คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : NightmareNo.11 .6
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศน่าหวาดหวั่น ผู้หญิงที่ชื่อเรกะ ยืนห่างจากคุณเซย์แค่ไม่กี่ก้าวแต่อยู่ในสภาพคุกคามเต็มที่ มอร์ฟีนและเอรินยังยืนอยู่ที่เดิมเพราะภาพที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่มันรวดเร็วเกินกว่าที่สายตามนุษย์จะมองทัน ส่วนผมเข้าไปยืนขวางคุณเซย์ตั้งแต่เห็นเรกะแยกเขี้ยวใส่
คุณเซย์ตกใจและสงสัยเขายื่นหน้าข้ามไหล่ผมมาแล้วถามว่า“เรกะ เป็นอะไรไป”
ผู้หญิงที่ชื่อเรกะ ยิ้มเยาะปรายตามองคุณเซย์อย่างดูถูก “เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆด้วย ช่างใสซื่อจนน่าสมเพศ” แล้วเธอก็เลิกสนใจคุณเซย์แต่มองมาที่ผม “ไนท์แมร์สินะ นายน่ะ”
ผมหรี่ตาลง สงสัยว่าเธอรู้ชื่อผมได้ยังไง แต่ก็พยักหน้า “ใช่ ฉันเอง”
เธอมองผมเล็กน้อย“ฉันมาที่นี่เพื่อฆ่านาย”
ผมไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย แต่คนรอบๆข้างต่างหากที่ตกใจแทนผม
คุณเซย์ร้องลั่นแล้วมายืนขวางผมไว้”ไม่ได้นะ ใครก็ห้ามฆ่าไนท์แมร์ ไม่ได้เด็ดขาด” ประโยคสุดท้ายเสียงเขากร้าวขึ้นจนเรกะเผลอถอยหลังไปก้าวเล็กๆ
ผมดันตัวคุณเซย์ไปไว้ด้านหลังดังเดิมพูดกับเขาเบาๆว่า “ไม่มีใครทำอะไรผมได้หรอกครับ” จากนั้นผมก็หันไปหาเอรินส่งสายตาให้เขาพาคุณเซย์ไปไว้ในที่ปลอดภัย
เมื่อเอรินพาคุณเซย์ไปยืนกับมอร์ฟีนและเดรนแล้ว ผมก็หันมาเผชิญหน้ากับเรกะที่ยังคงดูคุกคามอยู่
“คนที่ส่งฉันมาเขาฝากมาบอกว่า ฉันดูนายอยู่”
ผมเลิกคิ้วน้อยๆ ไม่แปลกใจเลยเพราะมีแค่คนเดียวที่พยายามฆ่าผม “แล้วยังไง”
เรกะแค่นหัวเราะที่ฟังเหมือนจะเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธมากกว่าอารมณ์ขัน “แล้วเขาก็บอกว่า ถ้าฆ่านายไม่ได้เขาจะฆ่าฉัน” แล้วสีหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวสุดขีดพร้อมกับเสียงที่กรีดแหลม “เข้าใจไหม คนอย่างเขาจะฆ่าฉันมันง่ายดายแค่ไหน ฉันต้องฆ่านาย ฆ่านายให้ได้ ได้ยินไหม”
ผมเอามืออุดหู “แหกปากลั่นซะขนาดนั้นไม่ได้ยินก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” ผมลดมือลงประเมินเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าถามว่า “เธอเป็นมาได้นานเท่าไหร่แล้ว”
สีหน้าเธอดูขมขื่นแต่ก็ตอบออกมาเบาๆว่า “สามเดือน สามเดือนที่เต็มไปด้วยความทรมาน ไม่ว่ายังไงฉันก็จะต้องฆ่านายให้ได้”
ผมไม่ได้สนใจประโยคหลัง แต่สนใจที่จำนวนเดือนมากกว่า ถ้าพึ่งเป็นแวมไพร์ได้สามเดือน ก็แสดงว่าเธอแข็งแกร่งพอสมควร แต่ในขณะเดียวกันพวกนี้จะยังไม่มีประสบการณ์ด้านการต่อสู้ ส่วนมากทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น
เมื่อผมขยับตัวเธอก็พุ่งตรงมาที่ผมพร้อมกับเล็บที่งอกยาวออกมา ผมรอจนเกือบประชิดตัวแล้วหลบไปด้ายซ้าย อัดหมัดเข้าที่ท้องของเธอ ร่างบางกระเด็นติดผนังกระจก ผมไม่รอช้ารีบตามไปจับหัวเธอกดลงกับพื้น เสียงเหมือนโลหะกระทบกับกะโหลกทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อย เธออ้าปากจะกัดมือแต่ผมใช้เท้าเตะอัดเข้าไปที่ลำตัวของเธอสองที แล้วใช้เท้าเหยียบเธอไว้จนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
“จะฆ่าฉัน?” ผมหัวเราะเบาๆอย่างดูถูก ตอกกลับว่า”หนีฉันให้พ้นก่อนจะดีกว่า คนอย่างเธอมันน่าสมเพศชะมัด” ผมปล่อยเรกะเป็นอิสระ แล้วหันไปหาทุกคนที่ยืนอ้าปากค้าง
เอรินมองผมอย่างจับผิด และถ้าเขาเป็นแบบที่ผมคิดไว้เขาก็คงจะรู้แล้วว่าผมเป็นแวมไพร์ เดรนดูตกตะลึง แต่ไม่เท่าที่เห็นผมบินได้(เพราะเขาไม่ร้องว้ากๆออกมา) มอร์ฟีนเบิกตากว้าง พึมพำไม่มีเสียงว่า ทำได้ยังไง แต่ที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดคือ คุณเซย์ ตาสีฟ้าสดจ้องผมแบบตาไม่กระพริบ ดูเหมือนตกใจและ.. เอ่อ... ผมไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดยังไงอยู่
“แก” เสียงกรีดร้องอย่างโกรธแค้นดังขึ้นจากด้านหลัง
”ระวัง” ทุกคนร้องตะโกน
ผมยิ้มน้อยๆ ยื่นมืออกไปด้านหลัง บีบคอเรกะเอาไว้โดยไม่หันไปมอง ถามเอรินช้าๆว่า “ฉันฆ่าเธอตรงนี้ได้ไหม อาจจะเลอะนิดหน่อย”
เอรินนิ่งค้างจากนั้นก็รีบพยักหน้า ผมยิ้มขอบคุณ หันมามองเรกะที่กำลังตะเกียตะกายเอาชีวิตรอดจากมือที่เหมือนคีมเหล็กของผม ผมล้วงมือเข้าอกเสื้อหยิบมีดเงินบริสุทธิ์ออกมา เมื่อเธอเห็นมันก็ยิ่งดิ้น ใช้เล็บขีดข่วนผมแต่มันเป็นแค่รอยแดงจางๆเท่านั้น ไม่นานก็จากหายไป
“ฟีนทางที่ดี อย่าให้คุณเซย์ดูดีกว่า” ผมบอกเขาเงื้อมือขึ้น มอร์ฟีนรีบเอามือปิดตาคุณเซย์ เมื่อมันปลอดภัยต่อสายตาคุณเซย์แล้วผมก็ปักมีดไปที่ตำแหน่งหัวใจของเรกะ
เรกะดิ้นพราดๆ จากนั้นก็ตัวอ่อนปวกเปียก ผมดึงมีดออก เอาทิชชู่ใกล้มือเช็ดเลือดที่เปื้อนมีด เสียดายอยู่เล็กน้อยที่มันไม่ใช่เลือดมนุษย์ เมื่อหันมามองอีกที ผิวของเรกะก็พองออกเป็นตุ่มขนาดใหญ่ทั่วตัว พอพองจนแตกออกเลือดก็กระจายไปทั่ว เป็นภาพที่น่าสยดสยองพอสมควร แต่ผมเห็นจนชินแล้ว และพอตุ่มทั้งตัวหายไป เธอก็จะตาย แต่แบบนั้นมันก็จะเลอะเทอะมากเกินไป ผมจึงเตะหมวกเธอออกจากนั้นร่างเธอก็สลายกลายเป็นเศษธุลีหนึ่งกองเพราะโดนแสงอาทิตย์
“เปิดตาได้แล้วล่ะ” ผมบอกมอร์ฟีน พอเปิดตาคุณเซย์เสร็จ เดรนก็วิ่งเข้าห้องน้ำ มอร์ฟีนดูพะอืดพะอมแต่เอรินกลับมองผมด้วยแววตาเรียบเฉย เราสบตากันชั่วครู่ก่อนผมจะเป็นฝ่ายละสายตาออกมา
ตาสีทองดั่งสัตว์ป่านั่นรู้แล้ว ว่าผมเป็นอะไร ที่นี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะพูดหรือไม่เท่านั้น
คุณเซย์วิ่งมาหาผม ไม่ได้สนใจกองเลือดแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ดีแล้ว “ทำได้ยังไงน่ะ แค่ขยับตัวไม่กี่ทีเอง แถมความเร็วระดับที่เหมือนกับหายตัวนั่น เก่งกว่ามอร์ฟีนอีก”
ผมยิ้มรับน้อยๆไม่พูดอะไร เหลือบมองนาฬิกา “ใกล้เวลาแล้วล่ะครับ ผมว่าเราไปกันดีกว่า”
เอรินเดินมาหาคุณเซย์พยักหน้ารับเห็นด้วยกับผม”เดี๋ยวผมจะให้คนมาทำความสะอาด เราก็ต้องไปได้แล้วล่ะครับ อลิซก็รออยู่ที่งานแล้วด้วย จำได้ไหมครับ”
คุณเซย์เหมือนพึ่งนึกขึ้นได้”จริงด้วย อลิซจะเป็นพรีเซ็นเตอร์ ต้องไปดู เราไปกันเถอะ” เดรนเปิดประตูเข้ามาหน้าซีดขาวคุณเซย์ส่งสายตาเป็นห่วงไปให้”ไหวไหมเดรน ให้ไนท์แมร์ไม่ก็มอร์ฟีนพยุงไปนะ”
เดรนเบิกตากว้างหันมามองผมและมอร์ฟีนส่ายหัวอย่างแรง
“เราไปดูแลเดรนผู้บอบบางกันเถอะ”มอร์ฟีนเอ่ยขึ้น ย่างสามขุมไปหาคว้าแขนเดรนข้างหนึ่ง
“เดี๋ยวจะเป็นลมก่อนไปถึงที่งานเอา” ผมคว้าแขนอีกข้างของเดรน เขามองหน้าผมกับมอร์ฟีน ดูหวาดกลัว อ้าปากจะร้องเรียกแต่มอร์ฟีนขัดขึ้นมาเบาๆว่า
“ลองร้องดูสิ เราจะบอกว่านายเดินไม่ไหวต้องให้เราสองคนอยู่ดูแลตลอดทั้งอาทิตย์”
เดรนหุบปาก เราสองคนจึงจัดการหิ้วปีก เดรนตามคุณเซย์กับเอรินไป แต่ในใจผมก็ยังคิดเรื่องเรกะเต็มหัว
กล้าบุกมาถึงคุณเซย์ได้ แสดงว่ามั่นใจมาก และนี่ถึงกับส่งแวมไพร์มา
ผมถอนหายใจเบาๆ ดูท่าเรื่องนี้จะไม่จบง่ายๆเอาซะแล้ว ในเมื่อฝั่งหนึ่งคือคุณเซย์และอีกฝั่งคือเขา ดราก้อนมังกรผยองแห่งยุโรปที่เป็นคู่แข่งทุกด้านของคุณเซย์ คู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวที่มีทุกอย่างเสมอเหมือน และเป็นศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่คุณเซย์ยังไม่สามารถเอาชนะได้อย่างขาดลอย
เมื่อสองขั้วอำนาจที่คานกันมาตลอดกำลังเกิดจุดแตกหัก โลกก็คงปั่นป่วนและถึงกาลพินาศ ยิ่งไปกว่านั้นจุดแตกหักที่ว่า ก็มีสาเหตุมาจากผมเพียงคนเดียว
นี่ผมเข้ามายุ่งกับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ ไม่เข้าใจจริงๆ
จัตุรัศเซิร์กถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นลานแสดงสินค้าขนาดใหญ่และหรูเริดอลังการ เมื่อคุณเซย์มาถึงกล้องนับร้อยตัวต่างสาดแสงแฟลชระยิบระยับไม่หยุด จนผมถึงกับต้องล้วงแว่นกันแดดของตัวเองออกมาสวม แต่คุณเซย์กลับยิ้มจนตาหยีเหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สากับแสงแฟลชเลยแม้แต่น้อย ผมแอบชื่นชมในความเป็นมืออาชีพของเขาไม่ได้
“คุณเซย์ทางขวา เก้านาฬิกาครับ ตรงนั้นเป็นผู้บริหารของฝ่ายเอเชียตะวันออก” เอรินกระซิบบอกคุณเซย์แผ่วเบา แต่ผมได้ยินอย่างชัดเจน
ผมมองอย่างมึนงงพลางดูคุณเซย์ที่หันไปทางขวา เก้านาฬิกาเป๊ะๆ และมันก็ช่างเหมาะเจาะกับผู้บริหารสาววัยสี่สิบต้นๆพอดี คนที่เอรินบอกว่าเป็นผู้บริหารของฝ่ายเอาเชียตะวันออกดูท่าจะสนิทกับคุณเซย์พอสมควรเพราะเธอรีบจับมือทักทายและกระซิบบอกชื่อแขกเหรื่อที่มาในงานอย่างรวดเร็วว่าอยู่ที่อะไรยังไงบ้าง จากนั้นทั้งคู่ก็พากันเดินไปยังเวทีที่ถูกยกสูงขึ้นตกแต่งประดับประดาด้วยสไตล์ล้ำสมัยแต่มีการเอาเครื่องประดับหรือพรมแบบโบราณมาใช้ทำให้ได้ความแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใครและดูดีเอามากๆ
คุณเซย์เดินไปนั่งยังที่ของตัวเองซึ่งขนาบข้างด้วยเอรินและมอร์ฟีนส่วนผมนั่งอยู่ด้านหลังของคุณเซย์ตรงนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด และโล่งโจ้งล่อเป้ามากที่สุดเหมือนกัน ผมมองขึ้นไปบนฟ้าแลเห็นเฮลิคอปเตอร์อยู่ไกลๆ
ถ้าเขาจะบุกมาก็คงต้องคิดหนักกันหน่อยล่ะ ว่าจะโรยตัวจากบนฟ้าเพื่อถูกจรวดนำวิถีไล่หรือจะเดินโทงๆเข้ามาในงานแล้วถูกปืนนับสิบจ่อหัวเอา แต่ไม่ว่าจะทางไหนผมก็ไม่เห็นทางที่จะไม่ทำให้เขาตายได้เลย
งานเริ่มขึ้นคุณเซย์ขึ้นไปกล่าวอะไรเล็กน้อยจากนั้นก็เปิดงานด้วยการยิงพลุขึ้นฟ้าเป็นรูปสัญลักษณ์แทนองค์กรของตัวเอง ทุกคนส่งเสียงร้องปรบมือดังก้องแล้วการเดินแบบคู่กับมือถือชุดแรกก็มาถึง ผมดูไปด้วยพร้อมกับสังเกตระแวดระวังตลอดเวลา จากนั้นก็หันไปสนใจเมื่อได้ยินคุณเซย์กับมอร์ฟีนปรบมือเสียงดังลั่น
อลิซยืนโพสท่าอยู่บนเวทีในชุดกระโปรงพองลูกไม้แบบที่เธอชอบใส่แต่ที่คอซึ่งปกติจะเป็นสร้อยมุกกลับเป็นโทรศัพท์มือถือสุดหรูและเข้ากับชุดเครื่องหนึ่ง หลังจากส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้คุณเซย์จนพอใจแล้วอลิซก็ขยิบตาให้ผมพร้อมกับเดินกลับไปแล้วที่ทำให้ผมอึ้งค้างที่สุดก็เป็นชายคนต่อมาที่อยู่ในชุดสูทแบบเก่าที่ดูเหมือนคุณลุง ชายขากางเกงพับขึ้นสองทบเห็นข้อเท้าเปลือยเปล่าที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าหนังสีน้ำตาล คนๆนั้นไม่ใช่ใครแต่เป็น
“เดรน....”มอร์ฟีนที่นั่งอยู่ข้างหน้าครางออกมาดูเขาอึ้งยิ่งกว่าผมซะอีก
เดรนพอถอดแว่นแล้วดูดีกว่าเดิมหลายเท่า ผมที่เคยเรียบแปล้จัดให้เป็นทรงที่ดูขัดกับชุดแต่ลงตัวเหมาะเจาะ เมื่อมาถึงที่หน้าเวทีเขาก็ถอดเสื้อนอกออกเอาพาดบ่ามืออีกข้างคลายเน็คไทด์ แกะกระดุมสองเม็ดบนออก ที่เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆด้านหลังเมื่อเห็นแผงอกที่ดูซ่อนรูปของเขา จากนั้นเขาก็ล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงเปิดฝาพับขึ้น ส่งสายตาคมกริบมาที่ผม เดินหันหลังกลับไป จากนั้นแค่สามก้าวเขาก็ชะงักพร้อมกับเอียงหน้าข้ามไหล่มา รอยยิ้มแพรวพราวประดับอยู่ที่ริมฝีปากแล้วตาสีน้ำตาลอ่อนก็ขยิบให้กล้องหนึ่งที
“เดรนเท่มากเลย เก่งๆ”คุณเซย์ร้องปรบมือเสียงดังก้อง”เชื่อไหมยอดสั่งซื้อจะต้องทะลุเป้าแน่ๆ”
ผมว่าเดรนไปได้เกิดมาเพื่อเป็นเลขาคุณเซย์หรอกแต่เขาเกิดมาเพื่อเป็นนายแบบมากกว่า
หลังจากนั้นเมื่อจบการเดินแบบโทรศัพท์มือถือเกือบสิบเครื่องก็เป็นการโชว์แฟชั่นเสื้อผ้าของฤดูกาลนี้ แน่นอนว่าอลิซและ(โดยเฉพาะ)เดรนเป็นถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ผมชอบเรื่องเสื้อผ้าอยู่แล้วจึงตั้งอกตั้งใจดูและคิดว่าตัวเองอยากได้ชุดไหนบ้าง
จนกระทั่งกลิ่นหอมอ่อนที่แสนคุ้นเคยเตะเข้าที่จมูกอย่างจัง ผมถึงได้สติคืนมา
แต่ก็สายไปเสียแล้ว
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะไนท์แมร์คุง”เสียงกลางที่ติดยั่วเย้าดังขึ้นที่ข้างใบหู กลิ่นหอมอ่อนและเสียงชีพจรที่ดังเต้นตุบทำให้ผมต้องกัดฟันแน่น แล้วเอี้ยวตัวไปที่มอร์ฟีนข่มเสียงให้นิ่มมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ฟีนเดี๋ยวฉันมานะ ฝากคุณเซย์ด้วย”พูดจบผมก็ลุกขึ้นยืนทันทีโดยมีมือของใครอีกคนกำชายเสื้อผมไว้แน่น
ผมมาหยุดที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว จากนั้นก็ปัดมือที่กำชายเสื้อผมออก ก้าวถอยห่างไปหลายก้าว นับหนึ่งถึงร้อยในใจเพื่อข่มความต้องการที่พุ่งพล่านในตัว
“มาทำไม”ผมเอ่ยถามและเห็นใบหน้าที่ถูกเงามืดครึ่งหนึ่งบังไว้หมองลง และเมื่อเขามายืนท่ามกลางแสงไฟ ผมสีบรอนซ์ทองก็สะท้อนแวววับ ตาสีเขียวคมกล้า ใบหน้าราวรูปปั้นของเทพเจ้ากรีก รูปร่างสูงโปร่งดูแข็งแกร่งเขาอยู่ในชุดสูทเรียบๆดูไม่โดดเด่น แต่เมื่อมาอยู่ตรงหน้าผมทุกอย่างที่เป็นเขาเผยออกมาจนหมดสิ้น แม้เขาจะดูเศร้าสร้อยก็ยังแฝงไปด้วยความถือดีมั่นใจในตัวเอง เป็นหนึ่งในสามคนที่ผมอนุญาตให้เรียกไนท์แมร์คุง เป็นชายที่ผมเกลียดมากที่สุดและขาดไม่ได้มากที่สุดเช่นกัน
แล้วผมก็ต้องคิดผิดที่ตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ เมื่อสายลมพัดพากลิ่นหอมยั่วน้ำลายเข้าจมูก
“ฉันคิดถึงไนท์นะ”ดราก้อนมังกรผยองแห่งยุโรปเอ่ยเสียงดูโหยหา แต่มือสวยของเขากลับคลายเนกไทด์และปลดกระดุมเม็ดบนออก
ผมกัดฟันแน่น จิกเท้ากับพื้นเพื่อไม่ให้พุ่งเข้าไปกระโดดงับคอเขาแต่สายลมก็ไม่เป็นใจเอาซะเลย
“มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรงๆ ดราก้อน”
คราวนี้ผมเห็นแววตาที่โศกเศร้าของเขาจริงๆ และนั่นทำให้ผมใจอ่อนยวบเสียศูนย์ไปชั่วครู่”ทำไมถึงเรียกฉันแบบนั้น เรียกโนอาเหมือนเดิมไม่ได้เหรอ”
โนอาสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมได้แต่กัดฟันแน่น ยิงเขาเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่กลิ่นหอมยั่วน้ำลายก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เสียเลือดที่เต้นตุบๆดังก้อง
“แต่แปลกนะ ปกติไนท์ไม่เคยอดทนได้นานขนาดนี้”โนอาหรือดราก้อนสาวเท้ามาจนชิดแล้วเอียงหน้ามากระซิบที่ข้างหูผม”นานแค่ไหนแล้วที่ไนท์ไม่ได้กินเลือดสดๆ”
คราวนี้ความอดทนของผมสิ้นสุดลงแล้วจริงๆ ผมสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมสีบรอนซ์อ่อนนุ่ม รั้งเขามาจนชิดแนบปากตัวเองลงไปกับต้นคอ ลิ้มรสเลือดที่แสนหอมหวาน นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้ลิ้มรสเลือดของโนอา
เลือดของเขาเหมือนยาเสพติดสำหรับผม ยิ่งกินมากเท่าไหร่ยิ่งอยากมากขึ้นเท่านั้น
นั่นเป็นสาเหตุที่ผมเกลียดเขาและต้องการเขาในเวลาเดียวกัน
โนอาเป็นผู้ชายที่โหดเหี้ยมเลือดเย็นที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ เขาเลว
ใช่ แต่ผมก็ขาดเขาไม่ได้
“หึ หึ หึ”เสียงหัวเราะในลำคอฟังดูสนุกสนานทั้งๆที่ผมพึ่งฝังเขี้ยวลงไปให้ลึกกว่าเดิม”ท่าทางจะอยากมากจริงๆสินะ”
ผมรั้งต้นคอเขาเป็นคำตอบ แต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“ฉันจะไม่โกรธไนท์เลยสักนิด ถ้าไนท์หาเวลาไปเยี่ยมฉันบ้าง ฉันก็เหงาเป็นเหมือนกันนะ”
ผมถอนปากออกอย่างงุนงง รีบเลียปากแผลที่ยังคงขับเลือดออกมา น้ำลายของผมช่วยห้ามเลือดได้และทำให้บาดแผลหายเร็วและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ไม่ว่าแผลจะเหวอะสักแค่ไหนก็ตาม แต่พอผมจะถอยออกโนอากลับกอดผมเอาไว้ ซึ่งนั่นสร้างความงุนงงให้ผมเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว
จนในที่สุดก็อดถามออกไปไม่ได้ว่า
“คนอย่างนาย มีความรู้สึกได้ด้วยเหรอ”
เป็นอีกครั้งที่โนอาฝืนหัวเราะออกมา”ตอกได้เจ็บสมกับเป็นไนท์จริงๆ”จากนั้นเสียงของเขาก็กลายเป็นตัดพ้อที่แน่นอนว่าทำให้ผมใจอ่อนยวบเป็นครั้งที่สอง”แล้วมนุษย์อย่างฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกได้เลยเหรอไนท์”
“ได้สิ”ผมตอบ”ถ้านั่นหมายถึงความโหดเหี้ยมและเย็นชา นายก็มีได้โนอา”
“คนอย่างฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกแค่นั้นจริงๆเหรอ? ฉันโกรธไม่ได้ อิจฉาไม่ได้ เหงาไม่ได้ คิดถึงไม่ได้ เป็นห่วงไม่ได้เลยใช่ไหม?”
ผมรู้สึกว่าตัวเองพูดอะไรบางอย่างผิดไปและสำนึกผิดชอบชั่วดีที่นานๆที่จะมีกำลังตีกันไปมา จากนั้นผมก็รู้ตัวว่ากำลังใจอ่อนและตกลงไปกับดักของคนตรงหน้าอีกครั้ง
“ถ้าแค่ให้ฉันหาเวลาไปเยี่ยมล่ะก็ได้”ผมพึมพำอย่างอ่อนใจ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นกับดักแต่ทุกครั้งผมก็เต็มใจที่จะเดินลงไปเสมอ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ”แต่ถ้าให้กลับไปอยู่ด้วยเหมือนเดิมคงจะไม่ได้ ฉันก็มีชีวิตของฉัน นายก็มีชีวิตของนายเอง เข้าใจที่พูดใช่ไหม”
“เข้าใจสิ”โนอาตอบจากนั้นก็ลากผมไปนั่งที่ม้านั่งยาวใกล้ๆ
ผมมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็เกือบยี่สิบนาทีแล้ว ผมจะละเลยหน้าที่ไม่ได้ โนอาก็รู้ดีว่าผมนิสัยยังไงเขาเลยพูดขึ้นว่า
“ไปทำงานซะสิ ฉันไม่ก่อเรื่องแน่ ที่สำคัญวันนี้ฉันมาในฐานะแขกของคุณดาโรเซย์”
“เอ๋?”ผมไม่เข้าใจอย่างที่สุด คุณเซย์เนี่ยนะที่จะเป็นคนเชิญศัตรูหมายเลขหนึ่งเข้ามาในถิ่นของตัวเอง
“ฝันร้ายยังไม่รู้แน่ๆ ตลกดีนะนานๆทีจะเห็นไนท์โดนต้มเอา”โนอาหัวเราะและทำให้ผมงงหนักเข้าไปอีก นี่ๆเขาหมายความว่ายังไง เรื่องที่ผมไม่รู้ เรื่องที่ผมโดนต้ม อะไร? ใครต้ม?
“เมื่อสามเดือนที่แล้วฉันกับคุณดาโรเซย์ได้คุยกันอย่างเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังแข่งกัน ซึ่งฉันกับเขาได้เล็งเห็นว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา เราจึงตกลงกันว่าจากนี้เราจะไม่แข่งกันแต่จะร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมาก็จะมีการมาแลกเปลี่ยนความรู้ อบรมคน การสัมมนาต่างๆ ซึ่งฉันเห็นแล้วว่ามันดีมากๆ ยิ่งไนท์มาทำงานกับเขาแล้วฉันจับมือเป็นพันธมิตรกับดาโรเซย์ โอกาสที่จะได้เจอไนท์โดยไม่ต้องมาตามล่าใช้คนให้เปลืองงบประมาณก็มีมากขึ้นตั้งเยอะ คุณดาโรเซย์ก็รู้นะว่าเมื่อก่อนไนท์เคยทำงานให้ฉัน แต่เหลือเชื่อจริงๆ”โนอาหัวเราะแต่ผมอึ้งไปแล้ว”เหลือเชื่อจริงๆที่ไนท์จะถูกคนที่ดูซื่อๆอย่างคุณดาโรเซย์ต้มเอา”
ที่แท้คุณเซย์จับมือกับโนอาตั้งนานแล้ว แต่ผมกลับระแวงอย่างนู้นอย่างนี้ว่าจะมีคนมาตามล่าจนไปเดือดร้อนคุณเซย์เข้า ที่ไหนได้คุณเซย์รู้เรื่องมาตลอด นี่ผมโดนต้มจนเปื่อยเลยนะ แล้วที่เขาให้ผมดูแลการคุ้มกันทั้งหมดวันนี้ก็เพื่อต้องการจะแกล้งผมอย่างนั้นสินะ
เป็นเจ้านายที่อันตรายจริงๆ
“แล้วที่โนอาส่งแวมไพร์ตนนั้นมาฆ่าฉันเพราะ...”
“คุณดาโรเซย์อยากเห็นฝีมือที่แท้จริงของนาย ฉันเลยส่งน้ำจิ้มๆไปให้ เพราะรู้ว่ากะอีแค่แวมไพร์อายุสามเดือนแบบนั้นก็คงไม่ต่างจากตุ๊กตายัดนุ่นให้ไนท์ขยี้เล่น แต่จะว่าไปเหมือนเขาจะยังไม่รู้นะว่าไนท์เป็นแวมไพร์”
ผมถอนหายใจ”ไม่รู้น่ะดีแล้ว เอาล่ะ ฉันคงต้องกลับไปทำงานก่อน ถ้ามีโอกาสคงได้เจอกันอีก”
ผมเดินจากออกมาทิ้งดราก้อนมังกรผยองแห่งยุโรปไว้เบื้องหลังและยิ้มให้กับท้องฟ้าดวงดาวสายลม ไม่นึกเลยว่าปัญหาทั้งหมดจะจบลงง่ายๆอย่างนี้
ใช่แล้วล่ะ ถ้ามันจบลงง่ายๆจริงๆก็คงจะดี แต่ทำไมในส่วนลึกของหัวใจผมถึงรู้สึกกังวลขึ้นมาได้ ราวกับว่าเหตุการณ์ในวันนี้ล้วนเป็นภาพลวงตา ที่เกิดจากเล่นละครฉากใหญ่ของใครบางคน
ความคิดเห็น