"แกไม่เคยจะคิดหลับนอนหรือไง”อาเคนพูดขึ้นในที่สุดและลืมตาขึ้นแลเห็นเด็กหญิงในชุดขาวนั่งอยู่ข้างกาย
            “วิญญาณไม่จำเป็นต้องนอน”เธอตอบ “เจ้าทำงานด้านนี้มานาน ไม่รู้รึ”
            “อย่ากวนข้า”อาเคนพูดอย่างออกคำสั่ง ทั้งที่รู้ว่ามันไม่จบง่ายๆ
            “นี่ เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับรักน่ะ”ลินอิถามและมองแสงจันทร์ที่ขอบหน้าต่าง
                        “รู้อะไร กับสิ่งที่ทำอยู่รึเปล่า”อาเคนไม่ตอบ “ความรักที่ข้ามีคือความเสียสละรู้มั้ย”
            “พวกมนุษย์ชอบทำอะไรโง่ๆ”อาเคนเถียง
            “ความดีอยู่กับสิ่งที่เจ้าเรียกว่าโง่เสมอเจ้าเคยตบยุงที่มากัดเจ้ารึเปล่า”ลินอิหันมาถามแต่อาเคนแกล้งหลับ
                        \"ไม่ตอบก็รู้ว่าเคย รู้สึกยังไงล่ะ ไม่ชอบใช่มั้ย ก็เหมือนกันนะแหละไม่มีใครที่คิดจะให้ใครมาเอาเปรียบ เหมือนยุงที่มาเอา
                          เลือดเราฟรีๆ เจ้าคิดยังไงละ”
   
                              ลินอิกำหมัดทุบลงที่ท้องของอาเคนเต็มที่จนเขาลุกขึ้นนั่งจุก
            “อย่าตบตาข้า!” เธอว่า “ข้าอยู่ในฝันของเจ้า คิดจะหลับซ้อนหลับนะไม่ได้หรอกนะ”
            “จะเอาอะไรวะ!”อาเคนตะคอกอย่างสุดทนและเงื่องมือต่อยลินอิที่เหมือนเป็นเพียงเงาลวงตา
            “ก็บอกแล้วไม่ใช่รึไง ว่าต่อยวิญญาณไม่ได้น่ะ”ลินอิกล่าวเตือนอาเคนกลอดตาอย่างหัวเสีย ตัวเขานึกว่าการที่นางเด็กนี่ไร้
                        ร่างแล้วจะควบคุมง่ายแต่เปล่าเลย ให้เขาจับมันมัดตัวเป็นๆยังง่ายซะกว่า
   
                        “โธ่ไอ้เด็กบ้า!!”เขาคว้าผ้าห่มและสะบัดใส่ลินอิที่กระโดดหนีไปข้างหน้าต่าง
   
                        “ก็ได้ๆ ไม่คุยก็ได้ พวกปีศาจนี่อารมณ์เสียง่ายจัง”เธอบอกพร้อมกับก้มหลบหมอน
           
                                  “ตกลงๆไปแล้วๆ”
   
                              อาเคนลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเขาไม่ได้นอนอยู่บนเตียงอีกทั้งหมอนของเขายังถูกโยนไปซะไกล
                        อาเคนลุกขึ้นอย่างมีน้ำโหและคว้าสร้อยที่โต๊ะขึ้นและคว้างเต็มแรงใส่ผนังจนมันกระเด็นไปไกลแต่เขาคิดไปเอง
                        รึเปล่าที่เขาได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องโอ๊ยเบาๆด้วย
   
                              เช้ารุ่งขึ้น แสงอาทิตรอดหน้าต่างขึ้นมาปลุกอาเคนที่กำลังหลับสบาย แต่เขาลุกไม่ได้
                        สิ่งที่เขารู้สึกตอนนี้คือความอึดอัดที่หน้าอกเหมือนมีใครสักคนนั่งทับแต่ก็เป็นคนที่ตัวเล็กแล้วก็เบามากด้วย
                        อาเคนพยามเปิดตาขึ้นและเห็นเพียงเลือนๆว่าลินอินั่งคุกเขาอยู่บนหน้าอกเขา
   
                                  “ลุกไป...อ.ออกไป..”เขาพูดในลำคอ แต่ลินอิยังยังคิดจะเล่นผีอำตอนเช้าต่อไปกว่าสิบนาทีที่อาเคนพยาม
                        ดิ้นรนด้วยความโกรธถึงขีดสุดจนกระทั่งเขาเห็นลินอิห้าวและลุกออกไป เขาจึงตื่นได้เต็มตา
   
                                  “นี่แก! ลองดีนักใช่มั้ย!”แต่ไร้ซึ่งการตอบกลับ เขาจึงเดินอารมณ์เสียไปอาบน้ำและเดินออกมาเพื่อใส่เสื้อผ้า
                        แต่ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าลินอิยังอยู่(เพราะออกไปไม่ได้)เขาจึงคว้าเสื้อผ้าของตัวเองกลับเข้าไปใส่ในห้องน้ำอย่างระแวด
                        ระวังขณะที่ลินอินั่งอยู่บนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์กว่ากันเท่าไหร่
   
                                “ถุย ทำยังกับมีให้ดู”เธอพึมพัม คงจะโชคดีที่อาเคนไม่ได้ยิน
          ทันทีที่แต่งตัวเสร็จ อาเคนก็เตรียมตัวออกไปหาอาหารเช้าข้างนอกแต่เขาก็พบว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ควรลืมเอามันไปด้วย
        “สร้อยหายไปไหน”เขาพึมพัม และก้มลงหาใต้ตู้ใต้เตียงโดยมีลินอิที่ยืนพิงโต๊ะอยู่และใช้เท้าเขี่ยสร้อยให้เข้าไปอยู่ใต้
                      กองอภิมหาหนังสือที่รกรุงรังก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองอย่างยิ้มๆ
   
                              “อยู่ไหนๆ เอ๊ะ เมื่อคืนเราคว้างมันมาแถวนี้นี่นา”อาเคนเดินไปดูที่กำแพงข้างตู้แต่มันจะมีได้ยังไงในเมื่อลินอิเพิ่งเขี่ย
                    มันซ้อนเขาใช้เวลามากกว่าสิบห้านาทีในการหามันจนอารมณ์เริ่มจะร้อนขึ้นมาอีกรอบและนั้นเรียกเสียงหัวเราะของลินอิออก
                    มาได้แผ่วๆ
        “ฮิ ฮิ ” อาเคนเงยหน้าขึ้นตามเสียง ลินอิรีบยกมือขึ้นอุดปาก แต่สายไปแล้ว อาเคนเดินเข้ามาที่โต๊ะหนังสือและเริ่มรื้อมัน
                    จนลินอิต้องกระโดดขึ้นไปยืนข้างบนแทนแต่ในที่สุดเขาก็เจอมันที่ใต้กองจนได้
   
                      “เฮ้อ....”เขาถอนหายใจก่อนจะใส่มัน “ยายเด็กนี่มันแสบจริงๆ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น