ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (nct) unfriend - #markno

    ลำดับตอนที่ #2 : unfriend ; O2

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.พ. 62





     

     O2

     



     

    เสียงพูดคุยของเจโน่ดังระหว่างทางกลับบ้าน อีกฝ่ายยิ้มจนตาหยีระหว่างพูดถึงเรื่องที่จอห์นนี่เล่าให้ฟัง ถึงมันจะเป็นเรื่องตลกที่มาร์คฟังมาเป็นร้อยๆรอบแต่เขาก็หัวเราะเมื่อมันออกมาจากปากของเพื่อนตัวขาวที่ทำท่าทางประกอบไปด้วย

     

    “พี่จอห์นนี่เขาตลกดีเนอะคุณมาร์ค ผมหัวเราะจนน้ำตาไหลเลย” ดวงตากลมหยีจนเป็นพระจันทร์เสี้ยวจนมาร์คอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบแก้มใสแรงๆด้วยความมันเขี้ยว ทุกอย่างที่เป็นลีเจโน่น่ามันเขี้ยวไปหมด

     

    “เห้ มีอะไรติดหน้าผมหรอคุณมาร์ค” มือเล็กยกขึ้นลูบข้างแก้มตัวเองปอยๆ

     

    “อื้อ แต่คงเอาไม่ออกหรอก”

     

    เจโน่หยุดเดินพยายามเช็ดแก้มของตัวแรงๆด้วยหลังมือ มาร์คได้แต่มองการกระทำแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม

     

    “ไปกันเถอะมันไม่ได้เลอะอะไรแล้ว” มาร์คเอื้อมมือไปจับมือเล็กกว่าก่อนจะจูงอีกฝ่ายไปตามทางเดิน “ก็แค่ความน่ารัก” นั่นคือสิ่งที่มาร์คพึมพำกับตัวเองเบาๆ

     

    ระหว่างที่อยู่บนซับเวย์มาร์คได้แต่มองคนที่ยืนอยู่ติดๆกันแต่อีกฝ่ายเอาแต่อ่านหนังสือเรียนฆ่าเวลา ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็จะชินตากับภาพแบบนี้เสมอ เจโน่ลีกับหนังสือหนึ่งเล่มในมือหรือนานๆทีก็จะเป็นเกมอะไรสักอย่างที่มาร์คไม่รู้จักแต่เจโน่บอกว่าสนุกดี รอยยิ้มดันขึ้นจนแก้มนิ่มนูนขึ้นสองข้างและรอยยิ้มแบบนี้มันก็ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคนด้วย

     

    จริงๆแล้วมาร์คไม่จำเป็นต้องนั่งซับเวย์เพราะเมื่อก่อนเขาก็มีคนขับมาส่งตลอด ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรแทบไม่เคยจะต้องลำบากใช้รถสาธารณะก็มีบ้างที่อยากจะนั่งแต่ถ้าเอาความสะดวกมาร์คก็จะให้คนไปส่งมากกว่า อีกอย่างแม้ตอนอยู่แคนาดาจะฝึกขับรถมาบ้างก็เถอะแต่ในเกาหลีอายุเท่านี้ยังไม่มีใบขับขี่นั่นหมายถึงมาร์คยังไม่สามารถขับรถไปไหนมาไหนเองได้ แม้จะมีรถมากมายจอดเรียงรายอยู่ในบ้านก็เถอะ

     

    ตอนนี้ทุกวันก็ให้คนไปรับเจโน่ที่บ้านก่อนจะให้มาส่งที่ซับเวย์แต่ขากลับก็กลับเองจนตอนนี้ผ่านมาหลายเดือนก็เริ่มรู้สึกชิน ถึงบางวันการใช้พวกรถสาธารณะพวกนี้จะน่าเบื่อเพราะคนแน่นขนัดแต่มันไม่ได้เป็นปัญหา

     

    อีกอย่างเจโน่นั่งซับเวย์ทุกวันนั่นแหละประเด็นสำคัญ

     

    “ขอบคุณที่มาส่งนะครับคุณมาร์ค” รอยยิ้มทั้งดวงตาถูกส่งให้ตรงหน้าเหมือนทุกครั้ง แล้วเจ้าของชื่อก็ยกมือขยี้กลุ่มผมสีดำสนิทนั่นทุกครั้งเช่นกัน

     

    “พรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้ไปเรียนนะ อย่าให้ใครแกล้งรู้ไหมเจโน่ลี” ถึงจะฟังดูเป็นประโยคธรรมดาๆแต่สำหรับมาร์คแล้วหมายถึงเขาเป็นห่วง

     

    “ครับ ถ้ามีการบ้านจะส่งข้อความไปบอกนะครับคุณมาร์ค กลับดีๆนะครับ”

     

    มาร์คพยักหน้าแล้วเดินไปขึ้นรถคันหรูที่มารอรับได้สักพักแล้ว เขาเปิดกระจกยิ้มบางๆให้กับเพื่อนสนิทตัวขาวที่ยืนยิ้มจนตาหยีอยู่หน้าบ้าน

     

     

     

     

     

     

    ##

     

     

     

     

     

    ลี เจโน่ทำอย่างที่รับปากไว้ไม่ได้ พอไม่มีมีมาร์คเขาก็กลายเป็นเหมือนอะไรสักอย่างที่ไร้ที่พึ่ง เพื่อนๆในห้องไม่ถึงขนาดเกลียดแต่ว่าโรงเรียนนานาชาติส่วนมากก็มีแต่ลูกเศรษฐี สำหรับเจโน่แล้วฐานะทางบ้านของเขาก็กลางๆไม่ได้จนแต่ก็ไม่ถึงขนาดร่ำรวยอะไรมาก การมีชนชั้นในโรงเรียนเป็นปกติและก่อนมาร์คจะย้ายมาที่นี่ ก่อนจะเกิดเรื่องวันนั้น เจโน่เคยเป็นแค่บุคคลชนชั้นล่างที่ถูกแกล้งไม่เว้นแต่ละวัน

     

    เหมือนตอนนี้ที่ถูกแกล้ง

     

    “ไง ไหนวะมาร์คลีคนเก่งของมึง ตอนนี้ไม่เห็นมันจะโผล่หัวมาช่วยเลย วันๆเอาแต่เก๊กทำหน้าตาน่าหมั่นไส้แต่ที่มันน่าหมั่นไส้ยิ่งกว่าก็คือมึงเจโน่ คิดจะอัพตัวเองด้วยการคบเพื่อนรวยๆหรอ น่าสมเพช”

     

    ใครๆก็รู้ว่าฐานะทางบ้านของมาร์คลีไม่ธรรมดา เจ้าตัวเป็นถึงลูกของท่านทูตที่ตอนนี้ไปประจำอยู่ที่แคนาดา ส่วนมารดาก็เป็นถึงเจ้าของร้านจิวเวลรี่ชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ แถมเจ้าตัวเองยังเก่งทางด้านดนตรีหลายอย่างจนได้ลงนิตยสารบ่อยๆ ตระกูลลีที่แทบจะอยู่ในชั้นแนวหน้าของเกาหลีน่ะใครๆก็อยากทำความรู้จักทั้งนั้น

     

    ถึงจะดังขนาดนั้นก็เถอะแต่เจโน่ลีที่ไม่ค่อยได้อ่านนิตยสารอะไรแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่รู้จริงๆว่ามาร์คลีที่เพื่อนๆในห้องอยากสนิทสนมในคราแรกที่เข้ามาเรียนนั้นเป็นยังไง

     

    “กูถามว่าเพื่อนสนิทจอมหยิ่งของมึงมันหายหัวไปไหน ไปตายแล้วรึไงไม่ได้ยินที่ถามหรอ!” เสียงนั่นยิ่งเข้มขึ้นเมื่อคนที่นั่งอยู่บนพื้นไม่แม้แต่จะปริปากพูด

     

    “มันคงไม่พกปากมาจากบ้าน งั้นมึงก็ไม่ต้องเสือกร้องให้คนมาช่วยนะไอ้พวกจนแล้วไม่เจียม”

     

    แขนยาวกระชากร่างขาวจนคลุกคลานไปกับพื้น ตอนนี้อยู่ในเวลาเรียนนั่นหมายถึงทุกคนก็อยู่ในห้องเรียนมีบ้างที่ยังคงอยู่ข้างล่างแต่หลังโรงเรียนตอนนี้ไม่มีใครเลยสักคน ยกเว้นเสียแต่ลีเจโน่ที่กำลังถูกลากไปตามทางถึงจะล้มจนมือเรียวขูดพื้นจนเลือดไหล มันก็ไม่ได้ทำให้พวกที่กำลังลากเด็กหนุ่มอยู่สนใจ

     

    “กูว่าผลักมันลงสระน้ำไปเลยดีกว่า ไม่ต้องเสียแรงให้เจ็บมือด้วย” ใครสักคนในกลุ่มเสนอความคิด

     

    “แต่กูคันไม้คันมือ ไอ้เหี้ยมาร์คชอบทำหน้ากวนใส่กูคงคิดว่าแน่แต่กูคงลงที่มันไม่ได้ ก็ทำเพื่อนสนิทมันแทนนี่แหละ” เด็กหนุ่มที่เจโน่รู้จักแค่ชื่อแบบผิวเผินตอบกลับกลุ่มเพื่อนก่อนจะเบนหน้ามาหาเขา “มึงเสือกอยากจะเป็นเพื่อนมันเอง ถือว่าซวยไปก็แล้วกัน”

     

    พลั่ก!

     

    หมัดหนักๆสัมผัสข้างแก้มนิ่ม เจโน่รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหน้าไม่มีแม้กระทั่งแรงจะทรงตัวให้ยืนอยู่จนล้มไปกับพื้นหญ้า กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก

     

    “หึ! สมน้ำหน้า” เสียงเย้ยหยันปนเปกับเสียงหัวเราะ

     

    แรงกระชากทำให้เจโน่ต้องยืนขึ้นแบบไม่ทันเตรียมตัว เจ็บไปหมดแต่ที่ทำได้คือเงียบ

     

    “ยังยืนอยู่ได้หมัดเดียวคงไม่รู้สึกอะไร” ใครสักคนที่เจโน่ไม่รู้จักพูดขึ้น ยุยงให้คนตรงหน้าต่อยเขาอีก

     

    ครั้งนี้ถูกล็อคแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง ดวงตากลมมองภาพตรงหน้าก่อนจะหลับตาปี๋เมื่ออีกฝ่ายกำหมัด

     

    “ทำเหี้ยอะไรกันอยู่” เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ใบหน้าที่ปกติจะนิ่งตอนนี้ดูดุดันและน่ากลัวพอจะทำให้คนสองคนปล่อยร่างของเจโน่ให้เป็นอิสระ

     

    มาร์คลีไม่ใช่คนตัวใหญ่หรือสูงเกินมาตรฐาน แต่วีรกรรมที่ทุกคนได้ยินมามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หลักฐานก็คือการย้ายโรงเรียนครั้งล่าสุด คนที่มีฝีมือด้านการชกต่อยและมีกลุ่มลับที่ใครๆก็บอกว่าทุกคนในกลุ่มนั้นน่ากลัว

     

    “ครั้งก่อนก็เป็นพวกมึงสามตัว ที่กูเตือนสงสัยจะไม่รู้เรื่อง”

     

    มาร์คเดินเข้าไปใกล้ๆในขณะที่พวกนั้นก้าวถอยห่างออกไปจากเจโน่ ใบหน้าเลิกลั่กของทั้งสามคนดูน่าขันในสายตาของมาร์คแต่รอยช้ำม่วงที่ข้างแก้มทำให้เขารู้สึกโกรธ โกรธจนอยากจะจับไอ้สามคนตรงหน้าส่งให้โรงพยาบาลรับไปดูแลสักสองสามเดือน

     

    “ก็เพื่อนมึงมากวนตีนพวกกูก่อน” ใครสักคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

     

    “เห่อะ” มาร์คสถบเบาๆในลำคอ มุมปากหยักยกยิ้ม “คิดว่ากูโง่?

     

    “พะ พวกกู ขอโทษ!

     

    ทั้งสามวิ่งหนีไปแล้วมาร์คมองตามแต่เขาไม่ได้วิ่งตามไปเพราะแค่พวกไม่รู้จักโตสามคน ไว้หลังจากนี้ค่อยจัดการก็ยังไม่สาย เขาหมุนตัวกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อีกฝ่ายใช้มือกุมแก้มตัวเองเอาไว้ด้วยสีหน้าเหยเก มีเลือดไหล่ชุ่มที่ฝ่ามืออีกข้างมากเสียจนเสื้อสูทสีกรมท่าเปรอะเปื้อน

     

    “ให้ตายเถอะเจโน่ลี”

     

     

     

    หัวเสียแต่ที่ทำได้คือพาเจโน่ไปทำแผลที่โรงพยาบาลเพราะเลือดไหลเยอะและที่สำคัญคือเขาห่วง อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มจนตาหยีแต่มาร์คไม่ยิ้มด้วย เกิดมาไม่เคยเจอใครที่ยอมคนได้เท่าเจโน่ ท่าทางเรียบร้อยจนเหมือนจืดชืดเป็นสิ่งที่มาร์คชอบ ชีวิตอยู่แต่กับสีสันมามากพอมาเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสงบทำให้รู้สึกดี

     

    แต่ไอ้สงบจนไม่สู้ใครแบบนี้บางทีมันก็น่าหงุดหงิด!

     

    หลังจากทำแผลเสร็จมาร์คไม่ได้ไปส่งอีกคนที่บ้านถึงแม้จะขอลาหยุดกับโรงเรียนในวันนี้แล้วทั้งคู่ก็เถอะ เขาบอกให้คนขับรถไปส่งที่คอนโดของตัวเองแทน

     

    “ทำไมคุณมาร์คไม่ไปส่งผมที่บ้านล่ะครับ” ทันทีที่ถูกลากเข้ามาถึงในห้องก็เอ่ยถามออกไปทันที จนเจ้าของห้องกลอกตาไปมาแล้วจับไหล่เล็กกว่าให้นั่งลงบนโซฟา

     

    “คิดว่ากลับไปสภาพแบบนี้แม่นายจะดูไม่ออกหรอว่าถูกต่อยมา เพราะฉะนั้นวันหยุดนี้ก็อยู่ที่นี่จนกว่าจะหายค่อยกลับ”

     

    “แต่

     

    “ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำสั่ง” มาร์คบอกเสียงดุจนคนที่กำลังอ้าปากถามหุบปากแทบไม่ทัน

     

     

    ตอนนี้เจโน่กำลังนอนอยู่บนโซฟาดูรายการเรื่อยเปื่อยที่เปิดเจอเพราะเจ้าของห้องบังคับไม่ให้ทำอะไรนอกเหนือจากนั่ง นอน แล้วก็กิน พิซซ่าถาดยักษ์เหลือเกือบครึ่งถูกวางเอาไว้ข้างหน้า มาร์คสั่งมาแล้วก็หุนหันออกไปบอกเพียงแค่ว่าจะกลับดึกๆ

     

    และตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มเจโน่ลีลุกขึ้นบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าจากการนอนอยู่บนโซฟาราคาแพงนุ่มๆนี่เกือบทั้งวัน เด็กหนุ่มอ้าปากหาววอดๆก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนที่เคยมานอนไม่กี่ครั้ง หยิบชุดนอนที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้พร้อมผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานนักก็อาบน้ำแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ไม่ลืมจะกินยาก่อนนอนตามที่หมอสั่ง

     

    ทำอะไรเสร็จหมดแล้วก็เดินลากสลิปเปอร์สีขาวมาที่เตียง สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนนุ่มฟูแถมยังมีกลิ่นของเจ้าของติดอยู่จางๆ เจโน่ยิ้มแล้วซุกหน้าลงกับหมอนข้าง สองข้างแก้มเห่อร้อนเมื่อคิดถึงครั้งแรกที่ได้คุยกันบนดาดฟ้าโรงเรียน ทุกอย่างเริ่มต้นที่นั่น

     

    แต่มันมีบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นไม่นานมานี้ในใจของเจโน่

     

    บางอย่างที่คงไม่มีวันจะบอกให้มาร์คลีรู้

     

     

    เสียงลมหายใจสม่ำเสมอทำให้มาร์คค่อยโล่งใจที่เจโน่ไม่รอเขากลับมา เพราะอีกฝ่ายขี้เกรงใจเกินไปเป็นแบบนั้นทุกครั้งที่พามานอนที่นี่ ถ้าเขามีธุระเจโน่ก็จะรอจนกว่าเขาจะกลับ ดื้อด้านเสียจนต้องดุ แต่วันนี้คงเพลียเพราะฤทธิ์ยา

     

    แก้มนุ่มมีรอยม่วงช้ำที่เห็นได้ชัด มาร์คบรรจงลูบอย่างช้าๆก่อนจะก้มลงจูบแก้มใสหวังให้อีกคนหายดี ถึงอยากจะทำมากกว่านี้แต่เขาคงไม่ใจร้ายขนาดปลุกคนเจ็บขึ้นมากลางดึก

     

    “หวังว่านายจะไม่ต้องเจ็บแบบนี้อีก” มาร์คกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู เลื่อนมากดจูบข้างขมับด้วยความรู้สึกมากมายในหัว

     

    “ฝันดีครับเจ้าแมวดื้อ”

     

    มาร์คลีจะพูดสุภาพก็ตอนที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน

     

     

     

     

    tbc.


    #unfriendmarkno

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×