ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nightmare No.11

    ลำดับตอนที่ #5 : Nightmare No.11.5

    • อัปเดตล่าสุด 9 มิ.ย. 53


    ผมตื่นตาตื่นใจกับถนนใต้ทะเลตอนขากลับแม้การเดินทางจะน่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย คุณเซย์ไม่อยากทิ้งแพมไว้อยู่คนเดียวจึงเอาหมาตัวใหญ่มาด้วย ผมจึงต้องนั่งเบียดกับเอรินคุณเซย์และหมายักษ์ที่เบาะหลัง มอร์ฟีนเป็นคนขับและเดรนนั่งเบียดกับอลิซที่เบาะหน้า แต่การที่ผมได้ท่องเที่ยวไปใต้ทะเลเป็นครั้งแรกก็น่าตื่นเต้นดี มองไปด้านบนก็จะเห็นเพียงแสงรำไรของของดวงอาทิตย์มองไปด้านล่างก็ดูลึกไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็มักจะมีปลาน้อยใหญ่ว่ายวนไปมาให้ได้เห็นอยู่เสมอ

    การเดินทางใต้น้ำลึกห้าร้อยเมตรจบลงภายในไม่ถึงชั่วโมงกับระยะทางสามร้อยแปดสิบเจ็ดกิโลเมตรเพราะมอร์ฟีนเหยียบเต็มพิกัดเท่าที่ประสิทธิภาพสูงสุดของเครื่องยนต์จะทำได้ และเราก็มาโผล่ที่โกดังเก็บของใกล้ท่าเรือทางทิศใต้ ห้องเช่าผมอยู่ทางทิศตะวันออก ต้องขับรถไปอีกประมาณสามสิบนาทีตามความเร็วปกติ

    แต่สำหรับมอร์ฟีน แค่สิบห้านาทีก็ถึงที่หมายแล้ว และนั่นก็รวมใบสั่งที่จะตามมาภายหลังอีกสิบใบตลอดสิบแยกไฟแดง

    “บ้านอยู่ใจกลางเมืองเลยนะ”อลิซออกความเห็นพร้อมกับมองไปรอบๆที่มีผู้คนเดินขวักไขว่

    “คอนโดมิเนียมสูงจังเลยเนอะแพม” คุณเซย์มองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมกับเอามือป้องหน้าแพมมองตามแล้วเห่าสั้นๆเป็นคำตอบ“แบบนี้ต้องแพงแน่นอนเลย ใช่ไหมไนท์แมร์”

    ผมยิ้มให้คุณเซย์เป็นคำตอบ”เข้าไปข้างในกันเถอะครับ แต่ถ้าอยากจะไปเที่ยวล่ะก็นั่งรถไฟใต้ดินหรือไปตามจุดวาร์ปก็ได้ แถวนี้แหล่งช้อปปิ้งเยอะแยะ” คุณเซย์ตาวาวจากนั้นก็หม่นลงหันไปมองมอร์ฟีนที่ยังไม่ได้พูดอะไรเอาแต่อ้าปากค้างกับคอนโดมิเนียมสูงเสียดฟ้า อลิซทำท่าสนใจแล้วอ้อนเสียงหวานกับคุณเซย์

    “งั้นเราไปเดินเที่ยวสักชั่วโมงสองชั่วโมงเถอะนะคะ ที่นี่ให้มอร์ฟีนกับเอรินอยู่ช่วยไนท์แมร์เก็บของ นั่งรอเฉยๆมันก็น่าเบื่อเราไปเดินเที่ยวเปิดหูเปิดตาดีกว่านะคะเซย์”

    คุณเซย์ดูลังเลใจเขาหันไปมองเอรินกับมอร์ฟีนจากนั้นก็ก้มลงมองแพมที่ดูท่าอยากไปเต็มที่แล้วตอบรับเสียงอ้อมแอ้ม “ไปก็ได้ แต่อย่านานนะ ฉันอยากเห็นห้องของไนท์แมร์”

    เดรนขยับแว่นพูดเสียงนิ่งว่า “ถ้าอย่างนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันที่รถ” แล้วก็ปรายตามาทางผม

    หมายความว่ายังไง ไอ้การมองแบบนั้น

    ผมแยกทางกับคุณเซย์อลิซเดรนและแพมเดินไปในล็อบบี้ของคอนโดมีเนียมที่ตกแต่งหรูหราราวกับห้องโถงในพระราชวัง เมื่อมีพนักงานเห็นผมเขาก็รีบวิ่งมา โค้งให้หนึ่งทีผมพยักหน้ารับน้อยๆขณะที่มอร์ฟีนอ้าปากค้างอีกรอบ เอรินดูไม่ตกใจนักแต่มองไปรอบๆล็อบบี้อย่างสนอกสนใจ

    “ผมสั่งให้ซ่อมประตูเรียบร้อยแล้วครับ และทำความสะอาดห้องให้ทั้งหมดแล้ว”

    “ขอบใจมาก ทัตสึยะ”ผมตอบรับแล้วออกเดินต่อโดยมีพนักงานชื่อทัตสึยะเดินตาม “ฉันจะไม่อยู่ที่นี่สักพักนะ ช่วยดูแลทุกอย่างให้เหมือนเดิมด้วย”

    “ครับ ผมทราบแล้ว แต่เมื่อตอนเช้ามีคนมาถามหาคุณเขาบอกให้เอาจดหมายนี่ให้เมื่อคุณมาถึงแล้ว” ทัตสึยะล้วงกระดาษแผ่นสีขาวขนาดพอดีออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ผมรับมันมาไม่แน่ใจว่าใครส่งมาให้

    “ขอบใจ นายไปได้แล้วล่ะทัตสึยะ” ผมบอกแล้วเขาก็โค้งตัวเดินห่างออกไป ผมเปิดกระดาษสีขาวออกเอรินและมอร์ฟีนชะโงกหน้ามามอง ในนั้นมีลายมือที่ชั่วชีวิตนี้ผมไม่มีวันลืมมันได้

    ฉันดูนายอยู่

    “ฉันดูนายอยู่ หมายความว่าไง” มอร์ฟีนเอ่ยขึ้นแล้วหันไปมองเอรินที่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ ชายผมแดงมองผมที่ยังจ้องกระดาษแผ่นน้อยๆในมือถามต่อว่า “มาจากใคร นายรู้ไหม”

    ผมไม่ตอบ แต่แน่นอนว่าผมรู้ รู้ดีตั้งแต่เห็นลายมือนั่นแล้ว และอย่างที่บอกผมไม่มีวันลืมมันได้ง่ายๆ แค่ไม่นึกว่าจะตามจองล้างจองผลาญผมไม่เลิก ดูแล้วถ้าไม่จัดการขั้นเด็ดขาดผมคงไม่มีทางมีชีวิตสงบสุขไปอีกหนึ่งร้อยปีแน่ๆ

    ลิฟท์เปิดออกที่ชั้นบนสุด เราสามคนเดินตรงไปที่ห้อง ผมล้วงคีย์การ์ดออกมาแล้วรูดให้ประตูเปิด กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ลอยตลบอบอวลทั่วห้อง มันมาจากกระถางดอกไม้ที่ผมปลูกไว้บนระเบียง ตรงนั้นเป็นเหมือนสวนย่อมๆเลยทีเดียว เพราะเอล์ฟผูกพันกับต้นไม้และธรรมชาติ ดังนั้นงานอดิเรกของผมก็คือการปลูกต้นไม้ เอรินเดินดูรอบๆ มอร์ฟีนวิ่งเข้าห้องนู้นออกห้องนี้  ผมตรงไปเก็บเสื้อผ้าที่ห้องแต่งตัวเอามาแค่ไม่กี่ชุดกับคอมพิวเตอร์พกพา บัตรเครดิต สมุดบัญชีและสิ่งของที่ระลึกจากนู่นนี่อีกเล็กน้อย

    “นายต้องรวยมากแน่ๆ” มอร์ฟีนพูดกับผม ตอนที่ผมลงรหัสที่ประตู “คอนโดสูงเสียดฟ้า ไหนจะเสื้อผ้า ฟอนิเจอร์ในห้องอีก รวยขนาดนี้แล้วทำไมต้องหางานทำด้วย กินๆนอนไปวันๆสบายกว่าตั้งเยอะ”

    “ทำแบบนั้นก็น่าเบื่อตายเลยสิ” ผมตอบ ใช่ยิ่งสำหรับผม ที่เวลาไร้ความหมายมันยิ่งน่าเบื่อจนแทบคลั่งตาย

    “ฉันเห็นด้วย ในเมื่อมีทุกอย่างแล้ว สิ่งที่ยังไม่มีก็คือความตื่นเต้นเนี่ยแหละ” เอรินเอ่ย ผมหันไปมอง เขาพูดเหมือนกับว่าเขาก็รวยเหมือนกัน มอร์ฟีนเองก็มองแต่จากนั้นก็ไม่ได้สนใจ

    ผมโทรศัพท์ไปที่บริษัทจัดหาเลือดสำหรับแวมไพร์และบอกให้เขาเปลี่ยนที่ส่ง ไปยังเกาะของคุณเซย์แทน เมล์หาฟรองซัวร์เพื่อนแวมไพร์ด้วยกันที่เป็นหมอบอกเรื่องการรักษาเมื่อเช้ากับเขา จากนั้นเราก็เดินตรงไปที่รถ คุณเซย์ยังไม่กลับมาเอรินจึงข้ามถนนไปซื้อน้ำผลไม้ปั่นมา

    “ของฉันน้ำส้ม ไนท์แมร์น้ำแอปเปิ้ลเขียว ฟีนน้ำมะนาว” เอรินส่งแก้วให้ผมกับมอร์ฟีน ผมพึ่งสังเกตว่าเอรินเรียกมอร์ฟีนว่าฟีน และคนถูกเรียกก็ไม่ได้ขัดเคืองอะไร แต่ถ้าเป็นผมนี่ไม่ได้เลย เรื่องเรียกชื่อนี่สำคัญมาก ผมไม่ชอบให้ใครมาเรียกตีสนิทถ้าผมไม่อนุญาต และคิดว่าเรื่องนี้ทั้งสองก็พอจะเดาออก

    “พรุ่งนี้เราต้องไปออกงานกับคุณเซย์ นายมีชุดออกงานบ้างรึเปล่า” มอร์ฟีนถาม

    ผมไม่เข้าใจกับไอ้คำว่าชุดออกงานของเขา“แบบไหน ใส่สูทผูกไทด์ หรือ?”

    เอรินหัวเราะหึๆ”แต่งแบบที่แต่งประจำก็พอแล้วล่ะสำหรับไนท์แมร์นะ ส่วนฟีนนี่ต้องหาสักหน่อย”

    มอร์ฟีนทำหน้าเหมือนจะอาเจียนและเอรินก็เริ่มหัวเราะเสียงดัง ผมยังไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรกัน ชุดออกงานนี่มันน่าขำตรงไหน เอรินหัวเราะจนลงไปนอนกองกับฟุตบาท หน้าของมอร์ฟีนเริ่มแดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ

    “อะไร?” ผมส่งสายตาเป็นคำถามให้ยิ่งไม่เข้าใจ เอรินเกาะขาผมประคองตัวเองขึ้นมา กลั้นหัวเราะ พออ้าปากจะพูดก็ถูกตาขวางๆของมอร์ฟีนส่งมาให้ เอรินก็ยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิมจนในที่สุดมันก็ดังก้องจนคนที่เดินไปเดินมาต้องหันมามอง

    “เอาเป็นว่าถ้าไนท์แมร์มีชุดให้ฉันยืม ก็ขอสักชุดก็แล้วกัน” มอร์ฟีนตัดบท และเอรินก็หัวเราะจนหายใจไม่ทัน

    คุณเซย์กลับมาพร้อมกับอลิซที่เหมือนจะมีความสุขแต่เดรนถึงกับป่าดเหงื่อเพราะเป็นคึนถือถุงเป็นสิบถุงอยู่คนเดียว พอรถเคลื่อนตัวไปได้สักพัก ผมก็เก็บงำความสงสัยไว้ไม่ได้ จึงถามคุณเซย์เบาๆเพื่อไม่ให้มอร์ฟีนที่กำลังขับรถเปิดเพลลงเสียงดังว่า

    “คุณเซย์ มอร์ฟีนเป็นอะไรกับชุดออกงานเหรอครับ”

    แต่เพราะเสียงเพลงดังมากจนคุณเซย์ไม่ได้ยินทำให้ผมต้องพูดให้ดังกว่าเดิม คราวนี้คุณเซย์ร้องอ๋อแล้วก็หัวเราะเสียงดังพูดออกมาว่า

    “มอร์ฟีนเขาใส่ชุดชั้นในไปออกงานน่ะ” พอดีว่าตอนที่คุณเซย์ตะโกนขึ้นมาเป็นช่วงที่เปลี่ยนเพลงพอดี ทุกคนในรถจึงได้ยินชัดเจน จากนั้นเสียงหัวเราะก็ระเบิดขึ้นลั่นรถไม่เว้นแม้แต่เดรน ผมอึ้งไปนิดพลางมองมอร์ฟีนอย่างคาดไม่ถึง ใส่ชุดชั้นในไปออกงาน ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคนแบบเขาถึงกล้าใส่ชุดชั้นในไปออกงานได้

    “อย่างมองฉันแบบนั้นนะ นั่นมันเป็นเหตุบังเอิญต่างหากล่ะ” เขาร้องแก้ตัว แต่ทุกคนก็ยังหัวเราะไม่หยุด มอร์ฟีนก้มหน้าจนชิดกับพวงมาลัยและทำท่าตั้งสมาธิอย่างหนักกับการขับรถ

    ผมจึงพูดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ว่า”นึกไม่ถึงเลยนะว่ามอร์ฟีนจะมีรสนิยมอย่างนั้น” แล้วก็หันไปมองทุกคนยกเว้นมอร์ฟีนที่หัวเราะดังขึ้นกว่าเก่า อลิซหันมามองผมพลางปาดน้ำตาที่เปื้อนบนแก้มเนียนสวย

    “ฉันก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่านายจะตลกหน้าตายได้อย่างนี้” เธอพูดแล้วหัวเราะต่อ ผมยิ้มนิดๆแล้วย้ำอย่างจริงใจว่า

    “ผมนึกไม่ถึงจริงๆนะ”

    แล้วมอร์ฟีนก็ตะโกนลั่นรถด้วยใบหน้าที่แดงก่ำว่า “พอแล้ว”

    ห้องพักของผมอยู่ที่ใจกลางเกาะ เป็นที่พักสำหรับพนักงานบนเกาะโดยเฉพาะดังนั้นพนักงานเกือบทุกคนที่นี่จึงสนิทกัน ดังนั้นเมื่อผมเดินตามคุณเซย์ไปยังห้องพักชั้นบนสุดจึงตกเป็นเป้าสายตาตลอดเวลา เอรินเดินมากระซิบบอกผมว่าตั้งแต่ผมเดินเข้ามาที่บริษัทก็มีข่าวลือเกี่ยวกับพนักงานสุดหล่อคนใหม่แล้ว และในวงสนมนาของสาวๆที่ยังโสดส่วนมากก็คุยเรื่องนี้เป็นประเด็นหลักและเขาบอกให้ผมเตรียมรับมือให้ดี ผมพยักหน้ารับเล็กน้อยแต่ไม่ค่อยได้สนใจ เพราะอาคารห้องพักของผมน่าสนใจมากกว่า

    ที่พักของเหล่าพนักงานนับพันแบ่งออกเป็นสามตึกแต่ละตึกก็สูงพอๆกับคอรโดมีเนียมที่ผมอยู่ และมีสภาพเหมือนโรงแรมชั้นดี ตึกทั้งสามต่างหันหน้าออกทะเลและทุกห้องสามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ ด้านหน้าเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่มีสวนสำหรับวิ่งออกกำลังกายและที่ชั้นหนึ่งก็เป็นศูนย์อาหารและร้านสะดวกซื้อชฃั้นสองของทุกตึกเป็นห้องสมุดสำหรับอ่านหนังสือหรือใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตชั้นสามเป็นฟิตเนสระดับหรู ถ้าขับรถหรือปั่นจักรยานเลาะไปตามหุบเขาสองกิโลเมตรก็จะถึงศูนย์กลางของแฟชั่นและร้านค้าต่างๆมากมายมีชื่อว่าจัตุรัลเซิร์ก ผมก็พึ่งจะรู้ตอนที่อลิซชูชุดใหม่ที่พึ่งซื้อให้ผมดู เธอบอกว่าที่นี่เป็นศูนย์แฟชั่นพอๆกับปารีสหรือมิลานเพราะคุณเซย์เป็นเจ้าของแบรนด์ดังมากมาย สินค้าที่ออกใหม่จะวางจำหน่ายที่นี่เป็นที่แรก และเกาะนี้ทุกเดือนก็จะเปิดให้คนภายนอกเข้ามาเที่ยว พวกบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่นดังๆทั้งหลายก็จะมาอัพเดตแฟชั่นใหม่ๆที่นี่ตลอด พวกลูกหลานคนรวยก็จะมาช็อปปิ้งที่นี่เป็นส่วนมาก และคุณเซย์ก็จะเปิดให้นิตยสารต่างๆสัมภาษณ์และถ่ายรูป นอกจากจะเป็นการโฆษณาสินค้าต่างๆแล้วยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์แก่องค์กรด้วย

    ผมพักอยู่ที่ตึกกลางชั้นบนสุดซึ่งอลิซ มอร์ฟีน เอรินและเดรนก็พักที่นี่ด้วย คุณเซย์นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นพลางรอผมเก็บของให้เสร็จ จากนั้นผมก็กลับไปที่ห้องคุณเซย์อีกครั้งและร่วมรับประทานอาหารที่ห้องอาหารรวม

    “ไนท์แมร์จะกินอะไรล่ะ”คุณเซย์ถามพร้อมยื่นจานมาให้ ผมมองอาหารที่วางเรียงรายแล้วส่ายหน้า อาหารมนุษย์เหมือนกับเคี้ยวหนังเน่าๆ รสชาติเห่ยมาก ผมทานได้แค่ผักกับผลไม้และเลือดเท่านั้น อย่างอื่นอาเจียนออกหมด ร่างกายผมจะไม่ดูดซึมอาหารมนุษย์ใดๆทั้งสิ้น

    “เดี๋ยวผมหากินเองครับ คุณเซย์ไปนั่งทานเถอะ” คุณเซย์พยักหน้าแบกอาหารตัวเองไปนั่งซักพักเหล่าบอดี้การ์ดก็เริ่มเอาอาหารของตัวเองมาวางต่อๆกันจากนั้นก็เริ่มสวาปาม แน่นอนผมใช้คำพูดอย่างถูกต้องและเที่ยงตรงที่สุดในการอธิบายสภาพการกินของพวกเขา คำว่าสวาปามเหมาะสมที่สุดแล้วในตอนนี้

    ผมเดินไปในห้องครัวเลือกแก้วกระดาษแบบทึบมีฝาปิดออกมาแล้วกัดถุงเลือดให้ขาด จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แล้วก็เทเลือดลงในแก้ว จากนั้นก็เอาฝาปิดเสียบหลอด เปิดตู้เย็นเลือกผลไม้มาสองสามอย่าง แล้วดูดเลือดอย่างเอร็ดอร่อย ทำเนียนไปนั่งข้างๆบอดี้การ์ดที่ไม่รู้จักคนหนึ่ง แกะเปลือกส้มอย่างชำนาญ เขาหันมามองผมเล็กน้อยส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ทั้งๆที่ขนมปังฝรั่งเศสของเขายังเต็มปาก ผมยิ้มตอบแล้วหันไปดูดเลือดในแก้วต่อ พอทุกอย่างลงไปรวมอยู่ในท้องผมหมดแล้ว ผมก็เอาของทุกอย่างไปทิ้ง รอคุณเซย์ทานอาหารจนเสร็จแล้วไปส่งที่ห้อง จากนั้นก็ไปประจำที่ห้องรักษาความปลอดภัย พูดคุยกับทุกคนเพื่อให้คุ้นเคยกัน และได้โต๊ะประจำตำแหน่งของตัวเองมา

    เป็นโต๊ะวงกลมขนาดใหญ่และมีแผงกั้นออกเป็นส่วนๆมีคอมพิวเตอร์สองเครื่องหน้าจอสามตัว ประสิทธิภาพดีสมกับเป็นสินค้าขององค์กรคุณเซย์ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์สำนักงานครบครัน ผมนั่งลงประจำที่ของตัวเอง เพราะเคยทำงานเป็นบอดี้การ์ดมาก่อนเรื่องคอมพิวเตอร์เทคโลยีอะไรเทือกนั้นผมชำนาญอยู่พอตัว งนั้นจึงดึงภาพของกล้องวงจรปิดตามส่วนต่างๆของเกาะมาสำรวจ

    คืนนี้เป็นเวรของอลิซที่จะต้องอยู่เฝ้าคุณเซย์ส่วนผมก็เฝ้ากล้องวงจรปิด พรุ่งนี้ผมถึงเป็นเวรอยู่กลางคืน แต่ต่อจะให้ผมอยู่กลางวัน ผมก็ไม่นอนตอนกลางคืนอยู่ดี ปกติแล้วผมต้องนอนอย่างน้อยสี่ชั่วโมงต่อหนึ่งวันแต่ถ้าไม่นอนติดกันหนึ่งอาทิตย์ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าความลับเรื่องที่ผมเป็นแวมไพร์ยังไม่เปิดเผย ผมก็จะยังใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามันเกิดแตกขึ้นมา

    ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที

     จบจนเจ็ดโมงเช้าผมก็ลากลับห้องพัก ปิดม่านนอนตื่นอีกทีก็ตอนบ่ายสองโมงกว่าๆ อาบน้ำแต่งตัวให้ดูดีกว่าปกติ(ซึ่งมันก็ดูดีอยู่แล้ว)จากนั้นก็ตรงไปที่ตึกใหญ่ของคุณเซย์

    ได้ยินเดรนพูดเมื่อวานว่าวันนี้คุณเซย์มีประชุมปิดงบประจำสัปดาห์ ส่วนตอนเย็นต้องไปเป็นประธานเปิดงานสินค้าตัวใหม่ที่จัตุรัสเซิร์ก ซึ่งผมต้องไปด้วย แต่เพราะเป็นการออกงานบอดี้การ์ดคนสนิททุกคนต้องไปกันให้ครบเพื่อความปลอดภัย(ผมดูแผนงานของวันนี้แล้วมีบอดี้การ์ดเกือบสามร้อย เฝ้าตามตึกสูงและเฮลิคอปเตอร์ ไหนจะมีพวกผมสี่คนอีก ก็ยังแปลกใจว่าจะมีไอ้หน้าโง่ตัวไหนกล้ามาลอบทำร้ายคุณเซย์)

    พอไปถึงคุณเซย์ก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จพอดีและมีเอรินกับมอร์ฟีนนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่หลายสิบเครื่องที่ห้องทำงาน

    “ไนท์แมร์มาแล้ว”คุณเซย์ร้อง ผมพยักหน้ารับพร้อมทักทาย

    “สวัสดีครับ การประชุมวันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

    “สนุกมากเลย เป็นการประชุมที่สนุกที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยล่ะ น่าเสียดายที่ไนท์แมร์ไม่อยู่ด้วยไม่อย่างนั้นคงจะสนุกกว่านี้”คุณเซย์พูดอย่างเบิกบานใจ ผมเริ่มอยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจึงหันไปหาเอรินเป็นเชิงถามจากนั้นก็มองเลยไปที่มอร์ฟีน

    “ไอ้ลูกหมาพวกนั้น” ชายผมแดงร้องอย่างอดไม่อยู่ “ฉันอยากจะเอาปืนยัดปากพวกมันจริงๆ กล้าพูดมาได้ยังไง”แล้วเขาก็พึมพำอย่างหัวเสียอยู่คนเดียว

    ผมก็ยังไม่เข้าใจว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้มอร์ฟีนหัวเสียได้ขนาดนี้ เอรินหัวเราะแล้วอธิบายว่า“วันนี้ที่ประชุม พวกคุณลุงกรรมการฝ่ายบริหารเขารุมกดดันคุณเซย์น่ะ อ้างเหตุผลต่างๆนาๆ จนมอร์ฟีนทนไม่ไหว เปิดปากด่าพวกนั้น”

    “แล้วถ้าทำอย่างนั้นก็ยิ่งทำให้คุณเซย์ดูก้าวร้าวในสายตาพวกเขาไม่ใช่เหรอ” ผมเอ่ยความเห็น เอรินชี้นิ้วมาทางผมเป็นท่าทางว่าถูกต้องเลย

    เอรินเริ่มพูดต่อ“ทีนี้เขาก็เริ่มต่อว่าคุณเซย์เสียๆหายๆ เรื่องดูแลลูกน้องไม่เป็น วันๆเอาแต่ทำเรื่องไร้สาระ อะไรเทือกนั้น”

    “มอร์ฟีนก็เลยสติแตก เถียงกับพวกนั้นตลอดสามชั่วโมงโดยไม่ได้ทำอะไรเลย” คุณเซย์พอฟังประโยคนี้จากเอรินจบก็ตัวเราะฮ่าอย่างคุมไม่อยู่ มอร์ฟีนส่งสายตาขวางๆไปให้คุณเซย์ที่รีบเอามือตะครุบปากตัวเองจากนั้นก็กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น

    ผมเอียงคอถามต่อ “แล้วตอนจบล่ะเป็นยังไง” คราวนี้ไม่ใช่คนอื่นหัวเราะแต่เป็นมอร์ฟีนที่หัวเราะอย่างสะใจแทน

    เอรินยิ้มๆแล้วตอบคำถามผม”ฉันที่ยืนฟังอยู่หน้าห้องมาสามชั่วโมงจึงเดินกลับไปที่ห้องทำงานคุณเซย์ให้บอดี้การ์ดแบกเอกสารที่คุณเซย์ต้องจัดการให้เสร็จภายในวันนี้มา แล้วก็โยนให้พวกนั้นนั่งทำให้เสร็จภายในสองชั่วโมง”

    ผมยิ้มกว้างชื่นชมเอรินในใจ และนึกภาพพวกนั้นอ้าปากหวอ ท่าทางจะเป็นภาพที่ตลกจริงๆ ไม่อย่างนั้นคุณเซย์คงจะไม่สดใสขนาดนี้ ผมนั่งลงที่โซฟาคว้าโทรศัพท์ที่วางระเกะระกะบนโต๊ะมาหนึ่งเครื่องแล้วกดดูฟังก์ชั่นต่างๆ อดเอ่ยชมออกมาไม่ได้ว่า

    “ตัวดีไซน์เครื่องกับแอพพลิเคชั่นเจ๊งจริงๆ” คุณเซย์หันมาสนใจผม ผมเลยพูดต่อว่า “มันมีครบตามที่ทุกคนต้องการน่ะครับ และสาวๆสมัยนี้จะดูดีไซน์ของมันเป็นอันดับแรกก่อนจะซื้อจากนั้นก็ถึงจะดูลูกเล่นของโทรศัพท์”

    “แล้วสำหรับผู้ชายล่ะ จะเป็นยังไง” คุณเซย์ถามต่อ ผมพลิกเครื่องมันไปมาวางมันลงบนโต๊ะพินิจอยู่ชั่วครู่แล้วปัดมันตกลงพื้น เอรินหันมาทำตาโตใส่ผม จากนั้นก็ถามอย่างเคืองๆว่า

    “นายทำอะไรน่ะ?”

    ผมเก็บโทรศัพท์ขึ้นมาสำรวจอีกรอบและส่งให้คุณเซย์ที่ยังคงทำหน้าตกใจอยู่ “ผู้ชายจะชอบดีไซน์ที่พอมองไกลๆแล้วสะดุดตาน่าค้นหา และที่สำคัญมันต้องทน เพราะผู้ชายจะไม่ค่อยมีความละเอียดอ่อน ถึงมีก็น้อยกว่าผู้หญิงดังนั้นความแข็งแรงคงทนของเครื่องก็สำคัญพอๆกัน”

    “ไม่เป็นไรเลยนะ แสดงว่าตัวนี้ต้องขายดีแน่ๆเลย ใช่ไหม?” ผมพยักหน้ารับกับคำถามนั้น แล้วช่วยดูโทรศัพท์เครื่องอื่นๆต่อ เดรนที่เดินเข้ามาได้ยินพอดีนั่งลงตรงข้ามผมเอ่ยขึ้นมาว่า

    “ดูนายจะรู้ดีไปหมดทุกเรื่องเลยนะ ตั้งแต่เรื่องทำงานเมื่อวาน ยันเรื่องการตลาด”

    ผมส่งยิ้มน้อยๆพูดอย่างถ่อมตนว่า “ก็สังเกตไปเรื่อยๆ แค่ไม่คิดว่าจะได้ใช้มันตอนนี้”

    เดรนมองผมด้วยสายตาที่ประเมิณอะไรบางอย่าง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์เครื่องที่วางเกลื่อนอยู่ขึ้นมาดู จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าที่สุดแล้วเดรนเกลียดผม ไม่ชอบขี้หน้าผม หรือว่ากลัวผมกันแน่ เวลาคุยกันก็กัดเอากัดเอา พอผมจะเข้าประชิดลไม้ลงมือกลับกลัวจนตัวสั่น ไอ้อาการแบบนี้มันคืออะไรเนี่ย หรือมันจะผสมระหว่างอาการเกลียดกับกลัว แบบนี้เขาเรียกว่าพวกดีแต่ปาก และผมก็หมั่นไส้พวกดีแต่ปาก

    “มองอะไร” เดรนถามผมห้วนๆผมกระพริบตาดึงสติกลับมาและพบว่าตัวเองนั่งเอาศอกยันเข่าแล้วจ้องเขาแบบตาไม่กระพริบ มอร์ฟีนกระทุ้งสีข้างผม ถามเสียงหวาดระแวง

    “นายคงไม่เกิดพิศวาสชอบเดรนใช่มั้ย”

    ผมเบ้หน้าส่ายหัวปฏิเสธแรงๆหลายครั้งเพื่อเป็นการยืนยัน เอรินมองมอร์ฟีนดูไม่ชอบใจ ตาสีทองเสมองไปที่คุณเซย์ซึ่งกำลังนั่งฟังตาแป๋ว และนั่นทำให้ผมได้คิดว่า บางทีคุณเซย์อาจจะอ่อนต่อโลก เป็นพวกบริสุทธิ์แม้แต่จูบแรกยังไม่เคยมี

    “ฟีน นายพูดอะไรอยู่เนี่ย คุณเซย์เขานั่งอยู่ตรงนี้นะ”เอรินดุ มอร์ฟีนยิ้มแห้งๆ ขณะที่คุณเซย์ยังจ้อง ดูไม่เข้าใจกับสิ่งที่พวกเรากำลังพูดกัน แต่อย่าให้เข้าใจเลยดีกว่า ถ้าเสริมเติมแต่งความชั่วร้ายให้เขาไปอีกนิดล่ะก็มีหวังจากเด็กสิบขวบใช่ปืนไล่จับผีเสื้อ ได้เป็นเด็กสิบขวบใช้ปืนวิ่งไล่จับเพื่อนๆแน่

    “ทำไมล่ะ ไนท์แมร์พิศวาสเดรนไม่ดีตรงไหน”คุณเซย์ถามซื่อๆ แต่มีผลทำให้เดรนถึงกับสะดุ้งและปล่อยโทรศัพท์ตกพื้น

    เอรินกับมอร์ฟีนสบตากันดูลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงให้คุณเซย์เข้าใจดี พวกเขามองผมอย่างขอความช่วยเหลือ แต่สำหรับผมที่ตกเป็นเป้าไม่สามารถพูดอะไรได้ทั้งนั้น

    “คือ...... คือแบบว่า... พิศวาสในที่นี้ คือในทางที่ไม่ดีน่ะครับ” มอร์ฟีนอธฺบายหน้ายุ่งๆดูกำลังงงสิ่งที่ตัวเองพึ่งพูดออกไป

    “พิศวาสถ้าใช้ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจะเป็นไปในทางลบ ดังนั้นผู้ชายกับผู้ชายห้ามพิศวาสกัน” เอรินเสริมต่อ คุณเซย์รับฟังแล้วพยักหน้าช้าๆ

    “พิศวาสไม่ได้แต่ชอบได้ใช่มั้ย” มอร์ฟีนตบหน้าผากตัวเอง ดูเครียดหนัก เอรินกุมขมับส่ายหัวเหนื่อยใจสุดๆ เดรนพึมพำออกมาเบาๆว่า

    “ถ้าอลิซอยู่ด้วยก็คงจะดี”

    “ฉันชอบไนท์แมร์”คุณเซย์โพล่งออกมา เอรินเบิกตากว้างมอร์ฟีนหัวเขกลงกับโต๊ะ ส่วนผมอึ้งจนขยับตัวไม่ถูกแล้ว

    คุณเซย์บอกว่าชอบผม ไม่จริงใช่ไหม

    มันไม่จริง

    “ไนท์แมร์คล้ายกับฉัน แพมก็ชอบไนท์แมร์ แล้วไนท์แมร์ยังเก่งอีกต่างหาก ฉันชอบไนท์แมร์ก็เขาน่าสนใจสุดๆไปเลย” เมื่อคุณเซย์พูดต่อจนจบเราสี่คนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่รู้สึกเหมือนพึ่งลงจากเครื่องเล่นที่หวาดเสียวและพบว่าตัวเองยังไม่มีส่วนไหนหลุดหายไป

    “ฉันก็ชอบอลิซ”คุณเซย์พูดต่อราวกับไม่เห็นอาการใดๆที่น่าสงสัย “อลิซสวย เก่ง เป็นคนดี และชอบทำท่ายั่วยวนผู้ชายเพื่อหลอกล่อ แต่งตัวทุกครั้งก็จะมีผ้าลูกไม้ น่าสนใจ และฉันก็ชอบเอรินด้วย เอริน ยิ้มสวย มีตาสีทองที่น่ามอง เก่งปลอมลายมือฉันได้เหมือนมากและสอนฉันปลูกต้นไม้ด้วย น่าสนใจ” ตอนนี้เรานั่งมองคุณเซย์ที่กำลังพูดเจื้อแจ้วเกี่ยวกับคนรอบข้างเขาให้ฟัง มันทำให้ผมได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นคนที่มีความคิดเรียบง่ายและซื่อตรงในเรื่องความรู้สึกและความสัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้าง “มอร์ฟีนเป็นคนที่สนุกอยู่ตลอดเวลา ชอบเล่าเรื่องตลกให้ฉันฟัง และยังตรวจเอกสารเก่ง เวลาต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใคร นอกจากนี้ มอร์ฟีนยังแสดงออกทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง ฉันชอบมอร์ฟีน เดรนก็ชอบ เดรนดูแลฉันตลอดเวลาจัดการงานทุกอย่างให้ ถ้าไม่มีเดรนฉันก็ยังนึกไม่ออกว่าจะมีวันนี้ได้รึเปล่า”

    “คุณดาโรเซย์” เดรนมีสีหน้าที่ภาคภูมิใจขณะเอ่ยชื่อเจ้านายของตน มอร์ฟีนอมยิ้มดูออกว่าเขินส่วนเอรินก็ฟังคุณเซย์พูดต่อไป

    “ไฮคุง ก็ชอบ...” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ มอร์ฟีนก็ลุกขึ้นยืนทันที จนคุณเซย์หันไปมอง เอรินส่งสายตาปรามๆไปให้เขา แต่มอร์ฟีน ส่ายหน้าเดินไปที่ตู้เย็นแทน คุณเซย์ดูเสียใจ ตาสีฟ้าหม่นแสงลง เอรินหมุนโทรศัพท์ไปมาดูก็รู้ว่าเขาก็ยังแอบไม่ชอบใจคุณเซย์เมื่อเอ่ยถึงไฮคุง บอดี้การ์ดคนก่อนที่ลาออกไป

    ผมไม่รู้เลยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ทำไมไฮคุงคนนั้นถึงลาออก ทั้งๆที่ดูแล้วพวกเขาต่างก็เหมือนจะเคยชอบและผูกพันกับไฮคุง ผมไม่กล้าถามและไม่อยากจะถามด้วย ถ้าถามก็คงจะทำให้พวกเขาไม่ชอบใจ และผมก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เรื่องนี้ดูซับซ้อนเกินกว่าที่คนนอกอย่างผมจะเข้าไปยุ่งวุ่นวาย

    จู่ๆประตูก็เปิดออก บอดี้การ์ดที่หน้าตาคุ้นเคยยืนจังก้าอยู่หน้าประตูเหมือนจะวิ่งมา เอรินกับมอร์ฟีนหันขวับไปมองมือแตะที่เอวซึ่งมีปืนพกอยู่โดยอัตโนมัติ ผมเพ่งพินิจหน้าเขาชัดๆจึงจำได้ว่า เขาคือคนที่ผมนั่งข้างๆตอนทานข้าวเมื่อวาน

    “มีอะไรโรเลน” มอร์ฟีนเอ่ยถามมือยังไม่ปล่อยจากอาวุธ

    โรเลนกำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็มีเสียงหวานๆดังขึ้นที่หน้าประตูซะก่อน

    “เซย์ คิดถึงเรกะไหม”หมวกปีกกว้างประดับลูกไม้โผล่พ้นร่างสูงๆของโรเลนซึ่งกำลังทำสีหน้าลำบากใจ ผมเลิกคิ้ว มอร์ฟีนกุมขมับอยู่ที่ตู้เย็นอีกรอบ เอรินส่ายหน้าเหมือนเอือมระอาแต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มจาง

    “นี่นายบอดี้การ์ดจะยืนขวางทางอีกนานไหม” เสียงหวานแวดใส่โรเลนจนสะดุ้งเอามืออุดหูหลีกทางให้ จากนั้นก็ออกไปจากห้อง

    ผู้หญิงที่มีเสียงหวานแหววคนนั้นมีหน้าตาหน้าเอ็นดูพอสมควร ตาโตปากบางผมสีน้ำตาลอมทอง แต่จากการแต่งตัวของเธอแล้วผมก็ต้องขมวดคิ้ว

    เธอสวมหมวกปีกกว้างที่มีความสามารถบังแดดได้พอๆกับร่ม กางเกงขาสั้นกุดสีครีม เสื้อสายเดียวผ้าพลิ้วคว้านลึกจนก้อนเนื้อที่อยู่บนอกสองข้างจะล้นออกมา รองเท้าส้นสูงสีส้มที่ช่วยต่อความสูงเธอได้ไม่มากนักกระทบพื้นดังตึกๆขณะเดินถือกระเป๋าสานมาหาคุณเซย์

    ที่ทำให้ต้องขมวดคิ้วไม่ใช่อะไรหรอก ก็หมวกปีกแสนจะกว้างของคุณเธอน่ะแหละ นั่งที คุณเซย์ต้องเขยิบมาเบียดผม ถ้าวัดระยะทางจากปีกหมวกด้านซ้ายไปขวา มันก็จะพอๆกับผมสามคนนั่งติดกัน

    “เรกะมางานเปิดตัวโทรศัพท์เครื่องใหม่ของเซย์ นี่มาก่อนเวลาจะได้คุยกับเซย์นานๆ” เธอพูดแต่ยังไม่ถอดหมอกออกพร้อมทั้งยื่นหน้ามาซบจนคุณเซย์ก้มหลบปีกหมวกแทบไม่ทัน เอรินกับเดรนลุกขึ้นดูจะทนไม่ได้อีกต่อไป ผมขยับตัวนิดหน่อย พอให้คุณเซย์ได้นั่งสบายขึ้นโดยไม่ต้องหลบปีกหมวกนั่นมากนัก เริ่มสังเกตผู้หญิงคนที่ชื่อเรกะนี่ชัดๆ

    ผมมองไกลๆนึกว่าเธอมีแก้มที่แดงเป็นธรรมชาติแต่เมื่อมองในระยะประชิดอย่างนี้ เห็นได้เลยว่านั่นเป็นเครื่องสำอาง ถ้าไม่ทางหน้าตาเธอก็จะซีดขาวจนแทบเหมือนผมที่เป็นแวมไพร์(แตกต่างกันตรงที่ผมจะซีดขาวเวลาไม่ได้ดื่มเลือด ถ้าปกติแล้วผมหน้าตาปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป) พอยิ้มก็จะเห็นเขี้ยวขาววาววับที่มุมปาก ผมมองหมวกปีกกว้างของเธอทั้งที่นี่ก็บ่ายแล้วและอยู่ในตึกด้วย(ถึงแม้ห้องนี้จะล้อมรอบด้วยกระจกก็เถอะ)ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงต้องใส่หมวกปีกกว้างขนาดนั้นด้วย

    ผมเริ่มสงสัยจึงลุกขึ้นยืน แย้มยิ้มสุภาพ พูดกับคุณเซย์ว่า“ผมเอาหมวกของคุณเรกะไปเก็บให้ไหมครับ จะได้ไม่เกะกะ”

    คุณเซย์รีบพยักหน้า จะดึงหมวกออกแต่แล้ว เรกะก็แผดเสียงร้องลั่น

    “อย่านะ”

    ผมเริ่มแน่ใจจึงแกล้งพูดต่อไป “แต่ในนี้ก็ไม่มีแดดนี่ครับ เครื่องปรับอากาศก็เย็นสบาย ใช่ไหมครับคุณเซย์” ผมหันไปหาคุณเจ้านายผมแดงที่แน่นอนว่าจะต้องไม่รู้เรื่องแล้วเห็นด้วยเต็มที่

    “นั่นสิ ไนท์แมร์พูดถูก ถอดหมวกออกเถอะ พอใส่หมวกแบบนี้แล้วคุยไม่ถนัดเลย” คุณเซย์เอื้อมมือไปถอดหมวกออกให้ ชั่วพริบตานั้นผมก็เห็นเรกะอ้าปากแยกเขี้ยวกระชากมือคุณเซย์ออกจากหมวกคำรามด้วยเสียงทุ้มต่ำเย็นยะเยือกแบบที่มีแค่แวมไพร์เท่านั้นที่จะทำได้

    “ฉันบอกว่าอย่ายังไงล่ะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×