คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : unfriend ; O2
O2
เสียงพูดคุยของเจโน่ดังระหว่างทางกลับบ้าน
อีกฝ่ายยิ้มจนตาหยีระหว่างพูดถึงเรื่องที่จอห์นนี่เล่าให้ฟัง
ถึงมันจะเป็นเรื่องตลกที่มาร์คฟังมาเป็นร้อยๆรอบแต่เขาก็หัวเราะเมื่อมันออกมาจากปากของเพื่อนตัวขาวที่ทำท่าทางประกอบไปด้วย
“พี่จอห์นนี่เขาตลกดีเนอะคุณมาร์ค
ผมหัวเราะจนน้ำตาไหลเลย” ดวงตากลมหยีจนเป็นพระจันทร์เสี้ยวจนมาร์คอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปบีบแก้มใสแรงๆด้วยความมันเขี้ยว
ทุกอย่างที่เป็นลีเจโน่น่ามันเขี้ยวไปหมด
“เห้
มีอะไรติดหน้าผมหรอคุณมาร์ค” มือเล็กยกขึ้นลูบข้างแก้มตัวเองปอยๆ
“อื้อ
แต่คงเอาไม่ออกหรอก”
เจโน่หยุดเดินพยายามเช็ดแก้มของตัวแรงๆด้วยหลังมือ
มาร์คได้แต่มองการกระทำแบบนั้นด้วยรอยยิ้ม
“ไปกันเถอะมันไม่ได้เลอะอะไรแล้ว”
มาร์คเอื้อมมือไปจับมือเล็กกว่าก่อนจะจูงอีกฝ่ายไปตามทางเดิน “ก็แค่ความน่ารัก”
นั่นคือสิ่งที่มาร์คพึมพำกับตัวเองเบาๆ
ระหว่างที่อยู่บนซับเวย์มาร์คได้แต่มองคนที่ยืนอยู่ติดๆกันแต่อีกฝ่ายเอาแต่อ่านหนังสือเรียนฆ่าเวลา
ไม่ว่ากี่ครั้งเขาก็จะชินตากับภาพแบบนี้เสมอ
เจโน่ลีกับหนังสือหนึ่งเล่มในมือหรือนานๆทีก็จะเป็นเกมอะไรสักอย่างที่มาร์คไม่รู้จักแต่เจโน่บอกว่าสนุกดี
รอยยิ้มดันขึ้นจนแก้มนิ่มนูนขึ้นสองข้างและรอยยิ้มแบบนี้มันก็ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคนด้วย
จริงๆแล้วมาร์คไม่จำเป็นต้องนั่งซับเวย์เพราะเมื่อก่อนเขาก็มีคนขับมาส่งตลอด
ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรแทบไม่เคยจะต้องลำบากใช้รถสาธารณะก็มีบ้างที่อยากจะนั่งแต่ถ้าเอาความสะดวกมาร์คก็จะให้คนไปส่งมากกว่า
อีกอย่างแม้ตอนอยู่แคนาดาจะฝึกขับรถมาบ้างก็เถอะแต่ในเกาหลีอายุเท่านี้ยังไม่มีใบขับขี่นั่นหมายถึงมาร์คยังไม่สามารถขับรถไปไหนมาไหนเองได้
แม้จะมีรถมากมายจอดเรียงรายอยู่ในบ้านก็เถอะ
ตอนนี้ทุกวันก็ให้คนไปรับเจโน่ที่บ้านก่อนจะให้มาส่งที่ซับเวย์แต่ขากลับก็กลับเองจนตอนนี้ผ่านมาหลายเดือนก็เริ่มรู้สึกชิน
ถึงบางวันการใช้พวกรถสาธารณะพวกนี้จะน่าเบื่อเพราะคนแน่นขนัดแต่มันไม่ได้เป็นปัญหา
อีกอย่างเจโน่นั่งซับเวย์ทุกวันนั่นแหละประเด็นสำคัญ
“ขอบคุณที่มาส่งนะครับคุณมาร์ค”
รอยยิ้มทั้งดวงตาถูกส่งให้ตรงหน้าเหมือนทุกครั้ง
แล้วเจ้าของชื่อก็ยกมือขยี้กลุ่มผมสีดำสนิทนั่นทุกครั้งเช่นกัน
“พรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้ไปเรียนนะ
อย่าให้ใครแกล้งรู้ไหมเจโน่ลี”
ถึงจะฟังดูเป็นประโยคธรรมดาๆแต่สำหรับมาร์คแล้วหมายถึงเขาเป็นห่วง
“ครับ
ถ้ามีการบ้านจะส่งข้อความไปบอกนะครับคุณมาร์ค กลับดีๆนะครับ”
มาร์คพยักหน้าแล้วเดินไปขึ้นรถคันหรูที่มารอรับได้สักพักแล้ว
เขาเปิดกระจกยิ้มบางๆให้กับเพื่อนสนิทตัวขาวที่ยืนยิ้มจนตาหยีอยู่หน้าบ้าน
##
ลี
เจโน่ทำอย่างที่รับปากไว้ไม่ได้ พอไม่มีมีมาร์คเขาก็กลายเป็นเหมือนอะไรสักอย่างที่ไร้ที่พึ่ง
เพื่อนๆในห้องไม่ถึงขนาดเกลียดแต่ว่าโรงเรียนนานาชาติส่วนมากก็มีแต่ลูกเศรษฐี
สำหรับเจโน่แล้วฐานะทางบ้านของเขาก็กลางๆไม่ได้จนแต่ก็ไม่ถึงขนาดร่ำรวยอะไรมาก
การมีชนชั้นในโรงเรียนเป็นปกติและก่อนมาร์คจะย้ายมาที่นี่ ก่อนจะเกิดเรื่องวันนั้น
เจโน่เคยเป็นแค่บุคคลชนชั้นล่างที่ถูกแกล้งไม่เว้นแต่ละวัน
เหมือนตอนนี้ที่ถูกแกล้ง
“ไง
ไหนวะมาร์คลีคนเก่งของมึง ตอนนี้ไม่เห็นมันจะโผล่หัวมาช่วยเลย
วันๆเอาแต่เก๊กทำหน้าตาน่าหมั่นไส้แต่ที่มันน่าหมั่นไส้ยิ่งกว่าก็คือมึงเจโน่
คิดจะอัพตัวเองด้วยการคบเพื่อนรวยๆหรอ น่าสมเพช”
ใครๆก็รู้ว่าฐานะทางบ้านของมาร์คลีไม่ธรรมดา
เจ้าตัวเป็นถึงลูกของท่านทูตที่ตอนนี้ไปประจำอยู่ที่แคนาดา
ส่วนมารดาก็เป็นถึงเจ้าของร้านจิวเวลรี่ชื่อดังที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ
แถมเจ้าตัวเองยังเก่งทางด้านดนตรีหลายอย่างจนได้ลงนิตยสารบ่อยๆ
ตระกูลลีที่แทบจะอยู่ในชั้นแนวหน้าของเกาหลีน่ะใครๆก็อยากทำความรู้จักทั้งนั้น
ถึงจะดังขนาดนั้นก็เถอะแต่เจโน่ลีที่ไม่ค่อยได้อ่านนิตยสารอะไรแบบนี้
ตอนแรกก็ไม่รู้จริงๆว่ามาร์คลีที่เพื่อนๆในห้องอยากสนิทสนมในคราแรกที่เข้ามาเรียนนั้นเป็นยังไง
“กูถามว่าเพื่อนสนิทจอมหยิ่งของมึงมันหายหัวไปไหน
ไปตายแล้วรึไงไม่ได้ยินที่ถามหรอ!”
เสียงนั่นยิ่งเข้มขึ้นเมื่อคนที่นั่งอยู่บนพื้นไม่แม้แต่จะปริปากพูด
“มันคงไม่พกปากมาจากบ้าน
งั้นมึงก็ไม่ต้องเสือกร้องให้คนมาช่วยนะไอ้พวกจนแล้วไม่เจียม”
แขนยาวกระชากร่างขาวจนคลุกคลานไปกับพื้น
ตอนนี้อยู่ในเวลาเรียนนั่นหมายถึงทุกคนก็อยู่ในห้องเรียนมีบ้างที่ยังคงอยู่ข้างล่างแต่หลังโรงเรียนตอนนี้ไม่มีใครเลยสักคน
ยกเว้นเสียแต่ลีเจโน่ที่กำลังถูกลากไปตามทางถึงจะล้มจนมือเรียวขูดพื้นจนเลือดไหล
มันก็ไม่ได้ทำให้พวกที่กำลังลากเด็กหนุ่มอยู่สนใจ
“กูว่าผลักมันลงสระน้ำไปเลยดีกว่า
ไม่ต้องเสียแรงให้เจ็บมือด้วย” ใครสักคนในกลุ่มเสนอความคิด
“แต่กูคันไม้คันมือ
ไอ้เหี้ยมาร์คชอบทำหน้ากวนใส่กูคงคิดว่าแน่แต่กูคงลงที่มันไม่ได้
ก็ทำเพื่อนสนิทมันแทนนี่แหละ” เด็กหนุ่มที่เจโน่รู้จักแค่ชื่อแบบผิวเผินตอบกลับกลุ่มเพื่อนก่อนจะเบนหน้ามาหาเขา
“มึงเสือกอยากจะเป็นเพื่อนมันเอง ถือว่าซวยไปก็แล้วกัน”
พลั่ก!
หมัดหนักๆสัมผัสข้างแก้มนิ่ม
เจโน่รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหน้าไม่มีแม้กระทั่งแรงจะทรงตัวให้ยืนอยู่จนล้มไปกับพื้นหญ้า
กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลไปทั่วทั้งปาก
“หึ!
สมน้ำหน้า” เสียงเย้ยหยันปนเปกับเสียงหัวเราะ
แรงกระชากทำให้เจโน่ต้องยืนขึ้นแบบไม่ทันเตรียมตัว
เจ็บไปหมดแต่ที่ทำได้คือเงียบ
“ยังยืนอยู่ได้หมัดเดียวคงไม่รู้สึกอะไร”
ใครสักคนที่เจโน่ไม่รู้จักพูดขึ้น ยุยงให้คนตรงหน้าต่อยเขาอีก
ครั้งนี้ถูกล็อคแขนเอาไว้ทั้งสองข้าง
ดวงตากลมมองภาพตรงหน้าก่อนจะหลับตาปี๋เมื่ออีกฝ่ายกำหมัด
“ทำเหี้ยอะไรกันอยู่”
เสียงทุ้มดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
ใบหน้าที่ปกติจะนิ่งตอนนี้ดูดุดันและน่ากลัวพอจะทำให้คนสองคนปล่อยร่างของเจโน่ให้เป็นอิสระ
มาร์คลีไม่ใช่คนตัวใหญ่หรือสูงเกินมาตรฐาน
แต่วีรกรรมที่ทุกคนได้ยินมามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
หลักฐานก็คือการย้ายโรงเรียนครั้งล่าสุด
คนที่มีฝีมือด้านการชกต่อยและมีกลุ่มลับที่ใครๆก็บอกว่าทุกคนในกลุ่มนั้นน่ากลัว
“ครั้งก่อนก็เป็นพวกมึงสามตัว
ที่กูเตือนสงสัยจะไม่รู้เรื่อง”
มาร์คเดินเข้าไปใกล้ๆในขณะที่พวกนั้นก้าวถอยห่างออกไปจากเจโน่
ใบหน้าเลิกลั่กของทั้งสามคนดูน่าขันในสายตาของมาร์คแต่รอยช้ำม่วงที่ข้างแก้มทำให้เขารู้สึกโกรธ
โกรธจนอยากจะจับไอ้สามคนตรงหน้าส่งให้โรงพยาบาลรับไปดูแลสักสองสามเดือน
“ก็เพื่อนมึงมากวนตีนพวกกูก่อน”
ใครสักคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“เห่อะ…” มาร์คสถบเบาๆในลำคอ มุมปากหยักยกยิ้ม “คิดว่ากูโง่?”
“พะ พวกกู
ขอโทษ!”
ทั้งสามวิ่งหนีไปแล้วมาร์คมองตามแต่เขาไม่ได้วิ่งตามไปเพราะแค่พวกไม่รู้จักโตสามคน
ไว้หลังจากนี้ค่อยจัดการก็ยังไม่สาย เขาหมุนตัวกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
อีกฝ่ายใช้มือกุมแก้มตัวเองเอาไว้ด้วยสีหน้าเหยเก
มีเลือดไหล่ชุ่มที่ฝ่ามืออีกข้างมากเสียจนเสื้อสูทสีกรมท่าเปรอะเปื้อน
“ให้ตายเถอะเจโน่ลี”
หัวเสียแต่ที่ทำได้คือพาเจโน่ไปทำแผลที่โรงพยาบาลเพราะเลือดไหลเยอะและที่สำคัญคือเขาห่วง
อีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มจนตาหยีแต่มาร์คไม่ยิ้มด้วย
เกิดมาไม่เคยเจอใครที่ยอมคนได้เท่าเจโน่
ท่าทางเรียบร้อยจนเหมือนจืดชืดเป็นสิ่งที่มาร์คชอบ
ชีวิตอยู่แต่กับสีสันมามากพอมาเจอคนที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสงบทำให้รู้สึกดี
แต่ไอ้สงบจนไม่สู้ใครแบบนี้บางทีมันก็น่าหงุดหงิด!
หลังจากทำแผลเสร็จมาร์คไม่ได้ไปส่งอีกคนที่บ้านถึงแม้จะขอลาหยุดกับโรงเรียนในวันนี้แล้วทั้งคู่ก็เถอะ
เขาบอกให้คนขับรถไปส่งที่คอนโดของตัวเองแทน
“ทำไมคุณมาร์คไม่ไปส่งผมที่บ้านล่ะครับ”
ทันทีที่ถูกลากเข้ามาถึงในห้องก็เอ่ยถามออกไปทันที
จนเจ้าของห้องกลอกตาไปมาแล้วจับไหล่เล็กกว่าให้นั่งลงบนโซฟา
“คิดว่ากลับไปสภาพแบบนี้แม่นายจะดูไม่ออกหรอว่าถูกต่อยมา
เพราะฉะนั้นวันหยุดนี้ก็อยู่ที่นี่จนกว่าจะหายค่อยกลับ”
“แต่…”
“ไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำสั่ง”
มาร์คบอกเสียงดุจนคนที่กำลังอ้าปากถามหุบปากแทบไม่ทัน
ตอนนี้เจโน่กำลังนอนอยู่บนโซฟาดูรายการเรื่อยเปื่อยที่เปิดเจอเพราะเจ้าของห้องบังคับไม่ให้ทำอะไรนอกเหนือจากนั่ง
นอน แล้วก็กิน พิซซ่าถาดยักษ์เหลือเกือบครึ่งถูกวางเอาไว้ข้างหน้า
มาร์คสั่งมาแล้วก็หุนหันออกไปบอกเพียงแค่ว่าจะกลับดึกๆ
และตอนนี้ก็เกือบสี่ทุ่มเจโน่ลีลุกขึ้นบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าจากการนอนอยู่บนโซฟาราคาแพงนุ่มๆนี่เกือบทั้งวัน
เด็กหนุ่มอ้าปากหาววอดๆก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนที่เคยมานอนไม่กี่ครั้ง
หยิบชุดนอนที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้พร้อมผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำ
ใช้เวลาไม่นานนักก็อาบน้ำแปรงฟันเสร็จเรียบร้อย ไม่ลืมจะกินยาก่อนนอนตามที่หมอสั่ง
ทำอะไรเสร็จหมดแล้วก็เดินลากสลิปเปอร์สีขาวมาที่เตียง
สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนนุ่มฟูแถมยังมีกลิ่นของเจ้าของติดอยู่จางๆ
เจโน่ยิ้มแล้วซุกหน้าลงกับหมอนข้าง สองข้างแก้มเห่อร้อนเมื่อคิดถึงครั้งแรกที่ได้คุยกันบนดาดฟ้าโรงเรียน
ทุกอย่างเริ่มต้นที่นั่น
แต่มันมีบางอย่างที่กำลังเกิดขึ้นไม่นานมานี้ในใจของเจโน่
บางอย่างที่คงไม่มีวันจะบอกให้มาร์คลีรู้…
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอทำให้มาร์คค่อยโล่งใจที่เจโน่ไม่รอเขากลับมา
เพราะอีกฝ่ายขี้เกรงใจเกินไปเป็นแบบนั้นทุกครั้งที่พามานอนที่นี่
ถ้าเขามีธุระเจโน่ก็จะรอจนกว่าเขาจะกลับ ดื้อด้านเสียจนต้องดุ แต่วันนี้คงเพลียเพราะฤทธิ์ยา
แก้มนุ่มมีรอยม่วงช้ำที่เห็นได้ชัด
มาร์คบรรจงลูบอย่างช้าๆก่อนจะก้มลงจูบแก้มใสหวังให้อีกคนหายดี
ถึงอยากจะทำมากกว่านี้แต่เขาคงไม่ใจร้ายขนาดปลุกคนเจ็บขึ้นมากลางดึก
“หวังว่านายจะไม่ต้องเจ็บแบบนี้อีก”
มาร์คกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู เลื่อนมากดจูบข้างขมับด้วยความรู้สึกมากมายในหัว
“ฝันดีครับเจ้าแมวดื้อ”
มาร์คลีจะพูดสุภาพก็ตอนที่อีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน
tbc.
#unfriendmarkno
ความคิดเห็น