ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love Pain คุณชายขายรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : Love Pain 2+ เป็นแฟนกันนะ (rewrite เพิ่มเนื้อเรื่อง)

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 53


    เป็นแฟนกันนะ

     

              ในที่สุดภารกิจในชีวิตของฉันก็เสร็จสิ้นกันซักที ปิดนิยายหนึ่งเรื่อง สอบกลางภาค ตั้งแต่วันนี้ฉันจะนอน นอน นอนมันอย่างเดียวเลย! แต่ทำไมนะ ต้องมีอะไรมาขัดความสุขของฉันทุกทีเลยซิ

                ฉันคว่ำหน้าซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่ม บนที่นอนอุ่นสบาย กำลังพยายามเอาหมอนอุดหูเพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่ดังสนั่น น่ารำคาญ ฉันพลิกตัวไปมา กะว่าสองรอบเดี๋ยวก็คงเงียบไปเอง แต่ไม่ใช่เลย ฉันฟังเพลง one night stand ของ ชิน มาเป็นรอบที่สิบแล้ว โอ๊ย อะไรกันนักหนาเนี่ย ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียง ขมวดคิ้วมองหาต้นตอของเสียง ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญนะ ฉันจะปลิดชีพไอ้คนโทรมาซะเลย แล้วพอมองหน้าจอ คนที่โทรเข้าถึงไม่ใช่ธุระสำคัญฉันก็ว่าอะไรไม่ได้อยู่ดี “แม่ของฉันเอง”

                “ค่า” ฉันตอบเสียงงัวเงีย

                “เพิ่งตื่นหรือไง”

                “อือ” จริงๆ คือยังไม่ตื่น ฉันทิ้งหัวลงไปที่หมอนอีกครั้ง แล้วหลับตาคุยกับแม่

                “สิบเอ็ดโมงแล้ว จะนอนไปถึงไหน แบบนี้จะทำมาหากินอะไรทัน”

                “หนูเพิ่งสอบเสร็จ เหนื่อยๆ”

                “งั้นก็ปิดเทอมแล้วใช่มั้ย”

                “แค่หนึ่งอาทิตย์เอง”

                “ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็ได้หยุดแล้ว กลับบ้านหน่อยซิ”

                “มีอะไรหรือเปล่า คือหนูไม่อยากไปไหนเลย”

                ปกติฉันก็มักจะกลับบ้านช่วงเทศกาลบ่อยๆ อยู่แล้ว ต้องไปช่วยงานที่รีสอร์ท บางทีลูกจ้างก็ยอมไม่เอาเงินพิเศษมาขอลากลับไปหาครอบครัวกันก็มี

                “จำลูกชายน้าดวงฤทัยได้มั้ย แม่อยากให้ลูกได้เจอกัน เผื่อถูกใจจะได้หาฤกษ์หมั้น เรียนจบก็จะได้แต่งงานกันเลย”

                แต่งงาน!!! ฉันดีดตัวลุกขึ้นมานั่งอีกรอบ หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แม่แนะนำคนนั้นคนนี้ให้ฉันบ่อยๆ แต่ไม่เคยพูดเรื่องแต่งงานซักครั้ง ส่วนน้าดวงฤทัย คือเจ้าของโรงแรมสี่ดาวในจังหวัดเดียวกัน ฉันเคยเจอบ้าง แต่นึกหน้าลูกชายน้าดวงฤทัยไม่ออก

                “แม่ หนูยังไม่รีบ ขอเป็นโสดอีกสักสิบยี่สิบปี แล้วค่อยแต่งได้มั้ย”

                “มาเจอกันก่อน แกอาจเปลี่ยนใจ”

                สรุปคือ อยากให้ฉันแต่งงานกับลูกน้าดวงฤทัยให้ได้ใช่มั้ย ถึงแม่จะไม่บังคับ ฉันมีสิทธิ์ปฏิเสธคนที่แม่แนะนำได้ทุกเมื่อ แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกๆ ของคนในวงการธุรกิจเหมือนกัน ก็คงไม่พ้นแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นหลักอยู่ดี

                “แม่ ฟ้ามีแฟนแล้ว”

                วันๆ เอาแต่เรียนกับแต่งนิยาย แค่นี้ชีวิตฉันก็สับสนวุ่นวายพอแล้ว ฉันไม่มีแฟนหรอก แต่ฉันต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อให้แม่เลิกหาลูกเขยซึ่งตอนนี้คนที่ 19 แล้ว มาให้ฉันดูตัวซักที

                “คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วนามสกุลอะไรเผื่อแม่รู้จัก”

                แม่ทำน้ำเสียงซีเรียสขึ้นมาทันที ฉันถอนหายใจฟืด

                “แม่เป็นนักธุรกิจนะ ไม่ได้ทำงานที่อำเภอซะหน่อย หนูว่าแม่ไม่รู้จักหรอก”

                “งั้นแกก็กลับบ้านแล้วพามาให้พ่อกับแม่รู้จักซิ ไม่งั้นแกก็มาคนเดียวแล้วมารู้จักกับลูกน้าดวงฤทัยแทน แต่ยังไงพรุ่งนี้แกก็ต้องกลับ”

                เสียงแม่บังคับมากๆ แล้วตั้งแต่เป็นแม่ลูกกันมา แม่บังคับฉันให้ทำเรื่องร้อยแปด ไม่มีเรื่องไหนที่ฉันปฏิเสธได้ด้วย แต่ฉันก็เสาะหาวิธีของตัวเองที่เรียกว่าไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ยอม เหมือนอย่างเรื่องเรียนบริหาร แต่ก็แอบเป็นนักเขียนนิยายด้วยนี่ไง มาได้อย่างแยบยล ครั้งนี้ฉันจะทำยังไงดีนะ พรุ่งนี้เลยหรอ!! T.T

                “วันมะรืนนะ หนูยังไม่ได้ส่งรายงานอีกวิชา อาจารย์เขาจะเข้ามหาลัยพรุ่งนี้ด้วย”

                “แล้วทำไมไม่กลับเย็นพรุ่งนี้ล่ะ”

                “วันมะรืน ไม่งั้นหนูไม่กลับนะ หนูเหนื่อย”

                ฉันยื่นคำขาด แม่ทำเสียงขึ้นจมูกขัดใจ แล้ววางสายไป

                สองวัน!! แล้วฉันจะหาแฟนจากไหนทัน!!! ถ้าหาง่ายปานนั้นฉันคงไม่ขึ้นคานมาจนป่านฉะนี้หรอก แฟนคนแรกและคนเดียวของฉัน ก็ตั้งตอนม.5 ห้าปีมาแล้วนั่นแหละ!! ถ้าชีวิตจริงมีผู้ชายที่รับจ้างเที่ยวกับพวกป้าๆ ขี้เหงาเหมือนในนิยายก็ดีซิ โอ๊ยเครียด =[]= แล้วตอนที่ฉันกำลังดึงทึ้งหัวตัวเองเพราะคิดไม่ตก มือถือของฉันก็ส่งเสียงร้องอีกรอบ คราวนี้เป็น ไอวี่ เพื่อนสนิทมากๆ ของฉันโทรมา

                “คืนนี้ไปปล่อยของกัน” เสียงไอวี่กระตือรือร้นสุดๆ ยิ่งกว่าตอนเรียนเสียอีก

                “ปล่อยของอะไรของแก”

                “ศัพท์ใหม่ หมายถึง แด๊นซ์ออนดาพอร์ ไม่เมากระจาย ไม่เลิก”

                มีแต่คนกีดกัดฉันกับเตียงนอนเหลือเกินนะ ทั้งครอบครัว ทั้งเพื่อน ทั้งที่เตียงนอนซื่อสัตย์ต่อฉัน คอยโอบกอดฉันยามเหนื่อยล้า อยู่เบื้องหลังฉันเสมอทุกครั้งที่โหมงานหรือเรียนหนัก ดีกว่าชายคนใดบนโลกใบนี้แท้ๆ

                “ถึงไปฉันก็ดิ้นไม่ออกแล้ว เมื่อกี้แม่เพิ่งทิ้งระเบิดใส่ฉันตู้มเบ่อเริ่ม”

                “คราวนี้แม่แกให้แกทำไรอีกล่ะ”

                “เหมือนเดิม ดูตัว แต่ความนี้คงถูกใจมาก วางแผนให้ฉันแต่งงานด้วยเลย”

                “จริงๆ เป็นแกก็ดีนะไม่ต้องดิ้นรนหา ก็มีมาประเคนให้ถึงที่ นั่นหมายถึงว่า บั้นปลายชีวิตแกไม่มีทางอยู่คานทองพฤกษาแน่ๆ ไง”

                ไอวี่หัวเราะคิกคัก แต่ฉันขำไม่ออก

                “ฉันไม่รู้ว่าฉันเกิดมาเพื่ออะไร ฉันไม่เคยมีสิ่งที่อยากทำ มีแต่สิ่งที่ต้องทำมาตลอด พอฉันค้นพบว่าฉันสามารถสร้างโลกของฉันจากการเขียนนิยายได้ ก็ต้องปิดไม่ให้แม่รู้อีก ไอวี่ บางครั้งฉันก็อยากหายตัวไปเลยจริงๆ นะ”

                “แก .. ไม่ได้กำลังลาตายกับฉันอยู่ใช่มั้ย แกเล่นเปิดโหมดเศร้าซะฉันต่อมกระดี้กระด้าฉันหยุดทำงานเลย คืนนี้แกแต่งตัวออกมากับฉัน ฉันมีทางช่วยแกแล้วกัน”

     

                เพราะฉันเชื่อว่าไอวี่จะช่วยฉันได้นี่แหละถึงยอมไปกับมันคืนนี้ ฉันสวมกางเกงยีนส์ขาสั้นหนึ่งคืบ กับเสื้อซีทรูเนื้อบางเบา ลงไปรอให้ไอวี่มารับที่หน้าคอนโดฯ  จนเก๋งสีดำสนิทมาจอดเทียบด้านหน้า กระจกด้านข้างคนขับเลื่อนลง เผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่ขาวนวล ในชุดพีชเกาะอกสีดำสุดเซ็กซี่ ไอวี่มองฉันด้วยสายตาขัดใจ

                “ไม่แต่งหน้าอีกแล้ว อยู่ที่มืดๆ แสงวูบวาบ เดี๋ยวคนก็นึกว่าแกเป็นผีจูออนกันพอดี”

                “ไม่ล่ะ กลับมาขี้เกลียดล้างหน้า คอนเซ็ปฉันเมาแล้วนอนได้เลย”

                “ก็ดี ฉันจะได้เจิดสุดในงาน”

                ฉันไม่เถียง ขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ แล้วเก๋งสีดำก็แล่นทะยานไปข้างหน้า

     

                เสียงดนตรีดังกระหึ่บ แสงไฟวูบวาบ ฉันดื่มเหล้าไปแล้วห้าแก้ว ฉันไม่สงสัยเลยว่าทำไมไอวี่ถึงได้มีโทรศัพท์สองเครื่อง เพราะมีแต่คนเข้ามาขอเบอร์ไอวี่ แต่วันนี้ไอวี่ปฏิเสธทุกคน เพื่อเห็นแก่ฉันที่กำลังจะเฉาตาย 

                “ไม่เห็นแกจะบอกซักทีว่าจะช่วยฉันยังไง” ฉันยกแก้วที่หกดื่มไปครึ่งแก้ว

                “นี่ไง แกก็หาแฟนซักคนในนี้ซะเลยซิ ถูกใจคนไหนก็เข้าชนเลย”

                ก็คงไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วแหละ ฉันยกที่เหลือดื่มจนหมด ต้องสะบัดหัวให้หายมึนซะหน่อยแล้ว พอเพลงใหม่ขึ้น ฉันก็ลุกขึ้นเริ่มโปรยสเต็ปแด๊นซ์กะเขาบ้าง พลางกวาดสายตาหาเป้าหมายอย่างเนียนๆ และแล้วฉันก็เจอคนที่คิดว่าน่าจะใช้ได้ ไอวี่ก็เอาซอกมากระทุ้งสีข้างฉันหรือมันจะเมา พูดข้างหูฉันด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์

                “เจอแล้วล่ะซิ มองตาไม่กระพริบเลยนะ”

                “กำลังเล็งว่ามากะเจ้าของหรือเปล่า ข้างๆ นั่น แฟนเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้”

                ไอวี่หรี่ตามองตามสายตาของฉัน

                “เหมือนพี่สาว”

                “คงรักพี่สาวมากกอดเอวซะแน่นเชียว” ฉันพูดไปอย่างที่เห็น

                “ไม่รู้อ่า ของแบบนี้ต้องถาม”

                คงงั้น ตอนที่พี่สาวหายไปจากข้างกายเขา ฉันก็รีบยกแก้วเหล้าเต้นเนียนๆ ไปใกล้ๆ ยกแก้วเหล้าท้าชนกับเขา แต่พอสบตากัน เห็นหน้าเขาชัดๆ ฉันก็ถึงกับเซ็ง ไอ้คนที่ทำกาแฟหกใส่ ผับมีเป็นสิบๆ ร้านในกรุงเทพ ทำไมต้องเป็นร้านเดียวกันด้วยนะ

                “อย่าบอกว่าไม่ได้อ่อยฉันอีกล่ะ คราวนี้ฉันไม่เชื่อแน่นอน”

                โอ เขาจำฉันได้ แถมยังมองสำรวจฉันอย่างโจ่งแจ้ง ก็นะ เวลามาปล่อยของฉันก็ต้องแตกต่างจากตอนปกตินิดหน่อยซิ ถ้าบอกว่าบังเอิญมาทัก เขาก็คงไม่เชื่ออยู่ดี มาถึงขั้นนี้พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า อีกอย่างฉันไม่มีเวลามากพอจะเลือกคนที่จะมาเป็นแฟนที่ดีกว่านี้ซะด้วย เขายกแก้วขึ้นตอบ แล้วเราสองคนก็ยกแก้วขึ้นรวดเดียวหมดพร้อมกัน

                “ขอถามอะไรหน่อยซิ” ฉันตะโกนแข่งกับเสียงเพลง

                “ว่าอะไรนะ” เขาถามแล้วยื่นหน้ามาที่ข้างหูของฉัน ในนี้เสียงดังเกินไป ฉันคงคุยกับเขาไม่รู้เรื่องแน่

                “ออกไปคุยกันข้างนอก”

                กลัวว่าเขาจะไม่ยอมตามฉันมาจึงดึงมือของเขาให้เดินตามออกมาด้วย ข้างนอกมีเพียงแสงไฟนีออนสลัวนำทาง และห่างไกลจากเสียงรบกวนพอสมควร ฉันปล่อยมือเขา แต่วินาทีเดียวกัน หัวของฉันก็มึนตึบ แล้วรองเท้าส้นสูงก็ไม่สามารถทรงตัวได้ดีอีก ฉันเซไปข้างหน้า และเผลอใช้อกของคนตรงหน้าเป็นที่ค้ำ พอดื่มไปเยอะ หยุดเต้นทีไร เป็นแบบนี้ทุกทีซิน่า แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ ให้ตาย ฉันยกหัวไม่ขึ้นเลย มิหนำซ้ำไม่รู้เขาคิดไปไหนต่อไหน โน้มหน้าลงมาและฝังริมฝีปากเย็นเฉียบลงบนต้นคอฉัน ขโมยความหอมหวานจากกายสัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ให้ได้ตั้งตัวติด

                “ปล่อยนะ หยุดทำบ้าๆ ได้แล้ว!

                กว่าฉันจะผลักตัวหนักๆ ของเขาออกห่างได้ ก็กินเวลาเนิ่นนานจนเขาพอใจแล้วนั่นแหละ

                “ก็เรียกออกมาทำเรื่อง...แบบนี้ไม่ใช่รึไง”

                แล้วฉันก็เข้าใจว่าเรื่อง...แบบนี้หมายความว่าไง ตอนที่ได้ยินเสียงครางแว่วมาจากด้านข้าง แล้วหันไปเห็นผู้หญิงกับผู้ชายกำลังจูบกันอย่างเมามัว ฉันสะบัดหน้าไม่มองไปทางนั้น

                “ฉันแค่อยากคุย”

                ฉันยอมอดทนตอนที่เขาหัวเราะหึ อย่างดูแคลน

                “พี่สาวคนนั้นเป็นแฟนของนายหรือเปล่า”

                “ถามทำไม”

                “คือฉัน...” ฉันเริ่มลังเลที่จะพูด เขาจึงต้อนฉันจนหลังชนกำแพง ไออุ่นจากลมหายใจของเขาเกือบทำฉันคลั่ง

                “ว่ามาซิ ว่าเธออยากรู้ไปทำไม”

                ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างน่าหวาดหวั่น ฉันยกมือขึ้นปกป้องตัวเอง และก่อนที่ริมฝีปากจะฝังลงที่เดิมอีกครั้งฉันจึงรีบพูด

                “เป็นแฟนกันมั้ย”

                เขาผละออกจากฉัน อึ้งไปสามวิ แล้วหัวเราะออกมา

                “เธอไม่ใช่สเปคของฉัน”

                “ถือว่าชดใช้เรื่องที่นายทำกาแฟหกใส่ ฉันขอแค่หนึ่งวันเท่านั้น”

                “หนึ่งวันของฉัน ทำเงินได้ตั้งหลายบาท ทำไมฉันต้องมาเสียเวลากับเธอด้วย”

                เขากำลังจะเดินหนี ฉันจึงรีบพูดต่อ

                “หนึ่งวันนายทำเงินได้เท่าไหร่ฉันจะจ่ายให้”

                “ชั่วโมงละสามพัน”

                งานบ้าอะไรได้เงินเยอะขนาดนี้เนี่ย แต่เอาว่ะ ไหนๆ เขาก็เริ่มโอนเอียงแล้วด้วย    

                “ก็ได้ ฉันจะจ่ายให้”

                “จ่ายของหนึ่งชั่วโมงล่วงหน้าก่อนด้วย”

                “จะเอาตอนนี้เลยมั้ยล่ะ”

                “ก็ดี”

                ฉันให้เขารออยู่ตรงนั้น หยิบบัตรเอทีเอ็มที่สอดไว้ที่กระเป๋ากางเกงออกมากดเงินที่ตู้แถวนั้น แล้วกลับมายื่นเงินให้ เขานับมันอีกครั้งก่อนจะยัดใส่กระเป๋าสตางค์ของเขา

                “เอามือถือนายมา เผื่อนายเบี้ยว” เขายอมทำตามแต่โดยดี ฉันพิมพ์เบอร์ของฉันแล้วกดโทรออก รู้สึกว่าตรงกระเป๋ากางเกงด้านหลังสั่นจึงกดตัดสายแล้วส่งคืนให้เขา

                “พรุ่งนี้นะ ตอนสิบเอ็ดโมงเจอกันที่สนามบิน แล้วฉันจะบอกรายละเอียดระหว่างทาง ถ้านายเบี้ยวฉันจะให้นายชดใช้เงินที่จ่ายไปสิบเท่าเลย คอยดู”

                “ทำงานกับฉันไม่มีเบี้ยวอยู่แล้ว”

                “ฉันจะไม่เชื่อ จนกว่าจะได้เจอนายพรุ่งนี้”

                ไม่คิดเลยว่า เกิดมาฉันจะมาทำเรื่องแบบนี้ จ้างผู้ชายที่เพิ่งพบหน้ากับเพียงแค่สองครั้งเป็นแฟน ครั้งแรกเย็นชาไร้มารยาท ครั้งที่สองกลับจู่โจมกันเลย ฉันทำอะไรลงไป มันถูกแล้วหรือเปล่า แต่ถึงมาเสียใจภายหลังก็คงไม่ได้แล้ว

                “อยู่นี่เอง พี่ตามหาตั้งนาน”     

                พวกเราหันไปตามเสียงพร้อมกัน พี่สาวคนที่อยู่กับเขาเดินโซเซมาทางเรา เขาเดินไปรับร่างของพี่สาวได้ทันก่อนพี่สาวจะร่วงลงพื้น

                “วันนี้เขาเป็นของพี่ ห้ามแย่งนะจ๊ะ”

                ฉันไม่เข้าใจที่พี่สาวพูด ห้ามแย่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการหึงหวงที่ฉันเอาตัวน้อง(ผู้)ชายของพี่เขาออกมาคุย แต่พี่สาวก็ดูเมามาก พูดจาไม่รู้เรื่องเป็นธรรมดา ถึงยังไง....ฉันก็ยังสงสัยในความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อยู่ดี นี่ฉันกำลังทำธุรกิจอยู่กับใครกันนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×