คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1 โรงระบำเปลื้องผ้า
โจรสลัดทะเลพิศวาส (เลอโฉม เขียน)
ตอนที่ 1 โรงระบำเปลื้องผ้า
เสียงสรวลเสเฮฮาที่ดังออกมาจากปากลูกเรือและสาวสวยซึ่งล้วนแต่นุ่งน้อยห่มน้อยทำให้ริชาร์ดรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก เขาไม่ได้มาที่โรงระบำเปลื้องผ้าที่อยู่ริมอ่าวโอลูลู่นี้มานานหลายเดือนแล้ว
นานเสียจนทำให้เลือดหนุ่มในกายแล่นขึ้นไปจุกอกจนต้องเผลอทำร้ายร่างกายตัวเองอยู่บ่อยครั้งในความเงียบ
สาเหตุที่เขาห่างหายไปนั้น เกิดมาจากการที่เขาต้องเดินทางไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาเรน ซึ่งครอบครองน่านน้ำที่เขากับพรรคพวกอาศัยทำมาหากินอยู่ และการไปเข้าเฝ้าในครั้งนี้เหตุผลก็เช่นเดียวกับทุกครั้งนั่นก็คือการนำข้าวของเงินทองจากการปล้นระดมครึ่งหนึ่งไปถวายตามพันธะสัญญาที่ตกลงกันเอาไว้
พันธะสัญญาที่ทำให้เขาไม่ต้องปะทะกับกองทัพเรือหลวงอันเกรียงไกรนั่นเอง
“มองหามาเรียหรือท่านกัปตัน”
ริชาร์ดมองไปตามที่มาของเสียง ซึ่งพบว่าเป็นนางเจ้าของโรงระบำวัยกลายคนผู้มีรูปร่างเจ้าเนื้อนั่นเอง นางกำลังเดินโบกพัดในมือมาหาเขาด้วยท่าทีแจ่มใส และพอเขาพยักหน้ารับสีหน้านางก็ดูทุกข์ร้อนขึ้นมาทันที
“มาเรียไปเยี่ยมญาติหลายวันแล้ว ข้าต้องขอโทษด้วย”
ริชาร์ดหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อถือนัก เพราะด้วยนิสัยมาเรียผู้มีทรวงอกใหญ่ได้รูปสวยงามกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอนั้น ไม่น่าจะก่อให้เกิดกิจเช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมามาเรียไม่เคยเอ่ยปากถึงญาติคนใดทั้งสิ้น ...อย่าว่าแต่ญาติเลยพ่อแม่พี่น้องนางยังไม่เคยเอ่ยถึง สิ่งที่มาเรียพร่ำพูดอยู่ตลอดเวลาคือเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องประดับสวยๆ งามๆ เท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นหลังโชว์เรียกใครก็ได้มาให้ข้าคนหนึ่งแล้วกัน ข้าขี้เกียจเลือกแล้ว...อีกนานไหมกว่าโชว์จะเริ่ม”
“ข้าจะจัดให้เดี๋ยวนี้เลย...อ้าวเด็กๆ เตรียมตัวโชว์กันได้แล้ว อย่าให้ท่านกัปตันริชาร์ดต้องรออีกต่อไป...อ้อ นีน่าช่วยยกเหล้ายามาให้ท่านกัปตันด้วยนะ”
ริชาร์ดคลี่ริมฝีปากอย่างพึงพอใจ และในอึดใจต่อมาเขาก็เห็นบรรดานางระบำซึ่งคลอเคลียอยู่กับบรรดาลูกเรือของเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวไปหลังเวทีกันทีละคนสองคนจนหมด
“ท่านต้องการขัดรองเท้าหรือไม่ขอรับ...ท่านกัปตัน”
ริชาร์ดที่กำลังมองตามร่างของนางระบำไปหลังเวที เบนสายตาไปยังที่มาของเสียงนี้ แล้วพบว่าผู้ที่เอ่ยปากถามเขาอยู่ในขณะนี้คือหนุ่มน้อยร่างเล็ก สวมเสื้อผ้าที่ใหญ่โคร่งเกินตัว
“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่นี่เดี๋ยวนี้มีบริการขัดรองเท้าด้วย”
ริชาร์ดว่าพลางยื่นเท้าออกไปข้างหน้าโดยไม่ต้องพูดมากให้เสียเวลา และเมื่อผู้มาใหม่ย่อตัวลงทำงานของตนก็เป็นเวลาเดียวกับที่คบเพลิงทั้งหมดดับลงจนสิ้น
“เจ้าขัดไปเรื่อยๆ แล้วกัน” ริชาร์ดว่าขณะที่สายตามุ่งไปยังทิศที่ตั้งของเวที ที่บัดนี้ม่านสีดำยังคงรูดปิดไว้สนิท
“ท่านกัปตัน...ข้าได้ยินคนพูดกันว่าท่านกำลังจะรับลูกเรือเพิ่มจริงหรือไม่ขอรับ”
ริชาร์ดหรี่ตามองคนที่กำลังเคลื่อนมือไปมาบนรองเท้าหนังสีดำของเขาแล้วส่ายหน้า ทั้งที่ความจริงแล้วเขากำลังต้องการลูกเรือเพิ่มอีกอย่างน้อยสองร้อยคนเพื่อภารกิจพิเศษบางอย่างในอีกสามเดือนข้างหน้า
สามเดือนที่ในใจเขารู้สึกกังวลว่ามันน้อยเกินไปกับการฝึกการรบเพื่อไปปล้นชิงมงกุฎเพชรล้ำค่า ที่กำลังเดินทางผ่านมาเพื่อไปเป็นเครื่องบรรณาการให้ราชินีแห่งสเปน
“อ้าว...เป็นแค่ข่าวลือหรอกรึขอรับ...ว้าแย่จัง แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่ข้าน้อยถึงจะมีโอกาสได้เป็นลูกเรือท่านเสียทีล่ะขอรับ”
“หยุดพล่ามก่อน ข้าจะดูโชว์” ริชาร์ดเอ่ยเสียงเรียบ ขณะที่ในใจรู้สึกสังเวชความไม่เจียมเนื้อเจียมตัวอีกฝ่ายยิ่งนัก...ตัวเท่าลูกหมา เอาอะไรไปสู้กับใครเขา
ริชาร์ดได้ยินเสียงถอนหายใจดังเข้าหู ก่อนที่คบไฟดวงหนึ่งจะสว่างขึ้นมาบนเวทีและทำให้เกิดเสียงโห่ร้องดังลั่นโรงระบำ
“ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โรงระบำแห่งโอลูลู่ สถานที่ซึ่งพร้อมจะให้ความสุข ความบันเทิงและคลายความเหงาในหัวใจของท่านให้หมดสิ้นไป...หากท่านพร้อมกรุณาตบมือและโห่ร้องให้ดังยิ่งกว่าเดิม...ดังยิ่งกว่าเดิม...ดังยิ่งกว่าเดิม”
ริชาร์ดเลื่อนมือทั้งสองข้างเข้าหากัน แต่ไม่ได้โห่ร้องเหมือนใครอื่น เมื่อเสียงจากนางเจ้าของโรงระบำดังขึ้นมาจากหลังเวที และไม่นานจากนั้นม่านสีดำก็ค่อยๆ เปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง
เลือดในกายริชาร์ดร้อนผ่าว เมื่อมองเห็นนางระบำจำนวนมากกำลังนั่งคุกเข่าหันหลังให้ผู้ชม และที่สำคัญคือร่างกายของพวกนางทุกคนล้วนเปลือยเปล่า ชวนให้เกิดความกำหนัดในอารมณ์เพศ
“วาริสซี่...บิ๊กเกอร์...อาริต้า...เมด้า...สวอทแมนไอริส...โจโจบี้...”
ริชาร์ดได้ยินนางเจ้าของโรงระบำขานชื่อของนางระบำแต่ละคนอย่างช้าๆ ซึ่งส่งผลให้ผู้ที่ถูกขานชื่อค่อยๆ ยืดตัวขึ้นยืนตรง แล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผู้ชมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ และเมื่อชื่อของทุกคนถูกขานออกมาจนครบ การเริงระบำก็ก็เริ่มขึ้นตามบทเพลง
“มาเถอะมา มาเริงสำราญให้เบิกบานใจ...ทิ้งความทุกข์ให้หมดสิ้นไป แล้วพาหัวใจให้เริงระบำไปกับพวกเรา...”
.....
บทเพลงแล้วบทเพลงเล่าดังขึ้นในโรงระบำอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดเงียบ ขณะเดียวกันนั้นโชว์บนเวทีก็เปลี่ยนไปตามบทเพลงใหม่ที่ดังขึ้น
ดูเหมือนว่าผู้ที่อยู่ด้านล่างเวทีจะให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวบนเวทีกันทุกคน คงจะมีแค่เพียงเจ้าของมือที่กำลังขัดรองเท้าให้กับริชาร์ดเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นไปด้วย และถ้าแสงสว่างมากพอ คนรอบข้างก็คงจะรู้ได้ด้วยว่า ไม่ใช่แค่เพียงไม่สนใจเท่านั้น หากดวงแก้มยังแดงระเรื่อผิดปกติ อันเกิดมาจากความเขินอายอย่างสุดขีด
จะไม่ให้โจลี่หรือที่ใครๆ ในโรงระบำเรียกว่าเจฟเพราะคิดว่าเป็นชายจากการอำพรางตนเขินอายก็กระไรอยู่ เพราะนี่คือครั้งแรกที่หล่อนกำลังอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์นับร้อย และดวงตาทุกคู่ก็กำลังจับจ้องร่างที่เปลือยเปล่าของสตรีเพศ แถมคนที่หล่อนกำลังขัดรองเท้าให้ยังเลื่อนมือไปลูบอวัยวะที่บ่งบอกความเป็นชายอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย
ดังนั้นโจลี่จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะก้มหน้าใส่ใจแต่กับภารกิจของตน แต่กระนั้นหลายครั้งดวงตาเจ้ากรรมก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมองสิ่งที่โป่งนูนอยู่ใต้ร่มผ้าด้วยความสนใจ
และนี่เองที่เป็นเหตุให้หล่อนต้องโดนริชาร์ดส่งเสียงแสดงความไม่พอใจให้ได้ยินอีกหน หลังจากที่เขาออกคำสั่งให้หล่อนหยุดพล่าม
“มองอะไรนักหนาว่ะ ไม่เคยเห็นหรือไง หรือว่าของเอ็งมันเล็กมาก พอเจอพี่บิ๊กเข้าหน่อยเลยจ้องไม่หยุด”
“ข้าเปล่านะ”
“อุว่ะ มาทำเป็นเถียง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าจ้องตาถลน...โน่นเลย มองผลแฟงแฝดบนเวทีโน่นดีกว่า เพิ่งเป็นหนุ่มเป็นแน่นควรศึกษาเอาไว้เยอะๆ”
หน้าที่แดงอยู่แล้วของโจลี่ยิ่งแดงมากขึ้นไปกว่าเดิมหลายเท่า แถมยังพาลให้หล่อนรู้สึกวูบวาบไปทั้งตัวอีกด้วย แต่เพื่อให้ปัญหาเฉพาะหน้ารีบคลี่คลาย หล่อนจึงรีบหันไปทางเวทีตามคำแนะนำ
ณ ที่นั่นหล่อนเห็นฟีน่านางระบำผู้หนึ่งกำลังเคลื่อนมือไปยังบริเวณเหนือทรวงอกแล้วลูบไล้ไปมา พร้อมกับบิดกายราวกับกำลังโดนของร้อน ขณะที่ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอนั้นกำลังห่อเข้าหากันราวกับเพิ่งกินของเผ็ด
“เป็นไง น่ามองกว่าของข้าใช่ไหม”
โจลี่แสร้งพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาขัดรองเท้าอีกครั้ง จนกระทั่งนางเจ้าของโรงระบำเดินก้าวมาหาพร้อมกับนางระบำคนหนึ่งภารกิจของหล่อนจึงสิ้นสุดโดยพลัน
โจลี่ค่อยๆเคลื่อนตัวออกห่างริชาร์ดอย่างเชื่องช้า อดไม่ได้ที่จะจับตามองกระทำของเขาด้วยความสนใจ เพราะหล่อนนั้นรอคอยการพบเจอเขามาชั่วชีวิต และการที่หล่อนต้องปลอมตัวเป็นชายก็เพราะเหตุนี้ด้วย
หล่อนเห็นเขาดึงนางระบำพินนี่ให้นั่งบนตักด้วยท่าทางแสนสบายอารมณ์ ไม่นานต่อเสียงหัวเราะของพินนี่ก็ดังขึ้นเมื่อมือของเธอเลื่อนไปจับอะไรบางอย่างของเขา
โจลี่รู้สึกกระดากอายยิ่งนักกับการกระทำของพินนี่ เพราะตั้งแต่เริ่มจำความได้จนอายุครบสิบเก้าปีในวันนี้หล่อนถูกปลูกฝังให้เป็นกุลสตรีที่ดีงามตลอดมา
“อย่าซนซิท่านกัปตัน เดี๋ยวตัวข้าก็ช้ำหมดหรอก”
“ก็เจ้าสวยถูกใจข้าทำไมล่ะ...แล้วดูซิแฟงลูกใหญ่ของเจ้าก็น่าลิ้มรสเหลือเกิน”
บทสนทนาของคนทั้งสองนั้น โจลี่ฟังแล้วรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว โจลี่ไม่แน่ใจว่าหล่อนแสดงท่าทีอะไรออกมาหรือเปล่าจึงได้ยินเสียงไล่จากนางเจ้าของโรงระบำซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงแล้วเป็นน้าสาวแท้ๆ ให้หล่อนรีบเดินเร็วขึ้น
โจลี่เดินออกมานอกโรงระบำอย่างอกสั่นขวัญแขวน แม้นว่าจะเคยย้ำกับตนเองดิบดีมาหลายหนว่าหล่อนพร้อมรับมือได้กับทุกสถานการณ์เพื่อภารกิจสำคัญในการปลิดหัวริชาร์ดเพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูต่อบิดาผู้ล่วงลับ
หล่อนมองไกลไปยังทะเลยามราตรีที่ยามนี้คลื่นน้อยใหญ่ซัดเข้าฝั่งอย่างบ้าคลั่ง สายลมแรงทำให้หล่อนรู้สึกหนาวจนต้องเลื่อนมือขึ้นมาห่อไหล่
เรือจำนวนมากที่ลอยลำอยู่กลางทะเลนี้ เป็นภาพที่โจลี่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะหล่อนเพิ่งจะเดินทางมาถึงอ่าวโอลูลู่ในวันนี้ และเรือที่ตรึงสายตาของหล่อนได้มากที่สุดก็คือเรือลำใหญ่สุดที่บนพื้นธงสีดำ มีรูปกะโหลกมีปีกสีขาวที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของริชาร์ดนั่นเอง
.................
“หนาวหรือเจฟ”
โจลี่ที่กำลังยืนคิดถึงมารดาซึ่งพำนักอยู่ในหมู่บ้านค้าทาสเพียวกันโก้ส่งยิ้มให้น้าสาว หล่อนได้ยินเสียงถอนหายใจดังออกมาเบา ๆ ตามด้วยคำพูดว่า “มันจะไม่เกินตัวไปหน่อยหรือลูก”
“หลานคิดดีแล้ว น้ามาเรียอย่ากังวลไปเลย”
“เจ้าจะเอาอะไรไปสู้เขา ใครๆ เขาก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเขาเก่งกาจการรบแค่ไหน เขาเคยเป็นถึงนายพลของสมเด็จพระราชินีอังกฤษ ล่าอาณานิคมให้อังกฤษมาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเมืองแล้ว และทุกวันนี้แค่ได้ยินชื่อเขาใครๆ เขาก็ขยาดไปทั่ว”
“แต่คนเรามันก็ต้องมีจุดอ่อนบ้างล่ะน้ามาเรีย หินแข็งมันยังทนแรงเซาะของน้ำไม่ได้เลย” โจลี่ว่าขณะที่ดวงตาของหล่อนนั้นเพ่งอยู่ที่โขดหินใหญ่ที่มีร่องรอยกัดกร่อน
“ถ้างั้นก็ตามใจ แต่ข้าไม่ยุ่งด้วยหรอกนะ เพราะที่ผ่านมาท่านกัปตันก็ดีกับข้ามาก แล้วข้าก็ไม่มีเรื่องอะไรผูกใจเจ็บกับเขา”
โจลี่ยิ้มรับ หล่อนพอจะรู้มาก่อนแล้วว่ารูปการจะต้องออกมาเช่นนี้ เพราะมารดาเคยออกปากเล่าถึงนิสัยน้าสาวที่ไม่เคยสนใจใครนอกจากผลประโยชน์ของตัวเอง แค่เพียงนางยอมรับเงื่อนไขที่หล่อนร้องเมื่อเช้าซึ่งก็คือการปลอมตัวเป็นเจฟก็ดีมากแล้ว
“อ้อ แล้วอย่าเผลอไปหลงเสน่ห์เขาเข้าล่ะ...น้ำตาตกในแน่”
“ไม่มีทาง...ข้าไม่มีวันรักคนที่ทั้งถ่อยทั้งเถื่อนแน่” โจลี่กล่าวหนักแน่น เพราะแค่คิดถึงท่าทีของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเลื่อนมือไปกุมอวัยวะความเป็นชายหล่อนก็รู้สึกขยะแขยงจนจะอาเจียนเสียให้ได้
“เมื่อกี้ข้าฝากฝังเจ้ากับเขาให้แล้วนะ...แต่จะไปเป็นลูกเรืออย่างที่เจ้าตั้งใจคงไม่ได้ เขาว่าเจ้าตัวเท่าลูกหมาอย่าว่าแค่ออกศึกเลย แค่ยกดาบยังไม่รู้ว่าจะไหมหรือเปล่า...เขาเลยบอกว่าอย่างมากก็ได้แค่คนทำความสะอาดเรือ”
“คนทำความสะอาดเรือ” โจลี่พึมพำ
“ใช่ ทำความสะอาดเรือ...และก็เรือทุกลำด้วย...จะไหวเหรอ... ในเมื่อตั้งแต่เด็กเจ้าไม่เคยทำอะไรเลยสักอย่าง นอกจากอาหารเล็กๆน้อยๆ”
“ไหวซิ สบายมาก” โจลี่สู้ไม่ถอย เพราะนี่คือโอกาสอันดีที่จะทำให้หล่อนได้ขึ้นไปอยู่บนเรือที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นของบิดาของหล่อน ก่อนที่จะถูกช่วงชิงไปโดยคนไม่เคยรู้จักสำนึกบุญคุณคน และหล่อนจะได้มีโอกาสลงมือง่ายขึ้น
“ถ้างั้นก็ดี แต่ว่าตอนนี้ข้าว่าเจ้าเข้าไปข้างในได้แล้ว ออกมานานแล้วเดี๋ยวพวกปากหอยปากปูมันจะแอบนินทาลับหลังว่าข้าให้ท้ายเจ้าอู้งาน และถ้าให้ดีรีบไปฝากเนื้อฝากตัวกับกัปตันริชาร์ดเขาสักหน่อย...ป่านนี้คงเสร็จธุระกับพินนี่แล้ว”
โจลี่เอื้อมมือไปแตะไหล่น้าสาวของหล่อนเป็นการขอบคุณ แล้วรีบสาวเท้าเข้าไปในโรงระบำ และนั่นทำให้หล่อนมองเห็นศัตรูตัวสำคัญอีกครั้งบนเก้าอี้ตัวเดิม
แต่ทว่าในยามนี้ ร่างกายท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า โชว์แผงอกและหน้าท้องเป็นลอนสวยงาม โดยมีพินนี่นั่งอยู่บนตักอย่างสนิทสนม โดยที่มือของหนึ่งของนางกำลังถือองุ่นลูบไล้ไปมาบริเวณไหล่ด้านขวา ขณะที่อีกข้างหนึ่งนั้นอยู่บนริมฝีปากหนาได้รูปที่กำลังเผยอยิ้มน้อยๆ อย่างถูกอกถูกใจ
..................
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ความคิดเห็น