ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (nct) os/sf bubblegum - jaeyu

    ลำดับตอนที่ #3 : Amor Fati

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 62






     

     

    Amor Fati

    Jaehyun x yuta

     R: 15 เนื้อหาอาจมีฉากความรุนแรง



     

    เสียงฟ้าร้องดังคะนองไปทั่ว ชีวิตที่แสนตกต่ำของนากาโมโตะ ยูตะกำลังเริ่มขึ้นอีกวันวนลูปไปไม่มีวันจบสิ้น เหมือนเพลงที่บรรเลงไปเรื่อยๆแม้จะจบก็จะเริ่มใหม่อยู่แบบนั้น ชีวิตน่าบัดซบที่ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะต้องมานั่งมองหยดฝนที่กำลังร่วงหล่นอยู่ข้างถังขยะใบเก่าแสนโสโครกแต่ยังพอเป็นที่กำบังในคืนที่หนาวเหน็บไปได้ อย่างน้อยถังขยะมันก็ยังไม่ไร้ค่าเท่าชีวิตของเขา

     

    ดวงตากลมทอดมองน้ำที่กำลังรวมตัวกันเป็นแอ่งขังอยู่ในหลุมเล็กๆเพื่อนฆ่าเวลา เขาอยากให้คืนนี้ผ่านพ้นไปไวๆ อยากให้เป็นอีกคืนที่ไม่ต้องนึกถึงเรื่องเจ็บปวดในอดีต

     

    ขนมปังหมดอายุที่ชายแก่ใจดีตรงร้านหัวมุมถนนให้มาเปียกชื้น รสชาติของมันแย่เสียยิ่งกว่าอะไรแต่ยูตะก็ยังคงขย้อนมันลงไป เขาทั้งหิวและหนาว สุดท้ายจึงได้แต่ก้มหน้าใช้แขนสองข้างกอดเข่าตัวเองร้องไห้สะอึกสะอื้นแข่งกับเสียงฝนตก

     

    “ฮึก ฮึก”

     

    เนื้อตัวเปียกปอนจากน้ำที่สาดกระเซ็นจากพื้นถนน ตรอกเล็กๆทั้งสกปรกและเกือบจะมืดสนิทถ้าไม่มีแสงไฟดวงเล็กจากด้านนอก ไม่มีใครสนใจเสียงร้องไห้หรือจะบอกว่าไม่มีใครได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังก้องนี้สักคน

     

    ไม่มีเลย

     

    นากาโมโตะ ยูตะ ลูกชายคนเล็กของตระกูลนากาโมโตะ มหาเศรษฐีที่ติดหนึ่งในสิบของตระกูลที่รวยที่สุดและมีอิทธิพลที่สุดในญี่ปุ่น ตระกูลนากาโมโตะทำธุรกิจเกี่ยวกับแบรนด์เสื้อผ้าส่งออกเป็นธุรกิจขนาดใหญ่และมีสาขาในหลายๆประเทศ รวมไปถึงเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่เยอะที่สุดในญี่ปุ่น รวมไปถึงประเทศใกล้เคียง เกาหลีใต้ ฮ่องกง ไทย

     

    ชีวิตของทุกคนในตระกูลอยู่กันอย่างสุขสบายโดยเฉพาะยูตะที่เป็นลูกคนเล็ก ถูกประคบประหงบราวกับไข่ในหิน ไม่ว่าเด็กหนุ่มต้องการอะไรทุกคนในบ้านก็พร้อมที่จะเอามันมาประเคนให้ ถึงแม้ยูตะจะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวและไม่ชอบสังคมแบบคนรวยสักเท่าไหร่แต่ก็เป็นคนที่เอาแต่ใจพอสมควร และนั่นทำให้เขาถูกมองเหมือนคุณหนูผู้เอาแต่ใจและเย่อหยิ่งจากคนนอกเสมอ

     

    ทุกอย่างควรจะเป็นไปด้วยดี ปีนี้ที่นากาโมโตะ ยูตะอายุครบสิบเจ็ดปีควรจะเป็นเรื่องดีๆของตระกูลนากาโมโตะ ตอนนี้เด็กหนุ่มควรนอนอยู่ในห้องนอนที่มีเตียงใหญ่ขนาดคิงไซส์ มีฮีสเตอร์ไว้กันหนาวเมื่อข้างนอกฝนตก ควรที่จะนอนกดมือถือส่งข้อความอยู่กับเพื่อนสนิทจากโรงเรียนเอกชนอันดับต้นๆของญี่ปุ่น

     

    แต่มันคงไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว

     

    ห้าเดือนก่อนยูตะได้รู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนในชีวิตคือบิดาผู้เป็นที่รักหรือว่าพ่อแท้ๆเป็นหนี้จากการบริหารกิจการที่ล้มเหลว ถูกถอดถอนออกจากการเป็นประธานบริษัท และในวันนั้นหัวเรือใหญ่ของตระกูลก็ใช้ปืนยิงตัวตายต่อหน้าต่อตาในวันครบรอบวันเกิดครบสิบเจ็ดปีของเด็กหนุ่ม

     

    ความโหดร้ายเริ่มต้นขึ้นเมื่อทุกอย่างที่เคยเป็นของเขาไม่ใช่ของเขาอีกต่อไปแล้ว แม่และพี่สาวพยายามอย่างหนักที่จะประคับประคองกิจการเล็กๆที่เหลืออยู่ แต่สุดท้ายความตายก็พรากทั้งคู่ไปจากยูตะ พรากมันไปโดยที่เขาไม่มีวันได้บอกลาเฉกเช่นเดียวกับพ่อ

     

    ญาติมิตรพากันหายหัวไปเหมือนไม่มีบุญคุณระหว่างกันและกัน ยูตะในตอนนั้นอาศัยเงินเก็บเล็กๆน้อยๆที่เคยเก็บเอาไว้เมื่อก่อนประทังชีวิตอยู่ในห้องเช่าเท่ารูหนู หางานทุกอย่างที่พอจะทำได้ทำแต่ก็ทำไม่ได้นาน สุดท้ายชีวิตก็จมดิ่งลึกเกินกว่าจะเอื้อมมือไปไขว่คว้าแสงสว่างจากที่ไหน กลายเป็นคนเร่ร่อนข้างถนน

     

    น่าตลกสิ้นดี

     

    เปลือกตากำลังปิดลงเพราะวันนี้นอกจากเดินไปเดินมาเพื่อหางานทำแต่ไม่มีใครต้องการรับ ทั้งเหนื่อยทั้งหิวจนไม่มีแรง ยูตะกระชับกอดให้แน่นขึ้นและภาวนาให้เสื้อคลุมตัวเก่านี้มันอบอุ่นขึ้นกว่านี้อีกสักนิด อย่างน้อยพระเจ้าก็ช่วยเมตตาเขาบ้าง

     

     

    เสียงฝีเท้าทำให้คนที่กำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เสียงปืนที่หลอกหลอนอยู่ในความทรงจำดังขึ้นครั้งแล้ว ครั้งเล่า จนต้องยกมือขึ้นบิดหูเอาไว้ ขยับซุกตัวกับถุงขยะเพื่อหลบหนีความโกลาหลที่เกิดขึ้น

     

    ยูตะตัวสั่นและหัวใจก็เต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา ดวงตาสั่นระริกเมื่อมองผู้ชายในชุดสูทดูดีล้มลงกับพื้น แสงไฟพอจะทำให้เห็นเลือดที่กระเด็นออกจากหน้าผากก่อนผู้ชายคนนั้นจะล้มลง ยูตะพยายามซุกเข้ากองขยะจนเกือบจะจมหายไปเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังตรงดิ่งมา

     

    ดวงตาเบิกกว้างเมื่อแสงจากไฟฉายส่องตรงมาที่หน้า ทุกอย่างดูเหมือนฉากระทึกขวัญในหนังและมันแทบจะทำให้เด็กหนุ่มหยุดหายใจ ปืนกระบอกดำจ่อมาที่หัวก่อนที่ใครสักคนจะหันไปพูดกับคนที่อยู่ไม่ไกล

     

     

    “นายครับมีคนแอบอยู่ตรงนี้”

     

    แขนถูกกระชากขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวจนล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเฉอะแฉะที่แสนเกลียด ยูตะค่อยๆเงยหน้ามองบุคคลตรงหน้า รูปร่างสูงโปร่งในชุดสูทราคาแพง ดวงตาดุดัน รอยยิ้มเล็กๆมุมปาก กับร่มในมือที่ยืนมาเผื่อแผ่เขาด้วย

     

     

    “ใครมาทำลูกแมวตกเอาไว้”

     

     

    เสียงนั้นไม่ได้ฟังดูน่ากลัวนั่นคือสิ่งที่ยูตะรับรู้แม้จะฟังไม่ออก อีกคนย่อตัวลงมาใช้ผ้าเช็ดหน้าสีเข้มในกระเป๋ายื่นมันมาเช็ดคราบสกปรกมอมแมมบนใบหน้าของเขาอย่างไม่รังเกียจ สัมผัสแผ่วเบาแต่ก็ทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน

     

     

    “นายครับจะให้ผมฆ่าทิ้งไหมครับ”

     

    และคำถามพร้อมกับปืนที่เล็งมาที่ยูตะ ทำให้เขาต้องยกมือปัดผ้าเช็ดหน้ากับมือใหญ่นั่นอย่างตกใจ ถอยตัวออกจากร่มที่กำบังหยาดฝนเอาไว้

     

     

    “ผะ ผม ไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

     

    ตอบออกไปเป็นภาษาบ้านเกิดแม้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะฟังออกหรือไม่

     

    ผู้ชายตัวสูงก้าวเข้ามาใกล้ๆและยังคงย่อตัวลงมานั่งคุกเข่าที่พื้น มือใหญ่ปัดปอยผมเปียกชื้นออกจากใบหน้ามอมแมม

     

    “ฉันจะเชื่อนายได้ยังไง”

     

    คำถามเป็นภาษาบ้านเกิดออกมาจากปากอิ่มสีซีด ยูตะกลืนก้อนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบากเมื่อถูกถาม เขาไม่รู้จะตอบอะไรดี

     

    “ผมพูดจริงๆนะ” ยูตะตอบเสียงสั่นๆ “ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใคร”

     

    ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอเบาๆ ยูตะขมวดคิ้วยุ่งเพราะเขาไม่เข้าใจว่ามันมีอะไรที่น่าขัน

     

    “แต่ฉันรู้ว่านายเป็นใคร นากาโมโตะ ยูตะ”

     

     

     

    สุดท้ายก็ถูกหิ้วขึ้นรถมาด้วยทั้งที่ตัวเปียกมอมแมมและสกปรก ใครอีกคนนั่งอยู่ข้างๆไม่ได้ทำเหมือนรังเกียจกันสักนิด มิหนำซ้ำยังถอดเสื้อสูทราคาแพงมาห่มให้อีกต่างหาก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นช่างรวดเร็วจนตามไม่ทัน เมื่อไม่ถึงชั่วโมงเขายังคงนั่งซุกกองขยะกอดตัวเองท่ามกลางฝนตก แต่ตอนนี้อยู่บนรถราคาหลักสิบล้านกับผู้ชายแปลกหน้าที่รู้จักเขา

     

    บ้านสไตล์ญี่ปุ่นหลังขนาดกลางที่ยูตะประเมินคราวๆจากสายตาก็คงราคาสูงอยู่พอสมควร นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้นอกจากตรอกแคบๆกับกำแพงของตึกร้าง ความอบอุ่นในบ้านทำให้รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ยังไม่วางใจ

     

     

    “เฮ้ย ไปเก็บมาจากไหนวะแจฮยอน”

     

    ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ชี้มาที่ยูตะแล้วก็เบิกตากว้างเมื่อคนตรงหน้าตอบออกมาแต่ยูตะฟังไม่รู้เรื่อง ได้ยินแค่ชื่อของเขาเท่านั้น

     

    “จำยูตะลูกชายคนเล็กประธานบริษัทNTไม่ได้หรอพี่ยองโฮ”

     

    “นี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ฉันนึกว่าเขาตายไปแล้วซะอีก”

    ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนที่แจฮยอนจะยักไหล่

     

    “เด็กนี่ยังไม่ตาย จริงๆเขาเคยเป็นหุ้นส่วนของเราผมไม่ได้สนใจหรอก แต่ที่เก็บมาเพราะคิดว่าเด็กนี่น่ารักดี”

     

    ซอ ยองโฮส่ายหัวไปมาสลับกับมอมใบหน้าน่ารักอย่างที่แจฮยอนพูด แต่ทว่ามันดูมอมแมมสิ้นดีเหมือนลูกแมวโดนทิ้ง

     

    “จะทำอะไรก็ทำ แล้วเรื่องไอ้ยองมินจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”

     

    “ตอนนี้นรกคงมารับมันไปแล้ว”

     

     

    คืนนั้นแจฮยอนพาแมวที่เก็บได้ไปอาบน้ำ แต่งตัว หาข้าวให้กินเพราะได้ยินเสียงท้องร้องของยูตะตอนที่กำลังหาชุดนอนให้ นัยน์ตาสีเข้มมีแต่คำถามแต่แจฮยอนไม่ตอบอะไรมากไปกว่าการลูบกลุ่มผมสีดำสนิทเบาๆ

     

     

    “ฉันชื่อแจฮยอน จากนี้ไปนายเป็นคนของฉันเข้าใจไหม”

     

     

    ยูตะส่ายหน้าไปมาก่อนจะก้มลงกินข้าวในชามด้วยความหิวโหย รสชาติของมันดีมากเสียจนเด็กหนุ่มเกือบลืมไปว่าครั้งหนึ่งในชีวิตก็เคยได้ลิ้มลองของพวกนี้มานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่รู้ทำไมรสชาติของขนมปังเย็นชืดยังติดอยู่ในปากเหมือนความทรงจำเลวร้ายที่ยังฝังอยู่ในสมอง

     

    ที่นอนนุ่มๆผ้าห่มหอมๆทำให้ยูตะคิดว่าตัวเองอาจจะแค่ฝันไป แต่เพราะแรงหยิกที่ข้างแก้มของคนข้างๆทำให้รู้ว่านี่คือความจริง

     

    “นายเชื่อในพระเจ้าไหม” คำถามของแจฮยอนทำให้คนที่นอนมองเพดานเบนกลับมามองคนข้างๆ

     

    “ผมไม่รู้” ยูตะตอบสั้นๆ

     

    “ฉันเคยเชื่อนะ เคยคิดว่าถ้าเราดี เราสะอาด พระเจ้าก็คงมอบของขวัญให้ฉัน” เสียงทุ้มเอ่ยบอกก่อนดวงตาสีเข้มจะจ้องมาที่เด็กหนุ่มตัวขาว

     

    “แล้วตอนนี้ คุณไม่เชื่อแล้วหรอ”

     

    “ฉันคงเป็นคนอื่นสำหรับพระเจ้าไปแล้วมั้ง”

     

     

    ยูตะไม่ได้ถามต่อแต่กลับมาถามตัวเองอยู่ในใจ พระเจ้าคืออะไรสำหรับเขาตอนนี้ก็คงตอบไม่ได้ เพราะตอนที่เจ็บปวดที่สุดก็ไม่มีใครช่วยเขาได้สักคน และที่ได้คำตอบคงเป็นความกลัว ความเศร้า ความโกรธ นั่นคือที่นึกออก

     

     

     

     

    ใครจะไปรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในวันนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นคนสำคัญอีกคนของตระกูลจอง หลังจากถูกพามาที่บ้านแล้วก็ถูกแจฮยอนพามาที่เกาหลี ยูตะบอกตัวเองว่าจะลืมทุกอย่างแต่ก็ทำไม่ได้ สุดท้ายสิ่งที่แจฮยอนบอกเขาคือจำมันเอาไว้แล้วใช้เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้ชีวิตเดินไปข้างหน้า

     

    เสียงปืนเมื่อสามปีก่อนยังดังอยู่ในหัวทุกคืนที่หลับตาลง รอยยิ้มของพี่สาวที่ยิ้มก่อนจะจากไปตลอดกาลยังตราตรึง ความอบอุ่นที่ได้รับจากอ้อมกอดของแม่ก็ยังคงฝังแน่น มันวนลูปไปเรื่อยๆเหมือนม้วนหนังที่ไม่มีวันจบสิ้น หรือไม่มันก็เล่นซ้ำๆโดยที่ตอนจบของมันก็ยังเหมือนเดิม

     

    ทุกคนที่เขารักจากไปแล้วและจะไม่มีวันฝืนขึ้นมาอีก

     

    ปัง!

     

    นิ้วมือเหนี่ยวรั้งไกปืนค้างเอาไว้ จบชีวิตของคนสะอาดที่ข้างในแสนจะสกปรกได้อย่างง่ายดายและไม่รู้สึกอะไร พ่อเขาต้องมาตายเพราะคนพวกนี้เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ก็ไม่สมควรได้รับการเมตตาอะไรทั้งนั้น ถ้าอยากได้ก็ไปร้องขอเอาจากพระเจ้าในนรก

     

    รถยนต์คันหรูทะยานไปข้างหน้า เสียงเพลงโปรดขับกล่อมให้ยูตะอารมณ์ดีแม้จะเพิ่งปลิดชีวิตคนมาหมาดๆ ไม่นานนักมันก็จอดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่

     

    “ไปซนที่ไหนมาอีกยูตะ”

     

    เสียงของแจฮยอนเรียกรอยยิ้มกว้างๆจากเจ้าของชื่อ ขาเรียวเดินดุ่มๆเข้าไปกอดคนสูงกว่าอย่างออดอ้อน คลอเคลียเหมือนแมวน้อยตัวเล็กดั่งวันแรกๆที่แจฮยอนพบเจอ

     

    “ก็แค่ไปเล่นสนุกมานิดๆหน่อยๆเองครับพี่แจฮยอน”

     

    แจฮยอนยกยิ้มมุมปากพลางขยี้กลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนมันฟูฟ่อง เจ้าลูกแมวของเขาเติบโตขึ้นมาอย่างสง่า เพียงแค่สามปีทำให้คนที่กลัวทุกอย่างกลายเป็นคนที่เข้มแข็งไม่ใช่แข็งกระด้าง แจฮยอนลูบแก้มใสเบาๆด้วยความเอ็นดู

     

    “วันหลังอย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะ รู้ไหมเราหายไปคนเดียวพี่ไม่สบายใจ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงทำให้ยูตะรู้สึกผิด

     

    “ผมไม่ยอมให้ใครมาพรากผมไปจากพี่หรอก ถึงเป็นพระเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์”

     

    นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองคนโตกว่าก่อนทั้งคู่จะยิ้มขึ้นมาพร้อมกัน

     

    เมื่อก่อนยูตะไม่เข้าแจฮยอน ไม่เข้าสิ่งที่แจฮยอนทำสักนิด ทำไมต้องฆ่าคน? แล้วคนพวกนั้นผิดอะไรถึงต้องฆ่า แจฮยอนไม่ตอบคำถามแต่ปล่อยให้เด็กหนุ่มเรียนรู้ด้วยตัวเอง เข้าในโลกใบนี้อย่างที่มันเป็นไป

     

    ความลับอีกอย่างของพ่อที่ซ่อนเอาไว้ก็ถูกเปิดเผย ธุรกิจมืดที่พ่อทำนั่นแหละที่มันทำให้ทุกอย่างพังลง ทุกคนที่ร่วมกันถอดชื่อพ่อออกจากการเป็นประธาน ทุกคนก็แค่ตะกละทนความหิวโซไม่ไหวน่าสมเพชสิ้นดี ยูตะเค้นหัวเราะในวันที่อ่านเอกสารทั้งหมดพร้อมทั้งร้องไห้ในอ้อมกอดของแจฮยอน คนพวกนั้นคิดว่าตัวเองสะอาดเลยทำอะไรกับครอบครัวเขาก็ได้ แล้วสิ่งที่พวกนั้นทำมันต่างจากพ่อเขาตรงไหนล่ะ ?

     

     

    “พี่แจฮยอน”

     

    คนตรงหน้าเลิกคิ้วขึ้นเมื่อยูตะเรียกชื่อ

     

    “พี่จำได้ไหมที่พี่เคยถามยูตะวันแรกที่พี่เก็บยูตะมา”

     

    แจฮยอนพยายามนึกเพราะมันก็ผ่านมาสามปีและระหว่างนั้นก็มีความทรงจำมากมายระหว่างเขากับยูตะ เยอะแยะจนจำแทบไม่หมด

     

    “ก็ที่พี่ถามยูตะเรื่องพระเจ้าไง”

     

    “อ่อ ที่พี่ถามว่าเราเชื่อในพระเจ้าไหม ใช่ไหม”

     

    ยูตะพยักหน้าขึ้นลง

     

    “ตอนนี้ถ้าผมจะตอบพี่ ผมเชื่อในตัวเองเพราะมันเป็นชีวิตของผม ผมเชื่อในความรักก็เพราะผมมีพี่ แต่ผมก็คงเป็นคนอื่นสำหรับพระเจ้าไปแล้วเหมือนพี่”

     

    แจฮยอนกอดร่างเล็กกว่าเอาไว้ ใช้มือลูบแผ่นหลังยูตะเบาๆ

     

    “เชื่อในตัวเองก็พอแล้วยูตะ”

     

     

     

    ปัง!

     

     

    ปืนกระบอกเดิมยิงเข้าที่หัวของจองแจฮยอนจนอีกฝ่ายล้มลงไปกับพื้น ดวงตาเรียบนิ่งจ้องมาที่คนรัก ลมหายใจเฮือกสุดท้ายถูกมัจจุราชช่วงชิงไป ยูตะทั้งยิ้มและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน

     

     

    “พี่ก็หิวโซเหมือนคนพวกนั้นพี่ก็ไม่ต่างจากพวกนั้นเหมือนผม”

     

    แล้วปืนกระบอกนั้นก็จอที่หัวของยูตะก่อนเจ้าของจะลั่นไกปืน

     

     

    ปัง!

     

     

    พระเจ้าจะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้บ้างไหม

     

    พระเจ้ามีชะตาชีวิตเป็นของตัวเองบ้างหรือเปล่า

     

    คงเป็นคำถามที่ต้องเอาไว้ถามตอนตายไปแล้ว.




    The end.





    แม้ยอมรับในชะตาชีวิต แต่จงอย่าสูญสิ้นในศรัทธา

    ถึงมันยากมากที่จะทำให้ในเวลาที่เจ็บปวดที่สุด

    มันคือสิ่งที่เราบอกตัวเองทุกครั้งที่จมดิ่ง

    #bbgjaeyu



    T

    B

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×