คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ ศพที่หนึ่ง
บทที่ 1
ศพที่หนึ่ง
หากการประชุมครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงมตินำเทคโนโลยีด้านสถาปัตยกรรมใหม่
ๆ มาใช้ในโครงการ
หรือถ้าให้เครียดขึ้นไปอีกสักหน่อย อย่างเช่นเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับข้อกฎหมายด้านสิ่งปลูกสร้างที่รัฐบาลเพิ่งประกาศใช้
ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา รองประธานบริษัทชลธารคอนสตรักชันคงจะไม่รู้สึกหน่ายใจจนเผลอทอดสายตาสีนิลมองท้องฟ้าสีสดใสนอกหน้าต่างกระจกบานกว้างของห้องประชุม
“เราจะไม่ตั้งโต๊ะแถลงเพื่อโต้ข่าวไม่จริงพวกนั้นบ้างหรือครับคุณก้อง”
หลังจากฟังเสียงทุ่มเถียงกันในที่ประชุมมานาน
รองประธานหนุ่มก็ถูกผู้จัดการฝ่ายการตลาดถามความเห็นถึงการโต้ตอบข่าวที่สร้างกระแสลบให้แก่ภาพลักษณ์ของบริษัท
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ วางปากกาที่ยังไม่ได้ใช้มันเซ็นสัญญาจัดจ้างก่อสร้างถนนหลวงสายสำคัญสายใหม่
แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเลยมาตฐานชายไทย จากนั้นวางมือทั้งสองยันกับโต๊ะ
กวาดสายตามองใบหน้าของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน ก่อนมาหยุดที่ใบหน้ากังวลของ ธิดา
ฤทธิ์นาคา ผู้เป็นน้องสาวแสนรักหนึ่งเดียว
“ผมไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องเสียเวลาไปตั้งโต๊ะแถลงข่าวในเรื่องที่มันไม่จริง”
เสียงทุ้มเอ่ยหนักแน่นไม่แพ้ดวงตาที่ฉายแววความจริงจังในทุกคำพูด
“แต่ทั้งข่าวทางทีวีและข่าวในกองหนังสือพิมพ์ที่พวกเราทุกคนกว้านซื้อมา
ก็มีแต่ข่าวโจมตีเราฝ่ายเดียวนะคะพี่ก้อง ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้จะส่งผลต่อชื่อเสียงของบริษัทในอนาคต”
ผู้เป็นน้องรู้ดีว่าทุกคนรู้สึกอย่างไร จึงขอเป็นตัวแทนพูดกับพี่ชายเอง
“เมื่อสองปีที่แล้ว
เราก็เคยเป็นบริษัทโนเนมไม่ใช่หรือ
แล้วเมื่อสองปีที่แล้วพวกเราทุกคนที่นั่งในห้องนี้ทำงานเพื่ออะไร
เพื่อชื่อเสียงที่มีวันเกิดมีวันดับ หรือเพื่องานคุณภาพแต่ยั่งยืน”
ปณิธานของประธานบริษัท
ผู้เป็นบิดาซึ่งวางมือจากการบริหารไปแล้วถูกหยิบยกขึ้นมาเตือนสติ
และแม้ก้องปฐพีจะไม่ได้ยินคำตอบจากปากที่กำลังเม้มแน่นของแต่ละคน
เขาก็เชื่อเหลือเกินว่ายังคงได้รับการสนับสนุนจากทีมงานให้เป็นผู้นำบริษัทไปสู่อนาคต
“เราจะจบการประชุมแค่นี้
ขอให้ทุกคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ส่วนตัวผมเองในฐานะรองประธาน...”
เขากล่าวเสียงก้องกังวาน พลางหยิบปากกาด้ามเดิมขึ้นมาในมืออีกครั้ง
และครั้งนี้มันถูกจดลงบนกระดาษเพื่อลงนามเซ็นสัญญาจ้างงานกับรัฐบาล “ผมจะเป็นผู้ตัดสินใจรับงานที่มั่นใจว่าเราทำได้ดีกว่าพวกเก่งแต่ปาก”
จากนั้นยื่นหนังสือสัญญาส่งให้แก่ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
พร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้าหล่อเข้มเต็มไปด้วยไรหนวดครึ้มดูอ่อนโยนลงไปถนัดตา
“ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมได้ทำงานไปตามครรลองของมัน
ส่วนพวกเราแค่ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอ” เขาพูดทิ้งท้ายแล้วค้อมศีรษะขอตัวเดินออกจากห้อง
ถอดเสื้อสูทตัวหนา ปลดเนกไทและกระดุมพอให้หน้าอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามได้คลายความอึดอัด
แล้วพาตัวเองขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์บนชั้นดาดฟ้า อ้าแขนรับสายลมและแดดอุ่นยามบ่ายคล้อย
“ก็ในเมื่อความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
แล้วจำเป็นหรือที่ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา จะต้องป่าวร้องให้โลกรู้ถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่องในใจ”
ชายหนุ่มรำพึงพลางล้วงเอากล่องเก็บบุหรี่ออกจากกระเป๋ากางเกง
จุดไฟแช็กที่ปลายมวน สูบควันนิโคตินเข้าเต็มปอด แล้วทอดสายตามองปุยสีเทาหม่นที่เคลื่อนตัวตามแรงลมกลบทับเสี้ยวดวงจันทร์สีขาว
ก่อนลดสายตาลงมองแสงสีทองที่เริ่มฉาบตรงเส้นขอบฟ้า จากนั้นหลับตาพักทุกความคิด ทำจิตใจให้สงบ
ทว่าเสียงสายเรียกเข้าที่ดังจากสมาร์ทโฟนในกระเป๋ากางเกงขัดจังหวะความผ่อนคลาย
และพอดูหมายเลขปลายทาง ก็ทอดถอนลมหายใจเสียงยาวก่อนเลื่อนปุ่มรับสาย
“ก้องปฐพีพูดครับ”
“ฉันโทร.มาเพื่อขอคำตอบ”
ถึงปลายทางไม่ได้แนะนำตัวและเอ่ยคำทักทายกลับอย่างที่หวัง
เขาก็จำน้ำเสียงเข้มงวดของหญิงสาวปลายสายได้ดี เธอคือ ไหมแก้ว วงศ์เวช
หมอประจำหมู่บ้านช้างที่เขารับอาสาเข้าไปฟื้นฟูสภาพบ้านเรือนที่ถูกไฟเผาด้วยฝีมือของนายพนา
อาชญากรระดับประเทศ
“คำตอบเรื่องอะไรครับ”
จริง ๆ แล้ว ก้องปฐพีรู้อยู่แก่ใจว่าเธอหมายถึงอะไร
แต่ก็อยากยั่วยุอีกฝ่ายกลับเป็นการเอาคืน
“คุณคงเริ่มมีอาการความจำเสื่อม
เพราะถ้าหากคุณจำเรื่องที่เราคุยกันไม่ได้จริง
ดิฉันก็คงต้องบอกกับคุณปราณนารายณ์ว่าขอปฏิเสธคำขอร้องของเขา
และไม่ให้คุณทำงานนี้”
ก้องปฐพีพ่นลมหายใจพรวด
สงบสติ ข่มความขุ่น แล้วดัดเสียงให้นุ่มสุดขีดเท่าที่จะทำได้
“คนที่ความจำเสื่อมไม่น่าเป็นผม
เพราะผมได้ฝากคำยืนยันไปกับทางเลขานุการแล้วนี่ครับ ว่าผมขอพิจารณาเรื่องที่คุณหมอขอเปลี่ยนแบบแปลนก่อสร้าง
ซึ่งผมก็จำได้ว่าโทรศัพท์ไปที่เบอร์นี้หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครติดต่อกลับมา
จนผมคิดไปว่าเจ้าของหมายเลขอาจจะเป็นคนขี้ลืม หรือไม่ก็งกค่าโทรศัพท์ขั้นเทพ”
“ดิฉันไม่ได้ขี้ลืมค่ะ
แต่งกค่าโทรศัพท์ขั้นเทพจริงอย่างที่คุณบอก
ถ้าอย่างนั้นขอตัดสายสักครู่แล้วขอให้คุณเป็นฝ่ายโทร.กลับนะคะ
เพราะมันเปลืองเงินค่าโทรศัพท์ของดิฉัน สวัสดีค่ะ” ไม่ทันให้เขาพูดทักท้วง เจ้าหล่อนก็ให้เขาฟังเสียงตัดสัญญาณทันที
“มันอะไรกันวะเนี่ย แม่คุณเอ๊ย!”
รองประธานหนุ่มคำราม
แล้วรีบรัวนิ้วกดหมายเลขเรียกเข้าสุดท้ายด้วยความฉุน
แต่เจ้าของเลขหมายก็ทำให้เขารอสายนานจนหน้าหงิก
“สวัสดีค่ะ
ขอบคุณที่ช่วยดิฉันประหยัดค่าโทรศัพท์ไปหลายนาที”
แถมยังพูดอย่างกับเธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
เป็นอีกครั้งที่เจ้าหล่อนทำให้เขาพ่นลมออกจมูกเป็นกระทิง
แล้วกัดฟันเอ่ยเสียงให้สุภาพที่สุดเท่าที่ขีดจำกัดความอดทนจะเหลืออยู่
“เข้าเรื่องดีกว่า
ผมก็ไม่อยากเสียเวลานานนัก
ผมอยากเคลียร์กับคุณหมอเหมือนกันที่คราวก่อนคุณหมอฝากข้อความผ่านเลขานุการของผมว่า
ผมเป็นนายสถาปนิกนั่งเทียนเขียนแบบ”
“ได้ค่ะ จะเคลียร์อะไรกับฉันก็ได้
แต่อยู่ที่คุณจะเปิดใจฟังฉันหรือเปล่า” หญิงสาวปลายสายพูดหยั่งเชิง
ก้องปฐพีกำมือแน่น
“คุณหมอครับ ใจผมเปิดกว้างอย่างกับประตูเมืองอยู่แล้ว แต่อยากรู้เหตุผลของคุณหมอที่ไม่ยอมรับแบบก่อสร้างที่ผมเขียนส่งไป”
“แบบบ้านที่คุณทำเป็นแบบก่ออิฐ
มันไม่เหมาะกับที่นี่ค่ะ”
“ไม่เหมาะตรงไหนมิทราบครับ
เรือนทั้งหมดของหมู่บ้านช้างโดนเผาจนไหม้เพราะว่าวัสดุที่ใช้เป็นไม้
ผมจึงเอาปัญหามาปรับปรุงป้องกันให้
ก็เหมือนกับที่คุณหมอจ่ายยาให้ผู้ป่วยตามโรคนั่นแหละ” ก้องปฐพีชี้แจงเหตุผลกลับ
“แล้วคุณเป็นสถาปนิกจริงหรือเปล่า
คงไม่ใช่ผู้ที่ใช้แต่แรงงานในการวาดรูปนะคะ”
แต่การโต้กลับของเธอทำให้ชายหนุ่มถึงกับเหวอ อ้าปากค้าง สมองว่างชั่วขณะ
“คุณหมอว่าอะไรนะครับ”
“แถมยังเป็นคนหูตึง
หรือไม่ก็เป็นพวกสถาปนิกรุ่นใหม่ไฟแรง ชอบอวดดี แต่มักเอาหูไปทิ้งที่คันนา
เลยไม่ได้ยินความเห็นของคนอื่น”
มาเป็นชุด!
เขาอยากจะโต้แย้งให้แสบสันปานกัน
แต่หญิงสาวปลายสายก็ชิงพูดเสียก่อน “คุณพูดถูกตรงที่ฉันจ่ายยาตามโรคของผู้ป่วย
นั่นหมายความว่าผู้ป่วยต้องการสิ่งที่ฉันทำให้เขา แต่คุณเป็นสถาปนิก
หน้าที่ของคุณคือปลูกเรือนตามใจผู้อยู่
แต่สิ่งที่คุณทำมันไม่ใช่ ฉันว่าคุณควรจะเอาเวลาที่คุณเถียงกับฉัน
เปลี่ยนเป็นมาดูหน้างานจริงก่อนที่จะเขียนอะไรในสิ่งที่คนที่นี่ไม่ต้องการ
หรือไม่ก็นั่งเทียนทำงานของคุณต่อไป”
แล้วก้องปฐพีก็มาถึงจุดที่หมดความอดทน
“ดี ผมจะเข้าไปดูหน้างานให้มันรู้ ๆ กันไป!”
“เรียนเชิญค่ะ
พร้อมเมื่อไหร่ก็มา”
“แล้วเราจะได้เจอกันเร็ว
ๆ นี้แน่นอนครับ...คุณหมอไหมแก้ว”
เขาบอกลาผ่านน้ำเสียงแกมมาดร้ายแล้วสอดโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง
จากนั้นทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่ง จุดบุหรี่สูบมวนที่สอง หวังให้มันช่วยลดระดับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านในตอนนี้
“พี่ก้อง...ไม่เป็นไรจริงหรือคะ”
คำถามมาพร้อมเสียงหวาน
ทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าจนลึกสุดปอด
ปั้นยิ้มก่อนหมุนตัวกลับไปหาน้องสาวที่ยืนประสานมือทั้งสองไว้ด้านหน้า
จ้องมองมาด้วยดวงตากลมโตสีนิลสุกสกาว
“ธิดาอยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ
พี่จะได้ตอบให้ถูกใจ” เขาเอ่ยเย้าน้องสาวอย่างเคย แต่ผู้เป็นน้องไม่ได้อยากเล่นด้วย
ย่นคิ้วใส่พร้อมเอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“พี่ก้องละก็ ธิดาจริงจังนะคะ”
“พี่ก็จริงจัง” ก้องปฐพีคลี่ยิ้ม
ขยี้ก้นบุหรี่ในกระบะทราย “เราไม่ต้องเป็นห่วง
พี่ไม่ยอมให้ชลธารคอนสตรักชันเป็นอะไรไปง่าย ๆ หรอก”
“ที่ธิดาห่วงไม่ใช่บริษัท
แต่เป็นตัวพี่ก้องต่างหาก”
ผู้เป็นพี่ยิ้มกว้าง
ยกมือหนาขยี้หัวน้องสาวจนเรือนผมนุ่มสลวยยุ่งเหยิง “แทนที่จะห่วงพี่
เราน่ะห่วงตัวเองก่อนเถอะ ตั้งใจเรียนให้จบ จะได้ออกมาช่วยงานเต็มตัวเสียที”
“ธิดาเรียนจบอยู่แล้วน่า” คนน้องเชิดคางพูดแสดงความมั่นใจ
คนพี่เห็นแล้วให้นึกหมั่นไส้ อยากบิดจมูกน้อย ๆ ของน้องสาวนัก
“อ้อ คืนนี้พี่จะไปพบ เพลงพิณ แล้วนัดเขาให้เข้ามาฟังเรื่องที่เราจะเสนอทุนการศึกษาให้”
“พี่ว่าเพลงพิณจะยอมรับความช่วยเหลือจากเราไหมคะ”
ก้องปฐพีถอนหายใจ แต่ยังไม่คลายรอยยิ้ม
“ถ้าเพลงพิณได้รู้ว่าเราทำเพื่อแสดงความเสียใจต่อนายกำธร
พ่อของเขาที่ตายไปเพราะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยชีวิตธิดาจากค่ายโจรนายพนา
พี่ว่าเจ้าเด็กคนนี้ก็คงไม่อยากปฏิเสธความตั้งใจ”
กระนั้น
ถ้าเด็กหนุ่มที่ชื่อเพลงพิณไม่มายืนยันการรับทุนต่อหน้าเธอ
ธิดาก็คงไม่คลายความกังวล เพราะตามความจริงนั้น นายกำธรเป็นหนึ่งในผู้ลักพาตัวเธอไปให้นายพนา
แต่เขาเลือกที่จะกลับใจในช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งนั่นก็มีค่าแก่การตอบแทน
“แล้วพรุ่งนี้พี่คงเดินทางไปดูหน้างานที่หมู่บ้านช้างแต่เช้ามืด
จะได้ไม่ค้างคาใจเจ้าของงาน” เขากล่าวต่อในเรื่องอื่นเพื่อเลี่ยงประเด็นในหัวของน้องสาว
“เจ้าของงาน?” น้องสาวทำหน้างง
“ก็ยายคุณหมอไหมแก้วนั่นไง”
พอพูดเรื่องนี้ก็รู้สึกหงุดหงิดใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากไปดูหน้าเจ้าหล่อนเสียเดี๋ยวนี้
แต่พอเห็นคิ้วเรียวย่นเข้าหากันกับดวงตาหวั่น ๆ มองมา ก็ยิ้มเอ็นดูแล้วรวบตัวน้องสาวเข้ามาสวมกอด
“อย่าห่วง พี่ไม่ไปกินหัวเขาหรอก
ส่วนเราน่ะอยู่ที่นี่ก็ดูแลพ่อกับเจ้าปราณให้ดี
ยิ่งเจ้าปราณมันเพิ่งผ่าตัดตามาไม่นาน อย่าให้ทะเล่อทะล่าเดินไปชนโน่นชนนี่”
“ดูพูดเข้า
พี่ปราณเขาไม่ใช่คนซุ่มซ่ามสักหน่อย”
ก้องปฐพีหัวเราะขบขันจนตัวกระเพื่อม ก่อนคลายวงแขนออกจ้องใบหน้าง้ำงอของคนที่เพิ่งถูกแหย่ถึงชายคนรัก
ที่เห็นแล้วก็ให้รู้สึกอิ่มใจมากกว่าเคืองขุ่น
เขาไม่ได้กลัวว่า ปราณนารายณ์
ปรเมศศิวะวงศ์ รองประธานควีนส์คอร์ป บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ลำดับต้นของประเทศ
และเป็นคนรักของธิดา จะซุ่มซ่ามทำตัวเองบาดเจ็บจนกระเทือนถึงผลการผ่าตัดดวงตา
แต่เพราะรู้ว่าถ้าไม่มีเขาแล้ว คนที่จะฝากให้ดูแลพ่อและน้องสาวได้ก็คือปราณนารายณ์
และก็เป็นเจ้าปราณนารายณ์คนนี้ที่อ้อนวอนขอร้องให้เขารับงานอาสาฟื้นฟูหมู่บ้านช้างแบบไม่ได้สตางค์สักแดงเดียว
การที่เขาตกลงรับทำก็เพราะความวินาศของหมู่บ้านช้างเกิดจากการที่นายพนาบุกชิงตัวธิดาไปเปลี่ยนถ่ายอวัยวะให้คนรัก
ถึงต้นเหตุที่แท้จริงจะไม่ใช่ความผิดของธิดาเลยก็ตาม
“พี่ไปแล้วจะรีบกลับ” เขาบอกน้องสาวแค่นั้น แล้วหมุนตัวเดินกลับห้องทำงานส่วนตัว
จัดการงานทุกอย่างที่คั่งค้างให้เสร็จ แม้จะล่วงเลยเวลาเลิกงานปกติ
จนได้ยินเสียงนาฬิกาเตือนบอกเวลา
ก้องปฐพีจึงเปลี่ยนจากชุดทำงานของผู้บริหารแสนเคร่งขรึมเป็นสิงห์นักบิดในชุดแจ็กเกตหนังกับกางเกงยีนสีดำซีดตัวโปรด
จากนั้นใส่โทรศัพท์และสมุดโน้ตเข้าไปในเป้คู่กาย แล้วตบเท้าเดินออกจากสำนักงานตรงไปยังลานจอดรถ
เพื่อขึ้นควบซูเปอร์ไบค์คันโตสีดำด้านที่เขาตั้งชื่อให้แสนเก๋ว่า ‘แบล็กแบร์’
“ลุยงานกันอีกครั้งนะเจ้าหมีดำ”
แต่ก็มักเรียกมันด้วยชื่อเล่น
เขาสวมหมวกกันน็อกสีเดียวกับเจ้าหมีดำ สตาร์ตเครื่องยนต์เกิดเสียงดังกระหึ่ม
ให้มันพุ่งทะยานด้วยความเร็วตามใจสั่งของผู้เป็นนาย แล่นฉิวไปตามถนนสายเศรษฐกิจ
ลัดเลี้ยวหลบความคับคั่งของจราจรเข้าตรอกนั้นออกตรอกนี้
กระทั่งเข้าสู่แหล่งรวมสถานให้ความบันเทิงเริงใจยามราตรี
เมื่อหาที่จอดให้เจ้าแบล็กแบร์ได้
ชายหนุ่มเดินเท้าต่อมุ่งตรงไปยังสถานที่จัดงานแสดงซูเปอร์ไบค์ซึ่งจัดอย่างยิ่งใหญ่
โดยมีผู้สนับสนุนเป็นเจ้าของผับชื่อดัง
การที่เขารู้ว่าเพลงพิณจะมางานนี้ก็ต้องขอบคุณสารวัตรอัชวินที่สืบข้อมูลมาให้
แต่สารวัตรใหญ่ไม่ได้ทำไปเพื่อช่วยให้เขาส่งมอบทุนการศึกษาแก่เด็กหนุ่มสำเร็จ
เพลงพิณมีสิ่งที่สารวัตรต้องการ นั่นคือการใช้ทายาทของสมุนโจรนำพาไปสู่การจับกุมพวกที่หนีหายไปตอนทลายค่ายนายพนา
ตลอดสองข้างทางที่ร่างสูงย่ำขาผ่านนั้น มีทั้งร้านเหล้าขนาดเล็กและรถเข็นขายอาหารเรียงราย
ได้ยินเสียงตะเบ็งของแม่ค้าคุยหยอกล้อกัน ได้ยินเสียงหัวเราะของผู้คนที่เดินสวนทาง
และได้ยินเสียงผู้รายงานข่าวจากโทรทัศน์เครื่องจิ๋วที่กำลังฉายภาพการประท้วงของกลุ่มคนผู้ต่อต้านการสร้างกาสิโนในประเทศของตน
ก้องปฐพีทำเพียงแค่เดินผ่านไป
ไม่ได้หยุดดูหรือฟังคำประท้วงจากเหล่าคนในข่าว
เขามุ่งหน้าต่อไปจนมาหยุดตรงทางเข้างาน
ดวงตาคมเข้มสีนิลมองตามลำแสงไฟสปอตไลต์ที่ส่องแสงสว่างให้แก่ป้ายรูปถ่ายรถเครื่องสองล้อขนาดใหญ่รุ่นใหม่
ซึ่งกำลังออกขายและนำมาจัดแสดงในงาน ส่วนป้ายข้าง ๆ
กันเป็นรูปถ่ายของเหล่าพริตตี้สาวงาม อันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของงานแสดงรถ
“นึกว่าพี่ก้องจะเบี้ยวผมเสียแล้ว”
เสียงทักทายมาพร้อมกับลำแขนที่โอบบ่ากว้างของสถาปนิกหนุ่มอย่างสนิทสนมเป็นของ
ระพีพัฒน์ พิทยากูล ชายหนุ่มรุ่นน้องผู้มีส่วนสำคัญในการช่วยชีวิตธิดา
แต่นั่นก็ทำให้ระพีพัฒน์กลายเป็นที่พึ่งพาของสารวัตรอัชวินยามที่เจอคดีซับซ้อน
แต่งานไขปริศนาก็เป็นที่ชื่นชอบของระพีพัฒน์เป็นทุนเดิม เขาจึงไม่บ่ายเบี่ยงนักถ้าได้ช่วยงานของกรมตำรวจ
“พี่ก้องเขาไม่เหมือนมึงนะกลาง
ที่จะเที่ยวผิดนัดเขาไปเรื่อย” อีกเสียงเป็นของตฤณ ดำรงไกรลาส
บุตรชายคนเดียวของเจ้าพ่อกาสิโนใต้ดิน
และเพื่อนผู้ร่วมเป็นร่วมตายของระพีพัฒน์ครั้งลอบเข้าค่ายโจรในอดีต
“มาถึงกันแล้วก็รีบเข้าไปเถอะ
อยากเห็นหน้าเจ้าเพลงพิณ ลูกชายผู้มีพระคุณเต็มแก่”
ก้องปฐพีพูดแล้วก้าวขาพาหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองเข้าสู่งาน
ที่มีเสียงเพลงจังหวะเร้าใจจากเครื่องเสียงชุดใหญ่ดังกระหึ่มทั่วทุกหัวมุม
และละลานตาไปด้วยรถเครื่องสองล้อชั้นดี
ทว่าความสนใจของงานกลับไม่ใช่เทคโนโลยีความเร็วอย่างเดียว
เพราะยังมีกลุ่มหญิงสาวในชุดนุ่งน้อยห่มน้อยที่กำลังออกลีลาสะบัดบนเวทีได้เร้าใจ
จนเหล่ากระทาชายทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่จ้องตาไม่กะพริบ
ยืนจองที่ติดขอบเวทีเพื่อโลมเลียร่างอรชรเต้นตามจังหวะเพลงด้วยสายตา
แต่สำหรับชายอกสามศอกสามนายที่เพิ่งก้าวขาเข้าสู่ตัวงานนั้น
อาจต้องฝืนบังคับใจไม่ให้วอกแวกออกนอกลู่นอกทางถ้ายังทำภารกิจไม่สำเร็จ
แต่เพราะความโดดเด่นของทั้งสามเรียกสายตาจากพริตตี้สาวภาคพื้นดิน
โดยเฉพาะชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่า หน้าอกกว้างผึ่งผาย เจ้าของใบหน้าหล่อคมเข้มกับดวงตาสีนิลประกายซึ้ง
ก็มักตกเป็นเป้าหมายโจมตีของพริตตี้สาวงามทุกนางเสมอตั้งแต่ก้าวขาเข้าสู่ตัวงาน
“สวัสดีค่ะคุณก้องปฐพี
ไม่คิดว่าจะได้เจอนักแข่งดาวรุ่งอย่างคุณในงานนี้ด้วย ดีใจจริง ๆ ที่ได้เจอ”
พริตตี้สาวในชุดสายเดี่ยวรัดรูปปักเลื่อมระยิบระยับเข้าคู่กับกางเกงหนังเทียมขาสั้นตัวจิ๋วนางหนึ่ง
เดินตรงเข้ามาทักทายพร้อมกับการเกี่ยวแขนราวสนิทสนมกันมาแต่ปางก่อน
“คนจัดงานคงแค่อยากขายรถ
ไม่ได้ต้องการเชิญนักแข่งมาโชว์ตัวกระมังครับ อีกอย่าง พวกผมก็ไม่ได้เด่นดังอะไร”
เขาเอ่ยพร้อมค้อมศีรษะเป็นการขอตัว แต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนจะไม่อยากปล่อยเขาไป
“จะรีบไปไหนล่ะคะ
ว่าจะขอลายเซ็นคุณก้องปฐพีไว้ไปอวดพวกเพื่อน ๆ แต่ไม่ได้พกกระดาษกับปากกามา”
เธอบอกแล้วบิดตัวไปมาคล้ายเขินอาย
ก่อนหยิบลิปสติกออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นส่งให้พร้อมด้วยดวงตายั่วยวน
“ช่วยใช้ลิปสติกแท่งนี้เขียนตรงหน้าอกให้หน่อยได้ไหมคะ...เอาแบบตัวบรรจงเต็มบรรทัดว่า
ก้องปฐพี ฤทธิ์นาคา”
เพราะไม่ใช่พระอิฐพระปูน และยังเป็นชายแท้ตั้งแต่หัวจดปลายเท้า
ดวงตาสีนิลจึงพยายามซ่อนแวววาบวับยามเนินอกอิ่มขาวเนียนเคลื่อนมาอยู่พอดีกับสายตา
แล้วกล่าวปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า
“อย่าเลยครับ ลายมือผมไม่สวย
กลัวว่าจะทำตัวคุณเปื้อนเสียเปล่า ๆ”
เจ้าหล่อนหัวเราะคิกคัก “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะจับมือคุณก้องเขียนนะคะ
ลายมือฉันสวยระดับโรงเรียนส่งเข้าประกวด”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง สาวเจ้าก็จะคว้ามือชายหนุ่ม
แต่ไม่ทันได้แตะเขาแม้แต่ปลายเล็บ ร่างของเธอก็ถูกตวัดหมุนหันไปเจอประกายไฟในดวงตาเรียวของคนที่ทำให้ถึงกับอ้าปากค้าง
“จากที่เห็นลงชื่อในบัญชีลูกหนี้
ฉันก็การันตีให้เลยว่าลายมือเธอสวยแค่ไหน
ถ้าว่างจะช่วยไปสอนฉันคัดลายมือที่กาสิโนได้ไหม”
รอยยิ้มพริตตี้สาวเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด
เอ่ยพูดเสียงติด ๆ ขัด ๆ “ชะ...ช่วงนี้ไม่ว่างพอดีค่ะ
ตะ...ต้องวิ่งทำงานหาเงินจนหัวหมุน” แล้วรีบเดินจากไป โดยไม่หันกลับมามองเจ้าของยิ้มร้ายที่มุมปาก
“ตฤณ
ทำไมเขาทำหน้าอย่างกับเห็นมึงเป็นยักษ์เป็นมาร”
ระพีพัฒน์อดยิ้มขำท่าทางของคนที่เพิ่งสับขาเดินหนีไปไม่ได้
“ก็เจ้าหล่อนยังติดเงินพนันที่กาสิโนอยู่หลายแสน”
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าพ่อกาสิโนใต้ดินเอ่ยอธิบายแล้วเดินไปโอบบ่าก้องปฐพี พูดด้วยสีหน้าทีเล่นทีจริง
“คราวหน้าผมไม่ไปไหนมาไหนกับพี่ก้องแล้วดีกว่า สาว ๆ วิ่งหาพี่กันหมด ไม่เลี้ยวหาผมสักคน”
“ตกลงว่ามึงมาช่วยพี่ก้องหาเพลงพิณ
หรือตั้งใจมาหิ้วหญิงกลับบ้าน”
ทั้งน้ำเสียงและใบหน้าของระพีพัฒน์เต็มไปด้วยความประชดประชันแบบไม่คิดปกปิด
“ก็แค่อยากได้ปลาสักตัวติดไม้ติดมือกลับไปกิน”
ตฤณกล่าวด้วยท่าทีกวนสายตาของอีกฝ่าย “แต่วันนี้ปลาคงไม่ติดเบ็ด”
ก้องปฐพีฟังแล้วก็ส่ายหน้า
หากให้ทั้งคู่ยืนถกเถียงกันต่อก็จะมีแต่เสียเวลา
จึงกวาดสายตามองไปรอบงานพร้อมเอ่ยคำสั่ง “รีบกระจายตัวกันหาเจ้าเด็กเพลงพิณดีกว่า
กูไม่อยากกลับดึกนัก พรุ่งนี้ต้องไปหมู่บ้านช้างแต่เช้ามืด”
“พี่ก้องรับงานฟื้นฟูหมู่บ้านช้างจริงหรือ”
ระพีพัฒน์เลิกคิ้วถาม
“ช่วยไม่ได้ รับปากกับปราณไปแล้ว”
ก้องปฐพีตอบพลางถอนหายใจ
“พี่ก้องก็ต้องเลี้ยงเบียร์ผมหนึ่งลังด้วยนะ
อย่าลืม” ลูกชายเจ้าพ่อบอกความต้องการของตนขึ้นบ้าง
“มึงได้แดกเบียร์แน่ ดูนั่นสิ”
ก้องปฐพีและตฤณรีบหันไปทางปลายสายตาของระพีพัฒน์ที่เป็นเวทีใหญ่กลางงาน
เห็นกลุ่มชายวัยรุ่นในชุดสถาบันอาชีวะยืนออกันอยู่เพื่อคอยชมการเริงระบำของเหล่านักเต้นโฉมงาม
“คนผมยาวที่สุดนั่นไง...เพลงพิณ”
ระพีพัฒน์บอกพลางหยิบรูปถ่ายที่ได้จากสารวัตรอัชวินออกจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นเทียบ
ก่อนสอดเก็บเข้าไปตามเดิม “เราต้องหาทางดึงเพลงพิณออกจากกลุ่ม”
“อย่าเพิ่งเข้าไป”
แต่ตฤณสะกิดทั้งคู่ให้สังเกตความเคลื่อนไหวอีกฟากของเวที
มีกลุ่มนักเรียนช่างกลอีกกลุ่มใหญ่ที่สวมเครื่องแบบต่างสถาบัน แล้วสังหรณ์ของทายาทเจ้าพ่อก็เริ่มทำงานทันที
“กูได้กลิ่นดินปืน”
เรียวคิ้วเข้มตัดกับผิวขาวของระพีพัฒน์ขมวดมุ่นเพราะสังหรณ์ถึงความยุ่งยากที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นเช่นกัน
จึงหยิบโทรศัพท์ออกมากดเลขหมาย แล้วบอกทุกคนในทีม “คอยดูลาดเลาอยู่ห่าง ๆ
กูจะติดต่อไปรายงานสถานการณ์กับสารวัตรก่อน ดูทีท่าแล้วน่าจะมีเรื่อง”
แต่มีเสียงเฮของเหล่าผู้คนดังไปทั่ว
ระพีพัฒน์ก็เพ่งตามองกลุ่มหญิงสาวในชุดสุดแสนเซ็กซี่เดินเรียงแถวขึ้นบนเวทีปรากฏโฉมของตนต่อหน้าผู้ชม
ทว่ามีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ยืนหันหลังอวดเอวคอดกิ่วกับสะโพกผายกลมกลึง
จนเสียงเพลงจากเครื่องเสียงดังกระหึ่ม นวลนางร่างอรชรทั้งหลายก็เริ่มร่ายระบำ
และในวินาทีที่เจ้าของเอวคอดนั้นหมุนตัวมา
ดวงตาของระพีพัฒน์ก็ถูกตรึงแน่นไว้กับเธอ
แค่เพียงแวบเดียวที่สบประสานสายตากันโดยบังเอิญ
ก็เกิดอาการร้อนวูบวาบภายในอกชายหนุ่ม มือที่ถือโทรศัพท์ค้างนิ่ง
หลงลืมไปอย่างหมดใจว่าปลายสายกำลังรอฟังคำรายงาน
“เจ้าของทุนเขาเรียกแกให้เข้าไปสัมภาษณ์เมื่อไหร่หรือพิณ”
คำถามที่แทรกเสียงดนตรีจังหวะเร้าใจ ทำให้เด็กหนุ่มผมยาวประบ่าวัยสิบเจ็ดในเครื่องแบบสถาบันอาชีวะหันหน้าจากเวทีไปมองชายหนุ่มรุ่นพี่
ที่นอกจากจะมาจากบ้านเกิดเดียวกัน ก็ยังร่ำเรียนในสถาบันเดียวกันด้วย
“พรุ่งนี้ครับ” เพลงพิณตอบด้วยน้ำเสียงเบา
เหตุเพราะมีเขาคนเดียวที่ได้รับการเสนอทุนการศึกษาจากบริษัทก่อสร้างระดับใหญ่
จึงไม่สบายใจและอยากให้คนที่รักดั่งพี่ชายแท้ ๆ คนนี้ได้รับทุนบ้าง
“ผมจะขอให้เขาเพิ่มอีกทุนให้พี่ป๋อง
พี่ป๋องเรียนดีกว่าผมเสียอีก”
“อย่าเลย ปีหน้ากูก็เรียนจบแล้ว อย่าห่วงกู
มึงน่ะทำตัวดี ๆ ให้เจ้าของทุนเขาเมตตา อย่าไปมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครเขานัก”
“ผมก็ไม่ได้อยากมีเรื่องสักหน่อย
แต่เรื่องมันวิ่งเข้ามาหาผมเอง”
เด็กหนุ่มให้เหตุผล แต่รุ่นพี่ยิ้มส่ายหน้า
ยกแขนโอบบ่า “เอาเป็นว่ากูยินดีด้วย ถ้ามึงได้ทุนเรียนจนจบสูง ๆ
ก็อย่าลืมพี่ลืมน้อง เดี๋ยวกูกลับทองผาภูมิคราวนี้ จะนำข่าวดีไปบอกน้าปิ่นให้”
เพลงพิณยิ้มกว้าง “ครับพี่ ฝากบอกแม่ด้วยว่า
ผมติดทำงานพิเศษอู่ซ่อมมอเตอร์ไซค์ ลางานกลับไปกราบเท้าไม่ได้เลย แล้วก็ฝากขอบคุณน้าอัญที่ช่วยดูแลแม่ผมให้ด้วย”
“เอื้อยก็คงเหมือนมึง
ไม่ได้กลับไปหาน้าอัญนานแล้ว ป่านนี้ยายอรก็น่าจะโตเท่าเอวแล้วมั้ง”
ป๋องเอ่ยพลางหันสายตาไปทางหญิงสาวที่โดดเด่นที่สุดกลางเวที
“ถ้าผมเรียนจบ ได้งานดี ๆ ทำ ผมจะซื้อซูเปอร์ไบค์รุ่นที่โชว์ในงานให้พี่ป๋อง”
คนฟังก็ปลื้มปีติ
แต่ในใจของป๋องนั้นไม่ได้ต้องการของใด ๆ จากเพลงพิณ จึงไม่ได้ตอบรับ นอกจากกอดคอกันเดินเข้าสู่งานแสดงซูเปอร์ไบค์ที่
เสี่ยเกียง ผู้เป็นนายจ้างในผับที่เขารับทำงานพิเศษเป็นผู้จัด
แต่จุดประสงค์ของการมาไม่ใช่เพื่อมาดูรถรุ่นใหม่ที่ไม่มีปัญญาซื้อหา
หรือมาดูพริตตี้ในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย แต่เขามาเพื่อบอกลา เอื้อย หญิงคนรัก
ก่อนกลับบ้านเกิดเพื่อนำสารลับจากนายอำพัน
บิดาของเอื้อยที่ถูกจำคุกอยู่ฝากไปมอบให้ถึงมือผู้รับ
‘พอแกพบคุณหมอไหมแก้วแล้ว แกต้องเป็นคนอ่านให้คุณหมอฟังตามวิธีที่ฉันบอก แล้วจากนั้นทั้งแกทั้งเอื้อยแล้วก็เพลงพิณต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้ ต้องหนีไปให้ไกลสุดล่า’
คำบอกของนายอำพันล่าสุดในตอนที่เขาไปเยี่ยมในเรือนจำดูจริงจังกว่าเป็นเรื่องหยอกล้อ
แล้วเขาต้องหนีใคร หนีทำไม สองคำถามนี้ยังไม่ได้รับคำตอบทางวาจา
แต่เป็นกระดาษห่อหมากฝรั่งที่เขาอยากรู้เหลือเกินว่า นายอำพันเขียนอะไร
“พี่ป๋อง นั่นพวกมันนี่ครับ”
เสียงของเพลงพิณเรียกเขากลับจากภวังค์
ป๋องปรายตามองตาม เห็นอริของเด็กหนุ่มยืนมองด้วยสายตามาดร้าย
แต่ฝ่ายรุ่นพี่นั้นไม่แสดงทีท่าว่าเดือดเนื้อร้อนใจ
หันกลับไปทางเวทีที่หญิงคนรักกำลังก้าวขึ้นไป
“พี่ป๋อง” แต่ผู้เป็นรุ่นน้องยังกังวล
“งานนี้ ใคร ๆ ก็มาได้ มึงจะแปลกใจทำไมวะพิณ”
ป๋องชักสีหน้าใส่ กล่าวเสียงขุ่น
“มันก็ไม่แปลก
แต่ผมไม่อยากอยู่เที่ยวงานร่วมกับมัน ไอ้พวกนั้นชอบหาเรื่องไร้สาระ”
“ถ้าอย่างนั้น มึงก็ออกไปรอกูด้านนอก
กูจะรอคุยกับเอื้อย เสร็จแล้วจะตามไป”
พูดจบป๋องก็เดินออกจากเวที
มุ่งตรงไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดแอบไว้หลังที่จัดงาน จุดบุหรี่ขึ้นสูบ
แล้วยืนพิงมอเตอร์ไซค์รุ่นธรรมดาราคาถูกของตน
ฟังเสียงแว่วของดนตรีที่ดังห่างจากจุดที่ยืนอยู่
ก่อนถอนหายใจยาวมองดูท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่มีทั้งแสงดาวและแสงจันทร์
มีเพียงลำแสงของไฟงานส่องเป็นทางขึ้นไปยังกลุ่มม่านเมฆสีเทา
“ป๋อง”
กระทั่งได้ยินเสียงของหญิงสาวที่เฝ้ารอดังจากด้านหลัง
เขาทิ้งมวนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้ดับไฟ ก่อนหันไปโยนคำถามใส่โคโยตี้สาวดาวเด่นที่เพิ่งลงจากเวที
แล้วเอ่ยทักทายเธอด้วยคำถามเจืออารมณ์ขุ่น
“เมื่อไหร่จะเลิกอาชีพเต้นแร้งเต้นกาเสียที”
ร่างอรชรคลี่ยิ้มอ่อนใจ
เดินเข้ามายกแขนทั้งสองโอบรอบคอชายหนุ่ม “ก็ฉันอยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ
จะได้ปลดแอกตัวเองจากชีวิตเส็งเคร็งเสียที”
ป๋องถอนหายใจเสียงหนัก
ยกมือทั้งสองจับตรงเอวบางคอดกิ่ว “ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ
แต่ฉันไม่ชอบเวลาเธอส่งสายตายั่วผู้ชายคนอื่นอย่างเมื่อกี้ กับเรื่องเธอตกเป็นเมียเสี่ยบ้ากาม
ฉันก็ปวดหัวใจจนแทบเดินไม่ได้”
เธอหัวเราะเสียงใส หยิบบุหรี่ของตนออกจากถุงพลาสติกที่สอดไว้ในกระเป๋าหลังออกมาจุดไฟแล้วสูบควันเข้าปอดฟอดใหญ่
ก่อนพ่นกลุ่มควันสีเทาออกมา “อย่าคิดมากสิ มันก็แค่การแสดงเวลาอยู่บนเวที
แล้วเขาก็ไม่ได้มาสนใจผู้หญิงเต้นกินรำกินอย่างฉันหรอกน่า”
“มันจ้องเธอตาไม่กะพริบแบบนั้นหรือที่เรียกว่าไม่สน
แต่ที่ฉันกลัวไม่ใช่ว่ามันจะสนเธอ...แต่กลัวว่าเธอจะลืมสัญญาแล้วหนีไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์นักแข่งรถอย่างมันมากกว่า”
“อิจฉาเขาหรือ” เสียงหวานพูดหยั่งเชิง
มองแววตาวูบไหวของชายหนุ่ม
ป๋องแค่นหัวเราะ “อาจจะใช่”
“ป๋อง...” เธอสบตาชายหนุ่มตรงหน้า เลื่อนมือจากรอบต้นคอหนาลงมาโอบสันกรามทั้งสองข้าง
“วันที่เราแต่งงาน เราจะมีความสุขด้วยกันจนทุกคนต้องอิจฉา รออีกนิด
เงินที่ฉันเฝ้าเก็บสะสมกำลังงอกเงยเป็นความสุขและอิสระของเรา”
ดวงตาของป๋องควรจะมีประกายยินดี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่
เอื้อยจึงไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่า”
ชายหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ
รวบตัวหญิงสาวเข้าไปกอดแนบชิด จนเธอสัมผัสถึงความร้อนที่แผ่ออกจากร่างกาย
และจังหวะหัวใจเต้นกระชั้นถี่
“เธออยากให้ฉันช่วยเหมือนทุกครั้งใช่ไหม”
เอื้อยจึงเอ่ยถามไป แต่ยังไร้คำตอบจากเจ้าของวงแขนที่เพิ่มแรงกอดรัด
“ไม่...เธอช่วยฉันมากพอแล้ว
ต่อจากนี้ฉันจะเป็นฝ่ายช่วยเธอบ้าง”
“ป๋อง...” เพราะการพูดจาที่แปลกไป
จึงทำให้เธอขืนตัวเองออก เงยหน้ามองดวงตาหมองหม่นของชายหนุ่มที่ฟ้องว่าเขามีเรื่องหนักใจจนไม่อาจระบายออกมาเป็นคำพูด
“เธอเป็นอะไร”
“ฉันเป็นคนที่รักเธอสุดหัวใจ”
แล้วปากหยักก็แนบกับเรียวปากอิ่มฉาบสีแดงก่ำ
มอบจูบลุ่มลึกและเร่าร้อน
จนในบางครั้งหญิงสาวรู้สึกตื่นกลัวในความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
ตู้ม!!!
แต่ในวินาทีนั้นเกิดระเบิดเสียงดังสนั่น ยุติจูบหวานราวกับอยู่ในความฝัน
และชายหนุ่มก็ผละลำแขนตนออกจากการโอบกอดหญิงสาวคนรักฉับพลัน
“พิณ!” เขาพูดเสียงลอดไรฟันจากการขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน
แล้ววิ่งรุดไปยังต้นกำเนิดเสียงดังสนั่น สวนทางกับผู้คนที่แตกตื่นวิ่งออกจากงาน
“ป๋อง หยุดก่อน!”
พอขวัญที่กระเจิงหนีไปกลับมาหลังเสียงระเบิด
เอื้อยก็ร้องห้ามชายคนรักแล้ววิ่งตามเขาไปติด ๆ แต่ไม่ทันฝีเท้าของชายหนุ่ม เพราะความสูงของส้นรองเท้าเป็นเหตุให้สับขาได้ไม่เร็วพอ
จนเห็นวงล้อมของกลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันท่ามกลางกลุ่มเขม่าควันสีขาวลอยคละคลุ้ง
ก็รู้สึกหวั่นในอกประหลาด
“ป๋อง!”
เธอตะโกนเรียกหาพลางกวาดสายตามองไปทั่ว
จนเห็นป๋องกำลังวิ่งไปแยกเพลงพิณออกจากการแลกหมัดอย่างหนักหน่วงกับคู่อริ
จึงตัดสินใจหยุดยืน ยกมือป้องปากแล้วเปล่งเสียงดัง
“ปะ...”
ปัง!
แต่เสียงลั่นของปืนกลบเสียงของเธอให้หายไปพร้อมกับหัวใจที่ปลิดปลิวออกจากอก
“กรี๊ด!”
เอื้อยหวีดร้องดังสนั่น
เสียงของเธอดึงเพลงพิณให้หันไปมองหลังพุ่งหมัดสุดท้ายส่งคู่ต่อสู้ไปนอนกองกับพื้น
แต่ก็ถึงกับตกอยู่ในอาการตะลึงงัน เมื่อเห็นเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากหน้าอกของชายหนุ่มรุ่นพี่
ปัง!
เสียงกระสุนปริศนาดังอีกครั้ง
แต่เพลงพิณยังยืนตื่นตระหนก สมองไม่สั่งร่างกายให้ขยับ แต่เห็นหน้าอกของป๋องถูกกระสุนอีกนัดเจาะทะลวงเป็นครั้งที่สองก่อนเดินเซมาหา
พาเอาเด็กหนุ่มล้มไปด้วยกัน
“ป๋อง!”
เอื้อยกรีดร้องเสียงหลง
“พี่...พี่ป๋อง”
เนื้อตัวของเพลงพิณเย็นเยือก แต่ตัวของป๋องนั้นเย็นยิ่งกว่า
“พะ...พิณ...”
คล้ายกับเขาพยายามเอ่ยคำพูด
แต่ก็ยิ่งทำให้ลมหายใจที่กักเก็บมาจางหาย ปากจึงทำได้เพียงแค่ขยับ แต่ไร้ซึ่งเสียงใดเปล่งออกมา
ดวงตาของเขาเริ่มริบหรี่ลงจนเกือบปิด ลำแขนสองข้างยังเกาะเกี่ยวป้องกันภัยคนที่รักดั่งน้องชายไว้
ตัวกระตุกสั่นหนาวยะเยือกเหมือนถูกแช่แข็ง
“กะ...กะ...”
แต่แล้วเสียงสุดท้ายก็ถูกพรากจากไปพร้อมลมหายใจ
ทิ้งร่างเปล่าไร้ดวงวิญญาณไว้ในอ้อมกอดของหญิงสาว ไม่ได้ยินสิ่งใดแล้ว แม้แต่เสียงร่ำไห้ปานขาดใจ
สมองพร่าเลือน มองทุกอย่างเป็นสีดำสนิท จนกระทั่งดวงจิตดับสิ้นมลายหายไป
ความคิดเห็น