คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Nightmare No.11.3
ผมชื่อไนท์แมร์ เป็นลูกครึ่งระหว่างแวมไพร์กับเอลฟ์อายุสามร้อยสี่เก้าปีและครบสามร้อยห้าสิบปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผมหน้าตาดีสุดๆในเหล่าหมู่มนุษย์และอมนุษย์ด้วยกันถึงแม้ผมจะอายุยังน้อยสำหรับอมนุษย์แต่ผมก็แข็งแกร่งมากไม่ว่าใครก็ตามที่รู้จักต่างเคารพและเกรงกลัว
นั่นเป็นความจริงเมื่อสามนาทีก่อน
โฮ่งๆ!!
คุณแพมที่นั่งเบาะหลังกับผมในรถของเดรนกำลังเลียมือผมอย่างเอาเป็นเอาตายและไม่สนใจด้วยว่าผมจะส่งสายตาอาฆาตไปที่มันมากขนาดไหน
ไอ้หมานี่!!!
ผมแยกเขี้ยวใส่มัน คุณแพมหยุดเลียกระพริบตาสองทีแล้วแยกเขี้ยวใส่ผมราวกับไม่เกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น จากนั้นก็เลียมือต่อ
แก.... ไอ้คุณแพม!
ผมเอามือยันหน้ามันแล้วคำรามในลำคอด้วยเสียงทุ้มต่ำอันแสนวังเวง แยกเขี้ยวแล้วเอาฟันกระทบกันเป็นการขู่ มันหยุดเลียจ้องผมจากนั้นก็คำรามแยกเขี้ยวเอาฟันกระทบกันเหมือนกับผมเด๊ะ เสริมท้ายด้วยการเห่าหนึ่งทีอีกต่างหาก
“ดูเหมือนแพมจะชอบบอดี้การ์ดคนใหม่นะ ใช่มั้ยแพม” เจ้านายพูดเอี้ยวตัวมาข้างหลังทำให้ผมต้องรีบปรับสีหน้าให้มีความสุขสนุกสนานอย่างรวดเร็ว
“โฮ่ง!” คุณแพมขานรับราวกับจะบอกว่า ใช่แล้วครับเจ้านายผมชอบเขามาก แล้วมันก็กระโดดมานั่งที่ตักพร้อมกับเริ่มเลียหน้า
อ๊าก!!!! ไอ้หมาบ้า!! เลียมือฉันพอรับได้แต่เลียหน้านี่มัน เดี๋ยวเผลอเมื่อไหร่จะจับหักคอแล้วไปทำเป็นเนื้อย่างซะเลย หมาดำอย่างแกเขาบอกว่ามีสรรพคุณดีนัก เอาลิ้นแกไปไกลๆฉันนะ!!
“ฮะๆ ดูหน้าบอดี้การ์ดคนใหม่สิ ไม่เอาน่าแพมเลิกกวนเขาได้แล้ว” เจ้านายสั่งคุณแพมเจ้าหมาชะงักการเลียกะทันหัน แล้วลงจากตักผม ไปนั่งเบาะข้างๆอย่างเรียบร้อย เจ้านายมองหน้าผมที่แอบถอนหายใจเฮือกก็หัวเราะอีกครั้ง
“จริงสิ” เจ้านายทำท่าเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ “บอดี้การ์ดคนใหม่ชื่ออะไร”
“ไนท์แมร์ครับ” ผมตอบยิ้มสุภาพส่งไปให้
“นามสกุลล่ะ” เจ้านายซักต่อ ผมลังเลชั่วครู่ก่อนจะบอกชื่ออีกส่วนไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“หมายเลขสิบเอ็ดครับ”
เจ้านายเบิกตากว้าง “ไนท์แมร์หมายเลขสิบเอ็ด ฝันร้ายหมายเลขสิบเอ็ด เป็นชื่อและนามสกุลที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยได้ยินเลย”
ได้โปรดอย่าเอาชื่อของผมไปเทียบกับชื่อลิเกของคุณเลยครับ ผมรับไม่ได้
“แล้วจะให้ฉันเรียกว่าอะไรล่ะ” เจ้านายถามต่อ
“ไนท์แมร์ครับ” ผมตอบทันทีแบบไม่มีการลังเล เจ้านายเลิกคิ้วพยักหน้ารับ แล้วหันกลับไปรื้ออะไรบางอย่างจากลิ้นชักหน้ารถเดรน มันเป็นกระดาษดิจิตอลที่รายงานข้อมูลด้วยระบบสามมิติเก็บข้อมูลได้สามสิบห้ากิ๊กกะไบท์ เจ้านายเอี้ยวตัวมาอีกรอบและยื่นกระดาษดิจิตอลให้ผม
“นี่เป็นแผนที่ของบริษัททั้งหมด ช่วยกันจำด้วยนะ” ผมรับมาแล้วแตะสามทีที่มุมกระดาษแบบจำลองอาคารรูปทรงโค้งเว้าปรากฏขึ้น เมื่อชี้ไปที่จุดไหนก็จะมีชื่อและรายละเอียดของตำแหน่งนั้นๆขึ้นมา ถ้าใช้นิ้วเลื่อนไปบนกระดาษก็จะเปลี่ยนไปที่หน้าต่อไป ผมนั่งศึกษามันไปเรื่อยๆ ที่นี่กว้างขวางมากและมีชั้นใต้ดินถึงยี่สิบชั้นและข้างบนอีกสามสิบเจ็ดชั้น แต่มีอยู่หนึ่งชั้นที่เป็นชั้นทึบพอจะดูข้อมูลก็ไม่มีบอกไว้ ผมสงสัยนิดหน่อยแต่ไม่ได้ถามอะไรออกมา มันอาจจะเป็นห้องนิรภัยอะไรแบบนั้นก็ได้ เมื่อสามารถจำได้เกือบทั้งหมดแล้ว ผมก็เงยหน้าขึ้นมามองไปนอกรถ
ที่นี่ที่ไหน คำถามแรกผุดขึ้นในสมอง จะกลับบ้านยังไง นั่นเป็นคำถามที่สอง
ผมไม่คุ้นเคยกับที่เลยสักนิด ถนนเหมือนกับกำลังขึ้นภูเขา ผมหันหลังไปมองด้านนอก และเห็นทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาลิบๆนั่นผมเห็นยอดตึกสูงระฟ้าของเมืองใหญ่เป็นเพียงเส้นขีดดำเลืนราง ผมขมวดคิ้วสงสัยว่าเราข้ามทะเลมายังไงไม่มีสะพานสักหน่อย จะว่าไปแล้วทั้งโลกก็คงไม่มีใครทำสะพานเชื่อมเกาะที่ไกลขนาดนี้อยู่แล้ว จะลงเรือ ผมก็ไม่เห็นเรือสักลำแล้วเท่าที่จำได้ ผมไม่รู้สึกโคลงเคลงเลยสักนิด แล้วเรามายังไงล่ะเนี่ย ผมออกไปนอกรถอีกครั้งข้างหน้าไกลออกไปเห็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างหุบเขาและกำลังเผยตัวอกมาให้เห็น
“ที่นี่คือเกาะของเจ้านายเป็นที่ตั้งของบริษัททั้งหมด พนักงานส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่นี่” เดรนเอ่ยขึ้นเหล่มองผมทางกระจกรถ “ทางที่ใช้เป็นถนนใต้ทะเลอยู่ลึกลงไปจากผิวน้ำห้าร้อยเมตร ที่เห็นอยู่ข้างหน้าคืออาคารหลักของบริษัท เกาะอยู่ห่างจากเมืองประมานสามร้อยแปดสิบเจ็ดกิโลเมตร เมืองค่อนข้างจะไกลจากที่นี่”
ต้องพูดว่าเกาะอยู่ไกลจากเมืองต่างหาก ผมเถียงในใจแต่อย่างน้อยก็ไขความกระจ่างได้บ้างแล้ว เมื่อทั้งรถกลับสู่ความเงียบอีกครั้งผมก็นั่งสังเกตเดรนและเจ้านายแทน
เดรนเป็นชายร่างเล็ก ใบหน้าเขาแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง ผมสามารถเห็นเขาเมื่อสิบปีที่แล้วและอีกสิบปีข้างหน้าได้ เขามีผมสีโค้กและตาสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่หลังแว่นไร้กรอบหรือแว่นตาดำ เขาชอบทำหน้าเรียบเฉยตลอดเวลาและพยายามไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนจิตใจดีและซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง อย่างเช่นตอนเห็นผมบินได้เขาก็ตกใจ และเขาไม่ฉลาดเอาซะเลยในเรื่องบู๊ดูได้จากการบุกไปช่วยเจ้านายเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
ส่วนเจ้านายเป็นชายร่างสูงโปร่งและดูแข็งแรง เขามีผมสีแดงสดเป็นประกายหลากสี มีตาเรียวคมสีฟ้าสดและเครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบและงดงามถ้าไม่บอกว่าเขาเป็นมนุษย์ด้วยรูปร่างหน้าตาของเขา ผมอาจจะคิดว่าเขาเป็นพวกเผ่าพันธุ์พิเศษแบบผม เขาสง่างามตลอดเวลาแม้แต่ตอนนี้ที่กำลังนอนหลับคอพับคออ่อน มีออร่าของคนที่ยิ่งใหญ่มีอำนาจตลอดเวลาและทุกคนต้องเกรงใจ เจ้านายมีนิสัยและบุคลิกที่เข้าใจได้ยากและขัดแย้งกันในตัวแบบสุดโต่ง บางเวลาเขาดูเฉื่อยชาไม่เห็นใครอยู่ในสายตาและไม่สนใจใครทั้งนั้นแต่เขาก็ฉลาดแบบสุดๆเช่นกัน ตาสีฟ้าของเขามักจะเต็มไปด้วยความสนุกสนานและสดใสอยากรู้อยากเห็นและติดไร้เดียงสาเล็กๆ นอกจากนี้เขาก็ยังโหดเหี้ยมแบบที่สุดของที่สุดอีกด้วย ไม่มีใครพูดเรื่องโหดเหี้ยมได้หน้าตาเฉยไม่รู้สึกรู้สาเช่นเขา
เขาเหมือนเด็กอายุสิบขวบที่สดใสและกำลังไล่จับผีเสื้อที่บินอยู่ในทุ่งกว้าง ผิดก็แต่เขาไม่ได้ใช้ตาข่ายจับ แต่ใช้ลูกตะกั่วแทน
ผมกำลังจะบอกว่าเขาเป็นคนที่โหดเหี้ยมแต่ไม่รู้จักว่าความโหดเหี้ยมเป็นอย่างไร
สัญชาตญาณในตัวผมกำลังร่ำร้องว่าคนๆนี้อันตราย อย่าเข้าใกล้เป็นดีที่สุด!!
ฝันร้าย ที่ข้าให้เจ้ามาเจอในวันนี้เพราะมีเรื่องสำคัญจะมาบอกให้เจ้ารู้
เรื่องสาวคนใหม่ที่นอนรออยู่ในห้องรึเปล่าล่ะ
บ๊ะ! ไอ้เด็กนี่! ข้ากำลังจริงจังนะ!!
โอเค ไม่แกล้งแล้วก็ได้
หลายปีที่ไม่ได้เจอกันข้าได้ไปเจอเรื่องสำคัญมาที่เราจำเป็นต้องรู้และจำให้ขึ้นใจ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นอมตะอย่างเรา เรื่องนี้สำคัญมากข้าอยากให้เจ้าตั้งใจฟังให้ดีล่ะ
พูดพล่ามอยู่ได้ เข้าเรื่องซะทีเถอะ
กำลังจะเข้าเรื่องอยู่นี่ไงเล่า!!! อะแฮ่ม! จงจำเอาไว้ว่ายามใดที่เจ้าได้พบเจอกับคนๆหนึ่งที่สัญชาตญาณในตัวเจ้าบอกว่าเขาอันตราย ให้เจ้าหนีห่างจากคนๆนั้นให้มากที่สุด ไปให้ไกลที่สุด อย่าให้เห็นหน้ากันอีกในชั่วชีวิตนี้ แต่เจ้าจงจำไว้ว่าเมื่อเจ้าหนีคนๆนั้นไปไม่ได้มีแค่สองทางเลือกให้เจ้า หนึ่งคือ..
.......
ความตาย และสอง
...
อยู่กับเขา เป็นเพื่อนกับเขา ดูแลเขา เปิดใจกับเขาเหมือนที่เจ้าเปิดใจให้กับข้า
...
เข้าใจใช่มั้ย!
ข้าเข้าใจ
บทสนทนาเมหื่อหลายปีก่อนล่องลอยเข้ามาในความทรงจำก่อนจะลอยหายกลับไปอย่างเก่า ตอนนั้นผมไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลยแม้แต่นิดเดียวได้แค่ตอบๆส่งๆไปจะได้ไม่โดนด่า สำหรับตอนนี้ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วจริงๆว่าเจ้านายควรจะเป็นคนที่ผมต้องหนีไปให้ไกลที่สุด แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันผมยังมีทางเลือกให้หนีอีกอย่างนั้นหรือ
ตาย กับ เปิดใจ
ชีวิตอันเป็นอมตะคงไร้ค่าถ้าเขาจะต้องตาย
แต่จะให้เปิดใจแล้วล่ะก็…
อันนี้ก็ยากเหมือนกันสำหรับในกรณีอื่น..... เพราะในกรณีนี้คำว่าจำเป็นกับเปิดใจลอยละล่องอยู่เต็มไปหมด
รถเลี้ยวอีกครั้งหลังจากพ้นแนวเขาลงมา สิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหุบเขาสร้างความน่าเกรงขามได้เป็นอย่างดี ลานจอดรถขนาดใหญ่เด่นเป็นสง่าไม่แห้กันแต่เพราะมีต้นไม้ให้ร่มเงาจึงทำให้รู้สึกว่าร่มรื่น ผมเห็นนักวิทยาศาสตร์บางคนถือคลิปบอร์ดและก้มๆเงยอยู่บนพื้น กำลังดูดอกไม้หน้าตาประหลาดอยู่ เมื่อเข้าไปเกือบสุดก็จะต้องวนอ้อมสวนพักผ่อนที่อยู่ตรงข้ามกับทางเข้าหลัก ผมแอบเห็นแวบๆว่ามีหนักงานหลายคนกำลังหอบกองเอกสารงานการไปนั่งทำด้วย บางแห่งก็จะมีครอบครัวพ่อแม่ลูกไปนั่งปิกนิก คุณลูกก็เล่นไป คุณพ่อแม่ก็นั่งทำงานอยู่ที่พื้นหญ้าและทุกคนก็ไม่มียูนิฟอร์มบางคนก็แต่งซะจะไปเดินแบบที่ไหน บางคนก็ซกมกได้โล่ เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ในเรื่องความแปลกจริงๆ
เดรนจอดรถที่หน้าทางเข้าหลักเขย่าตัวเจ้านายเบาๆ ตาสีฟ้าสดเผยให้เห็นเล็กน้อยจากนั้นแขนยาวก็เริ่มบิดขี้เกียจ คุณแพมทำบ้างแต่ยืดมันทั้งสี่ขาส่งเสียงครางเบาๆดูมีความสุข แล้วผงกหัวขึ้น ผมทำหน้าที่บอดี้การ์ดแบบที่ทำเมื่อครั้งก่อนๆนั่นก็คือรีบลงจากรถไปเปิดประตูให้เจ้านาย คุณแพมโดดตามลงมาแล้ววิ่งไปรอที่ด้านใน เจ้านายสะลึมสะลือแต่เมื่อเห็นผมเขาก็ตาสว่างยิ้มกว้างเป็นคำขอบคุณ เดรนเอากุญแจรถให้ใครคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามา แล้วเดินตามเจ้านายเข้าไปข้างในโดยเว้นระยะห่างสามก้าวพอดิบพอดี ผมเดินตามรั้งท้ายอย่างไม่รีบร้อนนักเพราะสาเหตุหลักผมจะต้องจดจำสถานที่จริงเอาไว้ให้ละเอียด
เจ้านายเดินไปตามทางหลักอย่างสง่างาม ท่าทางเฉื่อยชาไม่สนใจใครกลับมาอีกครั้ง พนักงานที่เห็นเขาต่างก้มหัวเป็นการทักทางและหันกลับไปทำงานต่อดูจะชินแล้วที่เจ้านายคนนี้ไม่ได้สนใจ เพราะที่นี่กว้างขวางมากจึงเห็นพนักงานส่วนมากใช้จักรยานปั่นไปมาบางคนก็ใช้รถยืนแบบใช้พลังงานไฟฟ้าดูวุ่นวายไม่น้อย
ทางขึ้นไปยังชั้นสามสิบสี่มีที่เดียวคือลิฟท์ตัวในสุดของอาคารยักษ์ ยิ่งผมเดินเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งดูแปลกแยกมากขึ้นเท่านั้นบางคนเปิดเพลงดังลั่นแต่บางคนกลับเล่นไวโอลินแล้วจดบันทึกไปด้วย ความเป็นตัวของตัวเองอย่างสุดโต่งนี้ทำให้ผมพอจะเข้าใจได้บ้างว่าเจ้านายของผมเขาคัดเลือกคนเข้ามายังไง ก็เขาเล่นเลือกคนที่แปลกประหลาดเหมือนตัวเองทั้งนั้น c9jจะว่าไปผมก็ถูกเขาเลือกเหมือนกันนี่นะ
ไม่หรอกถึงผมจะเป็นตัวเองมากแค่ไหน ก็ยังปกติมากกว่าพวกเขาและเจ้านายอยู่ดี
อย่างน้อยผมก็ไม่ชื่อลิเก และมีหมาพันธุ์ร็อตไวเลอร์ที่ชื่อแพมก็แล้วกัน!!
ชั้นที่สามสิบสี่ส่วนแรกเป็นชั้นที่เหมือนโรงพยาบาลขนาดย่อม มีคนไข้ที่ส่วนมากเป็นพนักงานของที่นี่ แต่ใช่ว่าใครก็จะขึ้นมาง่ายๆนะ หน้าประตูลิฟท์มีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่เป็นสิบ แต่โชคดีที่ผมมีใบเบิกทางขั้นสุดยอดอย่างเจ้านายติดตัวมาด้วยจึงผ่านไปโดยไม่มีปัญหา เจ้านายเดินผ่านห้องพักที่มีคนเจ็บดูจากสายตาที่เป็นห่วงแล้วผมเดาได้ว่าคนที่นอนอยู่เหล่านี้คือเหล่าบอดี้การ์ดที่ไปช่วยคุณแพม เขายืนอยู่ไม่นานนักก็เดินต่อ ผ่านส่วนของโรงพยาบาลที่เป็นห้องแล็บจนถึงส่วนของผู้ป่วยอาการโคม่า เขาถึงได้หยุดเดินอีกครั้ง ห้องส่วนของที่นี่มีสองฝั่งแต่ละห้องจะมีกระจกที่ผนังบานใหญ่ไว้สำหรับมองดูคนที่อยู่ข้างในได้ เจ้านายหยุดที่ห้องเกือบสุดท้าย บนเตียงที่ล้อมรอบด้วยเครื่องมือมากมายมีชายผมแดงนอนอยู่ หน้าอกเขาขยับขึ้นลงช้าๆบ่งบอกว่าอาการสาหัสแค่ไหน เขาคนนี้ก็คงจะเป็นบอดี้การ์ดที่คนร้ายพูดถึง
ผมของเขาสีแดงแต่ไม่สดเท่าเจ้านายเหมือนสีของทองแดงมากกว่า เขาดูจะอาการหนักมาก ลมหายใจรวยรินเหมือนคนกำลังจะตาย แต่ผมกลับชื่นชมเขา อันที่จริงเขาน่าจะตายไปแล้วแต่ยังฝืนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า จิตใจของเขาแข็งแกร่งมาก
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด ทั้งอ่อนแอเปราะบางแต่ถึงอย่างนั้นบางคนกลับมีจิตใจที่น่าชื่นชม
เจ้านายเดินเข้าไปในห้องกับเดรน ดูจากสายตาที่เป็นห่วงและเจ็บปวดของเจ้านายก็รู้เลยว่าคนๆนี้มีความสำคัญกับเขามากแค่ไหน
ผมคิดเล็กน้อย บางทีผมอาจจะช่วยชายผมแดงคนนี้ได้ มีวิธีอยู่แต่เป็นเพียงทฤษฎี เสี่ยงอยู่พอสมควรแต่ก็น่าจะลองทำ ถ้าทำได้เขาคนนี้ก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง ผมหลับตา ตั้งสมาธิอย่างมุ่งมั่นเพราะการทำแบบนี้ผมจะพลาดไม่ได้ ถ้าพลาดเขาก็จะตายทันที
ปกติแล้วร่างกายมนุษย์จะมีธาตุทั้งสี่เป็นองค์ประกอบได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ มนุษย์ที่บาดเจ็บหรือป่วยเป็นเพราะธาตุเหล่านี้ไม่สมดุลกัน ผมแค่ใช้สมาธิกับพลังที่มีอยู่ควบคุมปรับธาตุในร่างกายเขาให้สมดุลและคงที่กันเขาก็จะหาย เหมือนจะง่ายแต่ถ้ามีธาตุใดธาตุหนึ่งมากหรือน้อยไปแม้แต่นิดเดียวเขาก็จะตาย
ผมลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะเซไปข้างหน้าเล็กน้อย การทำแบบนี้ใช้พลังงานไปเยอะพอสมควรแต่ดูเหมือนจะหายดีแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีคนอื่นรู้ก็ตามที ผมอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมเพราะนานๆทีผมจะได้ช่วยคนอื่นส่วนมากจะฆ่าซะส่วนใหญ่และถ้าการช่วยครั้งนี้ทำให้เจ้านายไม่ทำหน้าเศร้าก็ดีที่สุดแล้ว
“เป็นอะไรมั้ย” เสียงแหบแห้งดังขึ้นที่ด้านหลัง ผมหันขวับไปมองก่อนจะร้องลั่น
“ซอมบี้!!!” ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าผมเหมือนซอมบี้มากที่สุดเท่าที่เคยเห็น ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแถวสีผิวยังขาวซีดและคล้ำอย่างน่ากลัว ตาลึกกลวงโบ๋และตาส่วนที่ควรจะเป็นสีขาวกลับเป็นสีเหลืองเหมือนคนอดหลับอดนอน ปากแห้งผากเป็นขุยและซีดเหมือนสีผิว ยืนก็จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ สิ่งเดียวที่ยังทำให้เขาเหมือนมนุษย์ก็คือผมสีดำสนิทที่อยู่บนหัวเขา
“ฉันเห็นเธอเซ ไม่สบายหรือเปล่า ไปเช็คร่างกายหน่อยมั้ย” เขาถามต่อเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพูด ผมส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ
“ไม่ครับ คุณ..” ผมเหลือบมองไปที่ป้ายชื่อบนอกเขาอย่างรวดเร็ว “...หมอไสตน์ ผมไม่เป็นไร”
คนที่ควรจะไปเช็คร่างกายอย่างด่วนคือคุณมากกว่า! ไม่สิๆ!! จับยัดห้องแถวนี้ที่ยังว่างอยู่เลยดีกว่าและต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดด้วย!!!
“อ้อ งั้นรึแน่ใจนะ”
“ครับ” ผมยืนยันที่จะให้คุณไปเช็คร่างกายและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดโดยด่วน!!
“ถ้าอย่างนั้นขอทางฉันหน่อย ต้องไปตรวจมอร์ฟีนต่อ” เขายกมือชี้ไปที่ห้องซึ่งชายผมแดงนอนอยู่ ที่แท้เขาก็ชื่อมอร์ฟีนนี่เอง หมอสไตน์เดินอย่างเงียบเชียบเหมือนเดิม ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่รู้สึกการมีตัวตนของเขา เพราะพลังชีวิตของเขาแทบจะไม่มีเหลือ ที่น่าตกใจก็คือเขายังยืนอยู่ได้โดยไม่ล้มไปซะก่อน
ผมมองที่ห้องต่อไปคนที่นอนอยู่ในนั้นก็อาการหนักพอกัน ห้องถัดไปก็ด้วย เอาล่ะอาศัยช่วงที่เขาตรวจกันรักษาที่เหลือไปเลยดีกว่า ผมคิดได้ดังนั้น จึงยืนพิงกำแพงและตั้งสมาธิอีกครั้ง
เมื่อรักษาห้องที่สองเสร็จเจ้านายกับเดรนก็เดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาทั้งสองคนมองผมแล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”ผมถามแม้จะรู้อยู่แล้วก็ตามแต่นั่นก็เพื่อความแนบเนียน”เหมือนผมจะพลาดอะไรไป”
ทั้งสองยิ้มไม่หุบ เจ้านายพยักหน้าแรงๆ “มอร์ฟีนหายดีแล้ว!! ตอนเย็นก็จะฟื้น!”
ผมทำเป็นตกใจจากนั้นก็ยิ้มกว้าง มันดูเป็นธรรมชาติจนไม่น่าเชื่อว่าผมกำลังโกหก “ดีใจด้วยครับ!! ดีใจจริงๆ!”
เจ้านายพยักหน้า แล้วเดินไปที่ห้องถัดไป ตอนที่รักษาผมรู้อยู่แล้วว่าที่ห้องนี้เป็นผู้หญิงและสวยมากด้วย ยิ่งมาเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆยิ่งรู้ว่าเธอสวยมากในหมู่มนุษย์ด้วยกัน เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยและรูปร่างบอบบางแต่สูงและหุ่นดีเหมือนนางแบบในนิตยสาร เจ้านายหน้าหมองลงอีกรอบและเมื่อเขามองไปที่ห้องถัดไปหน้าก็ยิ่งหมองลงอีก ทั้งสองรวมหมอสไตน์เดินเข้าไปในห้อง แน่นอนว่าจะต้องเกิดการตกใจแบบเมื่อครู่แน่นอน ผมยืนพิงกำแพงอีกรอบและรักษาห้องถัดไปแม้จะเหนื่อยแต่เมื่อรักษาแบบเดียวกันไปแล้วสองครั้งครั้งที่สามก็จะง่ายขึ้น ข้อเสียมันก็คือผมต้องตั้งสมาธิอย่างมากจนไม่มีเวลาไปสังเกตอย่างอื่นเหมือนโดนตัดสัมผัสทั้งห้านั่นเอง ดังนั้นผมจึงต้องยืนพิงกำแพงให้แน่ใจว่าจะไม่เหนื่อยจนล้มลงไป
เดรนทั้งแปลกใจและดีใจมากที่อลิซหายดีแล้ว เจ้านายดูจะมีความสุขมากๆแต่หมอสไตน์กลับสงสัยว่ามันเป็นไปได้ยังไง เดรนก็สงสัยแต่มันไม่สำคัญเท่าอลิซที่หายดี เจ้านายก็คงจะคิดเหมือนกัน หมอสไตน์ที่ขมวดคิ้วตลอดเวลาและจดอะไรบางอย่างในคลิปบอร์ดจู่ๆวางปากกาลุกขึ้นไปเดินดูผลที่ได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เอ่ยเบาๆด้วยเสียงแหบแห้งว่า”เขาดูแปลกๆ” เดรนเลิกคิ้วเจ้านายก็เช่นกัน ปกติแล้วหมอสไตน์จะไม่พูดถึงคนอื่นๆในเวลาทำงาน ตาที่ปูดโปนนั้นเหลือบมองออกไปด้านนอกที่มีชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่”เขาดูไม่เหมือนพวกเรา”แล้วก็หันกลับไปจดบันทึกต่อ”เขาดูเหมือนเซย์”
เดรนอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่หลับตายืนพิงกำแพงอยู่อีกฝั่ง ผมสีเงินเปล่งประกายดูดกลืนทุกแสงสีที่ตกกระทบแล้วปลดปล่อยออกมาแต่สีเงินยวง ตาสีชมพูเข้มงดงามดั่งอัญมณีที่ล้ำค่า รูปหน้าที่งดงามและเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบราวกับพระเจ้าลงมือปั้นแต่งด้วยตัวเอง รูปร่างสูงโปร่งสง่างามไม่มีที่ติ เวลาขยับตัวเวลายิ้มเวลาโมโหหรือเกรี้ยวกราดก็ยังคงงดงาม แม้แต่ตอนนี้ที่ยืนพิงกำแพงและเหมือนจะหลับอยู่ก็ตาม ชายคนนี้มีรังสีที่แสดงถึงอำนาจแผ่ออกมาอยู่ตลอดเวลาแต่เจ้าตัวเลือกที่จะแฝงมันไว้ในบุคลิกที่ดูสุภาพและยิ้มแย้มตลอดเวลา บางครั้งก็กวนๆและชอบพูดยั่วโมโห เดรนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวคนๆนี้เลยนอกจากในใบสมัครงานที่ส่งมา คุณสมบัติที่เพียบพร้อมและมีประสบการณ์งานอย่างโชกโชนทำให้เขาเลือกชายคนนี้ขึ้นมา แต่นิสัยและเรื่องชีวิตแล้วเขาแทบจะไม่รู้อะไรเลย
เดรนละสายตาจากบอดี้การ์ดคนที่สามสิบห้ามาที่เจ้านายของตนที่กำลังมองคนด้านนอกอยู่เช่นกัน เจ้านายกับคนๆนั้นคล้ายกันมาก ไม่สิเหมือนกันแบบที่หมอสไตน์พูดเลยต่างหาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนแน่นอนเลยก็คือเจ้านายเขาไม่มีปีกงอกออกมาก็แล้วกัน ยังไงก็ไม่เหมือนกัน ไม่เด็ดขาด
ผมลืมตาขึ้นยกมือซับเหงื่อที่หน้าผากเล็กน้อย และมองพวกเขาค่อยๆทยอยออกมาจากห้องและไปที่ห้องต่อไป เดรนหันมามองผมเล็กน้อยจากนั้นก็พูดว่า
“เหลือเอรินเพียงคนเดียว หวังว่าเขาจะหายดีนะ”
ผมแอบยิ้ม จากนั้นก็สะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีใครจ้องอยู่ หมอสไตน์ที่เดินอยู่ข้างๆกำลังจ้องผมตาไม่กระพริบและเหมือนจะเห็นรอยยิ้มเมื่อครู่แล้วด้วย ผมรีบทำเนียนยิ้มกว้างกว่าเดิมจากนั้นก็รอพวกเขาอยู่ข้างนอก ชายที่นอนอย่างสงบในห้องเป็นชายร่างสูงผมสีเขียวสดและหน้าตาดูน่ารักเหมือนดาราไอดอลนักร้อง
“เอริน”ผมพึมพำและอมยิ้มมองเจ้านายที่กระโดดโลดเต้นเขย่าตัวหมอสไตน์แรงๆจนผมกลัวว่าเขาจะแหลกสลายไปซะก่อน “เอริน... ชื่อเหมือนใครสักคน” ผมทิ้งความคิดนั้นไปแล้วเตรียมตัวไปต่อ หวังลึกๆในใจว่าอย่าให้เป็นแบบที่คิดไว้เลย
ความคิดเห็น