ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๔ คุณหมอสาวปากร้ายกับนายสถาปนิกตีรวน
บทที่ 4
คุณหมอสาวปากร้ายกับนายสถาปนิกตีรวน
ความเงียบสงัดของป่ายามวิกาลถูกทำลายด้วยเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์คันเก่าและแก่ของคุณหมอสาว มันพาเธอไปตามเส้นทางในป่าละเมาะที่นำสู่หมู่บ้านเซ็งดูซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านช้าง
แต่เพราะไฟหน้ารถคันเก่าไม่ได้สว่างมากนัก จึงส่องไปไม่ถึงครอบครัวหมูป่าที่พากันย่ำออกมาหาอาหาร โชคดีที่ไหมแก้วเบรกไว้ทันก่อนที่ล้อรถจะบดทับเจ้าลูกหมูตัวจ้อย กระนั้นก็ตาม เจ้าหมูป่าพวกนั้นยังเมินเฉย ใช้เท้าคุ้ยเขี่ยโคนไผ่หาเห็ดที่ขึ้นหนาแน่นกินเป็นอาหารอย่างไม่สนใจอันตราย
ไหมแก้วจึงส่ายหน้าระอา แต่ก็เผลอเพลินใจไปกับความน่ารักและซุกซนของลูกหมูป่า จนรู้สึกตัวว่ามีภารกิจรออยู่ ก็ออกรถวิ่งต้านสายลมชื้นที่พัดเส้นผมสีดำประกายปลิวสยายจนมาถึงที่หมาย
เพล้ง!
พลันนั้น มีเสียงของบางสิ่งคล้ายแก้วแตกดังจากบนเรือน ไหมแก้วจึงดับเครื่องยนต์ คว้ากระเป๋าเครื่องมือแพทย์แล้ววิ่งขึ้นบันได และในจังหวะที่เธอกำลังจะผลักประตูเข้าไปนั้น บานประตูไม้หนาทั้งสองข้างก็เปิดอ้าออกโดยไม่รู้ตัวล่วงหน้า ส่งผลให้ไหมแก้วตกใจจนหวีดร้องในตอนเซถลาไปซบอกแกร่งเปล่าเปลือยปราศจากอาภรณ์ ที่อ้าแขนรับเธอไว้ทันท่วงทีก่อนจะล้มครืน
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
เสียงทุ้มต่ำเปล่งจากปากหยักได้รูป แต่คล้ายกับตัวเธอถูกดูดจมหายเข้าไปในดวงตาสีนิลประกายที่จับจ้องมองมา
“คุณครับ...คุณเป็น...” เขาถามเธอด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง
“ฉัน...ฉันเป็นหมอ” พอหาเสียงตัวเองเจอ ไหมแก้วก็เด้งผึงออกจากแผงอกกว้างของชายหนุ่ม พร้อมโชว์กระเป๋าแพทย์ที่มีสัญลักษณ์เครื่องหมายบวกให้เขาเห็น “ฉันจะมาขอดูแผลคุณ”
“อ้อ...คุณคือคุณหมอไหมแก้วนั่นเอง” ปากหยักได้รูปคลี่ยิ้มบาง ดวงตาสีนิลมีประกายแวววาว
“จริง ๆ แล้วคุณยังไม่ควรลุกเดิน” ไหมแก้วยกแขนขึ้นกอดอก วางท่าขึงขัง “ไม่อย่างนั้นแผลคุณจะเปิดแล้วฉันอาจต้องเย็บแผลใหม่”
เขาไม่มีท่าทีเกรงกลัวต่อเธอเลยสักนิด ซ้ำยังยิ้มตาเป็นประกาย “ผมก็ไม่ได้เดินไปไหนไกล แค่ไปดูสภาพมอเตอร์ไซค์แล้วก็เพิ่งจะมีครั้งนี้ที่ผมหิวน้ำ เลยเดินไปกินน้ำ”
“แล้วเมื่อกี้เสียงอะไร” กระบวนการซักฟอกยังไม่หมด
“หม้อน้ำแตก” ดวงตาคมเข้มสีนิลสลดลงเล็กน้อย คล้ายเด็กน้อยกำลังสารภาพผิด
“หม้อน้ำแตก?”
ร่างสูงจึงเอี้ยวตัว ผายมือเข้าไปด้านในชี้จุดเกิดเหตุ “ผมทำหม้อดินเผาใส่น้ำแตก กำลังจะเดินไปหยิบผ้าที่ตากตรงนั้นมาเช็ดน้ำ แล้วก็กะว่าจะเอาเศษหม้อไปฝังดินทำลายหลักฐาน แต่มีคนมาเห็นเสียก่อน”
ไหมแก้วพ่นลมหายใจ เดินไปคว้าผ้าขี้ริ้วแห้งกรังที่พาดอยู่บนราวระเบียง แล้วก้าวขาเข้าเรือนไปย่อเข่าเช็ดน้ำบนพื้นกระดาน พลางบ่นใส่
“นอกจากจะซุ่มซ่ามเหยียบกับดักสัตว์แล้ว คุณยังซุ่มซ่ามทำลายข้าวของอีกหรือคะ”
เขาหัวเราะในลำคอ เดินกะเผลกมาย่อตัวนั่งเก็บเศษคมชิ้นเล็กของหม้อดินเผา เอ่ยคำพูดน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “ขอบคุณสำหรับคำวินิจฉัยนิสัยของผมนะครับ คุณหมอไหมแก้ว”
ไหมแก้วตวัดตาดุ แต่พ่อเจ้าประคุณกลับขยิบตาล้อเลียนให้ข้างหนึ่ง เห็นแล้วก็พอเดาได้ว่า ทำไมถึงถูกทวีรัตน์ตามไล่ล่า แม้จะไม่รู้ต้นสาย แต่ปลายเหตุนั้นคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการต่อปากต่อคำแสนยียวน
“ยื่นขามาสิ ฉันดูแผลของคุณหน่อย” พอเช็ดพื้นแห้งสนิทดี ก็ขอเริ่มงานตามหน้าที่ทันที
“อ้าว คุณหมอจะไม่ช่วยผมทำลายหลักฐานก่อนหรือ”
“เสียใจค่ะ ฉันไม่อยากเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด”
คุณหมอสาวตอบเสียงเคร่งขรึม ไม่มีท่าทีอยากหยอกล้อกับเขา ชายหนุ่มจึงไหวไหล่แล้วทำตามคำสั่ง ยื่นขาข้างที่บาดเจ็บส่งให้ดูตามที่เธอต้องการ
ไหมแก้วจึงเริ่มจากแกะผ้าพันแผลที่ข้อเท้าออก ก่อนตรวจฝีเย็บกับอาการอื่นที่อาจบ่งชี้ถึงการอักเสบอย่างละเอียด ถ้าไม่นับรอยช้ำเป็นจ้ำม่วงที่มีประปรายบนแผงอก ความลึกของคมเขี้ยวแร้วที่ฝังเนื้อลึกขนาดนี้ อาจทำให้ผู้ชายหลายคนร้องจะเป็นจะตาย แต่เขาใช้การขบกราม ระงับเสียงครางไว้ในตอนที่เธอจับข้อเท้าพลิกดู
“แร้วที่คุณเหยียบ เขาเอาไว้ดักหมูป่า” คุณหมอสาวชวนเขาสนทนาเพื่อให้ผ่อนคลายความเจ็บปวด
“น่าสงสารเจ้าพวกหมูป่า กับดักใหญ่ขนาดนั้น ผมว่าต่อให้เป็นกระทิงมาเหยียบ ก็มีร้องเป็นลูกหมาบ้างละ”
เธอขบขันคำพูดเขาในใจ “แต่ถ้าคุณไม่ใช่กระทิงกลับชาติมาเกิด ก็ช่วยถนอมขาตัวเองหน่อย เพราะถ้าแผลติดเชื้อ การรักษาจะซับซ้อนมากขึ้นตามลำดับ”
“แล้วถ้าผมเป็นกระทิงล่ะ”
“ถ้าคุณเป็นกระทิง คุณคงถูกทิ้งให้หมดลมหายใจตายไปตามยถากรรม” ดวงตาคมเงยขึ้นมองเขาเขม็ง
“คุณหมอเป็นแบบนี้ปกติเลยหรือ”
“แบบนี้? แบบไหน” ไหมแก้วหยุดมือ เงยหน้ามองเห็นรอยยิ้มก่อกวนใจ
“ก็...” ดวงตาสีนิลจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “แบบ...พูดจาดุไม่มีเหตุผล”
“ถ้าคุณคิดว่าฉันเป็นคนพูดจาดุไม่มีเหตุผล ฉันก็คิดว่าคุณเป็นคนเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่” ไหมแก้วเถียงกลับ หยิบสำลีพร้อมด้วยน้ำเกลือออกจากกระเป๋าแพทย์ แล้วเช็ดทำความสะอาดรอบแผลเย็บ
“ผมไม่ได้เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ แต่สิ่งที่คุณหมอแสดงออกทำให้ผมคิดแบบนั้น”
ดูเหมือนอยากมีคนชวนเธอโต้วาที ไหมแก้วจึงหยุดมือ แล้วส่งยิ้มไม่หวานให้ “คุณเพิ่งเห็นหน้าฉันครั้งแรก แต่การแสดงออกแค่ครั้งเดียวจะทำให้คุณรู้ได้หรือว่าฉันเป็นคนยังไง”
ส่วนเขาก็ยิ้มท้าทาย ดวงตาคมสีนิลมีประกายแวววาว “ใช่ครับ...ผมเพิ่งเห็นหน้าคุณหมอครั้งแรก แต่ผมกับคุณหมอรู้จักกันมาก่อนแล้วแน่นอน”
คิ้วเข้มเรียวอย่างธรรมชาติของเธอขมวดเข้าหากัน มั่นใจว่าไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้ที่ไหนมาก่อนแน่ “แล้วฉันต้องดีใจหรือเสียใจคะที่รู้ว่าเรารู้จักกัน”
“คุณหมอควรจะถามว่าผมเป็นใคร”
“ตายจริง เท่าที่ฉันตรวจร่างกายของคุณทุกจุด ก็มั่นใจว่าศีรษะของคุณไม่มีตรงไหนบุบจนทำให้สมองบวมช้ำแล้วจำชื่อตัวเองไม่ได้นี่คะ” ที่พูดไปไม่คาดหวังให้เขาโกรธ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นเรือน
“นี่ถ้าเราพูดแบบนี้ทางโทรศัพท์ ผมคงปฏิเสธไม่รับทำไอ้งานฟื้นฟูหมู่บ้านช้างนี่ แล้วโทร.ไปด่าเพื่อนเฮงซวยที่คะยั้นคะยอยื่นงานนี้ให้ แต่เพราะเราคุยแบบซึ่ง ๆ หน้า ผมจะยอมให้อภัย เพราะเวลาคุณหมอใช้ปากอิ่มแต่คมเหมือนมีดผ่าตัดพูดจาเชือดเฉือนใส่ผมนั่นน่ะ...ผมว่า”
เขาหยุดแล้วพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ เขยิบตัวเข้ามาใกล้เหมือนไม่สนใจว่าตัวเองมีบาดแผลใหญ่ จากนั้นเท้าคางกับศอกทั้งสองที่วางบนเข่า จ้องมองเธอด้วยแววตาเปื้อนยิ้มแล้วเอ่ยคำพูดต่อให้จบ
“ผมว่ามัน...น่ามองดี”
เธอไม่ใช่สาวรุ่นที่อ่อนไหวง่ายไปกับวาจาหวานหอมของชายหนุ่ม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยไรหนวดขึ้นครึ้มยามกระทบแสงไฟสีเหลืองนวลนั้น ขับผิวสีแทนของเขาให้ดูเรืองรองตรึงสายตาใครต่อใครได้ไม่ยาก
“ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน” เขาเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้า พร้อมกับยื่นมือขวามาทางเธอ “ผมคือก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา คนที่คุณสรรเสริญว่าเป็นนายสถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบ”
ไหมแก้วยอมรับว่าประหลาดใจ ไม่รู้ว่าควรจะตอบโต้เขาอย่างไร แต่เธอก็กล่าวหาเขาว่าเป็นสถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบจริง ซึ่งเธอจะยังไม่ขอกลับคำจนกว่าเขาจะแก้แบบแปลนเรือนให้ใหม่ทั้งหมด
“คนที่นี่เขาขี้อายกันหรือครับ คุณหมอถึงไม่คิดอยากทำความรู้จักผมบ้าง” ชายหนุ่มชักมือตัวเองกลับเมื่อมันไม่ได้ถูกสัมผัสกับมือของคุณหมอสาว
“คุณรู้จักชื่อฉันแล้วนี่คะ บอกธุระของคุณเถอะค่ะว่ามาทำอะไรที่นี่” เธอหันไปสนใจกับการทำความสะอาดบาดแผลของเขาต่อ
“ผมก็มาสำรวจหน้างานตามที่คุณหมอเชื้อเชิญน่ะสิ”
คุณหมอสาวนึกขบขันในใจ เพราะการมาของเขานั้นได้ของแถมเป็นศัตรูวัยคะนองท้องถิ่นกับบาดแผลที่ระลึกรอยใหญ่ แต่เธอยังไม่ตอบอะไรกลับ ใช้ผ้าพันแผลผืนใหม่พันรอบข้อเท้าชายหนุ่ม กระทั่งเขาเอ่ยประโยคต่อมา
“แล้วผมก็มาดูหน้าคุณหมอด้วย”
เมื่อกลัดผ้าพันแผลเรียบร้อย ไหมแก้วจึงเงยหน้าเหลือบตามองเจ้าของดวงตาสีนิลเป็นประกาย “ฉันจะเปลี่ยนยาแก้อักเสบให้ใหม่ ส่วนยาแก้ปวดเห็นจะไม่ต้อง เพราะคุณพูดได้เจื้อยแจ้วขนาดนี้”
“แผลผมอยู่ที่ข้อเท้า ไม่ได้อยู่ที่ปากนะคุณหมอ”
ไหมแก้วลอบพ่นลมหายใจ หากจะมีใครต่อปากต่อคำเธอได้หลายยกละก็ นายก้องปฐพีถือเป็นคนแรก “ฉันพอรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงถูกทวีรัตน์ไล่ยิง”
“ทวีรัตน์?” ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นเหมือนมีคำตอบเขียนไว้อยู่บนคานบ้าน “อ๋อ...ไอ้ผอมกะหร่องที่เป็นหัวหน้าแก๊งรีดไถเงินชาวบ้านนั่นน่ะหรือ”
รูปร่างของทวีรัตน์ตรงตามที่เขาบอกไม่ผิดเพี้ยน แต่เรื่องวีรกรรมที่เขากล่าวนั้น เธอเพิ่งได้ยินครั้งแรก กระนั้นก็ไม่คิดว่าเขากุเรื่องให้ร้ายอีกฝ่าย เพราะน้องชายคนรองของเอกรัตน์มีนิสัยไม่ห่างจากนายทรงชัยเลยสักนิดเดียว
“ใช่ นั่นแหละทวีรัตน์”
แล้วเขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังอีกครั้ง “โอ้โห ชื่อไพเราะเกินนิสัยเลว ๆ ไปเยอะเลย ไม่รู้พ่อแม่มันสั่งสอนมายังไง ถึงไปเที่ยวรีดไถคนหาเช้ากินค่ำ”
“เขาเหลือแต่พ่อ”
เสียงขำขันหายไป แต่ยังหลงเหลือรอยยิ้มไว้ที่มุมปากและดวงตา “แย่จัง คุณหมอรู้จักเจ้าเด็กนั่น แล้วนี่ผมจะอุทธรณ์ความยุติธรรมต่อศาลที่ไหนได้ครับเนี่ย ว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์และถูกปองร้ายถึงขั้นเอาชีวิต”
“แล้วคุณไปมีเรื่องอะไรกับทวีรัตน์กัน”
“ก็แค่ไปตักเตือนว่าอย่าทำตัวเกเรเที่ยวรีดไถเงินชาวบ้านในร้านสะดวกซื้อที่ปั๊มน้ำมัน แต่พวกนั้นกลับรุมทำร้ายผม แล้วเรื่องอะไรที่ผมจะยืนนิ่งเป็นกระสอบทรายล่ะครับ ผมก็ต้องสู้กลับ คุณหมอคิดดูสิ ห้ารุมหนึ่ง ผมน่าสงสารแค่ไหน”
ไหมแก้วยังมองไม่เห็นว่าเขาน่าสงสารตรงไหน เพราะรอยยิ้มระรื่นนั่นช่างขัดแย้งกับคำพูดเขานัก
“พอผมสู้ชนะ ก็คิดว่าจบ ๆ กันไป คนที่ถูกรังแกได้เงินคืนแล้ว แต่ที่ไหนได้ มันยังพาพวกตามราวีผมต่อตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาหมู่บ้านช้าง พวกนั้นมีทั้งปืนทั้งรถกระบะ แต่ผมมีแค่ตัวกับมอเตอร์ไซค์คันน้อย”
คนฟังเลิกคิ้วตรงที่เขาเรียกเจ้าสองล้อสีดำคันใหญ่สภาพสะบักสะบอมที่จอดใต้ถุนเรือนว่ามอเตอร์ไซค์คันน้อย
“พวกนั้นทั้งขับเบียดทั้งยิงปืนใส่ ผมเลยต้องหนีตาย ขี่มอเตอร์ไซค์เข้าป่า เพราะถึงพวกมันจะยังตามล่าผมอยู่ ก็จะเหลือแค่พวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์”
ถึงตรงนี้ ไหมแก้วจึงเริ่มจับต้นชนปลายถูก “แล้วหนึ่งในพวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์มีทวีรัตน์อยู่ด้วย?”
เขาไหวไหล่ “ผมไม่ทันมองหรอกว่าใครเป็นใคร แค่หนีให้รอดก็พอ แต่ได้ยินเสียงดังโครม คิดว่าคงมีใครชนต้นไม้ ครั้นจะแสดงน้ำใจจอดวิ่งไปดู แต่ไม่ใช่สนามแข่งรถ ก็เลยขับต่อไปเรื่อย ๆ จนไปเสียหลักตอนมีตัวอะไรไม่รู้คล้ายลูกหมาวิ่งตัดหน้า”
“ลูกหมูป่า” เธอบอกให้เขารู้ พอนึกได้ถึงเจ้าลูกหมูเขี้ยวตันที่วิ่งกระเจิดกระเจิงออกมาจากพุ่มไม้หนา
“นั่นละ ๆ ดีที่ดวงผมยังไม่ตก ยังไม่ตาย แต่ก็เจ็บเอาการ ผมฝืนใจลุกขึ้นยืน แต่มันเหมือนเดินอยู่บนม้าหมุน ก้าวขาไม่ตรงทาง สะเปะสะปะไปชนต้นไม้ตั้งหลายที จนเห็นดวงไฟสว่างในป่า เลยจะเข้าไปขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นก็คิดอยู่นะว่าเป็นคนหรือกระสือ”
คุณหมอสาวหรี่ตาแคบลง “คุณเลยเดินสะเปะสะปะไปเหยียบกับดักสัตว์เข้าสินะ”
“แหม...คุณหมอพูดอย่างกับอยู่ในเหตุการณ์แน่ะ...เอ๊ะ...หรือว่าคุณหมอจะเป็น...” แล้วเขาก็หยุดปากไปชั่วครู่ ทำตาโตเป็นประกายน่าหมั่นไส้ ก่อนเอ่ยคำต่อมาว่า
“กระสือตนนั้น”
“คุณก้องปฐพี!”
ไหมแก้วตาลุกวาวใส่ แต่ดวงตาที่ใคร ๆ บอกว่าดุอย่างแม่เสือคงเหมือนแม่แมวในความคิดของเขา ถึงได้หัวเราะงอหายเสียขนาดนั้น
“เอาน่า ๆ ถือว่าผมเอาคืนจากทุกคำที่คุณหมอจิกกัดผมก็แล้วกันนะ”
หากนับจำนวนครั้งที่เธอพ่นลมหายใจเพราะความขุ่นเคืองให้แก่ผู้ชายชื่อก้องปฐพี ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ห้าได้กระมังถ้าบวกเอาครั้งก่อนที่คุยกับเขาทางโทรศัพท์เรื่องขอเปลี่ยนแบบแปลนก่อสร้าง เห็นทีอยู่ต่อไปคงเกิดความแปรปรวนทางอารมณ์มากขึ้น จึงคว้ากระเป๋าเครื่องมือแพทย์ขึ้นสะพาย
“หมดหน้าที่ฉันแล้ว ขอลา”
“แต่ข้างนอกฝนตกหนักอยู่นะครับ”
แล้วเสียงห่าฝนที่กระทบหลังคาก็แทรกผ่านอากาศเข้าสู่โสตของเธอ เพราะความยียวนของเขาแท้ ๆ ที่ทำให้เธอไม่รับรู้เสียงฝนกระหน่ำลงมาราวฟ้ารั่ว
ไหมแก้วกล่าวโทษคนต้นเหตุในใจแล้วเดินออกไปดูลาดเลาที่หน้าต่างด้วยใจกังวล ทว่าเสียงครืนครางของท้องฟ้ากับแสงแวบแปลบปลาบทำให้ถอยเท้ากลับเข้าชายคา ล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋าแพทย์เพื่อขอร้องให้ผู้ใหญ่บ้านออกรถมารับ แต่นึกขึ้นได้โดยพลันว่าไม่ได้นำโทรศัพท์ติดกระเป๋าเพราะความเร่งรีบมาพบเขานี่แหละ
“ฉันขอยืมโทรศัพท์ของคุณหน่อยได้มั้ย" เพราะอยู่ในฝ่ายร้องขอ เธอจึงลดโทนเสียงให้อ่อนลง
“โทรศัพท์ของผมหมดสภาพใช้การไม่ได้ มันคงถูกกระแทกตอนรถล้ม”
ความหวังถูกซัดทอดหายไปพร้อมกับสายฝนที่กระหน่ำลงมาเหมือนต้องการกลั่นแกล้ง เสียงฟ้าร้องก็เพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นทุกที
“ผมว่าอีกนานนะกว่าฝนจะหยุด”
เสียงออกความเห็นที่ไม่ได้ร้องขอดังจากด้านหลัง แต่ด้วยไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าฝนจะหยุดอย่างที่เขาบอก เธอจึงสูดหายใจเข้าลึก กระชับกระเป๋าแพทย์แน่นแล้วลงจากเรือนไปยังเจ้าแก่ที่จอดนิ่ง
แต่พอสตาร์ตเครื่องยนต์ เจ้าแก่กลับเงียบสนิท ไม่มีเสียงตอบกลับว่าพร้อมรับใช้เจ้านาย ถึงเธอจะพยายามสตาร์ตหลายต่อหลายครั้ง ผลที่ได้ก็เป็นเช่นเดิม
“เครื่องยนต์เก่า ๆ ถ้าอยู่ในอากาศเย็นนาน ๆ มันก็จะเป็นแบบนี้แหละครับ” ชายหนุ่มผู้บาดเจ็บใช้เสื้อหนังกางขึ้นต่างร่มเดินลงบันไดมาบังฝนให้
“ฉันห้ามไม่ให้คุณเดิน ยังจะฝ่าฝืนอีก”
รอยยิ้มบางระบายบนใบหน้าคมเข้ม “คุณหมอรอฝนหยุดบนเรือนดีกว่าตากฝนจนเป็นหวัดตรงนี้”
“ฉันไม่อยากรบกวน ไม่รู้ฝนจะหยุดเมื่อไหร่” ไหมแก้วยังไม่ละความพยายามที่จะปลุกเจ้าแก่ให้ตื่น แต่ก็ไร้ผล
“ผมจะออกมานอนที่ระเบียงเอง คุณหมอจะได้อยู่ข้างในจนกว่าฝนจะหยุด” เจ้าของร่างสูงก้าวขาเข้ามาอีก ให้เธออยู่ในขอบเขตภายใต้เสื้อหนังตัวใหญ่มากขึ้น
“แล้วถ้าฝนมันไม่หยุด?” ไหมแก้วเปล่งคำถามด้วยใจหวั่น “ถ้ามันตกทั้งคืน...”
“มันก็จะเป็นคืนที่อากาศเย็นสบาย แล้วคุณหมอจะได้นอนหลับฝันดีตลอดคืนไงครับ”
เสียงครืนครางของท้องฟ้ายังดังต่อเนื่อง เสียงเม็ดฝนกระทบหลังคาเรือนก็ยังดังกึกก้อง แต่คล้ายกับว่าทุกสรรพเสียงอื้ออึงนั้นบรรเทาเบาบางลงไป คล้ายกับตัวเธอถูกครอบด้วยแก้วใสขนาดใหญ่ ในชั่ววินาที ณ ขณะที่สบตานายก้องปฐพี แต่พอเขาเอ่ยประโยคต่อมา ก็ทำให้คุณหมอสาวร้องฮึ่มในใจ
“ผมแค่ไม่อยากให้คุณหมอเป็นอะไรไป เพราะคุณหมอยังต้องใช้ปากอวบอิ่มของคุณหมอฟาดฟันกับผมจนกว่าจะจบงานฟื้นฟู”
ขอบคุณที่แวะเข้ามานะคะ
ผลงานที่อัพจบแล้ว
ผลงานที่กำลังอัพ
อยากคุยกับไรท์ กดแอดเฟรนด์หรือกดติดตามเลยค่า
หรือไลค์เพจไว้จะได้ไม่พลาดข่าวอัพนิยาย
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ฤดีวัลย์
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น