ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Love Pain คุณชายขายรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : Love Pain 1+ Black Coffee (rewrite แก้คำผิด)

    • อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 53


    Dark Coffee

     

                “พี่เลดี้ ฟ้าส่งต้นฉบับไปให้ในเมล์แล้วนะ คราวนี้ขอฟ้าหยุดยาวๆ ๆ ๆ ซักสองสัปดาห์นะคะ ฟ้าหมดแรง ไม่ไหวแล้ว”

                “ยังไงเรื่องต่อไปก็อย่าให้นานนักล่ะ ตอนนี้คนอ่านเริ่มติดใจนิยายของ 100 รักกันแล้ว อ้อ แล้วเราอยากมีงานแจกลายเซ็นต์เปิดตัวนักเขียนกับเขาบ้างไหมล่ะ หนังสือจะได้ขายดีขึ้นอีก พี่จะได้จัดอีเว้นท์ที่ไหนซักแห่งให้”

                “ตอนนี้ฟ้ายังไม่พร้อมเลยค่ะ ถ้าพ่อแม่ฟ้ารู้ มีหวังให้ฟ้าเลิกเขียนนิยายแน่ๆ เลย”

                “หรอ น่าเสียดายจัง เอาเหอะๆ พร้อมเมื่อไหร่ก็บอกพี่แล้วกัน”

                ฉันได้ยินเสียงเดาะปากแล้วทางนั้นก็วางสายไปก่อน แหม ทำอย่างกับฉันไม่รู้ล่ะว่าพี่เลดี้ ที่เป็นทั้ง บ.ก. และเป็นเหมือนพี่สาวสุดสวย แต่โหดที่สุดในโลก! ทำไมถึงอยากให้ยอดขายหนังสือของฉันขายดี กำไรในบริษัทของพี่เลดี้ก็จะได้พุ่งปี๊ดเหมือนกันน่ะซิ เชอะ ฉันเริ่มส่งนิยายให้สำนักพิมพ์ของพี่เลดี้เรื่องแรกเมื่อห้าปีก่อน โดนกลับมาแก้ไม่ต่ำกว่าสิบกว่าครั้ง กว่าจะได้ออกเล่มแรก แต่หลังจากนั้นพี่เลดี้ก็โทรมาให้ฉันลองเขียนส่งไปให้พี่เลดี้อ่านเรื่อยๆ จนตอนนี้หนังสือในนามปากกา 100 รัก ผ่านตาในร้านหนังสืออยู่ประมาณยี่สิบกว่าเรื่องได้แล้ว ฉันเขียนนิยายรักล้วนๆ ทั้งที่ในชีวิตจริงฉันเคยมีแฟนแค่ครั้งเดียว และเป็นความรักที่เจ็บปวดมากๆ ด้วย ทั้งๆ ที่นิยายรัก 99.99% ในประเทศไทยจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ชีวิตจริงกลับไม่เห็นเหมือนในนิยายอย่างที่ใครๆ ว่ากัน (_ _) แต่ยังไงซะ ถึงในชีวิตจริงจะผิดหวัง จนสูญเสียความกล้าที่จะก้าวไปหารักครั้งใหม่ แต่ฉันก็หวังจะให้ตอนจบ สุดท้ายแล้วก็ได้พบกับความสุขอยู่ดี

     

                ฉันดึงผมยุ่งเหยิงที่รวบอยู่ข้างหลังออก ผมเหยียดตรงไม่เคยผ่านการย้อมตกลงถึงกลางหลังเริ่มยาวจนไม่เป็นทรงเพราะฉันไม่มีเวลาเข้าร้านเสริมสวย ถอดแว่นตาที่มักสวมตอนเรียนกับแต่งนิยายออกวางลงบนโต๊ะ ชูแขนสองข้างบิดซ้ายขวาอย่างเมื่อยล้า เพราะนิยายที่เพิ่งปิดเล่มไปนี้แท้ๆ เลย ฉันเล่นปั่นแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็ไอเดียดันมากระฉูดเอาตอนช่วงสอบพอดีนี่ซิ แย่แล้ว!! ฉันเหลือบมองปฏิทิน อาทิตย์หน้าแล้วนี่ ฉันยังไม่ได้อ่านอะไรเลย!! อ๊าก 0[]0;;

                 ฉันรีบพาตัวเองไปที่ห้องน้ำ เปิดฝักบัวให้ร่างกายตื่น หวังจะได้ลุยอ่านหนังสือ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับผลอยหลับไปทุกครั้งที่จับหนังสือเลยนี่ซิ

     

                  วิชาเศรษฐศาสตร์ของปี 3 หินสุดๆ กว่าตอนปี 1 อีก!! ฉันเดินคอตกออกมาจากห้องสอบวิชาเศรษฐศาสตร์ ดีนะต่อไปเป็นวิชาประวัติศาสตร์ตะวันออกกลาง อะไรที่อ่านๆ จำๆ อย่างเดียวไม่ต้องสมองซีกซ้ายเนี่ย ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย ^_^b

                ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่ของฉันทำธุรกิจรีสอร์ทอยู่ที่ต่างจังหวัด แล้วฉันไม่ใช่ลูกสาวคนเดียว ฉันคงไม่ต้องโดนพ่อแม่บังคับให้เรียนบริหารหรอก ทั้งที่ความจริงฉันอยากเข้าอักษรเพื่อเดินตามความฝันมากกว่า แต่ฉันก็แอบลงเรียนวิชาที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่องานนักเขียนลงไปด้วย ทำให้ฉันต้องเรียนเยอะโดยไม่จำเป็น แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ซะด้วย เฮ้อ ไปหากาแฟกินดีกว่า เมื่อกี้คิดเลขไม่ออก ฉันหัวโขกโต๊ะจะหลับไปตั้งหลายรอบ =.=

     

                ฉันจะยอมบอกอีกครั้งว่าฉันโง่วิทย์ฯ คิดเลขไม่เอาไหน ก็เลยเอนท์ฯไม่ติด แต่บ้านมีทุนทรัพย์อยู่บ้าง เลยได้เข้ามหาวิทยาลัยเอกชนมีชื่อในกรุงเทพ สิ่งแรกที่ฉันรู้สึกได้จากการมีเงินอยู่บ้างนั้นทำให้คนเรามีอภิสิทธิ์ขึ้น อย่างแรกคือเรื่องปากท้อง โรงอาหารของมหาลัยฯ อยากจะเรียกให้เหมาะสมเหลือเกินว่า ภัตตาคารของเรานั้น เป็นห้องกระจกติดแอร์ จัดแต่งสไตล์โมเดิลคลาสิค คนทำอาหารก็ไม่ใช่ป้าแม้น ป้าน้อย จากไหน แต่เป็นป้าๆ ลุงๆ ที่เคยเป็นเชฟในร้านอาหารดังๆ มาก่อน วางมือแล้วแต่อยากทำอาหารอยู่ ฉันเลยไม่เคยต้องไปฝากท้องที่ไหน อยู่ที่มหาลัยฯ ก็มีอาหารทุกมุมโลกมาเสิร์ฟถึงที่ ข้างๆ โรงอาหารเป็นสวนหย่อมขนาดกลาง มีร้านกาแฟน่ารักมากๆ แค่เปิดประตูก็ได้กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นไปทั่วร้าน โต๊ะ เก้าอี้ หุ้มผ้าลูกไม้แค่เห็นก็อบอุ่นทั้งที่ยังไม่ได้จิบกาแฟ หรือจะชอบรับลมที่ร้านก็มีเชิงร้านจัดที่นั่งยื่นออกไปที่สวนหย่อมรับบรรยากาศเย็นสบาย

                อภิสิทธิ์ที่สอง บางวิชาที่ไม่ต้องมีระเบียบมาก นักศึกษาสามารถแต่งตัวยังไงมาเรียนก็ได้ ขอแค่ไม่ขาสั้นหนึ่งคืบจากสะดือ รองเท้าแตะอยู่บ้าน หรือสายเดี่ยวนมหกก็พอ แต่ฉันชุดนักศึกษานี่แหละ ไม่ต้องคิดมากดี แค่ตื่นให้ทันไปเรียนก็จะเอาตัวไม่รอดแล้ว เพราะงั้นเรื่องแต่งหน้า แป้งเด็ก มาสคาร่า ลิปมัน เป็นอันจบ     

                กรุ้งกริ้ง!!

                เสียงกระดิ่งหน้าประตูร้านกาแฟส่งเสียงใสต้อนรับทุกคนที่เข้ามา ปกติฉันจะยืนดื่มด่ำสูดกลิ่นกาแฟอยู่ที่หน้าประตูก่อนหนึ่งฟืดถึงจะเข้าร้าน แต่วันนี้......

                เขาก้มหน้าก้มตาเดินสวนออกมาจากร้าน ถึงฉันจะเตี้ยกว่าแค่ไม่กี่สิบเซ็นต์ แต่ก็ยืนอยู่เห็นๆ ทั้งคน แต่เขากลับไม่เห็น ชนไหล่ของฉันจนฉันเซถอยหลังแถมกาแฟในมือเขายังหกมาโดนเสื้อฉันอีก ชุดนักศึกษาสีขาวของฉัน เป็นรอยกาแฟเบ่อเริ่มเลย!!! ไม่ขอโทษแล้วยังจะเดินหนีอีก ถ้าฉันปล่อยไป อย่าเรียกฉันว่าฟ้าใหม่เลย -_-^ ฉันวิ่งไปขวางหน้าเขา   

                “นี่นาย!! นายคนไร้มารยาท! นายทำกาแฟหกใส่เสื้อฉันนะ ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยหรอ”

                เขาจ้องมองที่คราบกาแฟบนเสื้อของฉัน 1 2 3 4 5 วิได้ ก่อนจะเลื่อนสายตามาที่ฉัน ฉันอึ้งไปสามวิตอนสบตากัน ถ้าเป็นในนิยายคำที่เหมาะสมกับเขาคือ เขาฮอตมาก (ก.ไก่ ยี่สิบตัว) ผมสีดำสนิท ขับกับผิวเนียนใส ดวงตาลึกล้ำมองไปที่ไหนซักแห่งไกลโพ้น ไม่ซิ!! นี่ไม่ใช่เวลามาพิจารณาใบหน้าเขานะ เพราะที่เลวร้ายมาก เขาเพิ่งรู้สึกตัวตอนฉันเข้าไปขวางหน้า และถอดหูฟังที่ใส่อยู่ตลอดเวลาออก เห็นแล้วชวนโมโหนัก ฮึ่ย

                “เธอวิ่งตามมาเพื่อขอแค่ค่าซักผ้ายี่สิบบาทเนี่ยนะ”
                “จะมากหรือน้อยแต่มันก็เป็นมารยาทย่ะ แล้วฉันไม่ได้เทกาแฟใส่ตัวเองด้วย ไม่มีใครสอนนายหรือไงว่านายควรทำยังไงเวลาทำกาแฟหกใส่คนอื่นเนี่ย”

                “ไม่มี”

                ไอ้!!! เรื่องย้อนนี่ว่ากวนแล้วนะ แต่ไอ้หน้าตาไม่รู้สึกรู้สานี่ซิ ถ้าฉันเป็นผู้ชายจะต่อยให้คว่ำ เอาให้จมูกโด่งๆ นั่นหักต้องไปทำใหม่เลย แต่ถ้าเป็นมวยเทียบรุ่นแล้ว ฉันว่าฉันคิดอย่างเดียวแหละดีแล้ว

                “จะอ้างอะไรมากมาย ดูก็รู้ว่าเธอวิ่งมาอ่อยฉัน ใช่มั้ยล่ะ”

                “อะ ... อ่อย!! เนี่ยนะ ตรงไหนของฉันที่มันบ่งบอกว่าอ่อยนายอยู่เรอะ!!

                ฉันชี้หน้าเท้าเอว แผดเสียงใส่เขาอย่าเอาเรื่อง ฉันกำลังโมโหจนควันออกหู และถ้าเขาพูดจาไม่เข้าหูอีกแค่นิดเดียวได้ระเบิดตูมแน่ แน่นอน เขาไม่ได้พูดอะไรไม่เข้าหู แต่ใช้สายตากับพะยักเพยินหน้าแทน ฉันก้มลงไปตามสายตาของเขา ตรงคราบกาแฟพอดี O[]O!!

                ฉันเบิกตาค้าง อยากกรี๊ดให้ดัง ถ้าไม่ติดมีคนอยู่ตรงบริเวณนี้ให้เพียบ แล้วจะไม่มุ่งความสนใจมาที่ฉันละก็ ให้ตาย ก็ไอ้กาแฟที่เขาทำหกใส่ฉันน่ะซิ มันซึมทะลุไปจนถึงเสื้อชั้นในลายคิตตี้ของฉันเลย >//< ฉันรีบยกหนังสือในมือขึ้นปิดอก รู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าจนแทบไหม้

                “แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก”

                “จะไปรู้ได้ไง ก็นึกอยู่ว่าเธออ่อยฉันแน่ๆ”

                “แค่คำขอโทษถ้ามันยากมากฉันไม่ทวงจากนายแล้วก็ได้ นายมันไร้มารยาท โรคจิต คิดไป อะ เอง ...”

                ฉันกลืนคำสุดท้ายลงคอเพราะผ้าอะไรไม่รู้หล่นตุบลงมาคลุมหัวของฉัน พอฉันดึงลงมา มองตำแหน่งเดิมที่ฉันเคยเห็นมัน ฉันถึงกับพูดอะไรไม่ออก มันเป็นเสื้อคลุมที่เขาสวมอยู่ในตอนแรก ฉันเกือบจะทราบซึ้งแล้วเชียว ถ้าเขาไม่ขยับปากขึ้นมาก่อน 

                “ถ้าเธออึ๋มกว่านี้ซักสามคัพ ฉันว่าเธอทำสำเร็จแน่”

                ไอ้ ไอ้..... ฉันอ้าปากขึ้นๆ ลงๆ กว่าจะนึกคำด่าเจ็บแสบออก เขาก็เดินไปไหนต่อไหนแล้ว ฉันรีบสวมเสื้อคลุมที่เพิ่งได้มา รูดซิบเสื้อจนมิดคอ เพิ่งนึกขึ้นได้ มองนาฬิกาข้อมือ กรี๊ด!!!!! เลยเวลาสอบประวัติศาสตร์ตะวันออกกลางมาสิบห้านาทีแล้ว ทำไมฉันถึงได้ ซวยซ้ำ ซวยซ้อน ซวยได้อีกเนี่ย ฮือๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×