ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nightmare No.11

    ลำดับตอนที่ #7 : Nightmare No.11.7

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 53


    ฝันร้าย... เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดเจ้าถึงได้มีชื่อที่น่ากลัวอย่างนั้น.... แน่นอนล่ะ ว่าเจ้าจะจำเรื่องที่ข้าพูดไม่ได้และข้าก็ไม่อยากให้เจ้าจำหรอกนะ ฝันร้ายของข้า...
    ภาพเบื้องหน้าที่พร่าเลือนทำให้ผมต้องพยายามเพ่งสายตา ทั้งๆที่ปกติแล้วต่อให้ไกลแค่ไหนผมก็สามารถมองเห็นได้ ไม่ว่าจะด้วยสายตาหรือการสัมผัสก็ตามที แต่นี่อะไร ราวกับพลังทุกอย่างนั้นน้อยนิดและไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ
    และเสียงที่นุ่มนวลราวกับขับกล่อมนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไป
    สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนมีจิตใจและตัวตนเป็นของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับความฝัน ต่างคนก็ต่างมีความฝันของตัวเอง ฝันร้ายของแต่ละคนก็เช่นกัน
    ผมไม่เข้าใจแต่ก็พยายามที่จะเงี่ยหูฟังและเพ่งสายตามอง จนในที่สุดก็เห็นภาพเบื้องหน้าชัดขึ้น เป็นเพดานสูงสีฟ้าคราม มีแสงแดดอ่อนๆลอดเข้ามา และผมเห็นปลากำลังแหวกว่ายอยู่ในอากาศเบื้องหน้า
    แต่สำหรับเจ้านั้น พิเศษกว่าคนอื่นๆนัก เพราะเจ้าจะเป็นฝันร้ายที่ทุกคนไม่มีวันลืม และจะจดจำไปชั่วชีวิต ซึมลึกเข้าไปในทุกอณูของจิตวิญญาณ เพราะเจ้าคู่ควรแล้วที่จะให้ทุกคนจดจำ...
    ไนท์แมร์ นั่นคือชื่อของเจ้าส่วนหมายเลขสิบเอ็ดนั้น...
    ...........................................................................
    ปังๆๆๆ
    ผมสะดุ้งตื่น ตาเบิกกว้างมองไปยังภาพเบื้องหน้า และพบว่าที่ได้ยินได้เห็นเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน หัวใจของผมเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยได้เป็นนัก บางสิ่งบางอย่างบอกว่า ที่ผมเห็นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง
    ใช่แล้ว เพราะมันเหมือนความจริงซะจนน่ากลัว
    เฮือก
    ผมสะดุ้ง รู้สึกขนลุกชันขึ้นมาแทบจะทันที
    ปังๆๆๆๆ
    เสียงประตูที่ดังมากขึ้นเรื่อยๆทำให้ผมดึงสติกลับมาได้และค่อยๆเดินไปเปิดประตู แปลกใจตัวเองนัก ทั้งๆที่เมื่อก่อนแค่เสียงน้ำไหลหรือเสียงฝีเท้าของคนที่เดินอยู่หน้าห้องก็ทำผมตื่นแล้ว ผมขมวดคิ้วกับตัวเอง แล้วเปิดประตูทันทีที่ตรวจเสื้อผ้าของตัวเองว่าเรียบร้อยพอสมควรแล้ว
    “ไนท์แมร์ คุณเซย์ให้มาปลุก..”เป็นเอรินนั่นเองที่ยืนอยู่หน้าห้อง แต่เขาพูดได้ไม่ทันไรก็นิ่งค้างแล้วจ้องผมไม่วางตา ดูจะตกใจด้วยซ้ำไป”ไนท์แมร์ นาย.. นายไปทำอะไรมา..”
    ผมขมวดคิ้วมองเขาจากนั้นก็สำรวจตัวเอง “ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่”
    เอรินส่ายหน้า ก้าวถอยหลังออกไปตาสีทองดั่งสัตว์ป่านั่นสั่นไหว ดูตื่นกลัวอะไรบางอย่าง ผมจะก้าวเข้าไปหาเขาด้วยความเป็นห่วงแต่เขากลับตวาดเสียงเฉียบขาดออกมาราวกับจะขู่
    ”อย่าเข้ามาใกล้ฉัน”
    ผมชะงักเท้า ไม่เข้าใจเขา จากนั้นสักครู่เอรินก็เหมือนจะตั้งสติได้บ้าง เขามองหน้าผมแต่ยังคงระแวดระวัง “นายไปส่องกระจก หาอะไรกินซะแล้วถ้ายังไม่ลบไอ้จิตคุกคามที่แสนดำมืดแบบนั้นก็อย่าได้เหยียบไปที่ห้องของคุณเซย์”
    จิตคุกคามที่แสนดำมืด?
    เอรินหันหลังกลับไปแต่ดูเหมือนฝีเท้ายังคงร้อนรน ผมขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม แล้วปิดประตู เดินไปที่ห้องน้ำ เพื่อจะได้ล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นผมก็ชะงักค้าง ตกตะลึงซะจนทำผ้าสำหรับเช็ดหน้าผืนโปรดตกลงบนพื้น
    นะ.. นี่มันเกิดอะไรขึ้น
    ผมเดินไปที่ห้องน้ำ จากนั้นเมื่อส่องกระจกก็ต้องตกตะลึง ตาสีชมพูเข้มของผมกลายเป็นสีแดงฉานและตรงกลางนัยน์ตานั่นเป็นสีดำที่แสนมืดมิด
    และอะไรบางอย่างก็โผล่ขึ้นมาจากนัยน์ตาสีดำอันแสนมืดมิด
    ผมสะดุ้ง หวาดกลัวตัวเองอย่างน่าประหลาด อย่างที่เอรินพูด ผมไปทำอะไรมาและจิตคุกคามที่แสนดำมืดและน่าขนลุกนั่นมาจากไหน ผมตั้งสติสูดหายใจเข้าลึกๆ ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจัด เมื่อผมมั่นใจว่าตั้งสติได้เต็มที่แล้วผมก็เดินไปหาอะไรกินที่ตู้เย็น ผมแทบกระโจนเข้าไปหาเลือดแค่เพียงได้กลิ่นนิดเดียวเท่านั้นจากปกติแค่สองถุงก็เพียงพอสำหรับสามวัน แต่ครั้งนี้ผมซัดไปเกือบแปดถุง
    ผมกลายเป็นไอ้ปีศาจกระหายเลือดไปแล้วเหรอ
    เพล้ง
    เสียงแก้วแตกทำให้ผมต้องมองไปรอบๆอย่างงุนงง จากนั้นก็มองมือตัวเอง ที่พื้นมีเศษแก้วกระจายอยู่ ในมือยังคงเหลือเศษแก้วบางชิ้นที่ทิ่มลงไปในมือ
    ผมเดินไปที่อ่างล้างจาน ดึงเศษแก้วที่ทิ่มมือออก ต้องเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมแน่ๆ แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นล่ะ นั่นแค่ผมกังวลแต่ถึงกลับบีบแก้วในมือแตก ท่าทางผมต้องเมล์หาใครสักคน จากนั้นก็ต้องทดสอบความสามารถของตัวเองใหม่ทั้งหมดอย่างเร่งด่วนซะแล้ว
    ผมเดินผ่านโต๊ะทำงานตัวเอง แวะส่งเมล์ตามกำหนดการณ์ พอจะเปิดประตูห้องทำงานของคุณเซย์ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงของแตกกระจายและเสียงโวยวายที่เหมือนจะเป็นเสียงของมอร์ฟีน
    ผมเปิดประตู จากนั้นก็หลบขวดหมึกที่เกือบจะโดนกลางหน้าผาก
    “ไนท์แมร์ๆ มาช่วยกันจับคุณเซย์หน่อยสิ เป็นอะไรไม่รู้ เฮ้ย”
    ผมหลบหลีกของที่ลอยละลิ่วอย่างรวดเร็ว เอรินไม่อยู่ เดรนหลบอยู่หลังโต๊ะตัวเอง มอร์ฟีนพยายามที่จะเข้าใกล้ตัวคุณเซย์แต่แค่หลบของที่ลอยละลิ่วก็แทบจะไม่ไหวแล้ว
    ผมสังเกตท่าทีคุณเซย์ก่อน จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงกลุ่มพลังงานแปลกประหลาดที่อัดแน่นอยู่รอบตัวคุณเซย์ ผมสังเกตสิ่งของที่ลอยละลิ่วอยู่รอบห้อง จากนั้นก็แทบตกตะลึงเมื่อทั้งหมดนั้นไม่ได้ลอยละลิ่วจากการขว้างปา แต่มันลอยขึ้นเองทั้งหมด
    “คุณเซย์..”ผมครางออกมา รีบก้าวเท้าเข้าไปใกล้ เมื่อคุณเซย์เห็นผมอยู่ในสายตาสิ่งของแทบทุกอย่างก็พุ่งตรงมา ในวินาทีที่ผมสบตาสีฟ้าคมกล้านั้นก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง
    มันเหมือนกับตาของผมเมื่อเช้าไม่ผิดเพียงแต่คลุ้มคลั่งมากกว่า
    “โอ๊ะ”ขวดหมึกกระทบเข้าอย่างจังที่หน้าผาก จนเลือดไหลซิบๆ ผมรีบเอามือกดห้ามเลือด เร่งฝีเท้าเข้าไปให้ใกล้มากกว่าเดิมจนเหลือระยะห่างอีกแค่สามก้าว พลังที่อัดแน่นคุณเซย์ก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น ผมพยายามจะคว้าตัวคุณเซย์แต่เมื่อมือผ่านกลุ่มพลังนั่นผมก็ต้องชะงัก
    สัมผัสแบบนี้มัน...
    ผมมองคุณเซย์อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา และรู้สึกว่าเขาก็กำลังมองผมด้วยเช่นกัน
    มือแตะที่ต้นคอเจ้าของสายตาสีฟ้าคมกล้า ก้าวเท้าไปจนชิด รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่อยากที่จะยอมรับเลยสักนิด ตอนนี้จะต้องจัดการกับพลังและความคลุ้มคลั่งนี่ก่อน
    ผมกอดคุณเซย์เอาไว้หลวมๆ พลางใช้พลังควบคุมทุกสิ่งของตัวเองแผ่ออกมาและค่อยๆประสานกับพลังที่แสนยุ่งเหยิงค่อยจัดระเบียบและกล่อมเกลาให้มันสงบลง ปากก็พึมพำเรียกสติของคุณเซย์กลับมา
    จนเมื่อทุกอย่างสงบลงคุณเซย์ก็สลบคาอ้อมแขนผม เดรนยังดูกล้าๆกลัวๆแต่มอร์ฟีนรีบวิ่งมาหา ประจวบเหมาะกับที่เอรินและอลิซวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง อลิซมองไปรอบห้องอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เอรินเองก็เช่นกันแต่เขาไม่แสดงออกมากอย่างอลิซ
    หญิงสาวแสนสวยวิ่งเข้ามาหาผมก่อน จากนั้นก็ถามด้วยความร้อนรน”เซย์คะ เซย์ ไนท์แมร์เซย์เป็นอะไร”
    ผมใช้แรงอีกนิดหน่อยเพื่ออุ้มคุณเซย์ขึ้น ปฏิเสธที่จะให้คำตอบใดๆทั้งสิ้น เอรินมองผมทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ผมใช้สายตาปรามเขาไว้ จากนั้นก็ตรงๆไปยังห้องนอนของคุณเซย์มีมอร์ฟีนและคนอื่นๆเดินตาม
    “ฉันไปตามหมอสไตน์ดีไหม?”เดรนเอ่ยขึ้นเบาๆ แต่ผมตวัดตาไปหาเขา ห้ามโดยไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น ผมวางร่างคุณเซย์ลงบนเตียง มองต้นไม้ที่อยู่ริมระเบียงมากมายและที่อยู่ในห้องอีก นึกโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่เคยสังเกตเห็น แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้
    ให้ตาย แม้แต่ผมยังไม่อยากจะเชื่อเลย
    “ปล่อยให้คุณเซย์นอนไปจนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมาเอง ไม่ต้องตามหมอสไตน์ล่ะ แต่ว่าให้ใครเฝ้าไว้ตลอดเวลาถ้าตื่นขึ้นมาแล้วโวยวายอะไรอีกก็เรียกฉันเลย เดี๋ยวฉันมา”ผมสั่งด้วยความเคร่งเครียด และเน้นย้ำไปทางเอริน
    ผมกำลังจะเดินออกจากห้องนอนของคุณเซย์ แต่แล้วอลิซก็ร้องขึ้นมา”นายเป็นใครกันแน่ไนท์แมร์ แล้วคุณเซย์เป็นอะไร”
    หลังจากทบทวนคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็หันไปส่งยิ้มให้”ฉันก็เป็นลูกน้องของคุณเซย์ ไม่มีทางทรยศเด็ดขาด”ผมเว้นวรรคเล็กน้อย”ส่วนเรื่องที่คุณเซย์เป็นอะไร ฉันว่าไม่นานเธอก็จะรู้อลิซ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะอธิบาย”
    “เดี๋ยวสิ ไนท์แมร์ นายไนท์แมร์”
    ผมไม่สนใจเสียงทักท้วง แต่เดินออกมาแล้วโทรหาใครบางคนทันที
    เขานัดผมออกมาที่นี่และบอกว่านี่เป็นทางเดียวที่จะไปหาเขาได้เร็วที่สุด
    ใช่ เขาบอกผมว่าเป็นวิธีที่จะมาหาเขาได้เร็วที่สุด
    แต่มันไม่ควรจะกลางป่าดงดิบรกทึบแบบนี้นี่ หรือว่าผมจะฟังจุดพิกัดองศาผิดไป นี่ผมยังบอกให้เครื่องเจ็ทบินวนอยู่แถวๆนี้ก่อน หรือว่าผมควรจะโทรไปบอกให้เขาหย่อนเชือกมารับผม แล้วค่อยโทรไปถามพิกัดที่แน่ชัดอีกที
    “เฮ้อ... นายเป็นหมอนะแชด ไม่ใช่นักสำรวจ”ผมพึมพำ แล้วหันขวับไปยังอีกฟากหนึ่งของน้ำตกที่สูงเป็นอันดับสามในโลก เห็นเงารางๆ ก่อนจะหันกลับมาอีกฝั่ง แล้วถูกสวมกอดอย่างแนบแน่น ผมเห็นฝูงแมงมุมไต่เต็มหลังเขาไปหมด ถอนหายใจ ชินซะแล้วกับเรื่องแปลกๆแบบนี้
    “ไม่นึกว่านายจะมาเร็วขนาดนี้ วันวัน มีเรื่องอะไรล่ะ”
    ผมปัดแมงมุมมีพิษร้ายแรงที่ไต่ขึ้นมาอยู่บนไหล่ทิ้งไป สำรวจแวมไพร์ตรงหน้าอย่างทึ่งจัด ครั้งสุดท้ายที่เจอเขายังทำตัวเป็นผู้ดีอังกฤษนั่งจิบชาอยู่ในคฤหาสน์หลังโตอยู่เลย แต่ตอนนี้เขากลายเป็นชายที่เหมือนกับว่าตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่กลางป่าซะแล้ว
    “ฉันว่านายกลับไปเป็นผู้ดีอังกฤษที่ใช้ชีวิตอย่างไร้สาระน่าจะดีกว่านะ แล้วแมงมุมนั่นมันอะไร”ผมหงุดหงิดขึ้นมาทันที เอามือกวาดไปทั่วๆตัวเขาเพื่อปัดแมงมุมทิ้งไป”ทำไมมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าอยากจะก่อตั้งเผ่าอะไรขึ้นมาหรอกนะ...”
    จู่แชโดว์หรือแชดก็เอามือปิดปากผม ส่ายหัวอย่างทึ่งจัด”นายต่างหากที่แปลก เมื่อก่อนนายเคยใจเย็นกว่านี้นี่ เป็นอะไรไป เอาล่ะอธิบายอาการมาให้ละเอียดทีซิ”
    เมื่อเห็นเขาเริ่มซักไซ้อาการ ผมจึงนึกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงขึ้นมาได้
    “เรื่องฉันเอาไว้ทีหลังตอนนี้มีอะไรบางอย่างที่นายต้องไม่อยากเชื่อนอนรออยู่ที่อีกครึ่งโลก ไปกับฉันเดี๋ยวนี้เลย” ผมพูดจบก็กดโทรศัพท์หาคนขับเครื่องบินเจ็ท แต่แชโดว์ก็หายไปอีกแล้ว
    ผมสบถหัวเสียยาวยืด ขณะที่เครื่องเจ็ทค่อยๆลดระดับเหนือผืนป่า หันกลับมาอีกทีจึงเจอแชโดว์ยืนสะพายกระเป๋าอยู่ข้างๆ ขณะที่เขาพูดเสียงดังเพื่อแข่งกับเสียงเครื่องยนต์
    “ขึ้นเครื่องฉันจะตรวจนายให้ละเอียดเลย เร็วๆสิ”
    แชโดว์เป็นแวมไพร์อายุมากกว่าผมราวๆร้อยปี แต่เราเป็นเพื่อนสนิทกันมากกว่า ผมรู้จักเขาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นแวมไพร์ตัวกะเปี๊ยกที่เที่ยวเล่นแกล้งคนนู้นนี้ไปทั่ว เขาไม่ได้เป็นแวมไพร์โดยกำเนิดอย่างผม แต่มีคนเปลี่ยนเขาให้เป็นแวมไพร์ ผมสีควันบุหรี่ตาสีดำสนิท หน้าตาดีมากแม้แต่ในระดับแวมไพร์ด้วยกัน ที่สำคัญเขาเป็นหมอ
    ใช่ไหมล่ะ คนอย่างเขาไม่น่าจะเป็นหมอเลยสักนิด แต่เขาก็เป็นหมอ แถมเก่งมากซะด้วย ถ้าเขาไปอยู่ที่จีนคนที่นั่นก็เรียกเขาว่า หมอเทวดา
    “เอาล่ะพอแล้ว ฉันว่า นายกำลังโตเต็มวัยแล้วล่ะ แค่คิดนะ แต่ยังไม่แน่ใจ เพราะเหมือนพลังทุกอย่างของนายเพิ่มขึ้นมันล้นออกมาข้างนอกตลอดเวลา”แชโดว์เดินวนไปวนมาในเครื่องบินเจ็ท ขณะที่ผมเลิกบิดตัวในท่าแปลกๆตามที่เขาสั่ง และเก็บปีกสีขาวข้างดำข้างลงด้วย
    “โตเต็มวัยเหรอ?”
    “ประมาณนั้น นี่แค่ตรวจคร่าวๆฉันยังรับรองอะไรไม่ได้ ถ้าจะให้แน่นอนที่สุดก็ต้องเก็บข้อมูลใหม่ตั้งแต่ต้นแล้วเอามาเปรียบเทียบกับของเก่าที่เคยทำเอาไว้ จากนั้น...”
    ผมยกมือห้ามเขาพูด ไม่อย่างนั้นผมนี่แหละจะปวดหัวมากกว่าเดิม
    “ตกลงไอ้เรื่องที่นายว่าจะทำให้ฉันไม่อยากเชื่อคือเรื่องอะไร ถึงต้องถ่อมารับฉันด้วยเครื่องบินเจ็ทขนาดนี้ ปกติแล้วนายไม่ค่อยจะเร่งรีบอะไรขนาดนี้นี่นา”แชโดว์เอ่ยถามไม่หยุดขณะที่กำลังเก็บข้อมูลจากการทดสอบเมื่อครู่ลงในย่ามที่สานขึ้นจากเถาวัลย์
    “ไปถึงนายก็จะรู้เอง”ผมตอบเพียงแค่นั้น กำโทรศัพท์มือถืออย่างเป็นกังวล
    เครื่องบินเจ็ทจอดลงเหนืออาคารยักษ์ภายในสามชั่วโมงต่อมา แชโดว์ลงจากเครื่องมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น สูดอากาศเข้าปอด ส่วนผมก็ได้แต่ส่ายหัวเอือมระอาแล้วดึงชายเสื้อเขาให้รีบเดิน และเป็นดังคาดพอผ่านพ้นเสียงเครื่องยนต์มาได้แล้วแชโดว์ก็พล่ามไม่หยุด
    “นี่บ้านใหม่ของนายงั้นเหรอ หมดเงินไปเท่าไหร่ล่ะเนี่ย ทั้งเกาะเลย ไหนจะตึกนี่อีก อากาศที่มีกลิ่นเค็มๆแบบนี้ ฉันไม่ได้สัมผัสมันมานานเท่าไหร่แล้วนะ..”
    ผมยกมือห้ามให้เขาหยุดพูด ไม่เจอกันนานมากนอกจากเขาจะเปลี่ยนที่อยู่ได้อย่างน่าตื่นตะลึงแล้วไอ้นิสัยพูดมากของเขาก็เพิ่มอีกเป็นร้อยเท่า บอดีการ์ดที่เฝ้าอยู่ตรงทางลงบันไดจากชั้นดาดฟ้า โค้งศีรษะให้ผมเล็กน้อย จากนั้นก็กักตัวแชโดว์เอาไว้ เหมือนเจ้าเพื่อนแวมไพร์จะรู้ดี ยอมยืนนิ่งๆกางแขนกางขาให้ตรวจ แล้วยังมีเวลาว่างไปแยกเขี้ยวใส่คนตรวจอย่างอารมณ์ดีอีก
    “ฉันมีปีกด้วยนะ เขี้ยวยังงอกได้ด้วย อยากดูไหม”
    พอตรวจเสร็จเรียบร้อยผมก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนคุณเซย์ทันที แชโดว์คว้าแขนผมไว้ทำจมูกฟุดฟิด
    “ฉันได้กลิ่นคุ้นๆ เหมือนจะเป็นของ...”
    ผมขัดขึ้น”เอาไว้เจอก็รู้เอง ตอนนี้นายต้องรีบไปดูอาการคุณเซย์ อีกอย่างไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นแวมไพร์ นายก็อย่าไปพูดอะไรเข้าใจไหม"
    แชโดว์พยักหน้ารับ แล้วให้ผมเปิดประตูห้อง มอร์ฟีนกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่แต่เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะเอามาปิดบังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเครียดของเขามากกว่า เมื่อเห็นผมเขาก็ผุดลุกขึ้น กำลังจะตะโกนอะไรบางอย่างออกมาแต่พอเห็นแชโดว์ที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็ปรับสีหน้าลง
    “คุณเซย์ยังไม่ตื่นเลย มีอลิซกับเอรินเฝ้าอยู่ในห้อง แล้วหมอนั่นเป็นใคร”
    ผมยิ้มน้อยๆ”เป็นเพื่อนฉันเอง”
    มอร์ฟีนยกมือรับแชโดว์ที่กำลังโบกมือทักทายอย่างร่าเริง แต่เขาก็อ้าปากจะถามผมอีก ดังนั้นแชโดว์ที่รู้งานดีจึงรีบเอามือโอบรอคอชายผมแดงพร้อมกับจ้อไม่หยุดแทน
    อลิซเปิดประตูออกมา พอเห็นผมเธอก็ตวาดลั่น
    “ไนท์แมร์ กลับมาได้ซะทีนะ!!! ทีนี้ก็อ้าปากพูดออกมาได้แล้วว่าตกลงเซย์เขาเป็นอะไรกันแน่!! ถ้านายยังกล้าส่งยิ้มทุเรศลูกตาแบบเมื่อครั้งที่แล้วล่ะก็ฉันไม่ปล่อยนายเอาไว้แน่ แม้แต่กระดูกก็จะไม่เหลือให้ไปไหว้เลยคอยดู!!!
    แม้ว่าผมจะหงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่การทะเลาะกับอลิซไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ผมรีบปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วและควบคุมสติเอาไว้(แชโดว์ส่งเสียงขู่ในลำคอเป็นเชิงเตือน) แล้วนั่งลงที่ขอบเตียงมองคุณเซย์ที่ยังหลับสนิทไม่รู้เรื่องราวใดๆ
    แชโดว์ปล่อยคอของมอร์ฟีนให้เป็นอิสระ จากนั้นก็พูดขึ้นชัดๆว่า”ถ้าไนท์แมร์หรือฉันไม่อนุญาตห้ามใครอ้าปากออกมาแม้แต่คำเดียว นี่ไม่ใช่คำเตือนนะมนุษย์สาวสวย แต่นี่เป็นการป้องกันพวกเธอให้ปลอดภัย เข้าใจไหม”
    อลิซดูโกรธจัดกว่าเดิมเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เธออ้าปากจะพูดอะไรอีกและผมก็ชักจะหมดความอดทนแล้ว
    “เอริน”ผมข่มเสียงให้นิ่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่เหมือนเอรินนั้นจะรู้ดี เขารีบลากอลิซออกไปข้างนอกห้องแล้วปิดประตู แชโดว์มองผมอย่างไม่แน่ใจนัก จากนั้นเขาก็รีบสำรวจคุณเซย์ตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาอย่างรวดเร็ว แล้วก็เริ่มจับชีพจรที่ข้อมือคุณเซย์
    “พึ่งเป็นเมื่อเช้าใช่ไหม ไอ้อาการคลุ้มคลั่งที่ว่า”แชโดว์ถามเสียงจริงจัง
    ผมพยักหน้า”ฉันนึกว่าตัวเองจะตาฝาดแต่ที่ฉันสัมผัสได้ มันเป็นจริงอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นทำไมฉันไม่รู้มาก่อนล่ะ”
    แชโดว์พยักหน้ารับคำอธิบาย จากนั้นเขาก็หันไปหามอร์ฟีน ที่ยืนอย่างสงบเงียบอยู่ในมุมห้อง”ที่นี่มีอุปกรณ์เจาะเลือดรึเปล่า”
    “มี”มอร์ฟีนตอบดูไม่แน่ใจกับน้ำเสียงตัวเองนัก”ฉันจะไปหยิบมาให้ รอเดี๋ยว”แล้วเขาก็หายออกไปจากห้อง สวนกับเอรินที่เดินกลับเข้ามา
    “แต่ที่ฉันเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องที่คนๆนี้เป็นอะไร แต่ห่วงเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก ที่สำคัญนายจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไง ถ้าสุดท้ายแล้ว..”จู่ๆแชโดว์ก็หยุดพูด เขากัดปากตัวเองและไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก ราวกับว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาควรจะพูดตอนนี้ ผมอยากจะคาดคั้นแต่ก็ไม่ทำ สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าสุดท้ายแล้วแชโดว์จะพูดออกมาเอง
    “มันเกี่ยวกับเรื่องชาติกำเนิดของนาย ฉันบอกได้แค่นี้”
    ผมตะลึง ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือพูดเล่นกันแน่ หรือว่าแท้จริงแล้ว.. แท้จริงแล้วเขารู้เรื่องของผมมาตั้งแต่ต้น ไม่หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้ ผมเกิดและโตในปราสาทนั้นคนเดียว ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วผู้ให้กำเนิดผมเป็นใคร มีแค่เรื่องสายเลือดเท่านั้นที่ผมรู้
    ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรออกไป มอร์ฟีนก็เปิดประตูเข้ามา
    “ขอบใจ”แชโดว์พึมพำขอบคุณ เริ่มลงมือเจาะเลือดคุณเซย์ออกมา กลิ่นเลือดที่แตะจมูกอย่างจังทำให้ผมต้องชักสีหน้า ชายผมสีควันบุหรี่รีบเอานิ้วปิดปากแผลที่เจาะเลือดเอาไว้พร้อมกับมองผมอย่างระวังระไว
    “นายออกไปก่อนดีกว่า”เขาพูด ผมลังเลแต่เพื่อความปลอดภัยของทุกคนผมจึงพยักหน้าแล้วเดินออกจากห้อง
    ผมมองอลิซที่นั่งหน้าบึ้งและไม่วายจะหันมามองผมด้วยสายตาขวางๆอีกแต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา น่ากลัวว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้วผมคงต้องโดนเธอเคลียร์ยาวแน่ๆ เอรินเดินหายไปในห้องทำงานของคุณเซย์ ออกมาพร้อมกับเดรนที่แบกกองเอกสาร จะว่าไปแล้วผมก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าวันๆหนึ่งคุณเซย์ต้องตรวจเอกสารเยอะขนาดไหน แล้วนี้เขามาป่วยแถมคนอื่นๆก้ไม่ได้ทำงานด้วย เดรนคงจะเหนื่อยน่าดู
    เมื่อพวกเขาเดินผ่านผมไป ผมเลยไปขวางและเอาเอกสารที่อยู่ในอ้อมแขนเดรนออกมาถือไว้เอง
    “เดี๋ยวฉันช่วย ให้เอาไปไว้ที่ไหน”
    เดรนมองผมด้วยแววตาแปลกประหลาด จากนั้นก็พูดเสียงเรียบว่า”แผนกแยกเอกสาร ทางนั้นจะแยกเอกสารทั้งหมดแล้วส่งคืนแต่ละที่เอง”
    ผมพยักหน้า เดินตามเอรินไป เอาเถอะถือว่าเป็นการทำให้ตัวไม่ให้ฟุ้งซ่านก็แล้วกัน
    ฉันห่วงเรื่องที่จะเกิดหลังจากนั้นต่างหาก นายจะรับได้ไหม
    ฝันร้าย รู้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงได้ชื่อว่าฝันร้าย..
    มันเกี่ยวกับเรื่องชาติกำเนิดของนาย
    “ไนท์แมร์!
    ผมดึงสติตัวเองกลับมาและเห็นเอรินยืนมองผมอย่างประหลาดใจ และคนรอบๆก็หันมามองเราเช่นกัน
    “มีอะไรเหรอเอริน”ผมถามยังคงตั้งสติไม่อยู่
    “ฉันเรียกนายตั้งหลายครั้ง เป็นอะไรไป ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”เขาถามเหมือนจะกังวลเล็กน้อย
    ผมส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ”ฉันไม่เป็นอะไร รีบขึ้นไปดูคุณเซย์ดีกว่า ป่านนี้แชโดว์น่าจะตรวจเสร็จแล้ว”
    เอรินมองผมอยู่นานจากนั้นก็พยักหน้า ไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไรบนหน้าผม แต่ตาสีทองของเขาหม่นลงอย่างไม่มีสาเหตุ
     




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×